โค้ด: เลือกทั้งหมด
หลังจากการเริ่มเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามในช่วงกลางปี 2557 หรือเป็นเวลาประมาณ 1 ปี กับอีก 9 เดือน ผมก็มี “การประเมินสถานการณ์” เพื่อที่จะดูว่าผลการลงทุนเป็นอย่างไรบ้างและน่าจะทำอะไรต่อไป แต่นี่ก็แน่นอนว่าไม่ใช่เป็นการประเมินครั้งแรก ว่าที่จริงผมประเมินมาตลอด ดูว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไรโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่คาดหวังไว้ก่อนเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนาม และผมควรที่จะปรับตัวหรือปรับกลยุทธ์อย่างไรเพื่อที่จะทำให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น หรือเพื่อที่จะ “ถอย” เพื่อที่จะลดความสูญเสียให้น้อยลงในกรณีที่เห็นว่าตนเองจะ “พ่ายแพ้” ดูไปแล้วผมคิดเหมือนกับเป็นเสนาธิการหรือแม่ทัพที่ส่งกองทัพออกไปสู้รบกับฝ่ายตรงข้ามในสงครามซึ่งสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ การประเมินว่าเราน่าจะมีโอกาสชนะหรือไม่มากน้อยแค่ไหนถ้าเราเข้าไปรุกรบในสมรภูมินั้น ประเด็นต่อมาก็คือการวางยุทธวิธีที่จะรบให้ได้ชัยชนะโดยคำนึงถึงศักยภาพของทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์และการส่งกำลังบำรุงเป็นต้น หลังจากนั้นเราก็ต้องประเมินผลการรบต่อเนื่องเป็นระยะเพื่อที่จะดูว่าจะต้องปรับกลยุทธ์อย่างไรเพื่อให้บรรลุภารกิจที่วางไว้และในเวลาแค่ไหน
ตลาดหุ้นเวียตนามนั้น สำหรับผมแล้ว มันก็คือการ “รบ” หรือการลงทุนในอีกสมรภูมิหนึ่งหรือในอีกตลาดหนึ่งที่ผมเพิ่งจะเริ่มวางแผนและลงมือปฏิบัติเมื่อประมาณ 2 ปีมาแล้ว ถ้าจะใช้คำศัพท์เพื่อที่จะล้อไปกับเรื่องของสงคราม ผมจะเรียกว่านี่คือ “แนวรบด้านตะวันออก” เลียนแบบการรุกรบของเยอรมันต่อรัสเซียซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกในสงครามโลกครั้งที่สองหลังจากที่เยอรมันชนะฝรั่งเศสใน “แนวรบด้านตะวันตก” เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเวียตนามนั้นก็อยู่ทางฝั่งตะวันออกของไทย
วันที่ผมตัดสินใจเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามนั้น ผมประเมินหรือวิเคราะห์ดูแล้วก็พบว่าโอกาสที่จะ “ชนะ” ในการลงทุนโดยเฉพาะในระยะยาวน่าจะสูงพอสมควร เหตุผลสำคัญก็คือ ข้อแรกเศรษฐกิจของเวียตนามกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและน่าจะโตอย่าง “ยั่งยืน” หรือเติบโตต่อเนื่องไปอีกนานเนื่องจากนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลที่เน้นการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้นมาก และที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ประชากรของเวียตนามนั้นมีจำนวนมาก มีคุณภาพสูงและยังมีอายุไม่มาก สองสิ่งนี้น่าจะทำให้เศรษฐกิจเวียตนามโตเร็วไปอีกนานคล้าย ๆ กับไทยเมื่อ 20 ปีก่อนที่สามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนสร้างโรงงานเพื่อผลิตสินค้าส่งออกไปทั่วโลก ผมคาดว่าในที่สุดเวียตนามก็จะโตทันและอาจจะ “แซง” ไทยที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงอย่างมากด้วยเหตุผลสำคัญหลายอย่างรวมถึงการที่ประชากรแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว
