สองดีกว่าหนึ่ง ลงทุนแบบ Icahn / คนขายของ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
คนขายของ
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 792
ผู้ติดตาม: 0

สองดีกว่าหนึ่ง ลงทุนแบบ Icahn / คนขายของ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สองดีกว่าหนึ่ง ลงทุนแบบ ICAHN / โดย คนขายของ

มหาเศรษฐีนักลงทุนวัยแปดสิบปี ผู้ซึ่งติดอันดับ 43 มหาเศรษฐีโลกจากการจัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes มีความมั่งคั่งระดับหกแสนล้านบาท เป็น “Activist Investor” ผู้ซึ่งไม่ได้เป็นแค่นักลงทุน แต่มักขอเข้าไปนั่ง เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารเพื่อร่วมกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัท การลงทุนของ Icahn ที่ให้ผลในระดับตำนานเช่น การเริ่มซื้อหุ้น Netflix ผู้ในบริการดูหนังออนไลน์ในราคาเพียง 9 เหรียญในปี 2012 และขายออกไปจนหมดในกลางปี 2015 ซึ่งราคาหุ้นขึ้นมาราว 10 เท่าในสามปี ทำกำไรให้กับ Ichan ราวๆ 5.6 หมื่นล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนระดับโลกมักจัดพอร์ตแบบกระจายตัว เช่น George Soros ถือหุ้น 207 ตัว Jim Simons ถือ 3,301 ตัว แต่ Ichan มีความคล้ายกับ Warren Buffett ซึ่งเน้นการจัดพอร์ตแบบ “Focus” มีหุ้นน้อยตัว จากพอร์ตที่เขาบริหารอยู่มูลค่าราวเจ็ดแสนล้านบาท Icahn กลับถือหุ้นเพียง 20 ตัวเท่านั้น ในบทความนี้เราจะมาลองดูกันว่า ทำไมเขาถึงลงทุนในหุ้น XEROX ผู้ผลิตเครื่องใช้ในสำนักงาน ที่ดูเหมือนเป็นธุรกิจที่น่าเบื่อหน่ายในช่วงปลายปี 2015 โดยเข้าถือราว 10% ของหุ้นทั้งหมด ผ่านมาประมาณหนึ่งปี ผลตอบแทนของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?

CONDUENT (CNDT) บริษัทให้บริการธุรกรรมเชิงพาณิชยกรรม และการบริหารองค์กร เช่น การทำรายงานทางด้านบัญชีและการเงิน, การบริหารจัดการลูกค้า และระบบ e-payment เป็นต้น เข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนเมื่อวันที่ 3 มกราคม ปีนี้ ในอดีตเคยเป็นบริษัทลูกของ XEROX (XRX) เนื่องจาก Icahn ถือหุ้น XRX จึงได้หุ้น CNDT มาด้วย ผมเชื่อว่าการเข้าซื้อหุ้น XRX ของเขา ก็เพื่อหวังผลการนำบริษัทลูกเข้ามาลิสต์ในตลาด ทั้งนี้เพราะถ้าดูจากผลประกอบการของ XRX เองก็ดูเหมือนว่าทั้งรายได้และกำไรจากการดำเนินงาน มีแต่ทรงกับทรุด อาจจะเป็นเพราะว่ากระแสการลดการใช้กระดาษ และ การทำธุรกรรมทางอีเล็คโทรนิคเป็นที่นิยมมากขึ้น ในขณะที่ CNDT เป็นบริษัทที่ดูจะเป็นธุรกิจที่อยู่ ในกระแสมากกว่าบริษัทแม่ เนื่องจากเป็นบริษัทที่เน้นการให้บริการเป็นหลัก ปัจจุบัน XRX มีรายได้ราว 1 หมื่นล้านเหรียญ และ มีมูลค่ากิจการ 7.3 พันล้านเหรียญ ในขณะที่ CNDT ซึ่งมีรายได้ราว 7 พันล้าน เหรียญ แต่ในขณะนี้มีมูลค่ากิจการเพียง 2.6 พันล้าน ทั้งนี้เพราะตัวเลขกำไรสุทธิย้อนหลัง 12 เดือนของ CNDT ยังคงขาดทุนอยู่

