Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- little wing
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 187
- ผู้ติดตาม: 0
Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 21 มกราคม 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้นบางกลุ่มหรือบางประเภทในตลาดหลักทรัพย์มักจะมีราคาต่ำกว่า “มูลค่าที่ควรเป็น” อย่างชัดเจนเป็นเวลานาน นี่เป็นเรื่องที่ “ผิดปกติ” และผิดจากทฤษฎีทางการเงินโดยเฉพาะที่บอกว่าตลาดหุ้นนั้น “มีประสิทธิภาพสูง” ที่จะกำหนดราคาหุ้นให้เหมาะสมกับพื้นฐานของกิจการ หุ้นตัวใดมีราคาต่ำกว่าที่ควรเป็นจะเป็นอยู่อย่างนั้นไม่ได้นาน เพราะจะมีนักลงทุนที่รอบรู้ ฉลาด และมีข้อมูลสมบูรณ์ เข้ามาซื้อหุ้นและดันให้ราคาวิ่งขึ้นไปจนเท่ากับมูลค่าพื้นฐานทันที คำถามก็คือ หุ้นประเภทไหนบ้างที่เป็นแบบนั้นและมีเหตุผลอะไรที่ทำให้หุ้นเหล่านั้นซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น? เรามาดูกัน
หุ้นกลุ่มแรกที่ค่อนข้างชัดเจนในตลาดหุ้นไทยก็คือ หุ้นที่เป็น “Holding Company” หรือหุ้นที่มีทรัพย์สินหลักเป็นหุ้นของบริษัทอื่นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนกัน หุ้นเหล่านี้หลาย ๆ ตัวถือหุ้นบริษัทอื่นอยู่คิดเป็นมูลค่าตลาดแล้ว สูงกว่ามูลค่าตลาดทั้งหมดของตนเอง ตัวอย่างเช่น หุ้น ก. มีมูลค่าตลาดของหุ้นของบริษัทเท่ากับ 800 ล้านบาท แต่ถือหุ้นในบริษัท ข. คิดเป็นมูลค่าตลาดเท่ากับ 1000 ล้านบาท โดยที่บริษัทไม่มีหนี้สินจากสถาบันการเงินเลย ดังนั้น ในทางทฤษฎีแล้ว ถ้าเราสามารถซื้อหุ้นของบริษัท ก. ทั้งหมดโดยใช้เงิน 800 ล้านบาท เราก็สามารถขายหุ้นที่บริษัทถือในบริษัท ข. ได้เงินมา 1000 ล้านบาท เราก็จะได้กำไรทันที 200 ล้านบาท และนี่ยังไม่นับกิจการของบริษัทและทรัพย์สินอื่น ๆ ที่บริษัทมีอยู่ ถ้าพูดในเชิงวิชาการเราจะบอกว่าหุ้น ก. นั้น มี “Discount” หรือส่วนลด อย่างน้อย 20% นั่นก็คือ หุ้นมีมูลค่าอย่างน้อย 1000 ล้านบาท แต่ราคานั้นเท่ากับ 800 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่าราคามีส่วนลด 20% และถ้าพูดในฐานะของ Value Investor แล้ว นี่ก็คือหุ้น Value ตัวหนึ่งที่น่าซื้อ เพราะเราเชื่อว่า ในไม่ช้า ราคาหุ้น ก. ก็น่าจะวิ่งเข้าไปหา “มูลค่าที่แท้จริง” และ Discount จะต้องหมดไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงมักไม่เป็นอย่างนั้น
หุ้น Holding Company ในประเทศไทยนั้น เกือบทั้งหมดต่างก็มี Discount 10% – 20% ขึ้นไป และมันเป็นอย่างนั้นอยู่นานหรือเกือบตลอดไป เหตุผลคงเป็นเพราะว่า ในทางปฏิบัติ เราไม่สามารถที่จะ “ปลดปล่อย” มูลค่าหุ้นที่บริษัทถืออยู่โดยการขายหุ้นออกไปแล้วนำเงินมาแบ่งกันได้เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ต้องการลดขนาดหรือลดทรัพย์สินของบริษัทลงโดยการขายกิจการที่ตนเองถืออยู่เพื่อที่จะนำเงินมาแบ่งให้กับผู้ถือทุกคน ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือเจ้าของอาจจะมองว่าการเก็บหุ้นของบริษัทไว้ซึ่งทำให้ตนเองเป็นผู้บริหารต่อไปเรื่อย ๆ นั้น เป็นผลดีกับตนเองมากกว่า เพราะผลประโยชน์ในแง่ของการเป็นผู้บริหารและรับเงินไปเรื่อย ๆ เป็นรายปี นั้น อาจจะสูงกว่าการขายหุ้นทิ้งแล้วต้องนำเงินมาแบ่งให้กับผู้ถือหุ้นทุกคน และนี่จึงทำให้หุ้น Holding Company ในตลาดหุ้นไทย เป็นหุ้นที่มี Discount “ตลอดกาล”
