The Buffett Lift การลงทุนในหุ้น BYD ของ Warren E.Buffett
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
The Buffett Lift การลงทุนในหุ้น BYD ของ Warren E.Buffett
โพสต์ที่ 1
นำมาจาก blog ของพี่โจ๊ก (สุมาอี้) ครับ
อ่านแล้วผมได้ข้อคิดการลงทุนเยอะเลย
เลยนำมาฝากกันครับ
0389: The Buffett Lift
April 12th, 2011 Leave a comment Go to comments
http://dekisugi.net/archives/11852
ในปี 2008 วอเรน บัฟเฟต ได้ตัดสินใจเข้าลงทุนใน BYD บริษัทสัญชาติจีนผู้ผลิตรถยนต์ แบตเตอรีมือถือ และแผงโซล่าร์เซลล์ โดยเข้าถือหุ้นในบริษัทคิดเป็นสัดส่วนทั้งสิ้น 10%
ก่อนหน้านั้น BYD เริ่มต้นประสบความสำเร็จจากธุรกิจแบตเตอรีมือถือเป็นอันดับแรก เมื่อธุรกิจแบตเตอรีของบริษัทเริ่มอิ่มตัว BYD ก็ก้าวเข้าสู่ธุรกิจรถยนต์ โดยผลิตรถยนต์ขนาดเล็กที่มีราคาถูกมาก แต่มีฟังก์ชั่นอย่างครบครัน ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างงดงามได้อีกครั้ง
ชาร์ลี มังเจอร์ คู่หูของบัฟเฟตนั้น ประทับใจในตัว Mr.Wang ประธาน BYD เป็นอย่างมากถึงกับบอกว่า เขาผู้นี้คือส่วนผสมระหว่าง โธมัส เอดิสันในด้านวิศวกรรม และแจ็ค เวลช์ ในด้านการจัดการธุรกิจ หลังจากบัฟเฟตเข้าลงทุน แผนการต่อไปของ BYD (ชื่อบริษัทนั้นย่อมาจากคำว่า Build Your Dreams) คือ การผลิตรถยนต์ไฮบริดจ์รุ่นแรกที่สามารถสับเปลี่ยนการใช้พลังงานจากน้ำมัน เป็นไฟฟ้าได้อย่างง่ายดายเพียงแค่คนขับกดสวิทซ์ไปมาเท่านั้น
ผลปรากฏว่า หลังจากที่ข่าวบัฟเฟตเข้าลงทุนใน BYD ถูกเปิดเผยออกมา ราคาหุ้น BYD ก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจาก HK$8.xx ไปถึง HK$85.5 หรือกว่าเก้าเท่าตัว ภายในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ทำให้เบิร์กไชส์ ฮาร์ดาเวย์ บริษัทการลงทุนของบัฟเฟตบันทึกกำไรอย่างงดงาม ตลาดให้ความมั่นใจกับการตัดสินใจของบัฟเฟตหนนี้มาก เพราะแม้ดีลนี้จะถูกมองว่าบัฟเฟตเลือกลงทุนนอกความถนัดของเขา แถมยังเป็นการลงทุนนอกสหรัฐฯ อีกต่างหาก แต่ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตก็เคยตัดสินใจลงทุนในบริษัทน้ำมันของจีน เปโตรไชน่า และได้กำไรอย่างมหาศาลในเวลาที่รวดเร็วมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากการเข้าลงทุนของบัฟเฟต BYD ได้ไม่นานนัก BYD ก็เริ่มประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังคงไม่สามารถเข็นรถไฮบริดจ์รุ่นที่ฝันไว้ออกมาได้จนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ รถไฮบริดจ์ที่วางแผนจะออกจำหน่ายในสหรัฐฯ ก็มีกำหนดต้องเลื่อนออกไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า รถยนต์รุ่นเก่าๆ ของ BYD ในจีนที่เคยประสบความสำเร็จก็เริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีบริษัทคู่แข่งที่ออกรถแบบเดียวกันในราคาที่ต่ำกว่าหรือมี เทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าออกมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้รถของ BYD สูญเสียความน่าดึงดูดในตลาดจีนไป
