Apple VS Exxon/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- little wing
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 187
- ผู้ติดตาม: 0
Apple VS Exxon/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 13 สิงหาคม 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สัปดาห์ก่อนมีข่าวเล็ก ๆ เกี่ยวกับหุ้นที่น่าสนใจและน่าจะเรียกได้ว่าเป็นหุ้น “สุดยอดแห่งทศวรรษ” ของโลก นั่นก็คือ หุ้นของบริษัท Apple Inc. ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ยี่ห้อแม็ค ไอโฟน ไอแพด และอื่น ๆ ที่ครองใจผู้ใช้ทั้งโลก สินค้าหลายชนิดของบริษัทนั้นเป็นที่นิยมขนาดที่คนต้อง “เข้าคิวซื้อ” และคนที่ได้ครอบครองสินค้าในมือนั้นมีความรู้สึกภาคภูมิใจและอยากจะอวดกับเพื่อนฝูง มันเป็นสินค้าที่ทำให้คนดูทันสมัยและ “มีระดับ” ในสังคม ข่าวที่ว่านั้นไม่ได้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แต่เป็นข่าวที่ว่าหุ้นของบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐนั้นมีราคาปรับตัวขึ้นจนทำให้มันมีมูลค่าสูงที่สุดและเอาชนะหุ้นของบริษัท Exxon Mobil หรือที่คนไทยรู้จักกันก็คือเอสโซ่ บริษัทน้ำมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐและในโลกมาช้านาน ลองมาดูกันว่าบริษัทแอปเปิลมีผลประกอบการดีอย่างไรและทำไมหุ้นจึงเติบโตมาได้ขนาดนี้เทียบกับบริษัทเอสโซที่ทำธุรกิจน้ำมันและพลังงานที่ก็น่าจะโดดเด่นสุดยอดเหมือนกัน เพราะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจที่โลกกำลังมีความต้องการสูงขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดในชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบัน
พูดถึงมูลค่าหุ้นในตลาดของแอปเปิลและเอ็กซอนนั้น ขณะนี้ก็อยู่ที่ประมาณ 350 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่า ๆ กันหรือคิดเป็นเงินไทยก็คือ ประมาณ 10 ล้าน ล้านบาท หรือพอ ๆ กับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทยทั้งปี และใหญ่กว่ามูลค่ารวมของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่อยู่ที่ประมาณ 8.7 ล้าน ล้านบาท พูดอีกทางหนึ่งก็คือ หุ้นแอปเปิลตัวเดียวนั้นก็ใหญ่กว่าหุ้นไทยทั้งตลาดแล้ว
ดูทางด้าน ทรัพย์สินว่าบริษัทมีขนาดใหญ่แค่ไหนก็ปรากฏว่าแอปเปิลมีทรัพย์สินเพียงประมาณ 100 พันล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยก็คือ ประมาณ 3 ล้าน ๆ บาท แต่เนื่องจากทรัพย์สินประมาณ 8 แสนล้านบาทนั้นเป็นเงินสดที่บริษัทเก็บไว้ไม่ได้จ่ายปันผลออกมานาน ดังนั้น เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ทรัพย์สินที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินงานของบริษัทนั้นน่าจะมีเพียงประมาณ 2.2 ล้าน ล้านบาทเท่านั้น ส่วนของเอ็กซอนนั้น มีทรัพย์สินถึงประมาณ 300 พันล้านเหรียญหรือใหญ่เป็น 3 เท่าของแอปเปิล หรือคิดเป็นเงินไทยก็คือ 9 ล้าน ล้านบาท เอ็กซอนมีเงินสดอยู่ประมาณ 3 แสนล้านบาทแต่มีหนี้อยู่ประมาณ 5 แสนล้านบาท ในขณะที่แอปเปิลนั้นไม่มีหนี้เลย ดังนั้น ถ้าจะพูดอย่างคร่าว ๆ ก็คือ เอ็กซอนนั้นใช้ทรัพย์สินเพื่อดำเนินงานประมาณ 4 เท่า ของแอปเปิล
มองทางด้านรายได้ แอปเปิลมียอดขายต่อปีประมาณ 100 พันล้านเหรียญต่อปี หรือเท่ากับ 3 ล้าน ล้านบาท ในขณะที่เอ็กซอนมียอดขายสูงกว่ามากคือประมาณ 400 พันล้านหรือคิดเป็น 4 เท่าของแอปเปิล หรือคิดเป็นเงินไทยถึง 12 ล้าน ล้านบาท มากกว่าผลผลิตมวลรวมประชาชาติของไทย พูดง่าย ๆ บริษัทเอ็กซอนบริษัทเดียวขายน้ำมันทั้งปีมีมูลค่าสูงกว่าสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศผลิตในเวลาเดียวกัน
ถ้ามองจากทรัพย์สินและยอดขายก็จะเห็นว่าบริษัทเอ็กซอนนั้นนั้นมีทรัพย์สินมากกว่าแอปเปิล 4 เท่าและมีรายได้หรือยอดขายต่อปีมากกว่าแอปเปิล 4 เท่าเหมือนกัน ดังนั้น เราอาจจะพูดได้ว่าถ้าเปรียบเทียบโดยขนาดของบริษัทแล้ว แอปเปิลนั้นเล็กกว่าเอ็กซอนถึง 3 เท่าหรือ แอปเปิลนั้นมีขนาดเพียง 1 ใน 4 ของเอ็กซอนเท่านั้น แต่มูลค่าตลาดของหุ้นของทั้งสองบริษัทกลับใหญ่เท่า ๆ กัน อะไรทำให้มันเป็นอย่างนั้น หุ้นของแอปเปิลมีราคา “เวอร์” เกินความเป็นจริงหรือเปล่า?
