ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 792
- ผู้ติดตาม: 0
ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
โพสต์ที่ 1
ความงดงามของ FACEBOOK / โดย คนขายของ
จงเรียงกิจการที่มีมูลค่าน้อยที่สุดไปหามากที่สุด? หากนักลงทุนเจอคำถามนี้โดยมีตังเลือกให้ 5 บริษัทดังนี้ ท่านจะเรียงลำดับกันอย่างไร? หนึ่ง คือ Exxon Mobil ซึ่งมีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี 1870 สอง GE ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1892 สาม บริษัทอากาศยานยักษ์ใหญ่ Boeing สี่ บริษัทค้าปลีกที่มีรายได้พอๆกับ GDP ของประเทศนอร์เวย์อย่าง Walmart และ ห้า บริษัทเทคโนโลยี ซึ่งเพิ่งก่อเป็นรูปเป็นร่างในปี 2004 มี CEO อายุแค่ 32 ปี อย่าง FACEBOOK (FB) หากถามคำถามนี้ในปี 2012 ซึ่งเป็นปีที่ FB ทำการ IPO เป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม เราจะพบว่าบริษัทน้องใหม่นี้อยู่ในอันดับที่ 4 ชนะแค่ Boeing เพียงบริษัทเดียว แต่ในวันนี้ สถานะการณ์เปลี่ยนไปมาก จากข้อมูลในวันที่ 4 ตุลาคม 2559 อันดับของมูลค่ากิจการจากน้อยไปมากจะเป็นดังนี้ Boeing, Walmart, GE, Exxon และ FB ทำไมนักลงทุนถึงให้มูลค่ากิจการของ FB มากถึง 367 พันล้านเหรียญ (12.9 ล้านล้านบาท)? พอๆกับตลาดหุ้นไทยทั้งตลาดเลยทีเดียว
หากเรามาดูโครงสร้างรายได้ FB นั้นจะเห็นว่ามากกว่า 90% เป็นรายได้จากการโฆษณา ซึ่งคล้ายกับบริษัทในธุรกิจสื่อสารมวลชน แต่ FB มีโมเดลทางธุรกิจที่แตกต่างจากบริษัทสื่อโดยทั่วไปคือ หนึ่ง FB ไม่ต้องทำ การประมูลใบอนุญาติคลื่นความถี่ที่มักเป็นต้นทุนหลักของสื่อประเภทวิทยุและโทรทัศน์ และไม่ต้องลงทุนในส่วนของติดตั้งโครงข่ายกระจายสัญญาณด้วยตังเอง ยิ่งมีคนใช้ FB มากเท่าไหร่ ภาระค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้ กลับตกเป็นของบริษัท Mobile Operators หรือ บริษัทที่ให้บริการอินเตอร์เน็ต ทำให้ FB มีการใช้จ่ายเพื่อ การลงทุน (CAPEX) ในอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับกระแสเงินสด และ สอง FB ไม่ต้องทำการสร้าง “content” ของตัวเองเหมือนอย่างสถานีโทรทัศน์หรือค่ายสร้างภาพยนต์ ทำให้อัตราความเสี่ยงในการทำธุรกิจต่ำกว่า รายได้แน่นอนมั่นคงกว่า เพราะคนที่สร้าง “content” ของ FB ก็คือผู้ใช้งาน FB นั้นเอง
นอกจากโมเดลธุรกิจที่ดีเยี่ยมแล้ว ทุกวันนี้ FB ยังไม่มีคู่แข่งที่พอจะสูสีกันได้ ข้อมูลจาก statista.com ระบุว่า จาก Social Network Apps ยอดนิยม 10 อันดับของโลก มีถึง 4 อันที่เป็น Apps ของ FB ซึ่งนอกจาก FB เองที่อยู่ในอันดับหนึ่ง ยังมี Whatsapp เป็นอันดับสอง FB Messenger ได้ที่สาม และ Instagram มาในอันดับแปด นับจำนวนบัญชีผู้ใช้งานรวมกันทั้งหมดได้มากกว่า 4,200 ล้าน บัญชี ถ้านับบัญชีผู้ใช้งาน Whatsapp ซึ่งมีราว 1,000 ล้าน ก็มากกว่าของ Wechat ที่ 800 ล้าน และ LINE ที่ 218 ล้าน นอกจาก FB จะเป็น Social Network ที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ยังเป็น Messenger Apps ที่ใหญ่ที่สุดด้วย
FB ไม่ได้มีดีแต่ปริมาณบัญชีผู้ใช้งานอย่างเดียว แต่ตัวเลขทางการเงินหลายตัวยังดูน่าสนใจด้วย อย่างเช่น กำไรสุทธิของบริษัทโตจากแค่ 1 พันล้านเหรียญในปี 2011 มาเป็น 3.69 พันล้านเหรียญในปี 2015 ในขณะที่กำไรของบริษัทในธุรกิจใกล้เคียงกันอย่าง Twitter และ LinkedIn กลับขาดทุน และในด้านการ บริหารสภาพคล่อง พบว่าFB ยังสามารถสร้าง กระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้สูงมาก สูงกว่ากำไร สุทธิถึงสองเท่า ทำให้บริษัทสามารถนำเอาสภาพคล่องส่วนเกินมาลงทุนในงบวิจัยและพัฒนาได้โดยไม่ต้อง กู้เงินมาลงทุน ปัจจุบันงบวิจัยและพัฒนาของ FB มากกว่าของ BOEING และคิดเป็น 50% ของ APPLE ถึงแม้ FB จะมีรายได้เพียงหนึ่งในสิบของ APPLE ก็ตาม ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายด้าน R&D ที่สูง อัตรากำไรสุทธิของ FB ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 20% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าของหลายๆบริษัท