ในแง่รายได้ แม้ว่า BYD จะมียอดขายเติบโตถึง 18% ในปี 2010 แต่ก็ต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทได้ตั้งเอาไว้เป็นอย่างมาก และเมื่อ เทียบกับตลาดจีนโดยรวมที่เติบโตกว่า 33% แล้วต้องถือได้ว่าคือความล้มเหลว อีกทั้งเมื่อเร็วนี้ๆ บริษัทก็ยังคาดว่า ยอดขายในปี 2011 อาจลดลงมากถึง 20% yoy เนื่องมาจากภาวะตลาดรถยนต์ในจีนปีนี้ดูไม่สดใสนัก
นอกจากนี้ บริษัทก็ยังเผชิญกับวิบากกรรมจากการถูกทางการปรับเงินในคดีซื้อที่ดินที่ใช้ สร้างโรงงานมาอย่างไม่ถูกกฏหมาย และงบการเงินของบริษัทก็ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับยอดขายบางส่วนของบริษัท ซึ่งอาจเกิดจากการผลักดันสินค้าไปยังงบของดีลเลอร์มากเกินกว่ายอดขายแท้จริง ที่ขายสู่ผู้บริโภค เพื่อดันตัวเลขรายได้ให้ดูสูงขึ้นกว่าความเป็นจริงอีกด้วย
ข่าวร้ายที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องเหล่านี้ได้ลดความมั่นใจของตลาด เกี่ยวกับธุรกิจของ BYD ลงอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ราคาหุ้นในปัจจุบันลดต่ำลงมาเหลือเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งในสามของราคา สูงสุดที่ขึ้นไปในปี 2009 แล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นด้วย
ว่าไปแล้ว กรณี BYD ช่วยเตือนนักลงทุนได้หลายอย่างเกี่ยวกับความเป็นจริงในตลาดหุ้น
ประการแรก ธุรกิจเป็นเรื่องของความไม่แน่นอน ไม่มีใครในตลาดหุ้นที่สามารถคิดได้ถูกต้องตลอดเวลา ต่อให้เก่งขนาดไหนก็ตาม ความสำเร็จของบัฟเฟตในระยะยาวนั้นน่าจะมีอะไรมากกว่าแค่การเลือกหุ้นให้ถูกตัว
ประการต่อมา ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปในระยะสั้นบ่อยครั้งเกิดจากการเชื่อตามๆ กันของคนในตลาดหุ้นเท่านั้น ไม่ต้องเกี่ยวกับผลประกอบการแต่อย่างใด
การเข้าลงทุนโดยบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็น focal point ที่ยอดเยี่ยมที่ทำให้ทุกคนพร้อมใจกันเข้ามาลงทุนในหุ้นตัวเดียวกันได้ และบ่อยครั้ง การแห่ตามกันก็สามารถทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ และดูจะมากกว่าผลประกอบการด้วยซ้ำ เพราะธุรกิจโดยทั่วไปนั้น การทำกำไรให้เพิ่มขึ้นได้ 20-25% ต่อปีนั้นก็ถือว่าหืดขึ้นคอแล้ว แต่ภาวะที่คนเชื่อตามๆ กัน สามารถทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 100-900% ในเวลาไม่ถึงปี