การลงทุนของ Icahn ใน XRX ในปี 2015 เป็นกรณีศึกษาที่จัดได้ว่าคลาสสิกสำหรับการเล่นหุ้นแนว “Asset Play” คือการลงทุนในหุ้นที่มีสินทรัพย์แฝงอยู่ในบริษัท ตอนที่ Icahn เข้าซื้อช่วงปลายปี 2015 ในตอนนั้นมูลค่ากิจการของ XRX ซึ่งมี CNDT รวมอยู่ด้วยอยู่ที่ 6.5 พันล้านเหรียญ เมื่อแยกออกมาเป็น บริษัทต่างหาก ณ ปัจจุบัน มูลค่ากิจการของ XRX กับ CNDT รวมกันได้มูลค่าราว 9.9 พันล้านเหรียญ ทำให้ Icahn ได้กำไรจากดีลนี้ไปราว 50%

ทำไมตลาดถึงให้มูลค่าสองบริษัทตอนแยกจากกันสูงกว่าอยู่รวมกัน? จริงๆแล้วมีงานวิจัยมากมายที่กล่าวถึง การเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นโดยการแยกกิจการออกมาเป็นบริษัทจดทะเบียน โดยเหตุผลที่มีการกล่าวถึง เช่น การแยกบริษัทออกมาทำให้การบริหาร การควบคุมมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมีการแยกความรับผิดชอบออกมาให้เห็นชัดเจน ลดการแย่งชิงการจัดสรรงบลงทุน และการลงทุนมีโฟกัสมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็อาจจะมีความเสี่ยงที่ตามมาเช่น ต้นทุนการเงินอาจจะสูงขึ้น และต้นทุนพนักงานอาจจะสูงขึ้น แต่กระนั้นก็ตาม งานวิจัยส่วนใหญ่สรุปว่า ผลสุดท้าย ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นมักเพิ่มขึ้นหลังการแยกกิจการ ซึ่งมีงานวิจัยทั้งที่ เป็นของตลาดพัฒนาแล้ว หรือตลาดเกิดใหม่ล้วนยืนยันในข้อสรุปนี้

ในกรณีของ XRX เห็นได้ชัดว่าการแยก CNDT ออกไปทำให้ผลขาดทุนลดลง การจัดสรรงบลงทุนดีขึ้น เพราะก่อนแยกกิจการดูเหมือนว่า CNDT ซึ่งมีรายได้น้อยกว่า กลับได้งบลงทุนมากกว่า นอกจากนั้น มีโอกาสที่ XRX จะปันผลมากขึ้นหากยังไม่มีแผนลงทุนใหม่ๆ สำหรับ CNDT เมื่อแยกออกมา ทำให้นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโต แต่ติดว่าเมื่อก่อนมีธุรกิจที่มีลักษณะถดถอยอยู่ด้วย ทำให้ไม่อยากลงทุน แต่ตอนนี้สามารถทำได้ง่ายขึ้น CNDT เองนั้น ถึงแม้ตัวกิจการดูเหมือนจะขาดทุนอยู่ แต่เป็นกิจการที่สามารถสร้างกระแสเงินสดอิสระราว 300 ล้านเหรียญต่อปี และลูกค้าส่วนใหญ่ก็ต่อสัญญา จ้างกับบริษัท โดยมี renewal rate สูงถึง 86% นับว่ารายได้มีความมั่นคงสูง นักลงทุนจึงให้ความสนใจ

