อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1
อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
เมื่อคืนและจนถึงนาทีที่กำลังเขียนบทความนี้ คือเช้าวันที่ 17 ตุลาคม 2563 ผมกำลังนั่ง “ร้องให้” จากเหตุการณ์ “น่าเศร้า” ของการเมืองในประเทศไทยที่กำลังเกิดขึ้น ที่จริงผมเคยร้องให้แบบนี้มาอย่างน้อยครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ที่เกิดเหตุการณ์ “มหาวิปโยค” ในวันนั้นผมกำลังนั่งอยู่บนรถเมล์เพื่อที่จะกลับบ้าน คนทั้งคันรถต่างก็ร้องให้ ผมจำได้ว่าควักเงินที่มีอยู่น้อยนิดใส่ลงในกล่องที่มีคนเดินขอรับบริจาค นั่นเป็นเวลา 47 ปีมาแล้วและผมอายุ 20 ปี เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ในมหาวิทยาลัย ในช่วงนั้น เหตุการณ์ต้องบอกว่ารุนแรงกว่าครั้งนี้มาก มีคนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก หลังจากเหตุการณ์ บ้านเมืองก็ “เปลี่ยน” กลายเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยมากขึ้น แต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้น ๆ หลังจากนั้น ประเทศไทยก็มีการปกครองแบบ “ลุ่ม ๆ ดอน ๆ” มาตลอดจนถึงทุกวันนี้ แต่ทางด้านสังคมนั้น คนไทยก็พัฒนามาเรื่อย ๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกและการพัฒนาการทางเศรษฐกิจของไทย
ทางด้านเศรษฐกิจนั้น ต้องบอกว่าเราทำได้ดีมากจนถึงวันนี้ เราใกล้จะถึงจุดที่มีรายได้สูงพอที่จะเป็นประเทศร่ำรวยแล้ว ทางด้านสังคมนั้น ก็ต้องบอกว่าสังคมไทยมีความก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย เรามีแนวความคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพในการทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ตามสถานะทางเศรษฐกิจ คนคิดว่าเพศสภาพนั้นเป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะเลือกได้และทุกคนต่างก็ยอมรับ การนับถือศาสนานั้นก็เปิดกว้าง และแม้ว่าเรายังมีกฎหมายที่ห้ามกิจกรรมหลายอย่างเช่น การขายบริการทางเพศ แต่ในทางปฏิบัติจริงทุกคนก็รับรู้ว่าสามารถทำได้ เพียงแต่อาจจะต้องมี “ต้นทุน” บางอย่างเพิ่มขึ้นเท่านั้น สรุปก็คือ เรื่องของเศรษฐกิจและสังคมนั้น ประเทศไทยมีการพัฒนาค่อนข้างจะสอดคล้องกับระดับการพัฒนาของประเทศ แต่ทางด้านของการเมืองนั้น ไทยยัง “ล้าหลัง” มาก ซึ่งในความคิดของผมแล้ว ภาวะแบบนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะจากการสังเกตของผม ในประเทศหรือสังคมนั้น โดยปกติแล้ว การพัฒนาทุกอย่างมักจะต้อง “ไปด้วยกัน” และเราแทบสังเกตได้เพียงแต่แค่ไปเยี่ยมเยือนประเทศเหล่านั้น เราก็พอจะมองออกว่าเขาพัฒนาไปไกลแค่ไหน
เริ่มตั้งแต่ถนนหนทางและตึกรามบ้านช่อง ความสะอาดของสถานที่ คุณภาพของบริการและการต้อนรับ อาหารที่ขาย คุณภาพของบริการสาธารณะเช่นรถเมล์ แท็กซี่ และรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน ในด้านของสังคมก็ดูถึงผู้คนว่ามีความคิดและมุมมองอย่างไร เคารพสิทธิและความคิดของคนอื่นแค่ไหน และแน่นอนว่าระบบการเมืองการปกครองเองนั้นก็มักจะบอกถึง “ระดับ” ของการพัฒนาของประเทศ ซึ่งในปัจจุบันนั้น การเป็น “ประชาธิปไตย” ซึ่งก็มักจะส่งผลต่อระดับของการคอร์รัปชั่นว่าประเทศมีมากน้อยแค่ไหน ก็เป็นตัววัดที่สำคัญอย่างหนึ่ง เช่น ถ้าประเทศเป็นประเทศ “พัฒนาแล้ว” ประเทศนั้นก็มักจะต้องเป็นประเทศที่ใช้ระบบ “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” ไม่มีประเทศไหนที่พัฒนาแล้วแต่ใช้ระบบ “เผด็จการ” และถ้าประเทศไหนที่เคยเป็นประเทศกำลังพัฒนาและเป็นเผด็จการมาก่อน เช่น เกาหลีใต้ เมื่อ 30 ปีก่อน แต่ตอนนี้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เขาก็กลายเป็นประเทศประชาธิปไตยอย่างแท้จริงอย่างทุกวันนี้
เหตุผลที่ว่าทำไมระดับการพัฒนาของประเทศจึงมาเกี่ยวกับระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นน่าจะมีมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดก็คือ เวลาที่คนรวยขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว สิ่งที่เขาต้องการต่อไปก็คือ เขาอยากจะมี “ศักดิ์ศรีของความเป็นคน” มากขึ้นและเท่าเทียมกับคนอื่น ๆ ในทุกด้าน และถ้าสังคมไม่สามารถให้เขาได้ เขาก็จะเรียกร้องและต่อสู้เพื่อให้ได้มา ดังนั้น เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่ คนส่วนใหญ่มีรายได้สูงพอก็จะออกมาเรียกร้องและก็ “ชนะ” ในที่สุด และนั่นก็ส่งผลให้คนทุกคนในประเทศหรือในสังคมนั้นต่างก็ได้อานิสงค์ คือถึงยังมีรายได้ต่ำก็จะมีสิทธิมีเสียงเท่า ๆ กับคนอื่นทุกคน และนี่ก็คือระบอบประชาธิปไตยที่จะไม่มีใครมีสิทธิเหนือกว่าคนอื่น ทุกคนจะมี 1 เสียงเท่ากันเวลาจะตัดสินอะไรต่าง ๆ ของสังคมหรือของประเทศ
ข้อสรุปของผมก็คือ “อนาคตของประเทศไทย” นั้น ถ้าเราจะพัฒนาต่อไปได้จนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก็น่าจะเป็นว่าเราต้องเป็นประเทศที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ถ้าเราไม่สามารถที่จะพัฒนาต่อไปได้แล้ว ประเด็นก็จะเป็นอย่างอื่น แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมเองก็คิดว่าด้วย “ระดับความเป็นประชาธิปไตย” ในปัจจุบันที่ยังต่ำกว่าระดับของการพัฒนาประเทศทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ก็มีความเป็นไปได้ว่า ประชาธิปไตยของไทยก็จะต้องมีการ “ยกระดับขึ้น” และด้วยอิทธิพลของ “สื่อยุคใหม่” ก็น่าจะช่วยให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้เร่งตัวเร็วขึ้นมากอย่างที่ดูเหมือนว่ากำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้
การเป็นประชาธิปไตยนั้นเกิดขึ้นตามการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แต่ในทางกลับกัน ผมก็คิดว่าการพัฒนาการทางเศรษฐกิจเองก็อาจจะดีขึ้นหรือเร่งตัวขึ้นได้จากการที่ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เหตุผลนั้นคงมีมากมาย แต่เหตุผลที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การเป็นประชาธิปไตยนั้น จะช่วย “ปลดปล่อยศักยภาพของคน” ออกมาได้เต็มที่ เพราะคนจะรู้สึกและมีแรงกระตุ้นที่จะทำงานและสร้างผลงานที่เป็นตัวตนของตนเอง ไม่ถูก “กดทับ” โดยกฎหมายหรือสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน นอกจากนั้น ค่าที่ว่าประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ใช้ระบอบการปกครองแบบนี้ ดังนั้น การที่ใช้ระบบเดียวกันย่อมทำให้เป็นที่ต้อนรับมากว่าในด้านของการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