ปกติถ้ามีใครมาเขียนบทความบอกว่าการลงทุนด้วยวิธีแบบนี้น่าสนใจ คงจะโดนด่าแน่ๆ โดยเฉพาะจากคนที่มองการลงทุนว่าเป็นเรื่องของฝ่ายความดีต่อสู้กับความชั่ว แต่ถ้าจะว่ากันไปตามเนื้อผ้า ก็ต้องยอมรับว่า วิธีซื้อหุ้นตามคนดังอาจเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวนัก เมื่อพิจารณาจาก downside vs. upside เพราะแม้ downside จะมาก แต่ upside ก็มากกว่าหลายเท่าด้วย
ประการถัดไป สุดท้ายแล้ว ผลประกอบการก็ยังคงเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อราคาหุ้นอยู่เสมอ แต่เป็นในระยะยาวๆ เพราะต่อให้เทพมีชื่อเสียงขนาดไหน ถ้าผลประกอบยังคงไปคนละทางกับราคาหุ้นอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วแม้แต่เทพก็ไม่อาจยันราคาไว้ให้ได้
เพราะฉะนั้น หากคิดจะเล่นหุ้นแนวนี้ ต้องรู้จัก “ตาสว่าง” เร็ว เพราะราคาตอนที่เราเข้าซื้อ มักไม่ใช่ราคาที่มืพื้นฐานใดๆ รองรับ แต่เป็นราคาพรีเมี่ยมแล้ว เนื่องจากเป็นราคาที่มีเทพการันตีแล้ว ดังนั้นหากปรากฏออกมาเมื่อใดว่า ผลประกอบการข้างหน้าอาจไม่ดีอย่างที่เทพคิด ต้องรู้จัก “ตื่น” ให้ไว เพราะ price correction จะรุนแรงมาก ในขณะที่ต้นทุนของเราไม่มีพื้นฐาน พูดง่ายๆ ก็คือ อย่ามัวแต่ “เคลิ้ม”
สุดท้ายแล้ว การซื้อตามเซียนก็ยังต้องดูเองเป็นอยู่ดี เพราะต้องพึ่งตนเองตอน “ขาย” เนื่องจากเวลาขาย เซียนมักไม่มาช่วยบอกเราก่อน และอย่าลืมว่า ตอนหุ้นตก เซียนไม่เสี่ยงอะไรกับเราเลย เพราะต้นทุนของเขาอยู่ต่ำกว่าตอนที่หุ้นเริ่มวิ่ง ฉะนั้น ถ้าราคาหุ้นตกกลับลงมาที่เดิม เขาก็เพียงแค่เท่าทุนเท่านั้น มีแต่เราเท่านั้นที่กระเป๋าฉีก
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
อ่านแล้วผมได้ข้อคิดการลงทุนเยอะเลย
เลยนำมาฝากกันครับ
0389: The Buffett Lift
April 12th, 2011 Leave a comment Go to comments
http://dekisugi.net/archives/11852
ในปี 2008 วอเรน บัฟเฟต ได้ตัดสินใจเข้าลงทุนใน BYD บริษัทสัญชาติจีนผู้ผลิตรถยนต์ แบตเตอรีมือถือ และแผงโซล่าร์เซลล์ โดยเข้าถือหุ้นในบริษัทคิดเป็นสัดส่วนทั้งสิ้น 10%
ก่อนหน้านั้น BYD เริ่มต้นประสบความสำเร็จจากธุรกิจแบตเตอรีมือถือเป็นอันดับแรก เมื่อธุรกิจแบตเตอรีของบริษัทเริ่มอิ่มตัว BYD ก็ก้าวเข้าสู่ธุรกิจรถยนต์ โดยผลิตรถยนต์ขนาดเล็กที่มีราคาถูกมาก แต่มีฟังก์ชั่นอย่างครบครัน ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างงดงามได้อีกครั้ง
ชาร์ลี มังเจอร์ คู่หูของบัฟเฟตนั้น ประทับใจในตัว Mr.Wang ประธาน BYD เป็นอย่างมากถึงกับบอกว่า เขาผู้นี้คือส่วนผสมระหว่าง โธมัส เอดิสันในด้านวิศวกรรม และแจ็ค เวลช์ ในด้านการจัดการธุรกิจ หลังจากบัฟเฟตเข้าลงทุน แผนการต่อไปของ BYD (ชื่อบริษัทนั้นย่อมาจากคำว่า Build Your Dreams) คือ การผลิตรถยนต์ไฮบริดจ์รุ่นแรกที่สามารถสับเปลี่ยนการใช้พลังงานจากน้ำมัน เป็นไฟฟ้าได้อย่างง่ายดายเพียงแค่คนขับกดสวิทซ์ไปมาเท่านั้น