หุ้นกลุ่มที่สองที่มักจะมี Discount ก็คือหุ้นที่มีทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่ดินและอาคารที่มีราคาประเมินสูงกว่ามูลค่าที่ลงบัญชีไว้มาก ส่วนต่างที่มีนั้น คิดเป็นเงินและเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้นของบริษัทแล้วสูงมาก บางทีเท่ากับครึ่งหนึ่งเลยก็มี แต่ทรัพย์สินที่ “ซ่อน” ไว้นี้ มักไม่สะท้อนลงมาที่ราคาหุ้นของบริษัท ผลก็คือ ทำให้หุ้นของบริษัทมี Discount พอสมควรและก็เป็นอยู่อย่างนั้นนานจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เช่น มีการขายหรือนำมาพัฒนาให้เกิดรายได้และกำไรขึ้น อย่างไรก็ตาม มีบริษัทน้อยมากที่จะทำอย่างนั้น
หุ้นกลุ่มที่สามที่มักมี Discount เมื่อเทียบกับหุ้นของบริษัทอื่นที่มีผลประกอบการใกล้เคียงกันก็คือ หุ้นที่ “เจ้าของ” ไม่ดูแลผู้ถือหุ้นเท่าที่ควร การไม่ดูแลผู้ถือหุ้นนั้นมีหลากหลายเรื่อง เรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ การจ่ายปันผลในสัดส่วนที่ต่ำเมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้ เช่น จ่ายปันผลเพียง 20-25% ของกำไรที่ทำได้ต่อเนื่องยาวนาน ผู้บริหารเก็บเงินสดไว้ในบริษัทมากเกินความจำเป็นโดยที่ไม่มีโครงการลงทุนมากมายอะไร ผู้บริหารเก็บตัวเงียบไม่ให้ข่าวคราวและไม่มีกลยุทธ์ในการขยายงานเป็นเรื่องเป็นราว หลาย ๆ บริษัทมีผู้บริหารที่อนุรักษ์นิยมมาก บางแห่งก็มีอายุค่อนข้างสูง สิ่งเหล่านี้ทำให้หุ้นของบริษัทดู “เหงาหงอย” คล้ายกับอยู่ในแดนสนธยา
หุ้นกลุ่มที่สี่ที่ดูว่าอาจจะมี Discount ก็คือหุ้นที่ผมอยากเรียกว่า “หุ้นไม่มีลูกค้า” นี่คือหุ้นที่หาคนที่สนใจจะมา “เล่น” ไม่ใคร่ได้ ความหมายของผมก็คือ นี่เป็นหุ้นที่นักลงทุนสถาบันอาจจะไม่สนใจเนื่องจากบริษัทอาจจะมีขนาดไม่ใหญ่พอหรือมีสภาพคล่องไม่พอที่พวกเขาจะเข้ามาซื้อขายหุ้นได้สะดวก สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ชอบเก็งกำไรเองนั้น หุ้นของบริษัทก็อาจจะใหญ่เกินไปที่จะ “ไล่ราคา” ให้วิ่งขึ้นไปได้รวดเร็วหวือหวา ดังนั้น นักลงทุนรายย่อยก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่อยากซื้อขายหุ้นของบริษัท มองไปที่ Value Investor หรือนักลงทุนระยะยาวที่เน้นการลงทุนโดยอิงกับพื้นฐานของกิจการเองนั้น ก็พบว่าบริษัทก็ไม่ใช่บริษัทที่โดดเด่นอะไรนัก ดังนั้น พวกเขาก็อาจจะไม่ใคร่สนใจเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทอีกเช่นกัน สรุปแล้ว หุ้นประเภทนี้จะเป็นหุ้นที่ไม่มีคนชอบเล่นเป็นเรื่องเป็นราวและอาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หุ้นมี Discount ค่อนข้างยาวนานจนกว่าจะมีพัฒนาการใหม่ ๆ เกิดขึ้น
หุ้นที่มักมี Discount กลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ หุ้นที่โตช้าหรือไม่โต หลายบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่โตหรือกำลังตกต่ำลงหรือที่เรียกว่าอุตสาหกรรม “ตะวันตกดิน” บริษัทเหล่านี้มีกำไรที่ดีพอใช้ต่อเนื่องยาวนานและจ่ายปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้นในอัตราที่ค่อนข้างดีแต่ยอดขายก็มักจะไม่เติบโตหรือเติบโตน้อย ฐานะการเงินของบริษัทก็มักจะอยู่ในขั้นที่ดีมีหนี้น้อยหรือแทบไม่มีหนี้เงินกู้ อย่างไรก็ตาม บริษัทมักจะไม่มีโครงการอะไรใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น ส่วนหนึ่งก็เพราะตัวสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ “อิ่มตัว” แล้ว หรือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไม่มีวิวัฒนาการอะไรใหม่ ๆ ออกมานานแล้ว