อาจจะมีข้อถกเถียงว่าทำไมประเทศอย่างจีน และอาจจะรวมถึงเวียตนามที่ใช้ระบอบการปกครองอื่นจึงเจริญเติบโตเร็วมากได้ ประเด็นนี้ผมขอเถียงว่าที่เขาเติบโตเร็วทางเศรษฐกิจนั้นเป็นเพราะปัจจัยทางด้านอื่น โดยเฉพาะในด้านคุณภาพและกำลังแรงงานของคนมากกว่า ที่จริงถ้าเขาเป็นประชาธิปไตยอาจจะยิ่งโตเร็วกว่านี้ และไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมเองคิดว่า ในที่สุดเมื่อรายได้ต่อหัวของคนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ผมคิดว่าจีนและเวียตนามก็จะต้องเป็นประชาธิปไตย แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์ที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถคุมประเทศได้เมื่อคนทั้งประเทศไม่ต้องการ
การที่ผม “ร้องไห้” นั้น ไม่ใช่เพราะผมรู้สึกว่าผู้ประท้วงเป็นฝ่าย “พ่ายแพ้” การเมืองเป็นเรื่องระยะยาวที่ต้องใช้เวลาและผมก็ผ่านเวลามามาก ผมรู้ว่าการเมืองก็คล้าย ๆ กับสงคราม มี “ศึก” หรือ “สนามรบ” นับไม่ถ้วน บางทีการพ่ายแพ้ในศึกหนึ่งอาจจะนำไปสู่ชัยชนะได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการเมืองนั้น สนามรบที่แท้จริงกลับอยู่ในหัวหรือจิตใจของคน การพ่ายแพ้หรือชนะทางการเมืองนั้น ที่แท้จริงก็คือต้องดูว่า “คนจะเปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายไหนมากขึ้น” ไม่ใช่สงครามที่จะต้องทำลายศัตรูให้ย่อยยับหรือจับเป็นเชลยได้มากกว่า แต่ที่ผมร้องไห้นั้นคงเป็นเพราะสื่อที่นำเสนอที่ทำให้เราเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและมันประทับเข้าไปอยู่ในใจ ผมเองคิดว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่ร้องไห้ แม้แต่คนที่เป็นอนุรักษ์นิยมหลาย ๆ คนรุ่นราวคราวเดียวกับผมก็ร้องไห้เมื่อเห็นเด็กที่ยังแต่งเครื่องแบบนักเรียนที่ไม่ได้มีหรือสร้างความรุนแรงใด ๆ ถูกกระทำโดยไม่มีเหตุผลและไม่มีความปราณี ผมไม่รู้ว่าจะต้องร้องไห้ไปอีกกี่ครั้งก่อนที่ศึกครั้งนี้จะจบ
สภาวะการเมืองในช่วงเร็ว ๆ นี้ อาจจะกลายเป็น “Country Risk” หรือ “ความเสี่ยงของประเทศ” ในเรื่องของการลงทุนถ้ามันยังลุกลามต่อไป สื่อหลัก ๆ ของต่างประเทศต่างก็รายงานข่าวเป็นข่าวใหญ่และ “ข่าวด่วน” บางทีอาจจะมากกว่าข่าวจาก “สื่อรุ่นเก่า” ของประเทศไทยด้วยซ้ำ ข่าวที่กระจายไปทั่วโลกนั้นย่อมทำให้นักลงทุนจากต่างประเทศชะลอหรือขายเงินลงทุนในประเทศไทยออกไปซึ่งจะกระทบทั้งตลาดหุ้นและพันธบัตรรวมถึงการลงทุนโดยตรง ส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์ตกลงมาและเศรษฐกิจตกต่ำลงซ้ำเติมจากที่เป็นอยู่แล้วเนื่องจากวิกฤติโควิด-19
แต่โดยส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรกับพอร์ตของตนเอง ผมคิดว่าราคาหุ้นมันลงมามากแล้ว “ขายไม่ลง” เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ขายไปก็ต้องเก็บเป็นเงินสดที่ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรและมีความเสี่ยงเหมือนกันถ้าประเทศเป็นอะไรไป เงินสดก็อาจจะหมดค่าเหมือนกันเพราะแท้จริงมันเป็นแค่กระดาษ เทียบกับหุ้นที่เป็นกิจการและโรงงานการผลิตต่าง ๆ ที่ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นของสังคม นอกจากนั้นแล้ว ลึก ๆ ผมเองก็ยังมีความหวังหรือความฝันว่าเรา “แย่ที่สุด” แล้ว รอไปอีกสักพัก สิ่งต่าง ๆ ก็อาจจะดีขึ้นได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมเห็นพลังและความมุ่งมั่นของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่โลกที่ดีกว่า และผมจะรอ เวลาอยู่ข้างพวกเขา หน้าที่ผมก็คือ มีชีวิตให้ยาวพอที่จะเห็นสังคมที่ก้าวหน้า เสมอภาคและ ภราดรภาพ ในประเทศไทย
ทางด้านเศรษฐกิจนั้น ต้องบอกว่าเราทำได้ดีมากจนถึงวันนี้ เราใกล้จะถึงจุดที่มีรายได้สูงพอที่จะเป็นประเทศร่ำรวยแล้ว ทางด้านสังคมนั้น ก็ต้องบอกว่าสังคมไทยมีความก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย เรามีแนวความคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพในการทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ตามสถานะทางเศรษฐกิจ คนคิดว่าเพศสภาพนั้นเป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะเลือกได้และทุกคนต่างก็ยอมรับ การนับถือศาสนานั้นก็เปิดกว้าง และแม้ว่าเรายังมีกฎหมายที่ห้ามกิจกรรมหลายอย่างเช่น การขายบริการทางเพศ แต่ในทางปฏิบัติจริงทุกคนก็รับรู้ว่าสามารถทำได้ เพียงแต่อาจจะต้องมี “ต้นทุน” บางอย่างเพิ่มขึ้นเท่านั้น สรุปก็คือ เรื่องของเศรษฐกิจและสังคมนั้น ประเทศไทยมีการพัฒนาค่อนข้างจะสอดคล้องกับระดับการพัฒนาของประเทศ แต่ทางด้านของการเมืองนั้น ไทยยัง “ล้าหลัง” มาก ซึ่งในความคิดของผมแล้ว ภาวะแบบนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะจากการสังเกตของผม ในประเทศหรือสังคมนั้น โดยปกติแล้ว การพัฒนาทุกอย่างมักจะต้อง “ไปด้วยกัน” และเราแทบสังเกตได้เพียงแต่แค่ไปเยี่ยมเยือนประเทศเหล่านั้น เราก็พอจะมองออกว่าเขาพัฒนาไปไกลแค่ไหน
เริ่มตั้งแต่ถนนหนทางและตึกรามบ้านช่อง ความสะอาดของสถานที่ คุณภาพของบริการและการต้อนรับ อาหารที่ขาย คุณภาพของบริการสาธารณะเช่นรถเมล์ แท็กซี่ และรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน ในด้านของสังคมก็ดูถึงผู้คนว่ามีความคิดและมุมมองอย่างไร เคารพสิทธิและความคิดของคนอื่นแค่ไหน และแน่นอนว่าระบบการเมืองการปกครองเองนั้นก็มักจะบอกถึง “ระดับ” ของการพัฒนาของประเทศ ซึ่งในปัจจุบันนั้น การเป็น “ประชาธิปไตย” ซึ่งก็มักจะส่งผลต่อระดับของการคอร์รัปชั่นว่าประเทศมีมากน้อยแค่ไหน ก็เป็นตัววัดที่สำคัญอย่างหนึ่ง เช่น ถ้าประเทศเป็นประเทศ “พัฒนาแล้ว” ประเทศนั้นก็มักจะต้องเป็นประเทศที่ใช้ระบบ “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” ไม่มีประเทศไหนที่พัฒนาแล้วแต่ใช้ระบบ “เผด็จการ” และถ้าประเทศไหนที่เคยเป็นประเทศกำลังพัฒนาและเป็นเผด็จการมาก่อน เช่น เกาหลีใต้ เมื่อ 30 ปีก่อน แต่ตอนนี้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เขาก็กลายเป็นประเทศประชาธิปไตยอย่างแท้จริงอย่างทุกวันนี้
เหตุผลที่ว่าทำไมระดับการพัฒนาของประเทศจึงมาเกี่ยวกับระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นน่าจะมีมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดก็คือ เวลาที่คนรวยขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว สิ่งที่เขาต้องการต่อไปก็คือ เขาอยากจะมี “ศักดิ์ศรีของความเป็นคน” มากขึ้นและเท่าเทียมกับคนอื่น ๆ ในทุกด้าน และถ้าสังคมไม่สามารถให้เขาได้ เขาก็จะเรียกร้องและต่อสู้เพื่อให้ได้มา ดังนั้น เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่ คนส่วนใหญ่มีรายได้สูงพอก็จะออกมาเรียกร้องและก็ “ชนะ” ในที่สุด และนั่นก็ส่งผลให้คนทุกคนในประเทศหรือในสังคมนั้นต่างก็ได้อานิสงค์ คือถึงยังมีรายได้ต่ำก็จะมีสิทธิมีเสียงเท่า ๆ กับคนอื่นทุกคน และนี่ก็คือระบอบประชาธิปไตยที่จะไม่มีใครมีสิทธิเหนือกว่าคนอื่น ทุกคนจะมี 1 เสียงเท่ากันเวลาจะตัดสินอะไรต่าง ๆ ของสังคมหรือของประเทศ