ผลปรากฏว่า หลังจากที่ข่าวบัฟเฟตเข้าลงทุนใน BYD ถูกเปิดเผยออกมา ราคาหุ้น BYD ก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจาก HK$8.xx ไปถึง HK$85.5 หรือกว่าเก้าเท่าตัว ภายในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ทำให้เบิร์กไชส์ ฮาร์ดาเวย์ บริษัทการลงทุนของบัฟเฟตบันทึกกำไรอย่างงดงาม ตลาดให้ความมั่นใจกับการตัดสินใจของบัฟเฟตหนนี้มาก เพราะแม้ดีลนี้จะถูกมองว่าบัฟเฟตเลือกลงทุนนอกความถนัดของเขา แถมยังเป็นการลงทุนนอกสหรัฐฯ อีกต่างหาก แต่ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตก็เคยตัดสินใจลงทุนในบริษัทน้ำมันของจีน เปโตรไชน่า และได้กำไรอย่างมหาศาลในเวลาที่รวดเร็วมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากการเข้าลงทุนของบัฟเฟต BYD ได้ไม่นานนัก BYD ก็เริ่มประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังคงไม่สามารถเข็นรถไฮบริดจ์รุ่นที่ฝันไว้ออกมาได้จนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ รถไฮบริดจ์ที่วางแผนจะออกจำหน่ายในสหรัฐฯ ก็มีกำหนดต้องเลื่อนออกไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า รถยนต์รุ่นเก่าๆ ของ BYD ในจีนที่เคยประสบความสำเร็จก็เริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีบริษัทคู่แข่งที่ออกรถแบบเดียวกันในราคาที่ต่ำกว่าหรือมี เทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าออกมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้รถของ BYD สูญเสียความน่าดึงดูดในตลาดจีนไป
ในแง่รายได้ แม้ว่า BYD จะมียอดขายเติบโตถึง 18% ในปี 2010 แต่ก็ต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทได้ตั้งเอาไว้เป็นอย่างมาก และเมื่อ เทียบกับตลาดจีนโดยรวมที่เติบโตกว่า 33% แล้วต้องถือได้ว่าคือความล้มเหลว อีกทั้งเมื่อเร็วนี้ๆ บริษัทก็ยังคาดว่า ยอดขายในปี 2011 อาจลดลงมากถึง 20% yoy เนื่องมาจากภาวะตลาดรถยนต์ในจีนปีนี้ดูไม่สดใสนัก
นอกจากนี้ บริษัทก็ยังเผชิญกับวิบากกรรมจากการถูกทางการปรับเงินในคดีซื้อที่ดินที่ใช้ สร้างโรงงานมาอย่างไม่ถูกกฏหมาย และงบการเงินของบริษัทก็ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับยอดขายบางส่วนของบริษัท ซึ่งอาจเกิดจากการผลักดันสินค้าไปยังงบของดีลเลอร์มากเกินกว่ายอดขายแท้จริง ที่ขายสู่ผู้บริโภค เพื่อดันตัวเลขรายได้ให้ดูสูงขึ้นกว่าความเป็นจริงอีกด้วย
ข่าวร้ายที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่องเหล่านี้ได้ลดความมั่นใจของตลาด เกี่ยวกับธุรกิจของ BYD ลงอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ราคาหุ้นในปัจจุบันลดต่ำลงมาเหลือเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งในสามของราคา สูงสุดที่ขึ้นไปในปี 2009 แล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นด้วย