เท่าที่ผมได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับ Ichan มา สังเกตุเห็นว่ามีธีมการลงทุนลักษณะ “แยกกิจการ” เพื่อสร้างความ มั่งคั่งเป็นที่โปรดปรานของเขา ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหุ้น Ebay เพื่อแยก Paypal หรือ การซื้อหุ้น RJR เพื่อต้องการให้แยกธุรกิจ Nabisco ผู้ผลิตคุกกี้ Oreo และขนมขบเคี้ยวหลากหลาย ในปัจจุบันในตลาดหุ้นไทยก็มีหลายบริษัทต้องการสร้างความมั่งคั่งให้ผู้ถือหุ้นในลักษณะนี้ กลยุทธ์นี้จะประสบความสำเร็จเหมือนที่ ผ่านมาไหม? หรือว่าจะฉีกตำราทุกงานวิจัยที่มีมา? ในปีนี้คงมีหลายบริษัทให้นักลงทุนได้พิสูจน์กัน
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Loby
Verified User
โพสต์: 1648
ผู้ติดตาม: 0

Re: สองดีกว่าหนึ่ง ลงทุนแบบ Icahn / คนขายของ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

คนขายของ เขียน:สองดีกว่าหนึ่ง ลงทุนแบบ ICAHN / โดย คนขายของ

มหาเศรษฐีนักลงทุนวัยแปดสิบปี ผู้ซึ่งติดอันดับ 43 มหาเศรษฐีโลกจากการจัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes มีความมั่งคั่งระดับหกแสนล้านบาท เป็น “Activist Investor” ผู้ซึ่งไม่ได้เป็นแค่นักลงทุน แต่มักขอเข้าไปนั่ง เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารเพื่อร่วมกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัท การลงทุนของ Icahn ที่ให้ผลในระดับตำนานเช่น การเริ่มซื้อหุ้น Netflix ผู้ในบริการดูหนังออนไลน์ในราคาเพียง 9 เหรียญในปี 2012 และขายออกไปจนหมดในกลางปี 2015 ซึ่งราคาหุ้นขึ้นมาราว 10 เท่าในสามปี ทำกำไรให้กับ Ichan ราวๆ 5.6 หมื่นล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนระดับโลกมักจัดพอร์ตแบบกระจายตัว เช่น George Soros ถือหุ้น 207 ตัว Jim Simons ถือ 3,301 ตัว แต่ Ichan มีความคล้ายกับ Warren Buffett ซึ่งเน้นการจัดพอร์ตแบบ “Focus” มีหุ้นน้อยตัว จากพอร์ตที่เขาบริหารอยู่มูลค่าราวเจ็ดแสนล้านบาท Icahn กลับถือหุ้นเพียง 20 ตัวเท่านั้น ในบทความนี้เราจะมาลองดูกันว่า ทำไมเขาถึงลงทุนในหุ้น XEROX ผู้ผลิตเครื่องใช้ในสำนักงาน ที่ดูเหมือนเป็นธุรกิจที่น่าเบื่อหน่ายในช่วงปลายปี 2015 โดยเข้าถือราว 10% ของหุ้นทั้งหมด ผ่านมาประมาณหนึ่งปี ผลตอบแทนของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?

CONDUENT (CNDT) บริษัทให้บริการธุรกรรมเชิงพาณิชยกรรม และการบริหารองค์กร เช่น การทำรายงานทางด้านบัญชีและการเงิน, การบริหารจัดการลูกค้า และระบบ e-payment เป็นต้น เข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนเมื่อวันที่ 3 มกราคม ปีนี้ ในอดีตเคยเป็นบริษัทลูกของ XEROX (XRX) เนื่องจาก Icahn ถือหุ้น XRX จึงได้หุ้น CNDT มาด้วย ผมเชื่อว่าการเข้าซื้อหุ้น XRX ของเขา ก็เพื่อหวังผลการนำบริษัทลูกเข้ามาลิสต์ในตลาด ทั้งนี้เพราะถ้าดูจากผลประกอบการของ XRX เองก็ดูเหมือนว่าทั้งรายได้และกำไรจากการดำเนินงาน มีแต่ทรงกับทรุด อาจจะเป็นเพราะว่ากระแสการลดการใช้กระดาษ และ การทำธุรกรรมทางอีเล็คโทรนิคเป็นที่นิยมมากขึ้น ในขณะที่ CNDT เป็นบริษัทที่ดูจะเป็นธุรกิจที่อยู่ ในกระแสมากกว่าบริษัทแม่ เนื่องจากเป็นบริษัทที่เน้นการให้บริการเป็นหลัก ปัจจุบัน XRX มีรายได้ราว 1 หมื่นล้านเหรียญ และ มีมูลค่ากิจการ 7.3 พันล้านเหรียญ ในขณะที่ CNDT ซึ่งมีรายได้ราว 7 พันล้าน เหรียญ แต่ในขณะนี้มีมูลค่ากิจการเพียง 2.6 พันล้าน ทั้งนี้เพราะตัวเลขกำไรสุทธิย้อนหลัง 12 เดือนของ CNDT ยังคงขาดทุนอยู่