ผลการดำเนินงานหรือกำไรของแอปเปิลในปีที่ผ่านมาเท่ากับ 23.6 พันล้านเหรียญ หรือประมาณ 7 แสนล้านบาท ในขณะที่ของเอ็กซอนเท่ากับ 37.9 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 1.1 ล้าน ล้านบาท คิดแล้วมากกว่าประมาณ 60% อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของแอปเปิลดูเหมือนจะสูงกว่าของเอ็กซอนมาก เพราะอัตราส่วนกำไรต่อยอดขายของแอปเปิลเท่ากับประมาณ 24% ในขณะที่ของเอ็กซอน เท่ากับประมาณ 10% เท่านั้น พูดง่าย ๆ การขายสินค้าไฮเท็คที่สุดทันสมัยของแอปเปิลแต่ละเครื่องนั้น กำไรดีกว่าการขายน้ำมันทุกบาร์เรลที่เหมือน ๆ กันทุกบริษัท
กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นซึ่งถือว่าเป็นกำไรที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับนั้น ของแอปเปิลสูงมากถึง 42% และถ้าหากไม่นับเงินสดที่แอปเปิลมีมากเกินความจำเป็นแล้ว กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของแอปเปิลจริง ๆ อาจจะสูงถึง 50-60% ทีเดียว ในขณะที่ของเอ็กซอนนั้นอยู่ที่ 25% ซึ่งถ้าจะพูดไปก็สูงมากอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงสามารถพูดได้ว่ากิจการของเอ็กซอนนั้นทำกำไรได้ดีมากและของแอปเปิลนั้นน่าจะ “ดีสุดยอด” ในแง่ของการทำกำไร
ในด้านของการเติบโตของกำไรนั้น การเพิ่มขึ้นของกำไรไตรมาศนี้เมื่อเปรียบเทียบกับของปีที่แล้วก็พบว่าแอปเปิลโตขึ้นถึง 125% ในขณะที่เอ็กซอนโตขึ้นถึง 41% เช่นกัน เป็นการแสดงให้เห็นว่าหุ้นสองตัวนี้ต่างก็เป็น “ดารา” ทั้งคู่ เพียงแต่แอปเปิลนั้นเป็น “ซุปเปอร์สตาร์” ที่มาแรงจริง ๆ
มาดูทางด้านของความถูกความแพงของหุ้นกันบ้าง แอปเปิลนั้นมีค่า PE เท่ากับ 14.8 เท่า และค่า PB เท่ากับ 4.9 เท่า หรือถ้าเราหักเงินสดที่มากเกินออกไปซึ่งจะทำให้มูลค่าทางบัญชีหรือค่า B ลดลง ค่า PB ก็น่าจะอยู่ในหลักประมาณ 8 เท่า ในส่วนของเอ็กซอนนั้น ค่า PE เท่ากับ 9.5 เท่า ในขณะที่ค่า PB เท่ากับ 2.2 เท่า ดูไปแล้วราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทก็ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐและแม้แต่หุ้นไทย ว่าที่จริงอาจจะเข้าข่ายเป็นหุ้น Value หรือหุ้นเน้นคุณค่าด้วยซ้ำ เหนือสิ่งอื่นใด แอปเปิลนั้นน่าจะเป็น “ราชัน” ของหุ้นไฮเท็ค ส่วน เอ็กซอนนั้นก็น่าจะเป็นราชันของหุ้นพลังงาน ซึ่งทั้งสองอุตสาหกรรมต่างก็กำลังร้อนแรงและเติบโตกันทั้งคู่ แต่เหตุที่หุ้นมีราคาถูกนั้นอาจจะเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของอเมริกาตกต่ำก็เป็นได้ และนี่ก็อาจจะเป็นช่วงเวลา “ซื้อ” สำหรับคนที่ชอบหุ้นประเภทซุปเปอร์สต็อก
สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือเรื่องของการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ผ่านมาในระยะยาว ผมมองย้อนหลังไปประมาณ 8 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่หุ้นแอปเปิลยังไม่ได้ไปไหนนิ่ง ๆ มานานนับสิบปีและเป็นช่วงที่ สตีป จอบส์ ซีอีโอ คนปัจจุบันเริ่มกลับเข้ามาบริหารบริษัทใหม่หลังจากที่ถูกไล่ออกไปหลายปี ในขณะนั้นหุ้น แอปเปิลมีราคาประมาณ 7 ดอลลาร์ ในเวลาเดียวกัน หุ้นเอ็กซอนมีราคาประมาณ 34 เหรียญ นั่นคือช่วงกลางปี 2003 พอถึงกลางปี 2008 หุ้นแอปเปิลขึ้นไปถึง 187 ในขณะที่เอ็กซอนขึ้นไปเป็น 95 เหรียญ ในเวลา 5 ปี แอปเปิลขึ้นไป 25.7 เท่าและหุ้นเอ็กซอนขึ้นไปเพียง 1.79 เท่า ในช่วงวิกฤติปลายปี 2008 หุ้นแอปเปิลตกลงมาเหลือ 80 เหรียญต้น ๆ หรือลดลงถึง 56% ส่วนหุ้นเอ็กซอนตกลงมาเหลือประมาณ 62 เหรียญหรือลดลง 35% แต่หลังจากนั้น จนถึงปัจจุบันหุ้นแอปเปิลก็ปรับตัวขึ้นมาเป็นประมาณ 374 เหรียญหรือขึ้นมา 3.5 เท่า ในขณะที่เอ็กซอนขึ้นมาเป็น 72 เหรียญ หรือเพิ่มขึ้นเพียง 16% และยังต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤติ โดยสรุปแล้วในช่วงประมาณ 8 ปี หุ้นแอปเปิลขึ้นมาประมาณ 52 เท่า ในขณะที่เอ็กซอนขึ้นมาประมาณ 1.1 เท่า
ข้อสรุปรวบยอดของผมก็คือ ในช่วงเวลา 8 ปี หุ้นแอปเปิลซึ่งเคยเป็นหุ้นที่ค่อนข้างเล็กมีมูลค่าตลาดประมาณ 2 แสนล้านบาท ได้เติบโตมหาศาลกลายเป็นหุ้น 10 ล้าน ล้านบาท เท่ากับหุ้นเอ็กซอนซึ่งเป็นหุ้นยักษ์ใหญ่ระดับต้นของโลก หุ้นเอ็กซอนเองนั้นเมื่อ 8 ปีก่อนก็น่าจะเป็นหุ้นระดับต้นของโลกที่มีมูลค่าถึง เกือบ 5 ล้าน ล้านบาท คนที่ลงทุนในหุ้นเอ็กซอนในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานั้นก็ได้ผลตอบแทนที่ไม่เลวเฉลี่ยประมาณปีละ 10% แต่ถ้าใครลงทุนและถือหุ้นแอปเปิลผ่านร้อนผ่านหนาวและวิกฤติเศรษฐกิจมาถึงวันนี้ก็อาจจะกลายเป็นเศรษฐีโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย และนี่ก็คือความแตกต่างระหว่างหุ้นบลูชิพอย่างเอ็กซอน กับหุ้น ซุปเปอร์สต็อกอย่างหุ้นแอปเปิล
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สัปดาห์ก่อนมีข่าวเล็ก ๆ เกี่ยวกับหุ้นที่น่าสนใจและน่าจะเรียกได้ว่าเป็นหุ้น “สุดยอดแห่งทศวรรษ” ของโลก นั่นก็คือ หุ้นของบริษัท Apple Inc. ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ยี่ห้อแม็ค ไอโฟน ไอแพด และอื่น ๆ ที่ครองใจผู้ใช้ทั้งโลก สินค้าหลายชนิดของบริษัทนั้นเป็นที่นิยมขนาดที่คนต้อง “เข้าคิวซื้อ” และคนที่ได้ครอบครองสินค้าในมือนั้นมีความรู้สึกภาคภูมิใจและอยากจะอวดกับเพื่อนฝูง มันเป็นสินค้าที่ทำให้คนดูทันสมัยและ “มีระดับ” ในสังคม ข่าวที่ว่านั้นไม่ได้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แต่เป็นข่าวที่ว่าหุ้นของบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐนั้นมีราคาปรับตัวขึ้นจนทำให้มันมีมูลค่าสูงที่สุดและเอาชนะหุ้นของบริษัท Exxon Mobil หรือที่คนไทยรู้จักกันก็คือเอสโซ่ บริษัทน้ำมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐและในโลกมาช้านาน ลองมาดูกันว่าบริษัทแอปเปิลมีผลประกอบการดีอย่างไรและทำไมหุ้นจึงเติบโตมาได้ขนาดนี้เทียบกับบริษัทเอสโซที่ทำธุรกิจน้ำมันและพลังงานที่ก็น่าจะโดดเด่นสุดยอดเหมือนกัน เพราะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจที่โลกกำลังมีความต้องการสูงขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดในชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบัน
พูดถึงมูลค่าหุ้นในตลาดของแอปเปิลและเอ็กซอนนั้น ขณะนี้ก็อยู่ที่ประมาณ 350 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่า ๆ กันหรือคิดเป็นเงินไทยก็คือ ประมาณ 10 ล้าน ล้านบาท หรือพอ ๆ กับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทยทั้งปี และใหญ่กว่ามูลค่ารวมของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่อยู่ที่ประมาณ 8.7 ล้าน ล้านบาท พูดอีกทางหนึ่งก็คือ หุ้นแอปเปิลตัวเดียวนั้นก็ใหญ่กว่าหุ้นไทยทั้งตลาดแล้ว
ดูทางด้าน ทรัพย์สินว่าบริษัทมีขนาดใหญ่แค่ไหนก็ปรากฏว่าแอปเปิลมีทรัพย์สินเพียงประมาณ 100 พันล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยก็คือ ประมาณ 3 ล้าน ๆ บาท แต่เนื่องจากทรัพย์สินประมาณ 8 แสนล้านบาทนั้นเป็นเงินสดที่บริษัทเก็บไว้ไม่ได้จ่ายปันผลออกมานาน ดังนั้น เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ทรัพย์สินที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินงานของบริษัทนั้นน่าจะมีเพียงประมาณ 2.2 ล้าน ล้านบาทเท่านั้น ส่วนของเอ็กซอนนั้น มีทรัพย์สินถึงประมาณ 300 พันล้านเหรียญหรือใหญ่เป็น 3 เท่าของแอปเปิล หรือคิดเป็นเงินไทยก็คือ 9 ล้าน ล้านบาท เอ็กซอนมีเงินสดอยู่ประมาณ 3 แสนล้านบาทแต่มีหนี้อยู่ประมาณ 5 แสนล้านบาท ในขณะที่แอปเปิลนั้นไม่มีหนี้เลย ดังนั้น ถ้าจะพูดอย่างคร่าว ๆ ก็คือ เอ็กซอนนั้นใช้ทรัพย์สินเพื่อดำเนินงานประมาณ 4 เท่า ของแอปเปิล
มองทางด้านรายได้ แอปเปิลมียอดขายต่อปีประมาณ 100 พันล้านเหรียญต่อปี หรือเท่ากับ 3 ล้าน ล้านบาท ในขณะที่เอ็กซอนมียอดขายสูงกว่ามากคือประมาณ 400 พันล้านหรือคิดเป็น 4 เท่าของแอปเปิล หรือคิดเป็นเงินไทยถึง 12 ล้าน ล้านบาท มากกว่าผลผลิตมวลรวมประชาชาติของไทย พูดง่าย ๆ บริษัทเอ็กซอนบริษัทเดียวขายน้ำมันทั้งปีมีมูลค่าสูงกว่าสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศผลิตในเวลาเดียวกัน
ถ้ามองจากทรัพย์สินและยอดขายก็จะเห็นว่าบริษัทเอ็กซอนนั้นนั้นมีทรัพย์สินมากกว่าแอปเปิล 4 เท่าและมีรายได้หรือยอดขายต่อปีมากกว่าแอปเปิล 4 เท่าเหมือนกัน ดังนั้น เราอาจจะพูดได้ว่าถ้าเปรียบเทียบโดยขนาดของบริษัทแล้ว แอปเปิลนั้นเล็กกว่าเอ็กซอนถึง 3 เท่าหรือ แอปเปิลนั้นมีขนาดเพียง 1 ใน 4 ของเอ็กซอนเท่านั้น แต่มูลค่าตลาดของหุ้นของทั้งสองบริษัทกลับใหญ่เท่า ๆ กัน อะไรทำให้มันเป็นอย่างนั้น หุ้นของแอปเปิลมีราคา “เวอร์” เกินความเป็นจริงหรือเปล่า?