ข้อสรุปของผมก็คือ “อนาคตของประเทศไทย” นั้น ถ้าเราจะพัฒนาต่อไปได้จนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะต้องเกิดขึ้นก็น่าจะเป็นว่าเราต้องเป็นประเทศที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ถ้าเราไม่สามารถที่จะพัฒนาต่อไปได้แล้ว ประเด็นก็จะเป็นอย่างอื่น แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมเองก็คิดว่าด้วย “ระดับความเป็นประชาธิปไตย” ในปัจจุบันที่ยังต่ำกว่าระดับของการพัฒนาประเทศทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ก็มีความเป็นไปได้ว่า ประชาธิปไตยของไทยก็จะต้องมีการ “ยกระดับขึ้น” และด้วยอิทธิพลของ “สื่อยุคใหม่” ก็น่าจะช่วยให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้เร่งตัวเร็วขึ้นมากอย่างที่ดูเหมือนว่ากำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้
การเป็นประชาธิปไตยนั้นเกิดขึ้นตามการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แต่ในทางกลับกัน ผมก็คิดว่าการพัฒนาการทางเศรษฐกิจเองก็อาจจะดีขึ้นหรือเร่งตัวขึ้นได้จากการที่ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เหตุผลนั้นคงมีมากมาย แต่เหตุผลที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การเป็นประชาธิปไตยนั้น จะช่วย “ปลดปล่อยศักยภาพของคน” ออกมาได้เต็มที่ เพราะคนจะรู้สึกและมีแรงกระตุ้นที่จะทำงานและสร้างผลงานที่เป็นตัวตนของตนเอง ไม่ถูก “กดทับ” โดยกฎหมายหรือสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน นอกจากนั้น ค่าที่ว่าประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ใช้ระบอบการปกครองแบบนี้ ดังนั้น การที่ใช้ระบบเดียวกันย่อมทำให้เป็นที่ต้อนรับมากว่าในด้านของการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
อาจจะมีข้อถกเถียงว่าทำไมประเทศอย่างจีน และอาจจะรวมถึงเวียตนามที่ใช้ระบอบการปกครองอื่นจึงเจริญเติบโตเร็วมากได้ ประเด็นนี้ผมขอเถียงว่าที่เขาเติบโตเร็วทางเศรษฐกิจนั้นเป็นเพราะปัจจัยทางด้านอื่น โดยเฉพาะในด้านคุณภาพและกำลังแรงงานของคนมากกว่า ที่จริงถ้าเขาเป็นประชาธิปไตยอาจจะยิ่งโตเร็วกว่านี้ และไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมเองคิดว่า ในที่สุดเมื่อรายได้ต่อหัวของคนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ผมคิดว่าจีนและเวียตนามก็จะต้องเป็นประชาธิปไตย แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์ที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถคุมประเทศได้เมื่อคนทั้งประเทศไม่ต้องการ
การที่ผม “ร้องไห้” นั้น ไม่ใช่เพราะผมรู้สึกว่าผู้ประท้วงเป็นฝ่าย “พ่ายแพ้” การเมืองเป็นเรื่องระยะยาวที่ต้องใช้เวลาและผมก็ผ่านเวลามามาก ผมรู้ว่าการเมืองก็คล้าย ๆ กับสงคราม มี “ศึก” หรือ “สนามรบ” นับไม่ถ้วน บางทีการพ่ายแพ้ในศึกหนึ่งอาจจะนำไปสู่ชัยชนะได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการเมืองนั้น สนามรบที่แท้จริงกลับอยู่ในหัวหรือจิตใจของคน การพ่ายแพ้หรือชนะทางการเมืองนั้น ที่แท้จริงก็คือต้องดูว่า “คนจะเปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายไหนมากขึ้น” ไม่ใช่สงครามที่จะต้องทำลายศัตรูให้ย่อยยับหรือจับเป็นเชลยได้มากกว่า แต่ที่ผมร้องไห้นั้นคงเป็นเพราะสื่อที่นำเสนอที่ทำให้เราเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและมันประทับเข้าไปอยู่ในใจ ผมเองคิดว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่ร้องไห้ แม้แต่คนที่เป็นอนุรักษ์นิยมหลาย ๆ คนรุ่นราวคราวเดียวกับผมก็ร้องไห้เมื่อเห็นเด็กที่ยังแต่งเครื่องแบบนักเรียนที่ไม่ได้มีหรือสร้างความรุนแรงใด ๆ ถูกกระทำโดยไม่มีเหตุผลและไม่มีความปราณี ผมไม่รู้ว่าจะต้องร้องไห้ไปอีกกี่ครั้งก่อนที่ศึกครั้งนี้จะจบ
สภาวะการเมืองในช่วงเร็ว ๆ นี้ อาจจะกลายเป็น “Country Risk” หรือ “ความเสี่ยงของประเทศ” ในเรื่องของการลงทุนถ้ามันยังลุกลามต่อไป สื่อหลัก ๆ ของต่างประเทศต่างก็รายงานข่าวเป็นข่าวใหญ่และ “ข่าวด่วน” บางทีอาจจะมากกว่าข่าวจาก “สื่อรุ่นเก่า” ของประเทศไทยด้วยซ้ำ ข่าวที่กระจายไปทั่วโลกนั้นย่อมทำให้นักลงทุนจากต่างประเทศชะลอหรือขายเงินลงทุนในประเทศไทยออกไปซึ่งจะกระทบทั้งตลาดหุ้นและพันธบัตรรวมถึงการลงทุนโดยตรง ส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์ตกลงมาและเศรษฐกิจตกต่ำลงซ้ำเติมจากที่เป็นอยู่แล้วเนื่องจากวิกฤติโควิด-19
แต่โดยส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรกับพอร์ตของตนเอง ผมคิดว่าราคาหุ้นมันลงมามากแล้ว “ขายไม่ลง” เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ขายไปก็ต้องเก็บเป็นเงินสดที่ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรและมีความเสี่ยงเหมือนกันถ้าประเทศเป็นอะไรไป เงินสดก็อาจจะหมดค่าเหมือนกันเพราะแท้จริงมันเป็นแค่กระดาษ เทียบกับหุ้นที่เป็นกิจการและโรงงานการผลิตต่าง ๆ ที่ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นของสังคม นอกจากนั้นแล้ว ลึก ๆ ผมเองก็ยังมีความหวังหรือความฝันว่าเรา “แย่ที่สุด” แล้ว รอไปอีกสักพัก สิ่งต่าง ๆ ก็อาจจะดีขึ้นได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมเห็นพลังและความมุ่งมั่นของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่โลกที่ดีกว่า และผมจะรอ เวลาอยู่ข้างพวกเขา หน้าที่ผมก็คือ มีชีวิตให้ยาวพอที่จะเห็นสังคมที่ก้าวหน้า เสมอภาคและ ภราดรภาพ ในประเทศไทย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1399
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
ผมก็เสียใจครับ ดร. น้ำตาริน
มาคุยกันได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/value.investing.freedom
-
- Verified User
- โพสต์: 166
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
อ่านแล้วร้องไห้ตามเลยครับ ไม่ผิดหวังเลยจริงๆที่ติดตามและนับถือ ดร. มาโดยตลอด สำหรับคนวัย 67 ที่เข้าใจถึงเพียงนี้
"เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมเห็นพลังและความมุ่งมั่นของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่โลกที่ดีกว่า และผมจะรอ เวลาอยู่ข้างพวกเขา"
ผมจะรอและจะอยู่ข้างพวกเขาเช่นกันครับ
"เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมเห็นพลังและความมุ่งมั่นของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่โลกที่ดีกว่า และผมจะรอ เวลาอยู่ข้างพวกเขา"
ผมจะรอและจะอยู่ข้างพวกเขาเช่นกันครับ
- TATAKUNAKORN
- Verified User
- โพสต์: 11
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 4
เศร้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4366
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
คลิปนี้จริงรึเปล่าครับ? ใช่เหตุการณ์ไม่กี่วันนี้รึเปล่า?