แล้ว FB จะยังสามารถโตต่อไปได้อีกไหม? หากดูจากสถิติที่รวบรวมโดย McKinsey เกี่ยวกับเม็ดเงิน โฆษณาของโลกในปี 2017 ซึ่งคาดว่าจะมากกว่า 500 พันล้านเหรียญ ในปี 2017 คาดว่ารายได้จากโฆษณาของ FB น่าจะอยู่ที่ราว 25 พันล้านหรียญ หรือคิดเป็นราว 5% ของเม็ดเงินโฆษณาของโลก ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าสื่ออื่นๆ, การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และ สามารถวัดผลได้จากยอด “Like” หรือ “Share” จึงน่าจะทำให้ FB สามารถเติบโตได้อีกในอนาคต นี่ยังไม่นับการลงทุนเพิ่มเติมจากเงินสดที่สูงถึง 23 พันล้านเหรียญ ซึ่งบริษัทเก็บไว้ในตอนนี้
ถึงแม้ FB จะมีปัจจัยในเชิงบวกหลายอย่างแต่ด้วยมูลค่ากิจการที่สูงถึง 367 พันล้านเหรียญ คิดเป็นค่า PE ซึ่งสูงถึง 61 เท่า PBV ที่ 8.29 เท่า ROE 9.14 และไม่มีเงินปันผลเลย ถึงแม้รายได้ยังคงโตได้ปีละ 25-30% และกำไรสุทธิเติบโตที่ระดับ 70-80% ในปีนี้ เราคงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนหากสนใจลงทุน ทั้งนี้เพราะความเสี่ยงอย่างหนึ่งของหุ้นเทคโนโลยีก็คือเราไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการในอุตสาหกรรมนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร? ในอีกสองปีหรือห้าปีข้างหน้าจะมีอะไรมาแทน FB ได้ไหม? สมัยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เว็ป search engine อย่าง YAHOO ก็เคยเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมาก มูลค่ากิจการเคยขึ้นสูงถึง 208 พันล้านเหรียญในปี 2000 แต่จากการเกิดขึ้นของ GOOGLE และเทคโนโลยีหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไป ทำให้ปัจจุบัน YAHOO เหลือมูลค่ากิจการเพียง 41 พันล้านเหรียญ ดังนั้นนักลงทุนที่สนใจในหุ้นเทคโนโลยีควรเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงเรื่องนี้ด้วย ไม่ใช่จะมองแต่ด้านโลกสวยเพียงอย่างเดียว นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ Warren Buffett มักหลีกเลี่ยงหุ้นเทคโนโลยี เพราะเขารู้ว่าหมากฝรั่ง, ซอสมะเขือเทศ และไอศครีม ยังคงหน้าตา ไม่แตกต่างจากเดิม แต่เขานึกไม่ออกว่าโทรศัพท์มือถืออีกสิบปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
จงเรียงกิจการที่มีมูลค่าน้อยที่สุดไปหามากที่สุด? หากนักลงทุนเจอคำถามนี้โดยมีตังเลือกให้ 5 บริษัทดังนี้ ท่านจะเรียงลำดับกันอย่างไร? หนึ่ง คือ Exxon Mobil ซึ่งมีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี 1870 สอง GE ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1892 สาม บริษัทอากาศยานยักษ์ใหญ่ Boeing สี่ บริษัทค้าปลีกที่มีรายได้พอๆกับ GDP ของประเทศนอร์เวย์อย่าง Walmart และ ห้า บริษัทเทคโนโลยี ซึ่งเพิ่งก่อเป็นรูปเป็นร่างในปี 2004 มี CEO อายุแค่ 32 ปี อย่าง FACEBOOK (FB) หากถามคำถามนี้ในปี 2012 ซึ่งเป็นปีที่ FB ทำการ IPO เป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม เราจะพบว่าบริษัทน้องใหม่นี้อยู่ในอันดับที่ 4 ชนะแค่ Boeing เพียงบริษัทเดียว แต่ในวันนี้ สถานะการณ์เปลี่ยนไปมาก จากข้อมูลในวันที่ 4 ตุลาคม 2559 อันดับของมูลค่ากิจการจากน้อยไปมากจะเป็นดังนี้ Boeing, Walmart, GE, Exxon และ FB ทำไมนักลงทุนถึงให้มูลค่ากิจการของ FB มากถึง 367 พันล้านเหรียญ (12.9 ล้านล้านบาท)? พอๆกับตลาดหุ้นไทยทั้งตลาดเลยทีเดียว
หากเรามาดูโครงสร้างรายได้ FB นั้นจะเห็นว่ามากกว่า 90% เป็นรายได้จากการโฆษณา ซึ่งคล้ายกับบริษัทในธุรกิจสื่อสารมวลชน แต่ FB มีโมเดลทางธุรกิจที่แตกต่างจากบริษัทสื่อโดยทั่วไปคือ หนึ่ง FB ไม่ต้องทำ การประมูลใบอนุญาติคลื่นความถี่ที่มักเป็นต้นทุนหลักของสื่อประเภทวิทยุและโทรทัศน์ และไม่ต้องลงทุนในส่วนของติดตั้งโครงข่ายกระจายสัญญาณด้วยตังเอง ยิ่งมีคนใช้ FB มากเท่าไหร่ ภาระค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้ กลับตกเป็นของบริษัท Mobile Operators หรือ บริษัทที่ให้บริการอินเตอร์เน็ต ทำให้ FB มีการใช้จ่ายเพื่อ การลงทุน (CAPEX) ในอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับกระแสเงินสด และ สอง FB ไม่ต้องทำการสร้าง “content” ของตัวเองเหมือนอย่างสถานีโทรทัศน์หรือค่ายสร้างภาพยนต์ ทำให้อัตราความเสี่ยงในการทำธุรกิจต่ำกว่า รายได้แน่นอนมั่นคงกว่า เพราะคนที่สร้าง “content” ของ FB ก็คือผู้ใช้งาน FB นั้นเอง