ผลการดำเนินงานหรือกำไรของแอปเปิลในปีที่ผ่านมาเท่ากับ 23.6 พันล้านเหรียญ หรือประมาณ 7 แสนล้านบาท ในขณะที่ของเอ็กซอนเท่ากับ 37.9 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 1.1 ล้าน ล้านบาท คิดแล้วมากกว่าประมาณ 60% อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของแอปเปิลดูเหมือนจะสูงกว่าของเอ็กซอนมาก เพราะอัตราส่วนกำไรต่อยอดขายของแอปเปิลเท่ากับประมาณ 24% ในขณะที่ของเอ็กซอน เท่ากับประมาณ 10% เท่านั้น พูดง่าย ๆ การขายสินค้าไฮเท็คที่สุดทันสมัยของแอปเปิลแต่ละเครื่องนั้น กำไรดีกว่าการขายน้ำมันทุกบาร์เรลที่เหมือน ๆ กันทุกบริษัท
กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นซึ่งถือว่าเป็นกำไรที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับนั้น ของแอปเปิลสูงมากถึง 42% และถ้าหากไม่นับเงินสดที่แอปเปิลมีมากเกินความจำเป็นแล้ว กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของแอปเปิลจริง ๆ อาจจะสูงถึง 50-60% ทีเดียว ในขณะที่ของเอ็กซอนนั้นอยู่ที่ 25% ซึ่งถ้าจะพูดไปก็สูงมากอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงสามารถพูดได้ว่ากิจการของเอ็กซอนนั้นทำกำไรได้ดีมากและของแอปเปิลนั้นน่าจะ “ดีสุดยอด” ในแง่ของการทำกำไร
ในด้านของการเติบโตของกำไรนั้น การเพิ่มขึ้นของกำไรไตรมาศนี้เมื่อเปรียบเทียบกับของปีที่แล้วก็พบว่าแอปเปิลโตขึ้นถึง 125% ในขณะที่เอ็กซอนโตขึ้นถึง 41% เช่นกัน เป็นการแสดงให้เห็นว่าหุ้นสองตัวนี้ต่างก็เป็น “ดารา” ทั้งคู่ เพียงแต่แอปเปิลนั้นเป็น “ซุปเปอร์สตาร์” ที่มาแรงจริง ๆ
มาดูทางด้านของความถูกความแพงของหุ้นกันบ้าง แอปเปิลนั้นมีค่า PE เท่ากับ 14.8 เท่า และค่า PB เท่ากับ 4.9 เท่า หรือถ้าเราหักเงินสดที่มากเกินออกไปซึ่งจะทำให้มูลค่าทางบัญชีหรือค่า B ลดลง ค่า PB ก็น่าจะอยู่ในหลักประมาณ 8 เท่า ในส่วนของเอ็กซอนนั้น ค่า PE เท่ากับ 9.5 เท่า ในขณะที่ค่า PB เท่ากับ 2.2 เท่า ดูไปแล้วราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทก็ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐและแม้แต่หุ้นไทย ว่าที่จริงอาจจะเข้าข่ายเป็นหุ้น Value หรือหุ้นเน้นคุณค่าด้วยซ้ำ เหนือสิ่งอื่นใด แอปเปิลนั้นน่าจะเป็น “ราชัน” ของหุ้นไฮเท็ค ส่วน เอ็กซอนนั้นก็น่าจะเป็นราชันของหุ้นพลังงาน ซึ่งทั้งสองอุตสาหกรรมต่างก็กำลังร้อนแรงและเติบโตกันทั้งคู่ แต่เหตุที่หุ้นมีราคาถูกนั้นอาจจะเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของอเมริกาตกต่ำก็เป็นได้ และนี่ก็อาจจะเป็นช่วงเวลา “ซื้อ” สำหรับคนที่ชอบหุ้นประเภทซุปเปอร์สต็อก
สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือเรื่องของการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่ผ่านมาในระยะยาว ผมมองย้อนหลังไปประมาณ 8 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่หุ้นแอปเปิลยังไม่ได้ไปไหนนิ่ง ๆ มานานนับสิบปีและเป็นช่วงที่ สตีป จอบส์ ซีอีโอ คนปัจจุบันเริ่มกลับเข้ามาบริหารบริษัทใหม่หลังจากที่ถูกไล่ออกไปหลายปี ในขณะนั้นหุ้น แอปเปิลมีราคาประมาณ 7 ดอลลาร์ ในเวลาเดียวกัน หุ้นเอ็กซอนมีราคาประมาณ 34 เหรียญ นั่นคือช่วงกลางปี 2003 พอถึงกลางปี 2008 หุ้นแอปเปิลขึ้นไปถึง 187 ในขณะที่เอ็กซอนขึ้นไปเป็น 95 เหรียญ ในเวลา 5 ปี แอปเปิลขึ้นไป 25.7 เท่าและหุ้นเอ็กซอนขึ้นไปเพียง 1.79 เท่า ในช่วงวิกฤติปลายปี 2008 หุ้นแอปเปิลตกลงมาเหลือ 80 เหรียญต้น ๆ หรือลดลงถึง 56% ส่วนหุ้นเอ็กซอนตกลงมาเหลือประมาณ 62 เหรียญหรือลดลง 35% แต่หลังจากนั้น จนถึงปัจจุบันหุ้นแอปเปิลก็ปรับตัวขึ้นมาเป็นประมาณ 374 เหรียญหรือขึ้นมา 3.5 เท่า ในขณะที่เอ็กซอนขึ้นมาเป็น 72 เหรียญ หรือเพิ่มขึ้นเพียง 16% และยังต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤติ โดยสรุปแล้วในช่วงประมาณ 8 ปี หุ้นแอปเปิลขึ้นมาประมาณ 52 เท่า ในขณะที่เอ็กซอนขึ้นมาประมาณ 1.1 เท่า