การลงทุนของ Icahn ใน XRX ในปี 2015 เป็นกรณีศึกษาที่จัดได้ว่าคลาสสิกสำหรับการเล่นหุ้นแนว “Asset Play” คือการลงทุนในหุ้นที่มีสินทรัพย์แฝงอยู่ในบริษัท ตอนที่ Icahn เข้าซื้อช่วงปลายปี 2015 ในตอนนั้นมูลค่ากิจการของ XRX ซึ่งมี CNDT รวมอยู่ด้วยอยู่ที่ 6.5 พันล้านเหรียญ เมื่อแยกออกมาเป็น บริษัทต่างหาก ณ ปัจจุบัน มูลค่ากิจการของ XRX กับ CNDT รวมกันได้มูลค่าราว 9.9 พันล้านเหรียญ ทำให้ Icahn ได้กำไรจากดีลนี้ไปราว 50%

ทำไมตลาดถึงให้มูลค่าสองบริษัทตอนแยกจากกันสูงกว่าอยู่รวมกัน? จริงๆแล้วมีงานวิจัยมากมายที่กล่าวถึง การเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นโดยการแยกกิจการออกมาเป็นบริษัทจดทะเบียน โดยเหตุผลที่มีการกล่าวถึง เช่น การแยกบริษัทออกมาทำให้การบริหาร การควบคุมมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมีการแยกความรับผิดชอบออกมาให้เห็นชัดเจน ลดการแย่งชิงการจัดสรรงบลงทุน และการลงทุนมีโฟกัสมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็อาจจะมีความเสี่ยงที่ตามมาเช่น ต้นทุนการเงินอาจจะสูงขึ้น และต้นทุนพนักงานอาจจะสูงขึ้น แต่กระนั้นก็ตาม งานวิจัยส่วนใหญ่สรุปว่า ผลสุดท้าย ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นมักเพิ่มขึ้นหลังการแยกกิจการ ซึ่งมีงานวิจัยทั้งที่ เป็นของตลาดพัฒนาแล้ว หรือตลาดเกิดใหม่ล้วนยืนยันในข้อสรุปนี้

ในกรณีของ XRX เห็นได้ชัดว่าการแยก CNDT ออกไปทำให้ผลขาดทุนลดลง การจัดสรรงบลงทุนดีขึ้น เพราะก่อนแยกกิจการดูเหมือนว่า CNDT ซึ่งมีรายได้น้อยกว่า กลับได้งบลงทุนมากกว่า นอกจากนั้น มีโอกาสที่ XRX จะปันผลมากขึ้นหากยังไม่มีแผนลงทุนใหม่ๆ สำหรับ CNDT เมื่อแยกออกมา ทำให้นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโต แต่ติดว่าเมื่อก่อนมีธุรกิจที่มีลักษณะถดถอยอยู่ด้วย ทำให้ไม่อยากลงทุน แต่ตอนนี้สามารถทำได้ง่ายขึ้น CNDT เองนั้น ถึงแม้ตัวกิจการดูเหมือนจะขาดทุนอยู่ แต่เป็นกิจการที่สามารถสร้างกระแสเงินสดอิสระราว 300 ล้านเหรียญต่อปี และลูกค้าส่วนใหญ่ก็ต่อสัญญา จ้างกับบริษัท โดยมี renewal rate สูงถึง 86% นับว่ารายได้มีความมั่นคงสูง นักลงทุนจึงให้ความสนใจ