นอกจากโมเดลธุรกิจที่ดีเยี่ยมแล้ว ทุกวันนี้ FB ยังไม่มีคู่แข่งที่พอจะสูสีกันได้ ข้อมูลจาก statista.com ระบุว่า จาก Social Network Apps ยอดนิยม 10 อันดับของโลก มีถึง 4 อันที่เป็น Apps ของ FB ซึ่งนอกจาก FB เองที่อยู่ในอันดับหนึ่ง ยังมี Whatsapp เป็นอันดับสอง FB Messenger ได้ที่สาม และ Instagram มาในอันดับแปด นับจำนวนบัญชีผู้ใช้งานรวมกันทั้งหมดได้มากกว่า 4,200 ล้าน บัญชี ถ้านับบัญชีผู้ใช้งาน Whatsapp ซึ่งมีราว 1,000 ล้าน ก็มากกว่าของ Wechat ที่ 800 ล้าน และ LINE ที่ 218 ล้าน นอกจาก FB จะเป็น Social Network ที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ยังเป็น Messenger Apps ที่ใหญ่ที่สุดด้วย
FB ไม่ได้มีดีแต่ปริมาณบัญชีผู้ใช้งานอย่างเดียว แต่ตัวเลขทางการเงินหลายตัวยังดูน่าสนใจด้วย อย่างเช่น กำไรสุทธิของบริษัทโตจากแค่ 1 พันล้านเหรียญในปี 2011 มาเป็น 3.69 พันล้านเหรียญในปี 2015 ในขณะที่กำไรของบริษัทในธุรกิจใกล้เคียงกันอย่าง Twitter และ LinkedIn กลับขาดทุน และในด้านการ บริหารสภาพคล่อง พบว่าFB ยังสามารถสร้าง กระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้สูงมาก สูงกว่ากำไร สุทธิถึงสองเท่า ทำให้บริษัทสามารถนำเอาสภาพคล่องส่วนเกินมาลงทุนในงบวิจัยและพัฒนาได้โดยไม่ต้อง กู้เงินมาลงทุน ปัจจุบันงบวิจัยและพัฒนาของ FB มากกว่าของ BOEING และคิดเป็น 50% ของ APPLE ถึงแม้ FB จะมีรายได้เพียงหนึ่งในสิบของ APPLE ก็ตาม ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายด้าน R&D ที่สูง อัตรากำไรสุทธิของ FB ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 20% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าของหลายๆบริษัท
แล้ว FB จะยังสามารถโตต่อไปได้อีกไหม? หากดูจากสถิติที่รวบรวมโดย McKinsey เกี่ยวกับเม็ดเงิน โฆษณาของโลกในปี 2017 ซึ่งคาดว่าจะมากกว่า 500 พันล้านเหรียญ ในปี 2017 คาดว่ารายได้จากโฆษณาของ FB น่าจะอยู่ที่ราว 25 พันล้านหรียญ หรือคิดเป็นราว 5% ของเม็ดเงินโฆษณาของโลก ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าสื่ออื่นๆ, การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และ สามารถวัดผลได้จากยอด “Like” หรือ “Share” จึงน่าจะทำให้ FB สามารถเติบโตได้อีกในอนาคต นี่ยังไม่นับการลงทุนเพิ่มเติมจากเงินสดที่สูงถึง 23 พันล้านเหรียญ ซึ่งบริษัทเก็บไว้ในตอนนี้
ถึงแม้ FB จะมีปัจจัยในเชิงบวกหลายอย่างแต่ด้วยมูลค่ากิจการที่สูงถึง 367 พันล้านเหรียญ คิดเป็นค่า PE ซึ่งสูงถึง 61 เท่า PBV ที่ 8.29 เท่า ROE 9.14 และไม่มีเงินปันผลเลย ถึงแม้รายได้ยังคงโตได้ปีละ 25-30% และกำไรสุทธิเติบโตที่ระดับ 70-80% ในปีนี้ เราคงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนหากสนใจลงทุน ทั้งนี้เพราะความเสี่ยงอย่างหนึ่งของหุ้นเทคโนโลยีก็คือเราไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการในอุตสาหกรรมนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร? ในอีกสองปีหรือห้าปีข้างหน้าจะมีอะไรมาแทน FB ได้ไหม? สมัยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เว็ป search engine อย่าง YAHOO ก็เคยเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมาก มูลค่ากิจการเคยขึ้นสูงถึง 208 พันล้านเหรียญในปี 2000 แต่จากการเกิดขึ้นของ GOOGLE และเทคโนโลยีหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไป ทำให้ปัจจุบัน YAHOO เหลือมูลค่ากิจการเพียง 41 พันล้านเหรียญ ดังนั้นนักลงทุนที่สนใจในหุ้นเทคโนโลยีควรเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงเรื่องนี้ด้วย ไม่ใช่จะมองแต่ด้านโลกสวยเพียงอย่างเดียว นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ Warren Buffett มักหลีกเลี่ยงหุ้นเทคโนโลยี เพราะเขารู้ว่าหมากฝรั่ง, ซอสมะเขือเทศ และไอศครีม ยังคงหน้าตา ไม่แตกต่างจากเดิม แต่เขานึกไม่ออกว่าโทรศัพท์มือถืออีกสิบปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