ว่าไปแล้ว กรณี BYD ช่วยเตือนนักลงทุนได้หลายอย่างเกี่ยวกับความเป็นจริงในตลาดหุ้น
ประการแรก ธุรกิจเป็นเรื่องของความไม่แน่นอน ไม่มีใครในตลาดหุ้นที่สามารถคิดได้ถูกต้องตลอดเวลา ต่อให้เก่งขนาดไหนก็ตาม ความสำเร็จของบัฟเฟตในระยะยาวนั้นน่าจะมีอะไรมากกว่าแค่การเลือกหุ้นให้ถูกตัว
ประการต่อมา ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปในระยะสั้นบ่อยครั้งเกิดจากการเชื่อตามๆ กันของคนในตลาดหุ้นเท่านั้น ไม่ต้องเกี่ยวกับผลประกอบการแต่อย่างใด
การเข้าลงทุนโดยบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็น focal point ที่ยอดเยี่ยมที่ทำให้ทุกคนพร้อมใจกันเข้ามาลงทุนในหุ้นตัวเดียวกันได้ และบ่อยครั้ง การแห่ตามกันก็สามารถทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ และดูจะมากกว่าผลประกอบการด้วยซ้ำ เพราะธุรกิจโดยทั่วไปนั้น การทำกำไรให้เพิ่มขึ้นได้ 20-25% ต่อปีนั้นก็ถือว่าหืดขึ้นคอแล้ว แต่ภาวะที่คนเชื่อตามๆ กัน สามารถทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 100-900% ในเวลาไม่ถึงปี
ปกติถ้ามีใครมาเขียนบทความบอกว่าการลงทุนด้วยวิธีแบบนี้น่าสนใจ คงจะโดนด่าแน่ๆ โดยเฉพาะจากคนที่มองการลงทุนว่าเป็นเรื่องของฝ่ายความดีต่อสู้กับความชั่ว แต่ถ้าจะว่ากันไปตามเนื้อผ้า ก็ต้องยอมรับว่า วิธีซื้อหุ้นตามคนดังอาจเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวนัก เมื่อพิจารณาจาก downside vs. upside เพราะแม้ downside จะมาก แต่ upside ก็มากกว่าหลายเท่าด้วย
ประการถัดไป สุดท้ายแล้ว ผลประกอบการก็ยังคงเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อราคาหุ้นอยู่เสมอ แต่เป็นในระยะยาวๆ เพราะต่อให้เทพมีชื่อเสียงขนาดไหน ถ้าผลประกอบยังคงไปคนละทางกับราคาหุ้นอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วแม้แต่เทพก็ไม่อาจยันราคาไว้ให้ได้
เพราะฉะนั้น หากคิดจะเล่นหุ้นแนวนี้ ต้องรู้จัก “ตาสว่าง” เร็ว เพราะราคาตอนที่เราเข้าซื้อ มักไม่ใช่ราคาที่มืพื้นฐานใดๆ รองรับ แต่เป็นราคาพรีเมี่ยมแล้ว เนื่องจากเป็นราคาที่มีเทพการันตีแล้ว ดังนั้นหากปรากฏออกมาเมื่อใดว่า ผลประกอบการข้างหน้าอาจไม่ดีอย่างที่เทพคิด ต้องรู้จัก “ตื่น” ให้ไว เพราะ price correction จะรุนแรงมาก ในขณะที่ต้นทุนของเราไม่มีพื้นฐาน พูดง่ายๆ ก็คือ อย่ามัวแต่ “เคลิ้ม”
สุดท้ายแล้ว การซื้อตามเซียนก็ยังต้องดูเองเป็นอยู่ดี เพราะต้องพึ่งตนเองตอน “ขาย” เนื่องจากเวลาขาย เซียนมักไม่มาช่วยบอกเราก่อน และอย่าลืมว่า ตอนหุ้นตก เซียนไม่เสี่ยงอะไรกับเราเลย เพราะต้นทุนของเขาอยู่ต่ำกว่าตอนที่หุ้นเริ่มวิ่ง ฉะนั้น ถ้าราคาหุ้นตกกลับลงมาที่เดิม เขาก็เพียงแค่เท่าทุนเท่านั้น มีแต่เราเท่านั้นที่กระเป๋าฉีก
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- Paul Octopus
