โค้ด: เลือกทั้งหมด
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาถือได้ว่าการลงทุนไม่ว่าจะในสินทรัพย์ประเภทใดนั้นมีความผันผวนอย่างมาก ในช่วงเพียง 2 เดือนแรกของปีนี้ก็จะเห็นราคาหุ้นที่ประเทศจีนปรับตัวลดลงไป 30% ในขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น-ลง 5-6% ต่อวัน กลายเป็นเรื่องที่ไม่ผิดปกติ หากมองกลับไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ก็ได้เห็นวิกฤติเศรษฐกิจที่เม็กซิโก ประเทศไทย สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ ในแอฟริกาและลาตินอเมริกา ไม่รวมถึงการปรับขึ้นของราคาน้ำมันไปถึง 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และการปรับลดลงมาเหลือไม่ถึง 30 ดอลลาร์ ความผันผวนของราคาทองคำนั้น คงไม่ต้องกล่าวถึงเพราะคงจะทราบกันแล้ว
ประเด็นคือในภาวการณ์เช่นนี้ การลงทุนที่เหมาะสมสำหรับการสะสมและออมทรัพย์สินเพื่อให้มีความมั่นคงในช่วง ปลายของชีวิตนั้น ควรปรับเปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไร ซึ่งมีหนังสือที่พิมพ์ออกมาแนะนำเรื่องของการลงทุนหลายพันเล่มจนไม่ทราบว่า เล่มไหนดี เล่มไหนไม่ดี เล่มไหนถูกเล่มไหนผิด ในส่วนนี้ผมขอแสดงความเห็นว่าหนังสือแนะนำการลงทุนที่ผมคิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์ที่สุดคือหนังสือของ Prof Burton MalKiel แห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เพราะ นอกจาก ศ. MalKiel จะเชี่ยวชาญทางวิชาการเรื่องการเงินในเชิงวิชาการแล้วก็ยังเป็นนักปฏิบัติ ด้วย เช่น เป็น Chief Investment Officer ของกองทุน Wealth front
ที่สำคัญคือหนังสือ A Ramdom Walk Down Wall Street นั้น เป็นตำราเพื่อการลงทุนอย่างแท้จริง ทั้งในเชิงของการให้ความรู้ในทางวิชาการเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การลงทุนแล้ว ก็ยังมีข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนบุคคลที่จะนำไป ปฏิบัติเพื่อการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาว ทั้ง นี้ผมขอย้ำเรื่องของการลงทุนระยะยาว ผู้ที่หวังจะรวยเร็วและต้องการเคล็ดลับในการหา “หุ้นเด็ด” ขอให้ไปอ่านหนังสือเล่มอื่น เพราะเล่มนี้ไม่มีข้อแนะนำในการลงทุนเพื่อร่ำรวยทางลัดอย่างแน่นอน
หนังสือ Random Walk นี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1973 และได้มีการปรับปรุงเรื่อยมา ผมเริ่มอ่านเมื่อปรับปรุงและตีพิมพ์ใหม่เป็นครั้งที่ 5 (ปี 1990) ฉบับตีพิมพ์ล่าสุดเป็นการปรับปรุงครั้งที่ 12 (ปี 2015) ซึ่งก็ยังมีคนซื้ออ่านอยู่เรื่อยมาจนปัจจุบัน ศ. MalKiel อายุใกล้ 84 ปีแล้ว ก็ยังยืนยันในการตีพิมพ์ครั้งที่ 12 ของตำรา Random Walk ว่าการซื้อกองทุนหุ้นที่เรียกว่า index fund (ซื้อหุ้นหลักตามน้ำหนักของหุ้นคำนวณจากมูลค่ารวมของหุ้น) โดยไม่ต้องซื้อกองทุนที่ผู้บริหารกองทุนมาพยายามเลือกหุ้นเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาว
นอกจากนั้นก็ยังยืนยันว่าการจัดสรรการลงทุน (asset allocation) ได้แก่การกำหนดสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างการลงทุนในหุ้น พันธบัตร เงินสดและอื่นๆ (เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์) นั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการกำหนดผลตอบแทนของการลงทุนการ “เลือกหุ้น” นั้น ในระยะยาวจะมีส่วนในการกำหนดผลตอบแทนเพียง 10% เท่านั้น
ผลตอบแทนของการลงทุนนั้นจะมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของการลงทุน กล่าวคือหากหวังได้ผลตอบแทนมาก ก็ย่อมจะต้องรับความเสี่ยงสูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อันนี้ขอให้เข้าใจร่วมกันว่าเป็นหลักความจริงที่ 1 ของการลงทุน ความเสี่ยงที่ว่านี้คือความผันผวนของราคาสินทรัพย์และผลตอบแทนของสินทรัพย์ ดังกล่าว ซึ่งสรุปได้จากข้อมูลในอดีต ซึ่งปรากฏในหนังสือเล่มนี้ (หน้า 351) ดังนี้ (ดูตาราง)