โพสต์ที่ 3
ในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้น Facebook ผมขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับการดูมูลค่ากิจการหน่อยนะครับ
P/E 61 เท่า คิดว่าคงจะเป็น Historical P/E ซึ่งการใช้ Historical P/E โดยไม่ใช้ Current P/E และ Forward P/E นี่คงจะทำให้มองเห็นภาพที่ผิดจากความเป็นจริงไปบ้าง
อย่างตอนที่ผมเริ่มต้นลงทุนใน FB ในช่วงปี 2013 ตอนนั้น Historical P/E ของ FB ตอนนั้นก็อยู่ที่ 60 เท่าเหมือนกัน ราคาตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 38 USD
แต่ถ้าเราดู Current P/E ของปี 2016 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 32 เท่า และ Forward P/E ของปี 2017 น่าจะอยู่ที่ 25 เท่า (อ้างอิงจากราคาปัจจุบันที่ USD 130 และใช้การประมาณ EPS ของ DB ในวันที่ 10 Oct 2016)
ส่วนการมองตลาดโฆษณาในอนาคต ผมมองว่า Time Spending ของคนเราในแต่ละวันอยู่ที่ไหน เท่าไหร่ อันนั้นคือ Potential ของสัดส่วนโฆษณาครับ ปัจจุบันคนใช้เวลาบน Facebook ประมาณ 50 นาที ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่เยอะมาก เมื่อเทียบกับดูทีวีและดูหนังทั้งหมด 2.8 ชั่วโมง ที่มีการแบ่งกันระหว่างช่องหลายๆ ช่อง อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ถ้า Ads Spending ทั้งหมดมี 5 แสนล้านเหรียญ ตามที่พี่คนขายของว่า ผมคิดว่าการที่ Facebook จะมี Market Share สัก 10% คงจะไม่ใช่เรื่องที่ยากนัก โดยทั่วไป FB จะมี NPM ประมาณ 30% ดังนั้นการที่ FB จะมีกำไรปีละ 1.5 Billion ก็คงจะไม่ยาก ซึ่งตอนนี้ บทวิเคราะห์ ของ Broker หลายๆ ที่ก็ Project รายได้ปี 2018 ไปที่ประมาณ 5 หมื่นล้านเหรียญกันแล้ว ถ้าอ้างอิง Financial Projection ของ JPM Forward P/E ปี 2018 จะอยู่ที่ประมาณ 18 เท่า
ส่วนถามว่า FB จะมีรายได้ขึ้นไปถึงแสนล้านเหรียญได้ไหม ผมคิดว่าก็มีความเป็นไปได้ เพราะ ในปัจจุบันรายได้ของ Google อยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นล้านเหรียญ นักวิเคราะห์คาดว่า Google จะมีรายได้ถึงแสนล้านเหรียญในปี 2018 ดังนั้นในอนาคตการที่ FB+Google จะกิน Market Share สักประมาณ 40%-50% ของ Ads Spending ทั้งหมด ผมคิดว่าก็น่าจะเป็นไปได้
ส่วนการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในอนาคต แน่นอนว่าในอนาคตจะมีการเปลี่ยน Platform อีกอย่างแน่นอน คือ เทคโนโลยีจะพัฒนาไปจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เรียกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ และไม่ผูกติดกับสิ่งที่เป็น Physical อย่างมือถือ อย่างที่เราใช้ทุกวันนี้ ซึ่งพวกธุรกิจ Software หาก Move ตาม Platform ที่เปลี่ยนไปได้ทัน ไม่ยึดติดกับอดีต ไม่ได้มี Exposure อยู่ในธุรกิจ Hardware เยอะๆ โอกาสรอดจะสูงมาก ซึ่งถ้าไปดูรายละเอียดการลงทุนของ FB แล้ว จะเห็นว่า FB งบลงทุนจะถูกจัดสรรไปกับเรื่อง AR/VR กับ AI ไม่ใช่น้อย งบ R&D ในปี 2016 เพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล จากปี 2010 ที่ 7% มาปี 2014 ที่ 10% ปี 2015 ที่ 13% และเป้าปี 2016 คือ 30% ของรายได้
นี่ไม่ใช่องค์กรที่จะหยุดโตในเร็ววันแน่ๆ แต่เป็นองค์กรที่จะเป็นผู้นำในการสร้าง Platform ใหม่ และพร้อมที่จะ Disrupt ตัวเองเพื่อวิ่งต่อไปสู่อนาคต
https://www.facebook.com/zuck/videos/vb ... =2&theater
P/E 61 เท่า คิดว่าคงจะเป็น Historical P/E ซึ่งการใช้ Historical P/E โดยไม่ใช้ Current P/E และ Forward P/E นี่คงจะทำให้มองเห็นภาพที่ผิดจากความเป็นจริงไปบ้าง
อย่างตอนที่ผมเริ่มต้นลงทุนใน FB ในช่วงปี 2013 ตอนนั้น Historical P/E ของ FB ตอนนั้นก็อยู่ที่ 60 เท่าเหมือนกัน ราคาตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 38 USD
แต่ถ้าเราดู Current P/E ของปี 2016 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 32 เท่า และ Forward P/E ของปี 2017 น่าจะอยู่ที่ 25 เท่า (อ้างอิงจากราคาปัจจุบันที่ USD 130 และใช้การประมาณ EPS ของ DB ในวันที่ 10 Oct 2016)
