โค้ด: เลือกทั้งหมด
ปัจจุบันเริ่มมีกระแสเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence, AI) ที่จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ และมีการพูดคุยในประเด็นนี้ในเกือบทุกธุรกิจ อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่ว่าความฉลาดของ AI ถูกพัฒนาขึ้นเร็วมากตั้งแต่ศาสตร์เรื่อง Machine Learning (ML) ไปได้ไกลขึ้น
ML คือวิชาที่เปรียบเสมือนว่าเรากำลังปลดล็อกให้ AI หรือหุ่นยนต์สามารถ “เรียนรู้ด้วยตัวเอง” โดยไม่หยุดพัก
การลงทุนในยุคนี้เราได้เริ่มเห็นหลายกองทุนต่างประเทศที่ใช้ AI เลือกหุ้นราคาถูกทั่วโลก แม้ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้น แต่ในวันที่นักลงทุนอาจจะตกงานเช่นเดียวกับอาชีพอื่น ถ้าเราตั้งคำถามว่างานของนักลงทุนอะไรบ้างที่กำลังถูก AI แย่ง หรือในอีกมุมหนึ่งคือให้ AI จะช่วยอะไรเราได้ และถ้า AI ฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ อะไรคือ “งานสุดท้ายของนักลงทุน”
งานแรกที่มีค่ามากของนักลงทุน คือการ “หาข้อมูล” หรือ “หาข่าว” เพราะข้อมูลที่เหนือกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์ที่ดีกว่า ในอดีตการหาข่าวเคยเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากอินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลาย นักลงทุนต้องดั้นด้นไปค้นหาข่าวเก่า ๆ ตามห้องสมุด การเข้าถึงข้อมูลที่แตกต่างกัน ทำให้หุ้นหลาย ๆ ตัวถูกลืมและนำมาซึ่งโอกาสซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าการหาข่าวไม่ได้ยากเย็นอีกต่อไป มีเครื่องมือนับไม่ถ้วนช่วยเหลือนักลงทุน เช่น Google ข้อมูลมีราคาถูกลง แต่การคัดเลือกข้อมูลมีต้นทุนแพงขึ้น
แน่นอนว่าในวันที่ AI เริ่มทำงานนี้เองได้ย่อมได้เปรียบเพราะความสามารถในการคัดหาข้อมูลของ AI นั้นทำได้แบบไม่มีขีดจำกัด
งานที่สอง คือ การเก็บข้อมูลและทำการวิเคราะห์ในเชิงตัวเลข ในอดีตอาจจะจำเป็นต้องคำนวณด้วยเครื่องคิดเลข หรือต้อง “หยอด” ข้อมูลลง Spreadsheet เพื่อทำการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินต่าง ๆ และดูแนวโน้มของกิจการ
ตัวอย่างงานง่าย ๆ แต่เคยได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น ถ้าใครแยก “งบการเงินไตรมาส 4″ ซึ่งถูกฝังอยู่ใน “งบฯปี” ออกมา ก็สามารถหาหุ้นที่มีกำไรพลิกฟื้นได้ก่อนคนอื่น แต่การวิเคราะห์เชิงตัวเลขในปัจจุบันแทบจะง่ายแค่กดปุ่ม ข้อมูลเหล่านี้เริ่มเป็นของฟรี งานนี้จึงมีค่าน้อยลงเช่นเดียวกัน เพราะทุกคนจะเห็นข้อมูลการวิเคราะห์เหมือนกัน
และยิ่งกว่านั้นถ้าข้อมูลมีมากเท่าไหร่ AI จะยิ่งได้เปรียบเท่านั้น เนื่องจากผลตอบแทนการลงทุนของ AI จะแปรผันไปตามจำนวนข้อมูลในการวิเคราะห์
การวิเคราะห์ข้อมูลของนักลงทุนโดยทั่วไปจะหาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ไม่มีความ ซับซ้อน เช่น ROE ดี P/BV ควรจะดี หรือ ราคาน้ำตาลขึ้น หุ้นน้ำตาลควรจะดี แต่ข้อมูลที่ซับซ้อนกว่านี้ย่อมต้องอาศัยนักลงทุนที่มีประสบการณ์ แต่ AI จะค่อย ๆ สามารถหาความสัมพันธ์ข้อมูลที่ซับซ้อนหลายชั้นได้ดีกว่าจากระบบ Machine Learning