https://m.facebook.com/story.php?story_ ... 1579425464
https://m.facebook.com/story.php?story_ ... 1579425464
- IndyVI
- Verified User
- โพสต์: 14944
- ผู้ติดตาม: 2
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 11
รอเช่นกันครับThai VI Article เขียน: ↑เสาร์ ต.ค. 17, 2020 1:28 pmเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผมเห็นพลังและความมุ่งมั่นของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่โลกที่ดีกว่า และผมจะรอ เวลาอยู่ข้างพวกเขา หน้าที่ผมก็คือ มีชีวิตให้ยาวพอที่จะเห็นสังคมที่ก้าวหน้า เสมอภาคและ ภราดรภาพ ในประเทศไทย
แนบไฟล์
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
# Howard Mark #
- Yaknoi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 56
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 13
ผมกลับมองว่าที่จีนโตใหญ่เป็นมหาอำนาจโลกได้ขนาดนี้เพราะระบอบคอมมิวนิสต์และโชคดีได้ผู้นำดีมาตลอดที่เห็นแก่ชาติบ้านเมืองของตนเองไม่ใช่จะเอาอำนาจเพื่อมากอบโกยผลประโยชน์อย่างเดียวแล้วกดคนเอาไว้ใต้อำนาจตัวเองโดยที่ไม่ให้เค้าลืมตาอ้าปากได้เลยจนต้องยอมรับชะตากรรมและต้องยอมก้มหัวให้อยู่อย่างนั้น ถ้าย้อนไปในอดีตจีนเป็นประเทศที่มีคนจำนวนมากมายมหาศาล ไม่เคารพกฎ ไม่มีระเบียบวินัย คอรัปชั่นสูงตั้งแต่บนยันล่าง ถ้าเป็นประชาธิปไตยคงบริหารยากมากเพราะคุมคนไม่อยู่ต่างฝ่ายต่างแย่งกันมีอำนาจ อาจอาศัยประชาชนเป็นเครื่องมือเหมือนหลายๆประเทศที่ยังเป็นอยู่ตอนนี้ก็เป็นได้แต่สิ่งนั้นมันไม่เกิดขึ้นก็ได้แต่คาด สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆตอนนี้คือคอมมิวนิสต์จีนมหาอำนาจโลกที่มหาอำนาจโลกอีกข้างหนึ่งต้องออกแอคชั่นสู้ยิบตาจนเป็นสงครามการค้า ถ้ามองในอนาคตจีนก็มีสิทธิ์เป็นประชาธิปไตยได้อย่างที่ ดร. กล่าวถ้าคนในสังคมส่วนใหญ่เค้ามีคุณภาพสูงพอแล้ว
ขณะที่เวียดนามเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนกันแต่ดูมีปัญหาคอร์รัปชั่นเยอะมาก ตรงนี้ถ้าไม่จัดการให้เด็ดขาดจะเป็นตัวฉุดให้ประเทศพัฒนาในทุกๆด้านรวมถึงด้านเศรษฐกิจได้ไม่เร็วเท่าจีน
และอีกหนึ่งประเทศคืออินเดียที่เป็นประชาธิปไตยที่มีประชากรมากสุดในโลก อันนี้ผมไม่มีข้อมูลระบบเศรษฐกิจ การเมืองเค้าเท่าไรแต่ก็น่าศึกษาว่าทำไมยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาคนจนยังมีเยอะอยู่ทั้งที่เป็นประชาธิปไตยที่มีเศรษฐกิจโตดีมากๆมาต่อเนื่อง จากที่ผมเคยเจอคนอินเดียระดับผู้บริหารของบริษัทมานิดหน่อยผมคิดว่าคนของเค้ามีความฉลาดไหวพริบดีมาก ดูคนออก อ่านใจเก่ง มีเล่ห์เหลี่ยมและก็รู้ว่าเรารู้ทันเค้าก็จะเปลี่ยนวิธีการอย่างไว
ขณะที่เวียดนามเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนกันแต่ดูมีปัญหาคอร์รัปชั่นเยอะมาก ตรงนี้ถ้าไม่จัดการให้เด็ดขาดจะเป็นตัวฉุดให้ประเทศพัฒนาในทุกๆด้านรวมถึงด้านเศรษฐกิจได้ไม่เร็วเท่าจีน
และอีกหนึ่งประเทศคืออินเดียที่เป็นประชาธิปไตยที่มีประชากรมากสุดในโลก อันนี้ผมไม่มีข้อมูลระบบเศรษฐกิจ การเมืองเค้าเท่าไรแต่ก็น่าศึกษาว่าทำไมยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาคนจนยังมีเยอะอยู่ทั้งที่เป็นประชาธิปไตยที่มีเศรษฐกิจโตดีมากๆมาต่อเนื่อง จากที่ผมเคยเจอคนอินเดียระดับผู้บริหารของบริษัทมานิดหน่อยผมคิดว่าคนของเค้ามีความฉลาดไหวพริบดีมาก ดูคนออก อ่านใจเก่ง มีเล่ห์เหลี่ยมและก็รู้ว่าเรารู้ทันเค้าก็จะเปลี่ยนวิธีการอย่างไว
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 14
ธรรมชาติของทุกสิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เวลาเดินไปข้างหน้าอยู่เสมอ หากคิดจะฝืนธรรมชาติ โดยการหยุดเวลาไว้
ทำไม่ได้หรอกครับ สุดท้ายเวลาก็จะเดินไปข้างหน้าอยู่ดี
เวลาเดินไปข้างหน้าอยู่เสมอ หากคิดจะฝืนธรรมชาติ โดยการหยุดเวลาไว้
ทำไม่ได้หรอกครับ สุดท้ายเวลาก็จะเดินไปข้างหน้าอยู่ดี
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
- zirkanat
- Verified User
- โพสต์: 177
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 16
ผมเป็นคนรุ่นใหม่คนนึงที่เข้ามาในตลาดทุนแห่งนี้เพราะอยากสร้างความมั่งคั่ง และคนที่เป็นแนวทางในการลงทุนคือ ดร.นิเวศน์ และวันนี้ผมคิดว่าผมมองคนไม่ผิดจริงๆ แนวคิดของ ดร. ยังมองโลกได้เฉียบแหลมเหมือนเดิม ขอบคุณมากครับอาจารย์ที่อยู่ข้างเด็กๆ
20 yrs game, stay focus, stay invest.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1399
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 17