ส่วนการมองตลาดโฆษณาในอนาคต ผมมองว่า Time Spending ของคนเราในแต่ละวันอยู่ที่ไหน เท่าไหร่ อันนั้นคือ Potential ของสัดส่วนโฆษณาครับ ปัจจุบันคนใช้เวลาบน Facebook ประมาณ 50 นาที ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่เยอะมาก เมื่อเทียบกับดูทีวีและดูหนังทั้งหมด 2.8 ชั่วโมง ที่มีการแบ่งกันระหว่างช่องหลายๆ ช่อง อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ถ้า Ads Spending ทั้งหมดมี 5 แสนล้านเหรียญ ตามที่พี่คนขายของว่า ผมคิดว่าการที่ Facebook จะมี Market Share สัก 10% คงจะไม่ใช่เรื่องที่ยากนัก โดยทั่วไป FB จะมี NPM ประมาณ 30% ดังนั้นการที่ FB จะมีกำไรปีละ 1.5 Billion ก็คงจะไม่ยาก ซึ่งตอนนี้ บทวิเคราะห์ ของ Broker หลายๆ ที่ก็ Project รายได้ปี 2018 ไปที่ประมาณ 5 หมื่นล้านเหรียญกันแล้ว ถ้าอ้างอิง Financial Projection ของ JPM Forward P/E ปี 2018 จะอยู่ที่ประมาณ 18 เท่า
ส่วนถามว่า FB จะมีรายได้ขึ้นไปถึงแสนล้านเหรียญได้ไหม ผมคิดว่าก็มีความเป็นไปได้ เพราะ ในปัจจุบันรายได้ของ Google อยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นล้านเหรียญ นักวิเคราะห์คาดว่า Google จะมีรายได้ถึงแสนล้านเหรียญในปี 2018 ดังนั้นในอนาคตการที่ FB+Google จะกิน Market Share สักประมาณ 40%-50% ของ Ads Spending ทั้งหมด ผมคิดว่าก็น่าจะเป็นไปได้
ส่วนการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในอนาคต แน่นอนว่าในอนาคตจะมีการเปลี่ยน Platform อีกอย่างแน่นอน คือ เทคโนโลยีจะพัฒนาไปจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เรียกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ และไม่ผูกติดกับสิ่งที่เป็น Physical อย่างมือถือ อย่างที่เราใช้ทุกวันนี้ ซึ่งพวกธุรกิจ Software หาก Move ตาม Platform ที่เปลี่ยนไปได้ทัน ไม่ยึดติดกับอดีต ไม่ได้มี Exposure อยู่ในธุรกิจ Hardware เยอะๆ โอกาสรอดจะสูงมาก ซึ่งถ้าไปดูรายละเอียดการลงทุนของ FB แล้ว จะเห็นว่า FB งบลงทุนจะถูกจัดสรรไปกับเรื่อง AR/VR กับ AI ไม่ใช่น้อย งบ R&D ในปี 2016 เพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล จากปี 2010 ที่ 7% มาปี 2014 ที่ 10% ปี 2015 ที่ 13% และเป้าปี 2016 คือ 30% ของรายได้
นี่ไม่ใช่องค์กรที่จะหยุดโตในเร็ววันแน่ๆ แต่เป็นองค์กรที่จะเป็นผู้นำในการสร้าง Platform ใหม่ และพร้อมที่จะ Disrupt ตัวเองเพื่อวิ่งต่อไปสู่อนาคต
https://www.facebook.com/zuck/videos/vb ... =2&theater
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- นายมานะ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1167
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณทั้งพี่คนขายของและพี่ picatos ครับ ยอดเยี่ยมทั้งเนื้อหาในบทความ และคอมเม้นเสริมเลยครับ
ผมว่านี่เป็นอะไรที่ผมอยากเห็นมากๆ ในเว็บบอร์ด TVI (ที่นับวันทราฟฟิคจะลดลงๆ) เลยครับ
ระดับ "อาจารย์" ที่ผมนับถือมากๆ ทั้ง 2 ท่าน มาแสดงความคิดเห็นกัน discuss กันในประเด็นที่อาจคิดเหมือน คิดต่างกันไป คาดการณ์ "อนาคต" ที่ยังมาไม่ถึง ด้วยมุมมองที่แตกต่าง ไม่มีใครรู้ (ณ วันนี้) ว่าใครจะถูกจะผิด แต่ผู้อ่านแค่ได้อ่าน ก็ได้เรียนรู้มุมที่ไม่เคยคิด ไม่เคยมอง ได้เห็นว่าระดับอาจารย์นั้นคิด วิเคราะห์กันอย่างไร
เข้าใจว่าในปัจจุบันนี้ด้วยสื่อ line, fb เอง ทำให้การ discuss แบบนี้ในบอร์ดแทบจะหายไป รวมถึงประเด็นเรื่อง conflict of interest (แชร์ข้อมูลหรือเชียร์หุ้น?) ยิ่งทำให้มือเก๋า ที่เคยโพสๆ ในเว็บบอร์ดหายกันไปมาก
คอมเม้นนี้อาจนอกเรื่องไปเยอะ ยังไงต้องขออภัยล่วงหน้าครับ
ผมว่านี่เป็นอะไรที่ผมอยากเห็นมากๆ ในเว็บบอร์ด TVI (ที่นับวันทราฟฟิคจะลดลงๆ) เลยครับ
ระดับ "อาจารย์" ที่ผมนับถือมากๆ ทั้ง 2 ท่าน มาแสดงความคิดเห็นกัน discuss กันในประเด็นที่อาจคิดเหมือน คิดต่างกันไป คาดการณ์ "อนาคต" ที่ยังมาไม่ถึง ด้วยมุมมองที่แตกต่าง ไม่มีใครรู้ (ณ วันนี้) ว่าใครจะถูกจะผิด แต่ผู้อ่านแค่ได้อ่าน ก็ได้เรียนรู้มุมที่ไม่เคยคิด ไม่เคยมอง ได้เห็นว่าระดับอาจารย์นั้นคิด วิเคราะห์กันอย่างไร
