เทพ รุ่งธนาภิรมย์
- pornchai_w
- Verified User
- โพสต์: 247
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 61
ส่วนตัวผมคิดว่าคงไม่ใช่วิธีไหนจะถูกหรือผิด 100% หรอกครับ
แต่ผมเชื่อว่าหากวิเคราะห์แบบ VI อย่างดีแล้วราคาหุ้นควรจะต้องขึ้นไปเรื่อยๆ ในระยะยาว เรียกว่าเติบโตอย่างต่อเนื่องนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่ากลยุทธ์การตกแต่งสวน(ขายออกและรอซื้อใหม่) นั้นก็สามารถใช้เพื่อเพิ่มValue ของพอร์ตได้เช่นกัน
สมมุติว่าวันนี้ มีหุ้น AAA ราคา 10 บาท วิเคราะห์ดูแล้วคุณภาพบริษัทดีมาก วิเคราะห์ตามแบบ VI ราคาที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ 13 บาท (ณ สิ้นปี 2010 โต30%) และไปที่ 20 บาท (สิ้นปี 2011 โต54%)
ต่อมาตลาดหุ้นมีข่าวดีเข้ามามากมายตลาดโดยรวมโต ดัชนี้ขึ้นวันละ3-5% (เคยมีช่วงหนึ่งก่อนsub-primeขึ้นอย่างนี้จริงๆ)ภายใน10วันทำการหุ้น AAA ขึ้นวันละ 5% ราคาหุ้นมาอยู่ที่ 15.50 บาท
กรณีที่1 ในแง่ VI ที่มีแนวคิดว่าจะถือหุ้นไปเรื่อยๆ ตราบที่ธุรกิจยังดีอยู่นั้น ก็คงไม่ขายหุ้นออกมาและมองว่าธุรกิจดีจริงหุ้นก็ย่อมขึ้นได้แรงเป็นธรรมดาและจะขึ้นไปเรื่อยๆ อาจจะถึง 20บาท(ราคาในอีก2ปีข้างหน้า) ดังนั้นไม่ขายดีกว่า
กรณีที่2 กลยุทธ์ตกแต่งสวนก็อาจจะขายออกไปบางส่วนเพราะคิดว่าตลาดขึ้นมาแรงเกินไป จึงตกแต่งสวนเอาเงินสดออกมาก่อนเพื่อลดต้นทุนและรอจังหวะซื้อคืนหากราคาตกลงไป หรือหากราคาขึ้นหุ้นที่เหลือก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้น (แต่เสียประโยชน์ในส่วนที่ขายออกไปแล้ว)
ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ว่า หลังจากนั้น
1. หากตลาดโดยรวมดี และหุ้น AAA ขึ้นต่อจริงการเลือกยุทธวิธีในกรณีที่1 ก็จะได้Valueเต็มๆ(ไม่ใช่กำไรเนอะเพราะไม่ได้ขายเพื่อเอาเงิน) ส่วนกรณีที่2 ก็ได้น้อยกว่าและต้องนำเงินที่ขายหุ้นไปไปหาซื้อหุ้นตัวนี้(ทำใจลำบากนิดหน่อย)หรือหาซื้อหุ้นตัวใหม่ต่อไป
2. หากหุ้นตลาดโดยรวมแย่ และหุ้น AAA ลงมาที่สมมุติว่า 11 บาท กรณีที่1 ก็จะได้ Value น้อยลง ส่วนกรณีที่2 ก็สามารถนำเงินที่เคยขายหุ้นไว้มาซื้อหุ้นได้จำนวนมากขึ้นกว่าตอนที่ขายออกไป
ดังนั้นอยู่ที่ว่าใครจะมองอย่างไรหรือถนัดแบบไหนมากกว่า
โดยส่วนตัวผมเคยเป็นทั้ง2อย่าง
ขึ้นแรงมาก ไม่ขายแล้วลงมา=ไม่รู้เรียกว่าอะไร??