ผมกลับมาจาก mod ราดพร้าววันนี้ ได้พูดคุยกับเด็กๆที่เผชิญการถูกฉีกน้ำใส่ในวันที่16ตค. (อายุ 14-22 ปี) กำลังใจในวันนี้ดีมากครับ และไม่มีคำว่ากลัว พอบอกว่า รถฉีดน้ำมา พวกเขาเดินไปข้างหน้า และเตรียมชุด หมวก แว่นพร้อม แต่ทุกคนก็เตรียมการณ์ไว้แล้วครับ ว่าถ้าเริ่มเข้ามาใกล้ ต้องกลับบ้าน ผมอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบครับ
เล่าให้ฟังครับ
เล่าให้ฟังครับ
มาคุยกันได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/value.investing.freedom
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 18
อ่านแล้วเศร้ามากครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- IndyVI
- Verified User
- โพสต์: 14944
- ผู้ติดตาม: 2
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 23
FM.96.5 | รู้ใช้เข้าใจเงิน | การเงินการลงทุนวันนี้ | ( 19-10-63)
พูดคุย กับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
https://youtu.be/BFuNx7OXiRQ
พูดคุย กับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
https://youtu.be/BFuNx7OXiRQ
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
# Howard Mark #
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 24
ขอบคุณกับบทความนี้มากครับ
ขอบคุณมากจริง ๆ
กระแสลมแรง ต้านด้วยกังหัน ไม่ใช่กำแพง
ขอบคุณมากจริง ๆ
กระแสลมแรง ต้านด้วยกังหัน ไม่ใช่กำแพง
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- luckyman
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2203
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 25
อาจารย์วิเคราะห์ได้ น่าสนใจ มากครับ
สถานการณ์แบบนี้ ผมไม่ค่อยชอบเลย
- บางคนก็ให้ข้อมูล ไม่รู้จริง ไม่รู้ปลอม ตรวจสอบยากมากๆครับ
- การบิดเบือนข่าว ใช้อำนาจปิดสื่อ ban สื่อ ปิดกั้นข่าวสาร ให้ข่าวด้านเดียว อันนี้แย่มากๆ เลยครับ นี่คือ วิถีเผด็จการนะครับ ไม่ใช่ประชาธิปไตย
- บางคน ใครเห็นต่างกับตัวเอง = คนเลว คนชั่ว แต่ถ้าใครเห็นด้วยกับตัวเอง = คนดี
- บางคน รู้ข้อมูลนิดเดียว ไปด่าคนอื่น
- บางคนปิดกั้นตัวเอง ไม่รับรู้ข่าวสารอะไรทั้งนั้น
ผมอยากให้มีสื่อกลาง ช่องทางกลาง แล้วเราทุกคน ทุกสี มาช่วยกัน รวบรวมข้อมูล หาข้อมูลร่วมกัน แล้วมาถก มารีวิวกัน มาตรวจสอบความถูกต้องร่วมกัน โดยใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์
ถ้าทำได้ และไม่โดนเผด็จการสั่งแบน สั่งปิด น่าจะดีนะครับ
สถานการณ์แบบนี้ ผมไม่ค่อยชอบเลย
- บางคนก็ให้ข้อมูล ไม่รู้จริง ไม่รู้ปลอม ตรวจสอบยากมากๆครับ
- การบิดเบือนข่าว ใช้อำนาจปิดสื่อ ban สื่อ ปิดกั้นข่าวสาร ให้ข่าวด้านเดียว อันนี้แย่มากๆ เลยครับ นี่คือ วิถีเผด็จการนะครับ ไม่ใช่ประชาธิปไตย
- บางคน ใครเห็นต่างกับตัวเอง = คนเลว คนชั่ว แต่ถ้าใครเห็นด้วยกับตัวเอง = คนดี
- บางคน รู้ข้อมูลนิดเดียว ไปด่าคนอื่น
- บางคนปิดกั้นตัวเอง ไม่รับรู้ข่าวสารอะไรทั้งนั้น
ผมอยากให้มีสื่อกลาง ช่องทางกลาง แล้วเราทุกคน ทุกสี มาช่วยกัน รวบรวมข้อมูล หาข้อมูลร่วมกัน แล้วมาถก มารีวิวกัน มาตรวจสอบความถูกต้องร่วมกัน โดยใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์
ถ้าทำได้ และไม่โดนเผด็จการสั่งแบน สั่งปิด น่าจะดีนะครับ
website for the value investor
=> https://hoonapp.com
=> https://hoonapp.com
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1399
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 26
ผมเชื่อว่าปัญหามันต้องจบด้วยการเจรจาด้วยความจริงใจ รับฟังแก้ไขในสิ่งที่มันผิดชัดเจนก่อน
- หากฝ่ายหนึ่งคิดว่าการไม่กำหนด สว.250คน ด้วยอำนาจ ก็จะสูญเสียอำนาจตนและคิดว่าผู้ที่จะมาเป็นรัฐบาลนั้นเป็นปรปักษ์และต้องกำจัด และยืนยันว่าเสียอำนาจนี้ไม่ได้=>จะไม่มีการเจรจาเลย เพราะธงมันชัดเจนทำให้ต้องดำเนินการทุกวิธีให้ไปถึงจุดนั้น
- ผู้มีอำนาจตัวจริงต้องยอมเสียสละ เพราะว่าเคลือบแคงสงสัยหลายประการที่ปชช.มีนั้นไม่ได้รับคำตอบเลย
- และสุดท้ายประเทศจะเข้าสู้จุดหายนะเพราะกฎหมายปกครองทั้งหลายนั้นล้วนแต่ถูกเขียนด้วยผู้ปกครอง ซึ่งต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้วที่ต้องมีปรัชญาที่ดีก่อนแล้วนำมาเขียนเป็นกฎหมาย
-ในอีก 10 ปีข้างหน้าประเทศจะเผชิญกันปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายประเทศที่สูงขึ้นในขณะที่รายได้ภาษี/เงินเข้ากองทุนประกันสังคมสูงขึ้นไม่ทัน ได้แก่เงินบำนาญข้าราชการ, กองทุนประกันสังคม,สังคมผู้สูงอายุ .