เข้าใจว่าในปัจจุบันนี้ด้วยสื่อ line, fb เอง ทำให้การ discuss แบบนี้ในบอร์ดแทบจะหายไป รวมถึงประเด็นเรื่อง conflict of interest (แชร์ข้อมูลหรือเชียร์หุ้น?) ยิ่งทำให้มือเก๋า ที่เคยโพสๆ ในเว็บบอร์ดหายกันไปมาก
คอมเม้นนี้อาจนอกเรื่องไปเยอะ ยังไงต้องขออภัยล่วงหน้าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 571
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
โพสต์ที่ 6
Facebook ยังไม่ได้หาเงิน(monetize)จาก Instagram , Facebook messenger และ Virtual Reality เลยครับ
synergy ร่วมกันเช่น Facebook ชวน users ใน Instagram ให้ chat ชวนเพื่อนๆผ่าน Facebook messenger ให้มาดูคอนเสิร์ต หรือ การประท้วง ด้วย Virtual Reality กันครับ
synergy ร่วมกันเช่น Facebook ชวน users ใน Instagram ให้ chat ชวนเพื่อนๆผ่าน Facebook messenger ให้มาดูคอนเสิร์ต หรือ การประท้วง ด้วย Virtual Reality กันครับ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
โพสต์ที่ 7
มิบังอาจ และไม่มีความสามารถในการ comment อะไรได้มากหรอกครับ แต่พอดีช่วงนี้อยู่ระหว่างการปรับพอร์ตออกไปต่างประเทศอีกรอบ หลังจากเอาเงินกลับเข้ามาเมื่อต้นปี และ FB ก็เป็นหุ้นที่ผมต้องปรับเพิ่มสัดส่วน เลยได้มีโอกาสทบทวนเหตุผลในการลงทุน พอดีเห็นพี่ชายพูดถึงอนาคตของ fb เลยเอาข้อมูลที่เกี่ยวกับอนาคตของ fb มาแชร์นิดนึงขอรับคนขายของ เขียน:ขอบคุณอาจารย์ picatos ที่ช่วยชี้แนะ หากมีเวลาว่างรบกวนช่วยมา comment บ่อยๆนะครับ
ขออภัยถ้าหากความเห็นของผมมีความไม่เหมาะสมในประการใดๆ ก็ตามนะครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 571
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
โพสต์ที่ 8
10-year roadmap to connect the world ของ Facebook
พอดีเวบบอร์ดของเรายังโพสวีดีโอของ facebook โดยตรง เหมือนวีดีโอของ youtube ไม่ได้ครับ
https://www.facebook.com/FacebookforDev ... 387873553/
https://developers.facebook.com/videos/f8-2016/keynote/
ผมขอขอบคุณทุกท่านเช่นกันครับ
พอดีเวบบอร์ดของเรายังโพสวีดีโอของ facebook โดยตรง เหมือนวีดีโอของ youtube ไม่ได้ครับ
https://www.facebook.com/FacebookforDev ... 387873553/
https://developers.facebook.com/videos/f8-2016/keynote/
ผมขอขอบคุณทุกท่านเช่นกันครับ
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 792
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
โพสต์ที่ 9
ผมคิดว่า comment ตี่ เป็นประโยนช์อย่างมากกับสมาชิกสมาคม เนื่องจากศึกษามาจริง ใช้ข้อมูลที่อ่านสะสมมายาวนานในการประเมินธุรกิจ ผมเองก็ได้มุมมองใหม่ๆจาก comment ของตี่ ขอขอบคุณตี่อย่างมากครับที่มาแชร์ความเห็นกันpicatos เขียน:มิบังอาจ และไม่มีความสามารถในการ comment อะไรได้มากหรอกครับ แต่พอดีช่วงนี้อยู่ระหว่างการปรับพอร์ตออกไปต่างประเทศอีกรอบ หลังจากเอาเงินกลับเข้ามาเมื่อต้นปี และ FB ก็เป็นหุ้นที่ผมต้องปรับเพิ่มสัดส่วน เลยได้มีโอกาสทบทวนเหตุผลในการลงทุน พอดีเห็นพี่ชายพูดถึงอนาคตของ fb เลยเอาข้อมูลที่เกี่ยวกับอนาคตของ fb มาแชร์นิดนึงขอรับคนขายของ เขียน:ขอบคุณอาจารย์ picatos ที่ช่วยชี้แนะ หากมีเวลาว่างรบกวนช่วยมา comment บ่อยๆนะครับ
ขออภัยถ้าหากความเห็นของผมมีความไม่เหมาะสมในประการใดๆ ก็ตามนะครับ
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
-
- Verified User
- โพสต์: 571
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
โพสต์ที่ 10
Facebook Messenger chatbots
can complete business objectives better than a mobile web.
https://messengerblog.com/bots/introduc ... tform-1-3/
can complete business objectives better than a mobile web.
https://messengerblog.com/bots/introduc ... tform-1-3/
-
- Verified User
- โพสต์: 571
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
โพสต์ที่ 11