กิจการที่มี Discount ต่อเนื่องยาวนานนั้น สำหรับนักลงทุนที่ยังมีประสบการณ์น้อย บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจและมองว่าเป็นหุ้นที่มีราคาถูก เพราะค่า PE ที่เห็นนั้นอาจจะต่ำมากแค่ 6-7 เท่า ค่า PB ก็อาจจะต่ำกว่า 1 เท่า บางทีอาจจะเท่ากับ 0.7 -0.8 เท่า ปันผลเองก็อาจจะสูงถึง 5-6% ของราคาหุ้น ที่สำคัญ กำไรก็ค่อนข้างสม่ำเสมอ ปัญหาต่าง ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มี แต่เมื่อซื้อไปราคาก็อาจจะไม่ค่อยขึ้นไป และหุ้นก็มีราคาถูกอยู่อย่างนั้นนาน หุ้นบางตัวราคาก็ขึ้นไปเหมือนกัน แต่ขึ้นไปไม่มากทั้ง ๆ ที่กำไรก็ดูดีขึ้น ปัญหาก็คือ ค่า PE และค่า PB ก็ยังต่ำอยู่เหมือนเดิมหรือต่ำลงไปอีก ดูเหมือนว่าหุ้นจะเป็น Discount อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราพบหุ้นแบบนี้ก็อย่าแปลกใจ และก็อย่าได้ตั้งความหวังว่าผลการดำเนินงานที่อาจจะออกมาอย่างน่าประทับใจนั้น จะทำให้หุ้นวิ่งโดดเด่นและเราทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำหรือได้เป็น “สองเด้ง” เพราะหุ้นตัวนี้อาจจะมีธรรมชาติหรือสถานะที่เป็นหุ้นที่ต้องมี
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้นบางกลุ่มหรือบางประเภทในตลาดหลักทรัพย์มักจะมีราคาต่ำกว่า “มูลค่าที่ควรเป็น” อย่างชัดเจนเป็นเวลานาน นี่เป็นเรื่องที่ “ผิดปกติ” และผิดจากทฤษฎีทางการเงินโดยเฉพาะที่บอกว่าตลาดหุ้นนั้น “มีประสิทธิภาพสูง” ที่จะกำหนดราคาหุ้นให้เหมาะสมกับพื้นฐานของกิจการ หุ้นตัวใดมีราคาต่ำกว่าที่ควรเป็นจะเป็นอยู่อย่างนั้นไม่ได้นาน เพราะจะมีนักลงทุนที่รอบรู้ ฉลาด และมีข้อมูลสมบูรณ์ เข้ามาซื้อหุ้นและดันให้ราคาวิ่งขึ้นไปจนเท่ากับมูลค่าพื้นฐานทันที คำถามก็คือ หุ้นประเภทไหนบ้างที่เป็นแบบนั้นและมีเหตุผลอะไรที่ทำให้หุ้นเหล่านั้นซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น? เรามาดูกัน
หุ้นกลุ่มแรกที่ค่อนข้างชัดเจนในตลาดหุ้นไทยก็คือ หุ้นที่เป็น “Holding Company” หรือหุ้นที่มีทรัพย์สินหลักเป็นหุ้นของบริษัทอื่นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนกัน หุ้นเหล่านี้หลาย ๆ ตัวถือหุ้นบริษัทอื่นอยู่คิดเป็นมูลค่าตลาดแล้ว สูงกว่ามูลค่าตลาดทั้งหมดของตนเอง ตัวอย่างเช่น หุ้น ก. มีมูลค่าตลาดของหุ้นของบริษัทเท่ากับ 800 ล้านบาท แต่ถือหุ้นในบริษัท ข. คิดเป็นมูลค่าตลาดเท่ากับ 1000 ล้านบาท โดยที่บริษัทไม่มีหนี้สินจากสถาบันการเงินเลย ดังนั้น ในทางทฤษฎีแล้ว ถ้าเราสามารถซื้อหุ้นของบริษัท ก. ทั้งหมดโดยใช้เงิน 800 ล้านบาท เราก็สามารถขายหุ้นที่บริษัทถือในบริษัท ข. ได้เงินมา 1000 ล้านบาท เราก็จะได้กำไรทันที 200 ล้านบาท และนี่ยังไม่นับกิจการของบริษัทและทรัพย์สินอื่น ๆ ที่บริษัทมีอยู่ ถ้าพูดในเชิงวิชาการเราจะบอกว่าหุ้น ก. นั้น มี “Discount” หรือส่วนลด อย่างน้อย 20% นั่นก็คือ หุ้นมีมูลค่าอย่างน้อย 1000 ล้านบาท แต่ราคานั้นเท่ากับ 800 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่าราคามีส่วนลด 20% และถ้าพูดในฐานะของ Value Investor แล้ว นี่ก็คือหุ้น Value ตัวหนึ่งที่น่าซื้อ เพราะเราเชื่อว่า ในไม่ช้า ราคาหุ้น ก. ก็น่าจะวิ่งเข้าไปหา “มูลค่าที่แท้จริง” และ Discount จะต้องหมดไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงมักไม่เป็นอย่างนั้น