เท่าที่ผมได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับ Ichan มา สังเกตุเห็นว่ามีธีมการลงทุนลักษณะ “แยกกิจการ” เพื่อสร้างความ มั่งคั่งเป็นที่โปรดปรานของเขา ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหุ้น Ebay เพื่อแยก Paypal หรือ การซื้อหุ้น RJR เพื่อต้องการให้แยกธุรกิจ Nabisco ผู้ผลิตคุกกี้ Oreo และขนมขบเคี้ยวหลากหลาย ในปัจจุบันในตลาดหุ้นไทยก็มีหลายบริษัทต้องการสร้างความมั่งคั่งให้ผู้ถือหุ้นในลักษณะนี้ กลยุทธ์นี้จะประสบความสำเร็จเหมือนที่ ผ่านมาไหม? หรือว่าจะฉีกตำราทุกงานวิจัยที่มีมา? ในปีนี้คงมีหลายบริษัทให้นักลงทุนได้พิสูจน์กัน
อ่านจบแล้วทำให้ผมนึกถึงการลงทุนในปีที่ผ่านมา เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันนี้ กับหุ้นแม่ลูกอย่างบ้านปูและบ้านปูเพาเวอร์ครับ ก่อนเอาบ.ลูกเข้าตลาด

ตอนนั้นมูลค่าตลาดของบ้านปูที่รวมกับบ้านปูเพาเวอร์ มันต่ำเกินจริง ไม่สะท้อนศักยภาพของบ.ลูกเลย ทั้งที่สร้างผลกำไรและเงินสดในแต่ละปีให้แก่บ.แม่อย่างสม่ำเสมอมาหลายปี ใครที่ลงทุนหุ้นบ้านปูช่วงเวลานั้น เหมือนกับซื้อธุรกิจไฟฟ้าในราคาที่มีส่วนลด และแถมฟรีในธุรกิจเหมืองถ่านหินมาด้วย

พอบ.ลูกเข้าตลาด ก็สะท้อนมูลค่าที่แฝงออกมา ส่งไปยังบ.แม่ในท้ายที่สุด
อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบชี้นำการกระทำ
แต่ไม่ควรปล่อยโอกาสดีๆให้ผ่านไป เมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

Re: สองดีกว่าหนึ่ง ลงทุนแบบ Icahn / คนขายของ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

งั้นขออีก กรณีคับ
คือ jmart เทพหุ้นท่านนึงบอกผมว่า ก่อน spin off j jmt
แคป หมื่นล้านบวกลบ
แล้วไหง spin off มา แล้ว แคป แค่ 4500
ผมฟังแล้วผมกะ เห็นด้วยแต่ไม่มีตังซื้อตาม
และไม่รู้ว่า timing ตอนไหน ที่ตลาดจะ recognize แคป ที่ควรจะเป็น
อาจจะต้องรอ เกินปี? สองปี?
ส่วนตัว มองตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้ไม่กล้า switch
แม้ว่าตอนนั้น มี story ขาย มือถือ เยอะขึ้น jmt กำลังจะกลับมาดี
และตอนที่คุยกับเทพหุ้นท่านนั้น ผมกะยกตัวอย่าง บ้านปูนี่แหละ
ว่า แคป บ้านปู มันแทบจะเป็นราคา รฟฟ แล้วได้ธุรกิจถ่านหินฟรีๆแล้ว



แล้วพอเวลาผ่านไป jmartมันกะกลับไป เกือบหมื่น จริงๆ
คือไม่ได้ตัง ทั้ง jmart กะบ้านปุ คับ 555
show me money.
harikung
Verified User
โพสต์: 2236
ผู้ติดตาม: 0

Re: สองดีกว่าหนึ่ง ลงทุนแบบ Icahn / คนขายของ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

เคส banpu มันก้อสรุปได้ยากนะว่าจริงๆขึ้นเพราะspin offหรือเก็งกำไรตามราคาถ่านหินที่ขึ้นมา
นักเลงคีย์บอร์ด4.0
โพสต์โพสต์