ผมได้คุยกับฝูงเพื่อนหุ่นยนต์ของ CNN , Uber , Sephora , Poncho(พยากรณ์อากาศ) และ TechCrunch มาซักประมาณ 1-2 เดือน แรกๆรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ลองของใหม่ ผ่านไปสักพักก็ทึ่งว่าทำไมบางตัวฉลาดเดาใจเก่งจุง แต่บางตัวก็ติดลูบถามวนมาวนไป โดยรวมฟีเจอร์นี้นาจะถูกใจคนเอเชียนักคุยนักถาม แต่ขี้เกียจอ่านครับ
ปล.หนึ่ง chatbot ของ CNN นี่อัจริยะมาก พอผมสั่งให้กราบรถกู เค้ากราบเลยครับ ;P
ปล.สอง 6เดือนที่ผ่านมามี chatbots เกิดวันละเกือบ 2ร้อยตัวเลยครับ ลองเข้าไปคุยหาคู่ขาหุ่นยนต์กันดู
Here are all the Facebook Messenger bots we know about so far
https://www.engadget.com/…/here-are-all ... book-messe…/
ปล.หนึ่ง chatbot ของ CNN นี่อัจริยะมาก พอผมสั่งให้กราบรถกู เค้ากราบเลยครับ ;P
ปล.สอง 6เดือนที่ผ่านมามี chatbots เกิดวันละเกือบ 2ร้อยตัวเลยครับ ลองเข้าไปคุยหาคู่ขาหุ่นยนต์กันดู
Here are all the Facebook Messenger bots we know about so far
https://www.engadget.com/…/here-are-all ... book-messe…/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4254
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
โพสต์ที่ 12
^
พูดถึง AI ผมคิดว่าเป็นเทคโนโลยี่ที่น่ากลัวที่สุดแล้ว
ปี 2016 ที่ผ่านแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไม่ได้อยู่ใน
ภาพยนตร์อีกแล้ว มันเป็นของจริง
AI สามารถเอาชนะแชมป์โลกโก๊ะได้ ซึ่งเหนือกว่าสมัย
ก่อนที่ Deep Blue ของ IBM ชนะหมากรุกในการแข่งขัน
กับแชมป์โลก เพราะวิธีการแตกต่างกันมาก
AI เรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอด 24 ชั่วโมง 365 วัน ตราบใด
ที่ยังมีพลังงานอยู่ แล้วการพัฒนาเทคโนโลยี่พื้นฐานของ
Computer ก็ก้าวหน้าอยู่ตลอด ไม่เคยลดความเร็วลงเลย
แต่เพิ่มขึ้นด้วยอัตราเร่งอีกด้วย ดังนั้นขอบเขตความสามารถ
ของ AI ยังคงไร้ขึดจำกัด
เมื่อประกอบกับเทคโนโลยีด้านเซ็นเซอร์และโรบอทติก
แล้ว หุ่นยนต์ที่สุดแสนจะฉลาด อย่างที่เคยเห็นในหนัง
หรือซี่รี่ส์ทีวี อาทิ Star Trek เป็นต้น ก็จะกำเนิดขึ้นในไม่ช้า
นี่เป็นอาจเป็นแรงบรรดาใจที่เกิดจากเด็กอเมริกันส่วนใหญ่
เติบโตมาด้วยการดูซี่รี่ส์พวกนี้หรือไม่ ผมอยากจะบอกว่า
สมัยที่มีโอกาสได้ไปเรียนภาษาเพื่อเตรียมพร้อมที่สหรัฐฯ
(ปี 1990) ได้พักอาศัยหอพักในแบบคลัสเตอร์ที่มีหลายๆ
ห้องในคลัสเตอร์เดียวกัน เชื่อไหมครับ พวกเด็ก ป.ตรี
ที่อยู่ในคลัสเตอร์เดียวกัน เปิด Star Trek - the Next
Generation ดูกันช่วง Prime Time ทุกคืน!!! แล้วเด็กๆ
บ้านเราดูอะไรกัน!!!
ผมได้อ่านข่าวๆ หนึ่งที่บอกว่ามีหุ่นยนต์ AI ได้หนีออกจาก
ห้อง Labs ได้สำเร็จ คือมันคงไม่อยากถูกขัง ครั้งที่สอง
หนีได้ไกลและดีกว่าเดิม แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหนีต่อได้
เพราะว่าแบตฯ หมดครับ นี่คือการพิสูจน์ว่าเมื่อเรียนรู้ไป
เรื่อยๆ AI ก็อยากเป็นอิสระคล้ายๆ กับมนุษย์นั่นเอง แต่ Labs
ดังกล่าวก็กำลังพยายามที่จะไม่ให้หุ่นยนต์มีความคิดที่จะหนี
ให้ได้
ถ้าคนสนใจเรื่อง AI นี่ผมอยากแนะนำหนังดีๆ เรื่องหนึ่งที่
น่าชมมาก คือ Ex Machina (2015)
http://www.imdb.com/title/tt0470752/
และอีกเรื่อง Automata (2014)
http://www.imdb.com/title/tt1971325/
(ผมชอบ Ex Machina มากกว่านะครับ Highly Recommended)
เราจะสังเกตได้ว่า มีการใช้ AI ในการเป็น Call Center
ในสหรัฐฯ เพื่อตอบคำถามต่างๆ ที่ลูกค้าถามเข้ามาแล้ว
ใครตกงานครับ พนักงาน Call Center ในอินเดียและฟิลิปปินส์
ต่อไปเมื่อหุ่นยนต์ AI เก่งขึ้นเรื่อยๆ ใครตกงานครับ
คนงานในโรงงานอุตสาหกรรมทุกแบบ เพราะแต่เดิมหุ่นยนต์
หรือเครื่องจักรต่างๆ ทำงานแบบโง่ๆ คือทำเป็นแบบเดียว
ต้องรีโปรแกรมใหม่ถ้าเปลี่ยนรูปแบบงาน ถ้าหุ่นยนต์ AI
ทำงานได้โดยมีการเรียนรู้และมีความคิด คนงานคงตกงานหมด
และ AI มันเรียนรู้ได้ฉลาดขึ้นเก่งขึ้นไม่ลืม ไม่มีอารมณ์และ
ความรู้สึกแบบมนุษย์ มันคงลงทุนหรือเทรดหุ้นได้ฉลาดกว่า
มนุษย์ในที่สุด ใครตกงานครับ ... ผู้จัดการกองทุนฯ . . .
แล้วต่อไป จะมี มนุษย์ เพื่ออะไร นี่คือคำถามของหุ่นยนต์
AI ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า!!!