จะเห็นได้ว่าจากข้อมูลยาวนานเกือบ 90 ปีที่ผ่านมานั้น หากต้องการได้ผลตอบแทนเป็นตัวเลข 2 หลักต่อปี ก็จะต้องยอมรับความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงในแต่ละปีว่า ใน ปีที่ย่ำแย่นั้นผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กอาจติดลบมากกว่า 30% ก็เป็นได้ แต่ในปีที่ดีเลิศก็จะเห็นผลตอบแทนสูงเกือบ 50% ทั้งนี้หลักความจริงที่สำคัญยิ่งรองลงมาจากหลักความจริงที่หนึ่ง (ผลตอบแทนสูงก็ต้องเสี่ยงสูง) คือ ยิ่งลงทุนระยะยาวเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสี่ยงต่ำลงและได้ผลตอบแทนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้นเท่านั้น
หนังสือ Random Walk นำเอาสถิติจริงจากตลาดหุ้นเอสแอนด์พีของสหรัฐในช่วง 1950 ถึง 2013 มาเปรียบเทียบให้ดูว่าระยะเวลาของการลงทุนนั้นมีความสำคัญดังนี้
1) สมมุติว่าคุณจะลงทุนซื้อกองทุนหุ้นเอสแอนด์พี (มีหุ้นทั้งสิ้น 500) แต่สามารถลงทุนได้เพียง 1 ปี สถิติบ่งชี้ว่าผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วง 63 ปีดังกล่าวนั้น เท่ากับ 10% ต่อปี แต่หากคุณเป็นคนที่โชคดีมากและลงทุนถูกจังหวะก็จะได้ผลตอบแทนสูงถึง 52.62% ในเวลาเพียงปีเดียว แต่หากคุณอับโชคก็จะขาดทุนได้มากถึง 37% ในเวลาเพียง 1 ปี
2) แต่หากคุณมีเงินเย็นและสามารถทิ้งเงินลงทุนเอาไว้ ยาวถึง 10 ปี ผลตอบแทนก็จะยังเฉลี่ยเท่ากับ 10% ต่อปี แต่หากคุณเป็นคนโชคดีมาก ลงทุนได้ถูกจังหวะผลตอบแทนก็จะเฉลี่ยสูงถึง 19.61% ต่อปีในทางตรงกันข้าม หากคุณเป็นคนอับโชคมากที่สุด ก็จะขาดทุนเพียง 1.47% ในช่วง 10 ปี
3) ในกรณีที่คุณลงทุนนาน 25 ปี (เช่นเอาเงินที่คิดจะไปดาวน์รถยนต์ตอนอายุ 30 ปี มาซื้อกองทุนหุ้นแทน) และทิ้งเอาไว้จนอายุ 55 ปี ก็จะพบว่า เงินก้อนดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี และหากเป็นคนโชคดีมาก ก็จะได้ผลตอบแทนสูงถึง 17.57% ต่อปี ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็จะยังได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.96% ต่อปี กล่าวคือเงินดาวน์รถยนต์ 250,000 บาท ก็จะกลายเป็นเงินล้านได้
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า นักลงทุนที่เสี่ยงได้มากก็คือ คนที่อายุน้อย เพราะสามารถลงทุนระยาว 25-30 ปีได้ (ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบความเสี่ยงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง) คนที่อายุมาก ไม่มีรายได้จากเงินเดือนและมีอายุอยู่อีกไม่นาน ย่อมจะไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ แต่คนอายุน้อยมักจะไม่สนใจการลงทุนหรือคิดว่าเรื่องลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่ “รอ” ไปก่อนได้ ซึ่งจะเป็นการเสียดายโอกาสอย่างยิ่ง
หนังสือ Random Walk แนะนำว่าโดยทั่วไปนั้นนักลงทุนที่อายุ 20-30 ปี สามารถจะจัดสรรการลงทุน โดยให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นได้สูงถึง 70% โดยอาจมีพันธบัตร 15% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 10% และเงินสด 5% โดยต้องลดสัดส่วนของหุ้นและเพิ่มสัดส่วนของพันธบัตรเมื่อแก่ตัวลง ดังนั้นเมื่ออายุ 50-60 ปี ก็ควรจัดสรรการลงทุนให้มีสัดส่วนหุ้นเพียง 55% พันธบัตร 27.5% และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 12.5% และในกรณีที่เกษียณอายุไปแล้ว สัดส่วนของหุ้นก็ควรลดลงไปเหลือเพียง 40% โดยเพิ่มพันธบัตรเป็น 35% และกองทุนอสังหาริมทรัพย์และเงินสดเป็น 15% และ 10% ตามลำดับครับ