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Buffett Lift การลงทุนในหุ้น BYD ของ Warren E.Buffett
โพสต์ที่ 3
บทสรุปเขียนได้เหมาะสมกับ สถานะการณ์ และ เวลา จริงๆ
หวังว่าหลายท่านในห้องนี้อ่านแล้วต้องกลับมาดูตัวเองว่า มีหุ้นที่ซื้อเพราะเซียนการันตีอยู่มากน้อยแค่ใหน
ขอบคุณครับ
หวังว่าหลายท่านในห้องนี้อ่านแล้วต้องกลับมาดูตัวเองว่า มีหุ้นที่ซื้อเพราะเซียนการันตีอยู่มากน้อยแค่ใหน
ขอบคุณครับ
- yoyoeffect
- Verified User
- โพสต์: 364
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Buffett Lift การลงทุนในหุ้น BYD ของ Warren E.Buffett
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณครับ
- kabu
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Buffett Lift การลงทุนในหุ้น BYD ของ Warren E.Buffett
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณสำหรับข้อความดีดีครับ
"หนทางเดียวที่จะก้าวพ้นขอบเขตของความเป็นไปได้ คือก้าวเข้าสู่ความเป็นไปไม่ได้", Arthur C. Clarke
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
สมุดบันทึก: http://kabuvi.wordpress.com/
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Buffett Lift การลงทุนในหุ้น BYD ของ Warren E.Buffett
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณครับ
- Financeseed
- Verified User
- โพสต์: 1304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Buffett Lift การลงทุนในหุ้น BYD ของ Warren E.Buffett
โพสต์ที่ 9
ขอบคุณครับ
- KGYF
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Buffett Lift การลงทุนในหุ้น BYD ของ Warren E.Buffett
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณมากครับ
พูดถึงรถซิ่ง หรือเปล่าครับ
พูดถึงรถซิ่ง หรือเปล่าครับ
" สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ = การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง "
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
-
- Verified User
- โพสต์: 1024
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Buffett Lift การลงทุนในหุ้น BYD ของ Warren E.Buffett
โพสต์ที่ 20
ขอบคุณครับ mos mos
"เพราะเรียบง่าย จึงชนะ"
-
- Verified User
- โพสต์: 87
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Buffett Lift การลงทุนในหุ้น BYD ของ Warren E.Buffett
โพสต์ที่ 22
+1 Like ครับ
ไม่ได้ติดตามข่าว พึ่งรู้ว่า Byd ผลประกอบการแย่
ไม่ได้ติดตามข่าว พึ่งรู้ว่า Byd ผลประกอบการแย่
-----------------------
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้
และก็มีหลายสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้