พูดถึง AI ผมคิดว่าเป็นเทคโนโลยี่ที่น่ากลัวที่สุดแล้ว
ปี 2016 ที่ผ่านแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไม่ได้อยู่ใน
ภาพยนตร์อีกแล้ว มันเป็นของจริง
AI สามารถเอาชนะแชมป์โลกโก๊ะได้ ซึ่งเหนือกว่าสมัย
ก่อนที่ Deep Blue ของ IBM ชนะหมากรุกในการแข่งขัน
กับแชมป์โลก เพราะวิธีการแตกต่างกันมาก
AI เรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอด 24 ชั่วโมง 365 วัน ตราบใด
ที่ยังมีพลังงานอยู่ แล้วการพัฒนาเทคโนโลยี่พื้นฐานของ
Computer ก็ก้าวหน้าอยู่ตลอด ไม่เคยลดความเร็วลงเลย
แต่เพิ่มขึ้นด้วยอัตราเร่งอีกด้วย ดังนั้นขอบเขตความสามารถ
ของ AI ยังคงไร้ขึดจำกัด
เมื่อประกอบกับเทคโนโลยีด้านเซ็นเซอร์และโรบอทติก
แล้ว หุ่นยนต์ที่สุดแสนจะฉลาด อย่างที่เคยเห็นในหนัง
หรือซี่รี่ส์ทีวี อาทิ Star Trek เป็นต้น ก็จะกำเนิดขึ้นในไม่ช้า
นี่เป็นอาจเป็นแรงบรรดาใจที่เกิดจากเด็กอเมริกันส่วนใหญ่
เติบโตมาด้วยการดูซี่รี่ส์พวกนี้หรือไม่ ผมอยากจะบอกว่า
สมัยที่มีโอกาสได้ไปเรียนภาษาเพื่อเตรียมพร้อมที่สหรัฐฯ
(ปี 1990) ได้พักอาศัยหอพักในแบบคลัสเตอร์ที่มีหลายๆ
ห้องในคลัสเตอร์เดียวกัน เชื่อไหมครับ พวกเด็ก ป.ตรี
ที่อยู่ในคลัสเตอร์เดียวกัน เปิด Star Trek - the Next
Generation ดูกันช่วง Prime Time ทุกคืน!!! แล้วเด็กๆ
บ้านเราดูอะไรกัน!!!
ผมได้อ่านข่าวๆ หนึ่งที่บอกว่ามีหุ่นยนต์ AI ได้หนีออกจาก
ห้อง Labs ได้สำเร็จ คือมันคงไม่อยากถูกขัง ครั้งที่สอง
หนีได้ไกลและดีกว่าเดิม แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหนีต่อได้
เพราะว่าแบตฯ หมดครับ นี่คือการพิสูจน์ว่าเมื่อเรียนรู้ไป
เรื่อยๆ AI ก็อยากเป็นอิสระคล้ายๆ กับมนุษย์นั่นเอง แต่ Labs
ดังกล่าวก็กำลังพยายามที่จะไม่ให้หุ่นยนต์มีความคิดที่จะหนี
ให้ได้
ถ้าคนสนใจเรื่อง AI นี่ผมอยากแนะนำหนังดีๆ เรื่องหนึ่งที่
น่าชมมาก คือ Ex Machina (2015)
http://www.imdb.com/title/tt0470752/
และอีกเรื่อง Automata (2014)
http://www.imdb.com/title/tt1971325/
(ผมชอบ Ex Machina มากกว่านะครับ Highly Recommended)
เราจะสังเกตได้ว่า มีการใช้ AI ในการเป็น Call Center
ในสหรัฐฯ เพื่อตอบคำถามต่างๆ ที่ลูกค้าถามเข้ามาแล้ว
ใครตกงานครับ พนักงาน Call Center ในอินเดียและฟิลิปปินส์
ต่อไปเมื่อหุ่นยนต์ AI เก่งขึ้นเรื่อยๆ ใครตกงานครับ
คนงานในโรงงานอุตสาหกรรมทุกแบบ เพราะแต่เดิมหุ่นยนต์
หรือเครื่องจักรต่างๆ ทำงานแบบโง่ๆ คือทำเป็นแบบเดียว
ต้องรีโปรแกรมใหม่ถ้าเปลี่ยนรูปแบบงาน ถ้าหุ่นยนต์ AI
ทำงานได้โดยมีการเรียนรู้และมีความคิด คนงานคงตกงานหมด
และ AI มันเรียนรู้ได้ฉลาดขึ้นเก่งขึ้นไม่ลืม ไม่มีอารมณ์และ
ความรู้สึกแบบมนุษย์ มันคงลงทุนหรือเทรดหุ้นได้ฉลาดกว่า
มนุษย์ในที่สุด ใครตกงานครับ ... ผู้จัดการกองทุนฯ . . .
แล้วต่อไป จะมี มนุษย์ เพื่ออะไร นี่คือคำถามของหุ่นยนต์
AI ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า!!!
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
โพสต์ที่ 13
ไม่รู้สิคับ
ai ไปตาม cpu ใช่ป่าวคับ
แต่เหมือนปัจจุบัน เทคโนโลยี semiconductor มันถึงขีดจำกัด ของ material
ไม่สามารถ ทำให้ขนาดเล็กกว่า 10 nano
เพราะ มันจะไม่ใช่ semiconductor อีกต่อไป
ความหวัง อยู่ที่ quantum ซึ่งปัจจุบัน มันไม่เสถียร
ai อาจจะฉลาดได้อีกระดับนึง และยังน่าจะไม่ถึงระดับ mobile แบบ robot
ไม่นับเรื่อง แบตนะ
รวมถึง อย่าถาม ถึง reference ผมลืมคับ
ai ไปตาม cpu ใช่ป่าวคับ
แต่เหมือนปัจจุบัน เทคโนโลยี semiconductor มันถึงขีดจำกัด ของ material
ไม่สามารถ ทำให้ขนาดเล็กกว่า 10 nano
เพราะ มันจะไม่ใช่ semiconductor อีกต่อไป
ความหวัง อยู่ที่ quantum ซึ่งปัจจุบัน มันไม่เสถียร
ai อาจจะฉลาดได้อีกระดับนึง และยังน่าจะไม่ถึงระดับ mobile แบบ robot
ไม่นับเรื่อง แบตนะ
รวมถึง อย่าถาม ถึง reference ผมลืมคับ
show me money.
-
- Verified User
- โพสต์: 571
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
โพสต์ที่ 14
Intelligent robot that 'remembers and learns' could be scrapped after escaping a lab for a second time
http://www.mirror.co.uk/news/weird-news ... ld-8248559
http://www.mirror.co.uk/news/weird-news ... ld-8248559