ข้อสรุปรวบยอดของผมก็คือ ในช่วงเวลา 8 ปี หุ้นแอปเปิลซึ่งเคยเป็นหุ้นที่ค่อนข้างเล็กมีมูลค่าตลาดประมาณ 2 แสนล้านบาท ได้เติบโตมหาศาลกลายเป็นหุ้น 10 ล้าน ล้านบาท เท่ากับหุ้นเอ็กซอนซึ่งเป็นหุ้นยักษ์ใหญ่ระดับต้นของโลก หุ้นเอ็กซอนเองนั้นเมื่อ 8 ปีก่อนก็น่าจะเป็นหุ้นระดับต้นของโลกที่มีมูลค่าถึง เกือบ 5 ล้าน ล้านบาท คนที่ลงทุนในหุ้นเอ็กซอนในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานั้นก็ได้ผลตอบแทนที่ไม่เลวเฉลี่ยประมาณปีละ 10% แต่ถ้าใครลงทุนและถือหุ้นแอปเปิลผ่านร้อนผ่านหนาวและวิกฤติเศรษฐกิจมาถึงวันนี้ก็อาจจะกลายเป็นเศรษฐีโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย และนี่ก็คือความแตกต่างระหว่างหุ้นบลูชิพอย่างเอ็กซอน กับหุ้น ซุปเปอร์สต็อกอย่างหุ้นแอปเปิล
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Apple VS Exxon/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
โดยส่วนตัวผมเชื่อถ้าปู่ฟิชเชอร์ยังอยู่ น่าจะถือลงทุนหุ้นAppleมาได้นานพอสมควรแล้ว ณ ราคาแถวนี้ปู่อาจจะทยอยขายก็เป็นได้คับ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Apple VS Exxon/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
เงินของ Apple มากกว่าเงินคงคลังของรัฐบาลสหรัฐ $76.2B ในส่วนเงินสดและหุ้นในความต้องการของตลาด (Marketable Securities)
Apple Now Has More Cash Than The U.S. Government
http://www.businessinsider.com/apple-ha ... ent-2011-7
Apple Now Has More Cash Than The U.S. Government
http://www.businessinsider.com/apple-ha ... ent-2011-7
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Apple VS Exxon/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 8
โดยส่วนตัวผมชอบ Steve Jobs มาก
ทั้งที่ไม่เคยใช้สินค้าของ Apple เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
แต่เพราะนี่คือไอ้หนูอัจฉริยะ หนึ่งในผู้ทำให้เกิด PCเป็นอุตสาหกรรม ที่เรากำลังนั่งดูนั่งใช้กันทกวันนี้
อ่านประวัติแทบทุกเล่มที่มีคนเขียน
ผม downlod Yoube ตั้งแต่เปิดตัว Apple หนุมน้อยหน้าแฉล้ม ฮิปปี้หลังโกนเคราแล้ว
1983 Apple Keynote-The "1984" Ad Introduction
โฆษณาหลุดโลก ที่เด็กน้อย Apple กล้าแหย่ IBM
24 มกรา 1984
Gates หลุดปาก ว่าสุดยอด innovation คือ Apple
วิจารณ์คู่กัดว่าไร้รสนิยมไม่ได้ให้กำเนิดไอเดียใหม่ๆ
ถูกไล่ออก...เกิดความตกต่ำใน apple จน board ต้องซื้อ Pixar พร้อมเรียกกลับมาใหม่เป็น iCEO ก่อน Return 1997
มีความร่วมมือกับ Gates
อะไรใหม่ๆ มากมายอยู่เสมอ จากชายคนนี้
Stay hungry, stay foolish สุนทรพจน์อันเลื่องลือ ที่คนเรียนไม่จบ ได้รับเชิญไปพูดให้คนจบ Stanford ฟัง
จนมีคนเอามาทำหนัง pirate of silicon valley http://www.youtube.com/watch?v=xflXMZL2stU
ผู้ใหญ่ 2 คน ยอกันไปมา http://www.youtube.com/watch?v=_5Z7eal4uXI
กลับมา...เมื่อไปรักษาตัว ภาพน่าสะเทือนใจ Steve Jobs emotional return
ผมกลัวว่า ถ้า Jobs ตายขึ้นมา มะเร็งรอบนี้ลุกลามใหม่ อะไรจะเกิดกับหุ้น apple ที่กำลังร้อนวันนี้ จะกลับไปยุคที่ดร.บอกหรือไม่ ตอนที่ถูกไล่ออกแล้วหุ้นรูด เพราะไม่มีอะไรใหม่ๆ ออกมาเลย
เมื่อตอนเปิด ipad รอบที่ผ่านมาก็เห็นชัดแล้ว jobs ปรากฎตัว ความเชื่อมั่นเกิดขึ้น
เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ ว่า jobs=apple, apple=jobs