- การขาดความสามารถในการแข่งขันที่ดีในอนาคต เกิดจากปัญหาในปัจจุบัน ฝ่ายราชการไม่มีความสามารถที่จะนำพาการพัฒนาประเทศ รวมถึงปัญหาคอรัปชั่นที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ(ตัวผมเองทำงานใกล้ชิดกับงานโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ รู้ได้เลยว่าโกงกินกันเชิงสัญญา และทั้งทุกอย่างเกิดจากข้าราชการรวมมือกับนักการเมืองที่แฝงมากับผู้รับจ้างหรือเราเรียกว่าผู้รับเหมาหรือรับสัมปทานแล้วแต่กรณี) ตัวอย่างที่เราเห็นง่ายๆคือการขุดทำถนนทั่วประเทศในช่วง5ปีที่ผ่านมาทั้งๆที่บางส่วนยังใช้งานได้ และน่าตกใจคือการเปิดใช้งานไม่ถึง 1 เดือนถนนพังแล้วแต่อ้างว่ารถวิ่งเกินน้ำหนัก ทำให้เงินที่นำไปพัฒนาประเทศสูญเปล่าและไร้ประสิทธิภาพ
- การโกงกินทำให้การแข่งขันภาคเอกชนนั้นตกต่ำ งานหลายๆอย่างเกิดจากวิ่งเต้น ไม่ใช่การแข่งขันกันลดต้นทุนด้วยการ พัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ การพัฒนาความสามารถแรงงานให้มีทักษะสูงขึ้น เพื่อที่จะกลับไปแข่งขันในครั้งต่อไป เพราะการแข่งขันนั้นไม่สำคัญเท่ากับวิ่งเต้น
- สภาพการศึกษาในต่างจังหวัดนั้นเละเทะ ผมเป็นนักเรียนตจว. มีความเข้าใจบริบทนี้ในระดับที่ดี ผมอ่านหนังสือภาษาไทยได้ลำบากแม้อยู่ม.4 ไม่ต้องพูดถึงภาษาอังกฤษ บวกเลขเศษส่วนยังไม่เป็นเลยในขณะที่อยู่ม.4, ครูเฉลยวิชาฟิสิกส์ผิดแบบง่ายๆ ทำไมในช่วงชีวิต ป1-ม3 ผมถึงมีอคติต่อการเรียน เพราะผมเห็นว่าครูนั้นใช้อำนาจในการปกครองในโรงเรียน ทำอะไรก็ได้ตามใจ และทำร้ายจิตใจผมเป็นอย่างมาก ผมต่อต้านครูเป็นอย่างมาก
ครูส่วนใหญ่เห็นว่าอาชีพครูคือ"อาชีพ"เท่านั้น เมื่อตกเย็นก็ไปทำอย่างอื่น ไม่มีความคิดว่าจะทำอย่างไรถึงทำให้เด็กๆเก่งขึ้นไป แข่งขันได้ ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ทัศนคติของความเป็นจิตวิญญาครูตกต่ำ(ไม่ทุกคนนะครับ) ผมเคยโดนครูตีหัวแตก โดนครูด่าว่าไอ้โง่ ผมเริ่มอ่านหนังสือในช่วงที่ผมเข้าม.4 ถึงช้าแต่ก็ได้เริ่ม และได้ย้ายโรงเรียนได้สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นจากครูที่ดีกว่า แต่ก็เป็นโรงเรียนรัฐที่ครูยังไม่เก่งด้านวิทยาศาตร์เท่าที่ควร
แม้กระทั้งในสมัยที่ผมจบวิศว(รัฐ) ผมเข้าสมัครเป็นอาจารย์เพื่อรับทุนไปเรียนตปท.ยังโดนบังคับให้ "คืนใบสมัคร" เพราะหัวหน้าภาควิชาโยธาได้รับใบสมัครจากเพื่อนผมซึ่งพ่อมีบริษัทรับเหมาและอจ.คนนี้ไปทำงาน part time ด้วย แต่ถ้าว่ากันในเรื่องเกรดวิชาหลักๆคงสู้ผมไม่ได้ นี่คือวิธีการกำจัดคู่แข่งอีกอย่างที่ทำกันในหมู่ข้าราชการ
- กฎหมายที่บิดเบี้ยว การตัดสินของศาล รัฐธรรมนูญทำให้การเรียนกฎหมายเกิดความงง แต่นักศึกษาจะเข้าใจดีว่า มันคือการใช้อำนาจที่บิดเบี้ยวของฝ่ายผู้มีอำนาจเหนือกฎหมายที่ดี (พวกเขาไม่สนใจ rule of law) เช่น "ให้ไปทำถนนลูกรังให้หมดก่อน ค่อยไปสร้างรถไฟความเร็วสูง" คำตัดสินเหล่านี้เสมือนใบสั่ง และไร้ตรรกะอย่างมาก
ดัวยปัญหาเหล่านี้มันจะทำให้ไทยมีบริษัทใหญ่ๆที่ดีๆยากในอนาคตเพราะประเทศมันพุพังด้วยปัญหาโครงสร้างการปกครองแบบวัฒนธรรมโกงกินแบบหน้าด้านๆ เราในฐานะของนักลงทุนก็ตะหนักดีว่าหากชาติโดยรัฐบาลไม่สามารถใช้ทรัพยากร เป็นผู้นำ ให้การศึกษา สร้างปรัชญาที่ดีให้แก่ปชช.แล้วประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร มีแต่เป็นฝ่ายเป็นกกและไม่ได้คุยกันด้วยตรรกะที่เหมาะสม เราจะอยู่กันยังไงครับ ไม่ใช่แค่สังคมที่พังสิ่งแวดล้อมก็จะพังไปด้วย
นับแต่นี้สังคมเราจะเข้าสู่สังคมสูงวัย ในช่วงนี้ประเทศเราควรจะมีความมั่งคั่งสะสมเหมือนประเทศพัฒนาแล้วแต่เราก็ไม่สามารถทำได้ (เสมอกับหุ้น cash cow)
ผมก็เหมือนเด็กๆอยากให้ประเทศพัฒนา แข่งขันกันอย่างเสรี และกฎหมายเป็นสิ่งศักดิ์ให้เหมือนประเทศอื่นๆที่พัฒนาแล้วซะที
- หากฝ่ายหนึ่งคิดว่าการไม่กำหนด สว.250คน ด้วยอำนาจ ก็จะสูญเสียอำนาจตนและคิดว่าผู้ที่จะมาเป็นรัฐบาลนั้นเป็นปรปักษ์และต้องกำจัด และยืนยันว่าเสียอำนาจนี้ไม่ได้=>จะไม่มีการเจรจาเลย เพราะธงมันชัดเจนทำให้ต้องดำเนินการทุกวิธีให้ไปถึงจุดนั้น
- ผู้มีอำนาจตัวจริงต้องยอมเสียสละ เพราะว่าเคลือบแคงสงสัยหลายประการที่ปชช.มีนั้นไม่ได้รับคำตอบเลย
- และสุดท้ายประเทศจะเข้าสู้จุดหายนะเพราะกฎหมายปกครองทั้งหลายนั้นล้วนแต่ถูกเขียนด้วยผู้ปกครอง ซึ่งต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้วที่ต้องมีปรัชญาที่ดีก่อนแล้วนำมาเขียนเป็นกฎหมาย
-ในอีก 10 ปีข้างหน้าประเทศจะเผชิญกันปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายประเทศที่สูงขึ้นในขณะที่รายได้ภาษี/เงินเข้ากองทุนประกันสังคมสูงขึ้นไม่ทัน ได้แก่เงินบำนาญข้าราชการ, กองทุนประกันสังคม,สังคมผู้สูงอายุ .