หุ้น Holding Company ในประเทศไทยนั้น เกือบทั้งหมดต่างก็มี Discount 10% – 20% ขึ้นไป และมันเป็นอย่างนั้นอยู่นานหรือเกือบตลอดไป เหตุผลคงเป็นเพราะว่า ในทางปฏิบัติ เราไม่สามารถที่จะ “ปลดปล่อย” มูลค่าหุ้นที่บริษัทถืออยู่โดยการขายหุ้นออกไปแล้วนำเงินมาแบ่งกันได้เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ต้องการลดขนาดหรือลดทรัพย์สินของบริษัทลงโดยการขายกิจการที่ตนเองถืออยู่เพื่อที่จะนำเงินมาแบ่งให้กับผู้ถือทุกคน ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือเจ้าของอาจจะมองว่าการเก็บหุ้นของบริษัทไว้ซึ่งทำให้ตนเองเป็นผู้บริหารต่อไปเรื่อย ๆ นั้น เป็นผลดีกับตนเองมากกว่า เพราะผลประโยชน์ในแง่ของการเป็นผู้บริหารและรับเงินไปเรื่อย ๆ เป็นรายปี นั้น อาจจะสูงกว่าการขายหุ้นทิ้งแล้วต้องนำเงินมาแบ่งให้กับผู้ถือหุ้นทุกคน และนี่จึงทำให้หุ้น Holding Company ในตลาดหุ้นไทย เป็นหุ้นที่มี Discount “ตลอดกาล”
หุ้นกลุ่มที่สองที่มักจะมี Discount ก็คือหุ้นที่มีทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นที่ดินและอาคารที่มีราคาประเมินสูงกว่ามูลค่าที่ลงบัญชีไว้มาก ส่วนต่างที่มีนั้น คิดเป็นเงินและเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้นของบริษัทแล้วสูงมาก บางทีเท่ากับครึ่งหนึ่งเลยก็มี แต่ทรัพย์สินที่ “ซ่อน” ไว้นี้ มักไม่สะท้อนลงมาที่ราคาหุ้นของบริษัท ผลก็คือ ทำให้หุ้นของบริษัทมี Discount พอสมควรและก็เป็นอยู่อย่างนั้นนานจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เช่น มีการขายหรือนำมาพัฒนาให้เกิดรายได้และกำไรขึ้น อย่างไรก็ตาม มีบริษัทน้อยมากที่จะทำอย่างนั้น
หุ้นกลุ่มที่สามที่มักมี Discount เมื่อเทียบกับหุ้นของบริษัทอื่นที่มีผลประกอบการใกล้เคียงกันก็คือ หุ้นที่ “เจ้าของ” ไม่ดูแลผู้ถือหุ้นเท่าที่ควร การไม่ดูแลผู้ถือหุ้นนั้นมีหลากหลายเรื่อง เรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ การจ่ายปันผลในสัดส่วนที่ต่ำเมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้ เช่น จ่ายปันผลเพียง 20-25% ของกำไรที่ทำได้ต่อเนื่องยาวนาน ผู้บริหารเก็บเงินสดไว้ในบริษัทมากเกินความจำเป็นโดยที่ไม่มีโครงการลงทุนมากมายอะไร ผู้บริหารเก็บตัวเงียบไม่ให้ข่าวคราวและไม่มีกลยุทธ์ในการขยายงานเป็นเรื่องเป็นราว หลาย ๆ บริษัทมีผู้บริหารที่อนุรักษ์นิยมมาก บางแห่งก็มีอายุค่อนข้างสูง สิ่งเหล่านี้ทำให้หุ้นของบริษัทดู “เหงาหงอย” คล้ายกับอยู่ในแดนสนธยา