สุดท้าย หลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้ เราอาจจะไม่รู้ก็ได้
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้
และก็มีหลายสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้
สุดท้าย หลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้ เราอาจจะไม่รู้ก็ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 258
- ผู้ติดตาม: 0
Re: The Buffett Lift การลงทุนในหุ้น BYD ของ Warren E.Buffett
โพสต์ที่ 24
ขอแลกเปลี่ยนข้อมูลบางอย่างที่อาจจะไม่ตรงกับคุณสุมาอี้ นะครับ
การลงทุนใน BYD ชาร์ลี เป็นคนแนะนำให้ บัพเฟต พิจารณาครับ
เนื่องจากตัวชาร์ลีเองลงทุนผ่าน Li Lu และเห็นว่าบริษัทอะไรบางอย่าง
ที่พิเศษจริงๆ
ส่วนการลงทุนในปิโตรไชน่าเป็นการลงทุนแบบชั่วคราวครับ คือ ถือแล้วพร้อมจะขาย
ในตอนที่ซื้อปิโตรไชน่า ราคาหุ้นกับ stock น้ำมันของปิโตรไชน่า มัน misprice กันอยู่
บัพเฟตเข้าไปซื้อ แล้วก็รอครับ หลังจากนั้น ราคาก็ขึ้นแล้วเค้าก็ขายแค่นั้น (แนว cigarbutt )
(เค้าให้สัมภาษณ์ใน CNBC นานแล้วครับ)
แต่หลังจากนั้นเค้าก็ไปซื้อ บริษัทน้ำมันอีก conoco อะไรสักอย่างครับ ปรากฎว่าขาดทุนครับ
กลับมาเรื่อง BYD จริงๆ สิ่งที่ BYD เก่งจริงๆ ไม่ใช่รถยนต์ แต่เป็นเทคโนโลยีของแบตเตอรี่มากกว่าครับ
ถึงปัจจุบันยังไม่มีใครเทียบได้นะครับ ชาร์ลีเค้าพูดไว้อย่างนี้ ตอนประชุมประจำปีของ Wesco Financial
เรียกว่า แบตเตอรี่เป็น Holy Grial ในด้านพลังงานเลยทีเดียว
ส่วนเรื่อง ราคาหุ้นของ BYD ที่ไหลลงมาเรื่อยจากจุดสูงสุด มีคนถาม บัพเฟตเหมือนกันครับว่า
จะเข้าไปซื้อเพิ่มรึป่าว เค้าให้สัมภาษณ์ทาง CNBC ไว้ครับ แต่ต้องอ่านเอาเอง ผมจำไม่ได้แล้ว
การลงทุนใน BYD ชาร์ลี เป็นคนแนะนำให้ บัพเฟต พิจารณาครับ
เนื่องจากตัวชาร์ลีเองลงทุนผ่าน Li Lu และเห็นว่าบริษัทอะไรบางอย่าง
ที่พิเศษจริงๆ
ส่วนการลงทุนในปิโตรไชน่าเป็นการลงทุนแบบชั่วคราวครับ คือ ถือแล้วพร้อมจะขาย
ในตอนที่ซื้อปิโตรไชน่า ราคาหุ้นกับ stock น้ำมันของปิโตรไชน่า มัน misprice กันอยู่
บัพเฟตเข้าไปซื้อ แล้วก็รอครับ หลังจากนั้น ราคาก็ขึ้นแล้วเค้าก็ขายแค่นั้น (แนว cigarbutt )
(เค้าให้สัมภาษณ์ใน CNBC นานแล้วครับ)
แต่หลังจากนั้นเค้าก็ไปซื้อ บริษัทน้ำมันอีก conoco อะไรสักอย่างครับ ปรากฎว่าขาดทุนครับ
กลับมาเรื่อง BYD จริงๆ สิ่งที่ BYD เก่งจริงๆ ไม่ใช่รถยนต์ แต่เป็นเทคโนโลยีของแบตเตอรี่มากกว่าครับ
ถึงปัจจุบันยังไม่มีใครเทียบได้นะครับ ชาร์ลีเค้าพูดไว้อย่างนี้ ตอนประชุมประจำปีของ Wesco Financial
เรียกว่า แบตเตอรี่เป็น Holy Grial ในด้านพลังงานเลยทีเดียว
ส่วนเรื่อง ราคาหุ้นของ BYD ที่ไหลลงมาเรื่อยจากจุดสูงสุด มีคนถาม บัพเฟตเหมือนกันครับว่า
จะเข้าไปซื้อเพิ่มรึป่าว เค้าให้สัมภาษณ์ทาง CNBC ไว้ครับ แต่ต้องอ่านเอาเอง ผมจำไม่ได้แล้ว