- การขาดความสามารถในการแข่งขันที่ดีในอนาคต เกิดจากปัญหาในปัจจุบัน ฝ่ายราชการไม่มีความสามารถที่จะนำพาการพัฒนาประเทศ รวมถึงปัญหาคอรัปชั่นที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ(ตัวผมเองทำงานใกล้ชิดกับงานโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ รู้ได้เลยว่าโกงกินกันเชิงสัญญา และทั้งทุกอย่างเกิดจากข้าราชการรวมมือกับนักการเมืองที่แฝงมากับผู้รับจ้างหรือเราเรียกว่าผู้รับเหมาหรือรับสัมปทานแล้วแต่กรณี) ตัวอย่างที่เราเห็นง่ายๆคือการขุดทำถนนทั่วประเทศในช่วง5ปีที่ผ่านมาทั้งๆที่บางส่วนยังใช้งานได้ และน่าตกใจคือการเปิดใช้งานไม่ถึง 1 เดือนถนนพังแล้วแต่อ้างว่ารถวิ่งเกินน้ำหนัก ทำให้เงินที่นำไปพัฒนาประเทศสูญเปล่าและไร้ประสิทธิภาพ
- การโกงกินทำให้การแข่งขันภาคเอกชนนั้นตกต่ำ งานหลายๆอย่างเกิดจากวิ่งเต้น ไม่ใช่การแข่งขันกันลดต้นทุนด้วยการ พัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ การพัฒนาความสามารถแรงงานให้มีทักษะสูงขึ้น เพื่อที่จะกลับไปแข่งขันในครั้งต่อไป เพราะการแข่งขันนั้นไม่สำคัญเท่ากับวิ่งเต้น
- สภาพการศึกษาในต่างจังหวัดนั้นเละเทะ ผมเป็นนักเรียนตจว. มีความเข้าใจบริบทนี้ในระดับที่ดี ผมอ่านหนังสือภาษาไทยได้ลำบากแม้อยู่ม.4 ไม่ต้องพูดถึงภาษาอังกฤษ บวกเลขเศษส่วนยังไม่เป็นเลยในขณะที่อยู่ม.4, ครูเฉลยวิชาฟิสิกส์ผิดแบบง่ายๆ ทำไมในช่วงชีวิต ป1-ม3 ผมถึงมีอคติต่อการเรียน เพราะผมเห็นว่าครูนั้นใช้อำนาจในการปกครองในโรงเรียน ทำอะไรก็ได้ตามใจ และทำร้ายจิตใจผมเป็นอย่างมาก ผมต่อต้านครูเป็นอย่างมาก
ครูส่วนใหญ่เห็นว่าอาชีพครูคือ"อาชีพ"เท่านั้น เมื่อตกเย็นก็ไปทำอย่างอื่น ไม่มีความคิดว่าจะทำอย่างไรถึงทำให้เด็กๆเก่งขึ้นไป แข่งขันได้ ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ทัศนคติของความเป็นจิตวิญญาครูตกต่ำ(ไม่ทุกคนนะครับ) ผมเคยโดนครูตีหัวแตก โดนครูด่าว่าไอ้โง่ ผมเริ่มอ่านหนังสือในช่วงที่ผมเข้าม.4 ถึงช้าแต่ก็ได้เริ่ม และได้ย้ายโรงเรียนได้สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นจากครูที่ดีกว่า แต่ก็เป็นโรงเรียนรัฐที่ครูยังไม่เก่งด้านวิทยาศาตร์เท่าที่ควร
แม้กระทั้งในสมัยที่ผมจบวิศว(รัฐ) ผมเข้าสมัครเป็นอาจารย์เพื่อรับทุนไปเรียนตปท.ยังโดนบังคับให้ "คืนใบสมัคร" เพราะหัวหน้าภาควิชาโยธาได้รับใบสมัครจากเพื่อนผมซึ่งพ่อมีบริษัทรับเหมาและอจ.คนนี้ไปทำงาน part time ด้วย แต่ถ้าว่ากันในเรื่องเกรดวิชาหลักๆคงสู้ผมไม่ได้ นี่คือวิธีการกำจัดคู่แข่งอีกอย่างที่ทำกันในหมู่ข้าราชการ
- กฎหมายที่บิดเบี้ยว การตัดสินของศาล รัฐธรรมนูญทำให้การเรียนกฎหมายเกิดความงง แต่นักศึกษาจะเข้าใจดีว่า มันคือการใช้อำนาจที่บิดเบี้ยวของฝ่ายผู้มีอำนาจเหนือกฎหมายที่ดี (พวกเขาไม่สนใจ rule of law) เช่น "ให้ไปทำถนนลูกรังให้หมดก่อน ค่อยไปสร้างรถไฟความเร็วสูง" คำตัดสินเหล่านี้เสมือนใบสั่ง และไร้ตรรกะอย่างมาก
ดัวยปัญหาเหล่านี้มันจะทำให้ไทยมีบริษัทใหญ่ๆที่ดีๆยากในอนาคตเพราะประเทศมันพุพังด้วยปัญหาโครงสร้างการปกครองแบบวัฒนธรรมโกงกินแบบหน้าด้านๆ เราในฐานะของนักลงทุนก็ตะหนักดีว่าหากชาติโดยรัฐบาลไม่สามารถใช้ทรัพยากร เป็นผู้นำ ให้การศึกษา สร้างปรัชญาที่ดีให้แก่ปชช.แล้วประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร มีแต่เป็นฝ่ายเป็นกกและไม่ได้คุยกันด้วยตรรกะที่เหมาะสม เราจะอยู่กันยังไงครับ ไม่ใช่แค่สังคมที่พังสิ่งแวดล้อมก็จะพังไปด้วย
นับแต่นี้สังคมเราจะเข้าสู่สังคมสูงวัย ในช่วงนี้ประเทศเราควรจะมีความมั่งคั่งสะสมเหมือนประเทศพัฒนาแล้วแต่เราก็ไม่สามารถทำได้ (เสมอกับหุ้น cash cow)
ผมก็เหมือนเด็กๆอยากให้ประเทศพัฒนา แข่งขันกันอย่างเสรี และกฎหมายเป็นสิ่งศักดิ์ให้เหมือนประเทศอื่นๆที่พัฒนาแล้วซะที
มาคุยกันได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/value.investing.freedom
- Highway_Star
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 452
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 27
ผมไม่ค่อยห่วงเรื่องน้องๆ เท่าไหร่ สุดท้ายพวกเขาชนะแน่นอน เพราะพวกเขาคืออนาคต
และโลกมันหมุนไปทางเค้า ไม่ว่าจะระบบการปกครองหรือยุคสมัย
เพียงแต่ไม่อยากให้มันนานเกินไปเท่านั้น ยิ่งนานประเทศยิ่งโดนทิ้งห่าง
ทุกความทิ้งห่างที่เกิดขึ้น คือความยากลำบากของประชาชนในอนาคต
สังคมผู้สูงอายุ(ที่ไม่มีเงิน)
และเด็กๆ ที่โดนปิดโอกาส ....ประเทศเรามันจะขับเคลื่อนด้วยอะไร
ผมทึ่งมากที่ประเทศเรามาถึงจุดนี้ได้ แม้ระบบมันจะพิกลพิการขนาดนี้ คนเก่งในไทยนี่มันก็เก่งจริงๆ
ถ้าทุกอย่างลงตัวประเทศเราไปไกลแน่ๆ
แค่คิดหัวใจก็พองโตและเปี่ยมไปด้วยความหวังแล้วครับ
และโลกมันหมุนไปทางเค้า ไม่ว่าจะระบบการปกครองหรือยุคสมัย
เพียงแต่ไม่อยากให้มันนานเกินไปเท่านั้น ยิ่งนานประเทศยิ่งโดนทิ้งห่าง
ทุกความทิ้งห่างที่เกิดขึ้น คือความยากลำบากของประชาชนในอนาคต
สังคมผู้สูงอายุ(ที่ไม่มีเงิน)
และเด็กๆ ที่โดนปิดโอกาส ....ประเทศเรามันจะขับเคลื่อนด้วยอะไร
ผมทึ่งมากที่ประเทศเรามาถึงจุดนี้ได้ แม้ระบบมันจะพิกลพิการขนาดนี้ คนเก่งในไทยนี่มันก็เก่งจริงๆ
ถ้าทุกอย่างลงตัวประเทศเราไปไกลแน่ๆ
แค่คิดหัวใจก็พองโตและเปี่ยมไปด้วยความหวังแล้วครับ
- luckyman
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2203
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 28
ผมสงสัยว่า การโกง การคอรัปชั่น มันตรวจสอบไม่ได้เหรอครับ แล้วฝ่ายค้าน ทำไมไม่รู้ว่ามีการโกง หรือรวมหัวกันโกง
wj เขียน: ↑อาทิตย์ ต.ค. 25, 2020 5:40 pmผมเชื่อว่าปัญหามันต้องจบด้วยการเจรจาด้วยความจริงใจ รับฟังแก้ไขในสิ่งที่มันผิดชัดเจนก่อน
- หากฝ่ายหนึ่งคิดว่าการไม่กำหนด สว.250คน ด้วยอำนาจ ก็จะสูญเสียอำนาจตนและคิดว่าผู้ที่จะมาเป็นรัฐบาลนั้นเป็นปรปักษ์และต้องกำจัด และยืนยันว่าเสียอำนาจนี้ไม่ได้=>จะไม่มีการเจรจาเลย เพราะธงมันชัดเจนทำให้ต้องดำเนินการทุกวิธีให้ไปถึงจุดนั้น
- ผู้มีอำนาจตัวจริงต้องยอมเสียสละ เพราะว่าเคลือบแคงสงสัยหลายประการที่ปชช.มีนั้นไม่ได้รับคำตอบเลย
- และสุดท้ายประเทศจะเข้าสู้จุดหายนะเพราะกฎหมายปกครองทั้งหลายนั้นล้วนแต่ถูกเขียนด้วยผู้ปกครอง ซึ่งต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้วที่ต้องมีปรัชญาที่ดีก่อนแล้วนำมาเขียนเป็นกฎหมาย
-ในอีก 10 ปีข้างหน้าประเทศจะเผชิญกันปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายประเทศที่สูงขึ้นในขณะที่รายได้ภาษี/เงินเข้ากองทุนประกันสังคมสูงขึ้นไม่ทัน ได้แก่เงินบำนาญข้าราชการ, กองทุนประกันสังคม,สังคมผู้สูงอายุ .