ขึ้นแรง ขาย ราคาขึ้นต่อ=ขายหมู
แต่ผมเชื่อว่าหากวิเคราะห์แบบ VI อย่างดีแล้วราคาหุ้นควรจะต้องขึ้นไปเรื่อยๆ ในระยะยาว เรียกว่าเติบโตอย่างต่อเนื่องนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่ากลยุทธ์การตกแต่งสวน(ขายออกและรอซื้อใหม่) นั้นก็สามารถใช้เพื่อเพิ่มValue ของพอร์ตได้เช่นกัน
สมมุติว่าวันนี้ มีหุ้น AAA ราคา 10 บาท วิเคราะห์ดูแล้วคุณภาพบริษัทดีมาก วิเคราะห์ตามแบบ VI ราคาที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ 13 บาท (ณ สิ้นปี 2010 โต30%) และไปที่ 20 บาท (สิ้นปี 2011 โต54%)
ต่อมาตลาดหุ้นมีข่าวดีเข้ามามากมายตลาดโดยรวมโต ดัชนี้ขึ้นวันละ3-5% (เคยมีช่วงหนึ่งก่อนsub-primeขึ้นอย่างนี้จริงๆ)ภายใน10วันทำการหุ้น AAA ขึ้นวันละ 5% ราคาหุ้นมาอยู่ที่ 15.50 บาท
กรณีที่1 ในแง่ VI ที่มีแนวคิดว่าจะถือหุ้นไปเรื่อยๆ ตราบที่ธุรกิจยังดีอยู่นั้น ก็คงไม่ขายหุ้นออกมาและมองว่าธุรกิจดีจริงหุ้นก็ย่อมขึ้นได้แรงเป็นธรรมดาและจะขึ้นไปเรื่อยๆ อาจจะถึง 20บาท(ราคาในอีก2ปีข้างหน้า) ดังนั้นไม่ขายดีกว่า
กรณีที่2 กลยุทธ์ตกแต่งสวนก็อาจจะขายออกไปบางส่วนเพราะคิดว่าตลาดขึ้นมาแรงเกินไป จึงตกแต่งสวนเอาเงินสดออกมาก่อนเพื่อลดต้นทุนและรอจังหวะซื้อคืนหากราคาตกลงไป หรือหากราคาขึ้นหุ้นที่เหลือก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้น (แต่เสียประโยชน์ในส่วนที่ขายออกไปแล้ว)
ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ว่า หลังจากนั้น
1. หากตลาดโดยรวมดี และหุ้น AAA ขึ้นต่อจริงการเลือกยุทธวิธีในกรณีที่1 ก็จะได้Valueเต็มๆ(ไม่ใช่กำไรเนอะเพราะไม่ได้ขายเพื่อเอาเงิน) ส่วนกรณีที่2 ก็ได้น้อยกว่าและต้องนำเงินที่ขายหุ้นไปไปหาซื้อหุ้นตัวนี้(ทำใจลำบากนิดหน่อย)หรือหาซื้อหุ้นตัวใหม่ต่อไป
2. หากหุ้นตลาดโดยรวมแย่ และหุ้น AAA ลงมาที่สมมุติว่า 11 บาท กรณีที่1 ก็จะได้ Value น้อยลง ส่วนกรณีที่2 ก็สามารถนำเงินที่เคยขายหุ้นไว้มาซื้อหุ้นได้จำนวนมากขึ้นกว่าตอนที่ขายออกไป
ดังนั้นอยู่ที่ว่าใครจะมองอย่างไรหรือถนัดแบบไหนมากกว่า
โดยส่วนตัวผมเคยเป็นทั้ง2อย่าง
ขึ้นแรงมาก ไม่ขายแล้วลงมา=ไม่รู้เรียกว่าอะไร??
ขึ้นแรง ขาย ราคาขึ้นต่อ=ขายหมู
- tonyprc
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 72
- ผู้ติดตาม: 0
- tonyprc
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 72
- ผู้ติดตาม: 0
- luckyman
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2203
- ผู้ติดตาม: 0