หุ้นกลุ่มที่สี่ที่ดูว่าอาจจะมี Discount ก็คือหุ้นที่ผมอยากเรียกว่า “หุ้นไม่มีลูกค้า” นี่คือหุ้นที่หาคนที่สนใจจะมา “เล่น” ไม่ใคร่ได้ ความหมายของผมก็คือ นี่เป็นหุ้นที่นักลงทุนสถาบันอาจจะไม่สนใจเนื่องจากบริษัทอาจจะมีขนาดไม่ใหญ่พอหรือมีสภาพคล่องไม่พอที่พวกเขาจะเข้ามาซื้อขายหุ้นได้สะดวก สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ชอบเก็งกำไรเองนั้น หุ้นของบริษัทก็อาจจะใหญ่เกินไปที่จะ “ไล่ราคา” ให้วิ่งขึ้นไปได้รวดเร็วหวือหวา ดังนั้น นักลงทุนรายย่อยก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่อยากซื้อขายหุ้นของบริษัท มองไปที่ Value Investor หรือนักลงทุนระยะยาวที่เน้นการลงทุนโดยอิงกับพื้นฐานของกิจการเองนั้น ก็พบว่าบริษัทก็ไม่ใช่บริษัทที่โดดเด่นอะไรนัก ดังนั้น พวกเขาก็อาจจะไม่ใคร่สนใจเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทอีกเช่นกัน สรุปแล้ว หุ้นประเภทนี้จะเป็นหุ้นที่ไม่มีคนชอบเล่นเป็นเรื่องเป็นราวและอาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หุ้นมี Discount ค่อนข้างยาวนานจนกว่าจะมีพัฒนาการใหม่ ๆ เกิดขึ้น
หุ้นที่มักมี Discount กลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ หุ้นที่โตช้าหรือไม่โต หลายบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่โตหรือกำลังตกต่ำลงหรือที่เรียกว่าอุตสาหกรรม “ตะวันตกดิน” บริษัทเหล่านี้มีกำไรที่ดีพอใช้ต่อเนื่องยาวนานและจ่ายปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้นในอัตราที่ค่อนข้างดีแต่ยอดขายก็มักจะไม่เติบโตหรือเติบโตน้อย ฐานะการเงินของบริษัทก็มักจะอยู่ในขั้นที่ดีมีหนี้น้อยหรือแทบไม่มีหนี้เงินกู้ อย่างไรก็ตาม บริษัทมักจะไม่มีโครงการอะไรใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น ส่วนหนึ่งก็เพราะตัวสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ “อิ่มตัว” แล้ว หรือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไม่มีวิวัฒนาการอะไรใหม่ ๆ ออกมานานแล้ว
กิจการที่มี Discount ต่อเนื่องยาวนานนั้น สำหรับนักลงทุนที่ยังมีประสบการณ์น้อย บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจและมองว่าเป็นหุ้นที่มีราคาถูก เพราะค่า PE ที่เห็นนั้นอาจจะต่ำมากแค่ 6-7 เท่า ค่า PB ก็อาจจะต่ำกว่า 1 เท่า บางทีอาจจะเท่ากับ 0.7 -0.8 เท่า ปันผลเองก็อาจจะสูงถึง 5-6% ของราคาหุ้น ที่สำคัญ กำไรก็ค่อนข้างสม่ำเสมอ ปัญหาต่าง ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มี แต่เมื่อซื้อไปราคาก็อาจจะไม่ค่อยขึ้นไป และหุ้นก็มีราคาถูกอยู่อย่างนั้นนาน หุ้นบางตัวราคาก็ขึ้นไปเหมือนกัน แต่ขึ้นไปไม่มากทั้ง ๆ ที่กำไรก็ดูดีขึ้น ปัญหาก็คือ ค่า PE และค่า PB ก็ยังต่ำอยู่เหมือนเดิมหรือต่ำลงไปอีก ดูเหมือนว่าหุ้นจะเป็น Discount อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราพบหุ้นแบบนี้ก็อย่าแปลกใจ และก็อย่าได้ตั้งความหวังว่าผลการดำเนินงานที่อาจจะออกมาอย่างน่าประทับใจนั้น จะทำให้หุ้นวิ่งโดดเด่นและเราทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำหรือได้เป็น “สองเด้ง” เพราะหุ้นตัวนี้อาจจะมีธรรมชาติหรือสถานะที่เป็นหุ้นที่ต้องมี
-
- Verified User
- โพสต์: 188
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
ผมกลัวหุ้นพวกนี้เหลือเกิน
เหมือนถือแล้วมองไม่เห็นอนาคต คาดเดาไม่ได้
ถือแล้วได้แต่คิดว่าซักวันมันต้องเด้ง แต่วันนั้นก็ไม่มาซักที...
เหมือนถือแล้วมองไม่เห็นอนาคต คาดเดาไม่ได้
ถือแล้วได้แต่คิดว่าซักวันมันต้องเด้ง แต่วันนั้นก็ไม่มาซักที...