- การขาดความสามารถในการแข่งขันที่ดีในอนาคต เกิดจากปัญหาในปัจจุบัน ฝ่ายราชการไม่มีความสามารถที่จะนำพาการพัฒนาประเทศ รวมถึงปัญหาคอรัปชั่นที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ(ตัวผมเองทำงานใกล้ชิดกับงานโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ รู้ได้เลยว่าโกงกินกันเชิงสัญญา และทั้งทุกอย่างเกิดจากข้าราชการรวมมือกับนักการเมืองที่แฝงมากับผู้รับจ้างหรือเราเรียกว่าผู้รับเหมาหรือรับสัมปทานแล้วแต่กรณี) ตัวอย่างที่เราเห็นง่ายๆคือการขุดทำถนนทั่วประเทศในช่วง5ปีที่ผ่านมาทั้งๆที่บางส่วนยังใช้งานได้ และน่าตกใจคือการเปิดใช้งานไม่ถึง 1 เดือนถนนพังแล้วแต่อ้างว่ารถวิ่งเกินน้ำหนัก ทำให้เงินที่นำไปพัฒนาประเทศสูญเปล่าและไร้ประสิทธิภาพ
- การโกงกินทำให้การแข่งขันภาคเอกชนนั้นตกต่ำ งานหลายๆอย่างเกิดจากวิ่งเต้น ไม่ใช่การแข่งขันกันลดต้นทุนด้วยการ พัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ การพัฒนาความสามารถแรงงานให้มีทักษะสูงขึ้น เพื่อที่จะกลับไปแข่งขันในครั้งต่อไป เพราะการแข่งขันนั้นไม่สำคัญเท่ากับวิ่งเต้น
- สภาพการศึกษาในต่างจังหวัดนั้นเละเทะ ผมเป็นนักเรียนตจว. มีความเข้าใจบริบทนี้ในระดับที่ดี ผมอ่านหนังสือภาษาไทยได้ลำบากแม้อยู่ม.4 ไม่ต้องพูดถึงภาษาอังกฤษ บวกเลขเศษส่วนยังไม่เป็นเลยในขณะที่อยู่ม.4, ครูเฉลยวิชาฟิสิกส์ผิดแบบง่ายๆ ทำไมในช่วงชีวิต ป1-ม3 ผมถึงมีอคติต่อการเรียน เพราะผมเห็นว่าครูนั้นใช้อำนาจในการปกครองในโรงเรียน ทำอะไรก็ได้ตามใจ และทำร้ายจิตใจผมเป็นอย่างมาก ผมต่อต้านครูเป็นอย่างมาก
ครูส่วนใหญ่เห็นว่าอาชีพครูคือ"อาชีพ"เท่านั้น เมื่อตกเย็นก็ไปทำอย่างอื่น ไม่มีความคิดว่าจะทำอย่างไรถึงทำให้เด็กๆเก่งขึ้นไป แข่งขันได้ ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ทัศนคติของความเป็นจิตวิญญาครูตกต่ำ(ไม่ทุกคนนะครับ) ผมเคยโดนครูตีหัวแตก โดนครูด่าว่าไอ้โง่ ผมเริ่มอ่านหนังสือในช่วงที่ผมเข้าม.4 ถึงช้าแต่ก็ได้เริ่ม และได้ย้ายโรงเรียนได้สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นจากครูที่ดีกว่า แต่ก็เป็นโรงเรียนรัฐที่ครูยังไม่เก่งด้านวิทยาศาตร์เท่าที่ควร
แม้กระทั้งในสมัยที่ผมจบวิศว(รัฐ) ผมเข้าสมัครเป็นอาจารย์เพื่อรับทุนไปเรียนตปท.ยังโดนบังคับให้ "คืนใบสมัคร" เพราะหัวหน้าภาควิชาโยธาได้รับใบสมัครจากเพื่อนผมซึ่งพ่อมีบริษัทรับเหมาและอจ.คนนี้ไปทำงาน part time ด้วย แต่ถ้าว่ากันในเรื่องเกรดวิชาหลักๆคงสู้ผมไม่ได้ นี่คือวิธีการกำจัดคู่แข่งอีกอย่างที่ทำกันในหมู่ข้าราชการ
- กฎหมายที่บิดเบี้ยว การตัดสินของศาล รัฐธรรมนูญทำให้การเรียนกฎหมายเกิดความงง แต่นักศึกษาจะเข้าใจดีว่า มันคือการใช้อำนาจที่บิดเบี้ยวของฝ่ายผู้มีอำนาจเหนือกฎหมายที่ดี (พวกเขาไม่สนใจ rule of law) เช่น "ให้ไปทำถนนลูกรังให้หมดก่อน ค่อยไปสร้างรถไฟความเร็วสูง" คำตัดสินเหล่านี้เสมือนใบสั่ง และไร้ตรรกะอย่างมาก
ดัวยปัญหาเหล่านี้มันจะทำให้ไทยมีบริษัทใหญ่ๆที่ดีๆยากในอนาคตเพราะประเทศมันพุพังด้วยปัญหาโครงสร้างการปกครองแบบวัฒนธรรมโกงกินแบบหน้าด้านๆ เราในฐานะของนักลงทุนก็ตะหนักดีว่าหากชาติโดยรัฐบาลไม่สามารถใช้ทรัพยากร เป็นผู้นำ ให้การศึกษา สร้างปรัชญาที่ดีให้แก่ปชช.แล้วประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร มีแต่เป็นฝ่ายเป็นกกและไม่ได้คุยกันด้วยตรรกะที่เหมาะสม เราจะอยู่กันยังไงครับ ไม่ใช่แค่สังคมที่พังสิ่งแวดล้อมก็จะพังไปด้วย
นับแต่นี้สังคมเราจะเข้าสู่สังคมสูงวัย ในช่วงนี้ประเทศเราควรจะมีความมั่งคั่งสะสมเหมือนประเทศพัฒนาแล้วแต่เราก็ไม่สามารถทำได้ (เสมอกับหุ้น cash cow)
ผมก็เหมือนเด็กๆอยากให้ประเทศพัฒนา แข่งขันกันอย่างเสรี และกฎหมายเป็นสิ่งศักดิ์ให้เหมือนประเทศอื่นๆที่พัฒนาแล้วซะที
website for the value investor
=> https://hoonapp.com
=> https://hoonapp.com
- luckyman
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2203
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อนาคตของประเทศไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 29
อันนี้สำนักข่าวรอยเตอร์ เขาเขียนข่าวเรื่องเหตุการขบวนเสด็จครับ
https://uk.reuters.com/article/uk-thail ... WPWBTcTgjY
https://uk.reuters.com/article/uk-thail ... WPWBTcTgjY
website for the value investor
=> https://hoonapp.com
=> https://hoonapp.com