ในแง่ของตลาดหุ้นเวียตนามเองนั้น ผมก็ดูว่าน่าสนใจมาก เนื่องจากตลาดหุ้นเวียตนามซึ่งเปิดในปี 2000 นั้นยังค่อนข้างใหม่และเมื่อประมาณ 9 ปีที่แล้วดัชนีตลาดหุ้นเคยขึ้นไปสูงถึงประมาณ 1200 จุด แต่หลังจากนั้นตลาดก็เกิดวิกฤติ ดัชนีลดลงมาเหลือเพียง 200 กว่าจุดในเวลาอันสั้นเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงหนักและค่าเงินด่องลดลงมหาศาล แต่หลังจากนั้น เศรษฐกิจและตลาดหุ้นก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอย่างมั่นคง ค่าเงินด่องมีเสถียรภาพ การลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลและส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดและเวียตนามกลายเป็น “ซุปเปอร์สตาร์” ทางเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ดัชนีตลาดหุ้นและปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์กลับไม่ดีตามภาวะเศรษฐกิจและศักยภาพของประเทศ ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 5-600 จุด และอยู่ในระดับนั้นมาเป็นเวลานาน ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันแค่ประมาณ 3-4000 ล้านบาทต่อวัน เช่นเดียวกับที่มูลค่าตลาดหุ้นหรือ Market Cap ของทั้งตลาดก็ต่ำมากคิดเป็นประมาณไม่เกิน 20% ของ GDP ในขณะที่ของไทยนั้นอยู่ในหลัก 100% ของ GDP และราคาหุ้นเวียตนามก็ค่อนข้างถูก หุ้นจำนวนมากโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นขนาดเล็กที่นักลงทุนต่างชาติไม่สนใจนั้นมีราคาถูกมาก ค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่า ค่า PB ต่ำกว่า 1 เท่า และอัตราปันผลเทียบกับราคาหุ้นนั้นมักจะสูงกว่า 5% และจำนวนไม่น้อยสูงถึง 10% ต่อปี
สถานการณ์ของเวียตนามดังกล่าวนั้น ผมมองดูแล้วคล้ายคลึงกับของไทยหลังวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 มาก ดังนั้นผมเชื่อว่าถ้าเราเข้าไปลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นยังแย่อยู่ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจนั้นฟื้นตัวและกำลังเติบโตอย่างแรง โอกาสที่เราจะได้กำไรหรือผลตอบแทนที่สูงจากตลาดหุ้นก็น่าจะมีมาก—อย่างน้อยถ้าเราถือหุ้นไว้ อาจจะซัก 3-5 ปีที่คนเวียตนามจะกลับมาสนใจตลาดหุ้นอีกครั้งเมื่อคนเวียตนามรวยขึ้นและมีเงินสดเหลือที่จะลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น
กลยุทธ์การลงทุนในเวียตนามของผมนั้น เนื่องจากผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับตัวกิจการแต่ละบริษัทเลย ดังนั้นผมจึงใช้วิธีซื้อหุ้นโดยใช้แต่ข้อมูลที่เป็นตัวเลข 2 ชุด นั่นคือ ข้อมูลทางด้านพื้นฐานเช่น กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และข้อมูลด้านความถูกความแพงของหุ้น เช่น ค่า PE และ PB เป็นต้น มาเป็นตัวคัดกรองหุ้นที่จะลงทุน หลักเกณฑ์ที่ตั้งไว้สำหรับการคัดกรองบางส่วนผมก็ใช้สูตร Magic Formula ของ Joel Greenblatt และสูตรที่ผมเองเคยศึกษากับข้อมูลอดีตแล้วได้ผลดีมาใช้ในการเลือกหุ้นที่จะลงทุน