การหาหุ้นของพี่โจ ลูกอีสาน
1. เลือกหุ้นที่กำไรจะโตที่สุด 2. การเติบโตของกำไรที่มีความแน่นอนที่สุด 3. ราคาหุ้นยังไม่ตอบสนอง
1. เลือกหุ้นที่กำไรจะโตที่สุด 2. การเติบโตของกำไรที่มีความแน่นอนที่สุด 3. ราคาหุ้นยังไม่ตอบสนอง
-
- Verified User
- โพสต์: 111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
ดร. แอบมาอ่านกระทู้นี้ป่าวเนี่ย
"หุ้นดี ที่ถูกลืม" "หุ้นดีที่ถูกมองข้าม"
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=50938
"หุ้นดี ที่ถูกลืม" "หุ้นดีที่ถูกมองข้าม"
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=50938
- lengmanutd
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 143
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับ
ลงทุนในบริษัทที่ดี ราคาหุ้นมี MOS (Downside = Limited) และแนวโน้มกำไรมี Growth (Upside = Infinity)
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 15
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
ขอบคุนครับผม
-
- Verified User
- โพสต์: 1230
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
ถ้าเปรียบหุ้นที่มี discount เหมือนปลาในบ่อ มันก็ว่ายไปว่ายมาต่ำกว่าผิวน้ำ ก็ไม่ได้น่าสนใจอะไร แต่หลายครั้งก็อดแวะดู อดเลี้ยงไม่ได้ เพราะ ก็บ่อยไม่น้อยที่มันผลัดกันกระโดดขึ้นมาให้ชม บางครั้งก็กระโดดสูงซะด้วย ไอ้ที่ยาก คือ ไม่รู้ว่าตัวไหนจะกระโดด และกระโดดเมื่อไร บางตัว 6 เดือน บางตัว 1 ปี บางตัว 5 ปี...แต่ข้อดีคือ เลี้ยงปลาในบ่อนี้มักจะสบายใจ มันไม่ค่อยกัดคนเลี้ยง แต่เลี้ยงตั้งนานไม่กระโดดเลย สุดท้ายก็ทนไม่ไหวปล่อยมันไปครับ
- SamuelYeD
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 262
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
กับดักตะแกรงร่อน เวลาร่อนมาทีไรจะเจอหุ้นประเภทนี้พอสำควร แต่ดีๆ ก็มีนะ อาจจะยากหน่อยที่จะหาปัจจัยอะไรมาปลดล็อคกิจการที่มี Discount ต่อเนื่องยาวนานนั้น สำหรับนักลงทุนที่ยังมีประสบการณ์น้อย บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจและมองว่าเป็นหุ้นที่มีราคาถูก เพราะค่า PE ที่เห็นนั้นอาจจะต่ำมากแค่ 6-7 เท่า ค่า PB ก็อาจจะต่ำกว่า 1 เท่า บางทีอาจจะเท่ากับ 0.7 -0.8 เท่า ปันผลเองก็อาจจะสูงถึง 5-6% ของราคาหุ้น ที่สำคัญ กำไรก็ค่อนข้างสม่ำเสมอ ปัญหาต่าง ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มี แต่เมื่อซื้อไปราคาก็อาจจะไม่ค่อยขึ้นไป และหุ้นก็มีราคาถูกอยู่อย่างนั้นนาน หุ้นบางตัวราคาก็ขึ้นไปเหมือนกัน แต่ขึ้นไปไม่มากทั้ง ๆ ที่กำไรก็ดูดีขึ้น ปัญหาก็คือ ค่า PE และค่า PB ก็ยังต่ำอยู่เหมือนเดิมหรือต่ำลงไปอีก ดูเหมือนว่าหุ้นจะเป็น Discount อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราพบหุ้นแบบนี้ก็อย่าแปลกใจ และก็อย่าได้ตั้งความหวังว่าผลการดำเนินงานที่อาจจะออกมาอย่างน่าประทับใจนั้น จะทำให้หุ้นวิ่งโดดเด่นและเราทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำหรือได้เป็น “สองเด้ง” เพราะหุ้นตัวนี้อาจจะมีธรรมชาติหรือสถานะที่เป็นหุ้นที่ต้องมี Discount
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 11
ลงทุนในหุ้นของบริษัทเหล่านี้ อย่างมากก็ได้ผลตอบแทนไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มั่นคง และราคาหุ้นก็ต่ำพอสมควร
แต่สำหรับหุ้นจอมโปรเจค เน้นสร้างข่าวหวือหวา ราคาหุ้นก็จะหวือหวาตาม ถ้าเราซื้อที่ราคาต่ำๆก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดีมาก แต่ถ้าซื้อตอนที่ราคาขึ้นมามากแล้ว และโปรเจคต่างๆไม่สมดังที่ขายฝันไว้ ผลขาดทุนอาจจะมากมายจนทำใจลำบาก