ทั้งที่ไม่เคยใช้สินค้าของ Apple เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
แต่เพราะนี่คือไอ้หนูอัจฉริยะ หนึ่งในผู้ทำให้เกิด PCเป็นอุตสาหกรรม ที่เรากำลังนั่งดูนั่งใช้กันทกวันนี้
อ่านประวัติแทบทุกเล่มที่มีคนเขียน
ผม downlod Yoube ตั้งแต่เปิดตัว Apple หนุมน้อยหน้าแฉล้ม ฮิปปี้หลังโกนเคราแล้ว
1983 Apple Keynote-The "1984" Ad Introduction
โฆษณาหลุดโลก ที่เด็กน้อย Apple กล้าแหย่ IBM
24 มกรา 1984
Gates หลุดปาก ว่าสุดยอด innovation คือ Apple
วิจารณ์คู่กัดว่าไร้รสนิยมไม่ได้ให้กำเนิดไอเดียใหม่ๆ
ถูกไล่ออก...เกิดความตกต่ำใน apple จน board ต้องซื้อ Pixar พร้อมเรียกกลับมาใหม่เป็น iCEO ก่อน Return 1997
มีความร่วมมือกับ Gates
อะไรใหม่ๆ มากมายอยู่เสมอ จากชายคนนี้
Stay hungry, stay foolish สุนทรพจน์อันเลื่องลือ ที่คนเรียนไม่จบ ได้รับเชิญไปพูดให้คนจบ Stanford ฟัง
จนมีคนเอามาทำหนัง pirate of silicon valley http://www.youtube.com/watch?v=xflXMZL2stU
ผู้ใหญ่ 2 คน ยอกันไปมา http://www.youtube.com/watch?v=_5Z7eal4uXI
กลับมา...เมื่อไปรักษาตัว ภาพน่าสะเทือนใจ Steve Jobs emotional return
ผมกลัวว่า ถ้า Jobs ตายขึ้นมา มะเร็งรอบนี้ลุกลามใหม่ อะไรจะเกิดกับหุ้น apple ที่กำลังร้อนวันนี้ จะกลับไปยุคที่ดร.บอกหรือไม่ ตอนที่ถูกไล่ออกแล้วหุ้นรูด เพราะไม่มีอะไรใหม่ๆ ออกมาเลย
เมื่อตอนเปิด ipad รอบที่ผ่านมาก็เห็นชัดแล้ว jobs ปรากฎตัว ความเชื่อมั่นเกิดขึ้น
เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ ว่า jobs=apple, apple=jobs
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Apple VS Exxon/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 9
ขอบคุณมากครับ
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Apple VS Exxon/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 11
ดูเหมือนด ดร. จะสนใจหุ้นต่างประเทศซะแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 16
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Apple VS Exxon/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 13
สุดยอดหุ้นจริง ๆ apple
งานนี้ Job รับไปเต็ม ๆ
ว่าแต่ หายป่วยเร็ว ๆ นะครับ
งานนี้ Job รับไปเต็ม ๆ
ว่าแต่ หายป่วยเร็ว ๆ นะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 60
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Apple VS Exxon/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 14
ดร.นิเวศ เป็นคนที่เขียนหนังสือดีมากคนหนึ่งเลยนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 10
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Apple VS Exxon/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 16
รบกวนถามที่มาของการหักเงินสดไปแล้วทำให้ROEสูงขึ้นมาที่60%กับการหีกเงินสดไปแล้วทำให้PEที่8เท่า(ถ้าเข้าใจไม่ผิดนะครับ ไม่รู้ท่าน ดร ท่านเขียนผิดหรือเปล่า) ว่าทั้งสองอย่างมีวิธีการคิดอย่างไรครับ มีที่มาอย่างไร หักจากไหนครับ พอดีอ่านแล้วไม่เข้าใจครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้านะครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้านะครับ
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Apple VS Exxon/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 17
kar เขียน:รบกวนถามที่มาของการหักเงินสดไปแล้วทำให้ROEสูงขึ้นมาที่60%กับการหีกเงินสดไปแล้วทำให้PEที่8เท่า(ถ้าเข้าใจไม่ผิดนะครับ ไม่รู้ท่าน ดร ท่านเขียนผิดหรือเปล่า) ว่าทั้งสองอย่างมีวิธีการคิดอย่างไรครับ มีที่มาอย่างไร หักจากไหนครับ พอดีอ่านแล้วไม่เข้าใจครับ