ผลก็คือ ผมลงทุนในหุ้นถึงประมาณ 60 ตัว โดยที่ไม่รู้เลยว่าแต่ละบริษัททำหรือขายอะไร หลังจากที่ซื้อหุ้นครบซึ่งกินเวลาไม่น้อยกว่า 3-4 เดือน ผมก็ถือหุ้นไว้เฉย ๆ ไม่เคยขายหุ้นเลยแต่มีการซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นบ้างเนื่องจากมีเงินสดเพิ่มขึ้นจากปันผล ผมคิดว่าถ้าสิ่งที่ผมคาดไว้ถูกต้อง ในที่สุดหุ้นราคาถูกที่ผมซื้อไว้น่าจะปรับตัวขึ้น โอกาสที่เงินจะเพิ่มเป็นเท่าตัวในเวลา 5 ปี หรือทำผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 15% น่าจะเป็นไปได้ โอกาสที่จะขาดทุนน่าจะน้อย
ผมติดตามผลการดำเนินงานของพอร์ตโฟลิโอเป็นระยะ ๆ บ่อย ๆ ในช่วงแรก ภายในช่วงเวลาประมาณ 1 ปีแรก สิ่งที่ผมพบก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามไม่ไปไหน และแม้จนถึงวันนี้ ดัชนีตลาดเวียตนามก็ยังอยู่ที่เดิมคือประมาณ 580 จุด พอ ๆ กับวันที่ผมเริ่มลงทุนเมื่อเกือบ 2 ปีที่ผ่าน อย่างไรก็ตาม เงินปันผลเริ่มจะ “ไหลเข้ามา” เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากเกือบทุกบริษัท เวลาผ่านไป 1 ปี พอร์ตไม่ได้กำไรเลยจากราคาหุ้นแต่เงินจากปันผลทำให้พอร์ตโดยรวมโตขึ้นประมาณเกือบ 10% ซึ่งทำให้ผม “สรุป” ในเบื้องต้นว่ากลยุทธ์การลงทุนแบบ “หว่านแห” นั้น ไม่ค่อยได้ผลเท่าไรแต่ผมก็ยังค่อนข้างพอใจที่ได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ผมคงไม่ลงทุนเพิ่มเนื่องจากผมคงไม่สามารถเพิ่มการลงทุนให้มากขึ้นจนมีนัยสำคัญด้วยวิธีนี้ซึ่งเป็นวิธีที่มักจะได้แต่หุ้นตัวเล็กที่เข้าเกณฑ์ตามสูตรการลงทุนที่ใช้
ผมคิดว่ากลยุทธ์หรือวิธีการลงทุนที่ผมใช้อาจจะไม่ถูกต้อง ผม “ไม่ชนะสงคราม” ในแนวรบด้านตะวันออกแต่ก็ “ไม่แพ้” หลังจากลงทุนได้ปีเศษ ๆ ผมเริ่มลดระดับความสนใจติดตามหุ้นที่เวียตนาม หลายเดือนที่ผ่านมาไม่เคยดูพอร์ตเลย แต่แล้ว เมื่อสัปดาห์ก่อนผมก็อยากจะดูว่าผลการดำเนินงานเป็นอย่างไรบ้างเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นเร็ว ผมคิดว่าพอร์ตน่าจะกำไรน้อยลง แต่ผิดคาด! พอร์ตที่เคยนิ่งมานานกลับโตขึ้นเป็นประมาณ 26% ในเวลา 1 ปี 9 เดือน หุ้นหลายตัวกำไรกว่า 100% ผมเองยังไม่ได้ศึกษารายละเอียดและก็ไม่แน่ใจว่าตนเองจะมีเวลาศึกษามากน้อยแค่ไหน แต่ความรู้สึกก็คือ บางทีสิ่งที่เราเคยคิดไว้อาจจะถูกต้อง และหุ้นของเราก็จะโตต่อไปและได้ “ชัยชนะ” การที่มันนิ่งมานานก่อนหน้านี้อาจจะเป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น และตราบใดที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเวียตนามยังดีเยี่ยมและหุ้นที่เราถืออยู่ยังมีราคาถูกมาก ในที่สุดแล้วสิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีก็จะต้องเกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าผมอาจจะต้องเปิด “แนวรบด้านตะวันตก” หรือการลงทุนในประเทศพัฒนาแล้วแทนที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่ก็มักจะหยุดทุกครั้งเนื่องจากผมยังไม่มั่นใจในชัยชนะ ณ. เวลานี้ผมอาจจะต้องกลับมาทบทวนอีกครั้งว่าผมจะ “เพิ่มกำลัง” ในแนวรบด้านตะวันออกดีไหม เวลาและสถานการณ์จะเป็นสิ่งที่บอก