แต่สำหรับหุ้นจอมโปรเจค เน้นสร้างข่าวหวือหวา ราคาหุ้นก็จะหวือหวาตาม ถ้าเราซื้อที่ราคาต่ำๆก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดีมาก แต่ถ้าซื้อตอนที่ราคาขึ้นมามากแล้ว และโปรเจคต่างๆไม่สมดังที่ขายฝันไว้ ผลขาดทุนอาจจะมากมายจนทำใจลำบาก
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 957
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 12
ระหว่างรอการเรียนรู้ ฝีกประสบการณ์ ฝึกจิตใจและอื่นๆ ของผม
คิดแล้ว ผมก็ยังเก็บหุ้น Discount อยู่อีกครับ ในสัดส่วนสูงอยู่ แต่จะอยู่ในDiscountแบบใดของท่านดร.ว่าไว้ ผมก็รอดูอยู่ครับ เพื่อรอการตัดแต่ง
อาจไม่ได้เป็นหุ้น2เด้งหรือมากกว่า เแต่คิดว่าในช่วงเวลาผันผวน ถ้าเกิดผิดพลาดมาก็คงไม่ถึงกับสาหัส(ไม่เกินระดับความสามารถของผมเองที่พอรองรับได้)
ผมคงต้องเร่งเรียนรู้ ให้เร็วขี้นอีก ดูแล้วช่วงนี้ มันเล้าใจขึ้นทุกวันจริงๆ
ขอบคุณท่านดร.มาก ครับ
คิดแล้ว ผมก็ยังเก็บหุ้น Discount อยู่อีกครับ ในสัดส่วนสูงอยู่ แต่จะอยู่ในDiscountแบบใดของท่านดร.ว่าไว้ ผมก็รอดูอยู่ครับ เพื่อรอการตัดแต่ง
อาจไม่ได้เป็นหุ้น2เด้งหรือมากกว่า เแต่คิดว่าในช่วงเวลาผันผวน ถ้าเกิดผิดพลาดมาก็คงไม่ถึงกับสาหัส(ไม่เกินระดับความสามารถของผมเองที่พอรองรับได้)
ผมคงต้องเร่งเรียนรู้ ให้เร็วขี้นอีก ดูแล้วช่วงนี้ มันเล้าใจขึ้นทุกวันจริงๆ
ขอบคุณท่านดร.มาก ครับ
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 13
หุ้นหลายตัว ที่ถูกกว่ามูลค่าในราคาไม่น่าจริงก้เยอะครับ
เหมือนซื้อ ขนม5บาท ที่มีสติ๊กเกอร์ เอาไปแปะแลกเครื่องเกมในสมัยก่อน
มันเหมือนจะเต็มเล่ม แต่ซื้อทีไรก้ได้แต่สติ๊กเกอร์ซ้ำๆ
หลังๆมา บางตัวแม้มูลค่าจะดี แต่อนาคตโตไม่มี ก้ไม่ต่างจาก ต้นไม้ที่ปลูกจนโตไม่ได้แล้ว
กิจการที่โตไม่ได้ หรือ แข่งขันไม่ไหว หรือ ทดแทนได้ง่าย
ซื้อไป ก้คงได้แต่ 3อารมณ์ แห่งผลไม้ ท้อ แห้ว บ๊วย
หรือกิจการบางประเภทที่แม้ กิจการจะดี แต่ราคาตลาดนั้นดูเหมือนธุรกิจ MLM
คือ มาก่อนก้เป็น เพชรมงกุฎ มาทีหลังก้เป็น เข็มเงินเข็มทอง
เหมือนซื้อ ขนม5บาท ที่มีสติ๊กเกอร์ เอาไปแปะแลกเครื่องเกมในสมัยก่อน
มันเหมือนจะเต็มเล่ม แต่ซื้อทีไรก้ได้แต่สติ๊กเกอร์ซ้ำๆ
หลังๆมา บางตัวแม้มูลค่าจะดี แต่อนาคตโตไม่มี ก้ไม่ต่างจาก ต้นไม้ที่ปลูกจนโตไม่ได้แล้ว
กิจการที่โตไม่ได้ หรือ แข่งขันไม่ไหว หรือ ทดแทนได้ง่าย
ซื้อไป ก้คงได้แต่ 3อารมณ์ แห่งผลไม้ ท้อ แห้ว บ๊วย
หรือกิจการบางประเภทที่แม้ กิจการจะดี แต่ราคาตลาดนั้นดูเหมือนธุรกิจ MLM
คือ มาก่อนก้เป็น เพชรมงกุฎ มาทีหลังก้เป็น เข็มเงินเข็มทอง
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณท่านอาจารย์สำหรับบทความครับ
กิจการที่น่าลงทุน ในมุมมองผม น่าจะหมายถึง ราคาถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าในอนาคต
จากกิจการที่โต ดูดีขึ้น และมองเห็นได้ว่า พัฒนาไปในทางที่ดี จับต้องได้
กิจการต้องมีจุดเด่น เฉพาะ หรือ ที่ปีเตอร์ลินซ์ เรียกว่า Nitch
ถ้าไม่เด่นและจำเพาะแล้ว
สักวัน มันก้ต้องล้มลงแบบโกดัก
กิจการที่น่าลงทุน ในมุมมองผม น่าจะหมายถึง ราคาถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าในอนาคต
จากกิจการที่โต ดูดีขึ้น และมองเห็นได้ว่า พัฒนาไปในทางที่ดี จับต้องได้
กิจการต้องมีจุดเด่น เฉพาะ หรือ ที่ปีเตอร์ลินซ์ เรียกว่า Nitch
ถ้าไม่เด่นและจำเพาะแล้ว
สักวัน มันก้ต้องล้มลงแบบโกดัก
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 286
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 15
อาจารย์ให้ลายแทง หุ้น discount ที่มีสาเหตุว่าทำใมมันต้อง discount โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 หุ้น Holding Company
กลุ่มที่ 2 หุ้นสินทรัพย์มากแต่ไม่เกิดประโยชน์หรือไม่ปลดล็อค
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่เจ้าของไม่ดูแลผู้ถือหุ้น