งานที่สาม คือ การประเมินมูลค่า ซึ่งเป็นงานที่ยากของนักลงทุนจำนวนมาก แต่เป็นเรื่องที่ง่ายมากของคอมพิวเตอร์ อันที่จริงการประเมินมูลค่าด้วยโมเดลที่ซับซ้อนนั้นเริ่มเป็นงานของ AI มาระยะหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่าโมเดลนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยนักลงทุน
แต่อีกไม่นานผมคิดว่า ML จะทำให้หุ่นยนต์เริ่มใส่ตัวแปรเข้าไปด้วยตัวเองเป็น และยิ่งไปกว่านั้น หุ่นยนต์ยังสามารถประเมินมูลค่าได้บ่อย ๆ และทำกับหุ้นได้ในจำนวนมาก ๆ พร้อมกัน เป็นสิ่งที่มนุษย์จะสู้ได้ลำบากเช่นเดียวกัน
งานที่สี่ คือ การหาหุ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่งของการลงทุน ระยะหลัง AI เริ่มมีการพัฒนา Screener หรือตัวกรองที่ฉลาดมากขึ้น เพื่อช่วยหาหุ้นที่ยังมีราคาถูกอยู่ หรือเริ่มเห็นทิศทางการเติบโตได้ แต่สำหรับการมองภาพระยะยาว จินตนาการอาจจะช่วยให้มนุษย์ยังได้เปรียบอยู่บ้าง อย่างไรก็ดีสิ่งที่นักลงทุนเสียเปรียบคือ เราสามารถวิเคราะห์หุ้นได้ทีละตัว ถ้าตลาดหุ้นฉลาดขึ้น โอกาสที่เราจะหามุมมองการลงทุนพิเศษจะยิ่งยากเท่านั้น ปัจจุบันนักลงทุน VI ก็หาหุ้นกันทุกตารางนิ้วอยู่แล้ว ถ้ามี AI แข่งเราหาอีก น่าจะเป็นงานที่สร้างมูลค่าได้น้อยลง
แล้วอะไรคืองานที่น่าจะให้หุ่นยนต์ทำไม่ได้ ?
ผมอยากย้อนกลับไปพูดถึงการแข่งขันประวัติศาสตร์ระหว่างมนุษย์กับ AI ที่ชื่อ Alpha GO ในเกมที่ 4 จังหวะที่ AI เริ่มเสียเปรียบจากตาเดินที่ยอดเยี่ยมของมนุษย์ นับตั้งแต่นั้น AI ตัดสินใจผิดง่าย ๆ อย่างน่าประหลาด และใช้เวลาคิดนานกว่าตาเดินปกติมาก ดังนั้นหุ่นยนต์ที่น่าจะมีแต่เหตุผลโดยปราศจากอารมณ์ ยัง “เครียด” จน “ผิดพลาด” และไม่สามารถรับมือกับ “ภาวะวิกฤต” อย่างไม่น่าเชื่อ
อีกตัวอย่างหนึ่งคือการขับเครื่องบินพาณิชย์ ซึ่งแทบจะเป็นงานของหุ่นยนต์เกือบ 100% ไปแล้ว ระบบ Auto Pilot รับมือปัญหาผิดปกติเช่นเครื่องบินได้ดีกว่ามนุษย์เสียอีก แต่สาเหตุที่ยังจำเป็นต้องมีนักบินที่เป็นมนุษย์คือ การรับมือกับ “เหตุฉุกเฉิน” ที่ “ไม่ได้ระบุไว้ในตำรา” และมนุษย์น่าจะรับผิดชอบกับ “ชีวิตมนุษย์” ด้วยกันเองได้ดีกว่า
ดังนั้นในวันที่ AI เก่งด้านการลงทุนมาก ๆ ถ้าจะมีงานสุดท้ายเหลือไว้สำหรับนักลงทุน ก็คือ “การรับมือเหตุฉุกเฉิน” ของพอร์ตลงทุนของคุณ เพราะหุ้นทุกตัวย่อมจะมี “เหตุการณ์ที่เหนือจินตนาการ” เกิดขึ้นให้ท้าทายตลอดเวลา รวมถึงในสถานการณ์ปกติ การ กระทำบางอย่างอาจจะไม่มีเหตุผลในเชิงลงทุน แต่มีเหตุผลในด้านอื่น ๆ ประกอบ
เพราะหุ่นยนต์อาจสนใจเพียงแต่ว่าคุณจะกำไรเท่าไหร่ บริหารความเสี่ยงตามสมควร แต่มันไม่สนใจว่า ถ้าคุณขาดทุนยับเยิน ลูกน้อย พ่อแม่แก่เฒ่าหรือสังคมรอบตัวคุณ จะต้องเดือดร้อนแค่ไหน และนี่คงจะเป็นงานสุดท้ายที่สำคัญที่สุดของนักลงทุน