ขอบพระคุณล่วงหน้านะครับ
ดร.บอกค่า PB ครับlittle wing เขียน:โค้ด: เลือกทั้งหมด
ดูทางด้าน ทรัพย์สินว่าบริษัทมีขนาดใหญ่แค่ไหนก็ปรากฏว่าแอปเปิลมีทรัพย์สินเพียงประมาณ 100 พันล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยก็คือ ประมาณ 3 ล้าน ๆ บาท แต่เนื่องจากทรัพย์สินประมาณ 8 แสนล้านบาทนั้นเป็นเงินสดที่บริษัทเก็บไว้ไม่ได้จ่ายปันผลออกมานาน ดังนั้น เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ทรัพย์สินที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินงานของบริษัทนั้นน่าจะมีเพียงประมาณ 2.2 ล้าน ล้านบาทเท่านั้น g มาดูทางด้านของความถูกความแพงของหุ้นกันบ้าง แอปเปิลนั้นมีค่า PE เท่ากับ 14.8 เท่า และค่า PB เท่ากับ 4.9 เท่า หรือถ้าเราหักเงินสดที่มากเกินออกไปซึ่งจะทำให้มูลค่าทางบัญชีหรือค่า B ลดลง ค่า [size=150]PB[/size] ก็น่าจะอยู่ในหลักประมาณ 8 เท่า
การไม่นำเงินสดมาคิดรวมไม่เกี่ยวกับ PE เปลี่ยนแน่นอน แต่ BV เปลี่ยนไป
เมื่อ P คงเดิม ตัวหาร BV ลด อัตราส่วน PB ก็สูงขึ้น ดร.ก็อธิบายชัดเจนแล้ว ว่าเพราะ "มูลค่าทางบัญชีหรือค่า B ลดลง"
โค้ด: เลือกทั้งหมด
กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นซึ่งถือว่าเป็นกำไรที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับนั้น ของแอปเปิลสูงมากถึง 42% และถ้าหากไม่นับเงินสดที่แอปเปิลมีมากเกินความจำเป็นแล้ว กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของแอปเปิลจริง ๆ อาจจะสูงถึง 50-60% ทีเดียว ในขณะที่ของเอ็กซอนนั้นอยู่ที่ 25%
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผลการดำเนินงานหรือกำไรของแอปเปิลในปีที่ผ่านมาเท่ากับ 23.6 พันล้านเหรียญ หรือประมาณ 7 แสนล้านบาท ในขณะที่ของเอ็กซอนเท่ากับ 37.9 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 1.1 ล้าน ล้านบาท
ถ้าตัวหารลดลง คือ Equity ลดลง ROE ก็จะสูง
ROE = EBIT/Equity
เดิม ROE 42%
Equity = 3ลล.บ.
EBIT = 42%*3 = 1.26 ลล.บ.
Equity หักเงินสด 0.8 ลล.บ. (ที่บอกแล้วว่า 8 แสนล้านบาทเหลือ 2.2 ล้าน ล้านบาท)
ROE = 1.26/2.2 = 57%
(ถ้าใช้ตัวเลขดอลล่าร์น่าจะราว 60%)
แต่ว่า...การพิมพ์ผิดของคุณ kar ทำให้รู้ว่า ThaiVI ไม่มีระบบกรองคำต้องห้าม...หัก ครับ หัก
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Apple VS Exxon/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 18
เอ้อ...ผมพิมพ์ผิดครับ EBT ไม่ใช่ EBIT นะครับ
แต่อย่างไรก็แล้วแต่ Earning คงที่ ไม่ว่าจะเผลอเอาอะไร EBT, EBIT, NOPAT มาคำนวณ ก็จะได้อัตราการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน คือเปลี่ยน Equity ลดลงไป ROE ก็จะสูงขึ้น
ถ้าไปอ่านบทละคร Financial Engineering ROE เป็นตัวเอก (ที่บางทีแสดงบทผู้ร้าย) เลยทีเดียว
แต่อย่างไรก็แล้วแต่ Earning คงที่ ไม่ว่าจะเผลอเอาอะไร EBT, EBIT, NOPAT มาคำนวณ ก็จะได้อัตราการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน คือเปลี่ยน Equity ลดลงไป ROE ก็จะสูงขึ้น
ถ้าไปอ่านบทละคร Financial Engineering ROE เป็นตัวเอก (ที่บางทีแสดงบทผู้ร้าย) เลยทีเดียว
- lengmanutd
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 143
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Apple VS Exxon/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 19
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ครับ
ลงทุนในบริษัทที่ดี ราคาหุ้นมี MOS (Downside = Limited) และแนวโน้มกำไรมี Growth (Upside = Infinity)