กลุ่มที่ 4 หุ้นไม่มีลูกค้า เพราะขนาดไม่เหมาะสม
กลุ่มที่ 5 หุ้นโตช้าหรือไม่โต (เป็นธุรกิจตะวันตกดิน)
แต่ถ้าเราหาหุ้นที่มีราคา discount ซึ่งไม่ได้อยู่ใน 5 กลุ่มดังกล่าวได้ ก็อาจจะได้หุ้นดีที่ราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงได้นะครับ
กลุ่มที่ 1 หุ้น Holding Company
กลุ่มที่ 2 หุ้นสินทรัพย์มากแต่ไม่เกิดประโยชน์หรือไม่ปลดล็อค
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่เจ้าของไม่ดูแลผู้ถือหุ้น
กลุ่มที่ 4 หุ้นไม่มีลูกค้า เพราะขนาดไม่เหมาะสม
กลุ่มที่ 5 หุ้นโตช้าหรือไม่โต (เป็นธุรกิจตะวันตกดิน)
แต่ถ้าเราหาหุ้นที่มีราคา discount ซึ่งไม่ได้อยู่ใน 5 กลุ่มดังกล่าวได้ ก็อาจจะได้หุ้นดีที่ราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงได้นะครับ
ในที่สุด ราคาจะวิ่งเข้าหา มูลค่าที่แท้จริง
-
- Verified User
- โพสต์: 196
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 16
ผมคิดว่า
หุ้น ก คือ SVOA Mk.cap ตอนนี้ประมาณ 850-900 ล้าน
SVOA ถือ หุ้น ข คือ IT อยู่ 106 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1100-1200 ล้านบาท
........................................................................
ชอบจังหุ้น discount
หุ้น ก คือ SVOA Mk.cap ตอนนี้ประมาณ 850-900 ล้าน
SVOA ถือ หุ้น ข คือ IT อยู่ 106 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1100-1200 ล้านบาท
........................................................................
ชอบจังหุ้น discount
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 17
แต่ถ้าไม่ขายหุ้น ข ไป หุ้น ก ก้ไม่มีทางปลดล็อค ทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่ได้ครับkong_kang69 เขียน:ผมคิดว่า
หุ้น ก คือ SVOA Mk.cap ตอนนี้ประมาณ 850-900 ล้าน
SVOA ถือ หุ้น ข คือ IT อยู่ 106 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1100-1200 ล้านบาท
........................................................................
ชอบจังหุ้น discount
และส่วนมาก ก จะไม่ขาย ข
เหมือนน้ำผลไม้กับยางมะตอย เมื่อใดปลดล๊อค เมื่อนั้น ฟิ้วส์
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 60
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 18
หุ้นแม่-ลูกkong_kang69 เขียน:ผมคิดว่า
หุ้น ก คือ SVOA Mk.cap ตอนนี้ประมาณ 850-900 ล้าน
SVOA ถือ หุ้น ข คือ IT อยู่ 106 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1100-1200 ล้านบาท
........................................................................
ชอบจังหุ้น discount
http://api.settrade.com/blog/nivate/2008/07/28/304
-
- Verified User
- โพสต์: 286
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 19
ที่ส่วนใหญ่ ก ไม่ขาย ข ก็เพราะว่า ถ้า ก ขาย ข เมื่อไร ก็จะเป็นกำไรพิเศษครั้งเดียวchukieat30 เขียน:แต่ถ้าไม่ขายหุ้น ข ไป หุ้น ก ก้ไม่มีทางปลดล็อค ทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่ได้ครับkong_kang69 เขียน:ผมคิดว่า
หุ้น ก คือ SVOA Mk.cap ตอนนี้ประมาณ 850-900 ล้าน
SVOA ถือ หุ้น ข คือ IT อยู่ 106 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1100-1200 ล้านบาท
........................................................................
ชอบจังหุ้น discount
และส่วนมาก ก จะไม่ขาย ข
เหมือนน้ำผลไม้กับยางมะตอย เมื่อใดปลดล๊อค เมื่อนั้น ฟิ้วส์
แต่ถ้า ก เก็บ ข ไว้ ก็จะกินกำไรจาก ข ไปได้เรื่อยๆนะครับ
ในที่สุด ราคาจะวิ่งเข้าหา มูลค่าที่แท้จริง
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 21
อ.ชอบลูก มากกว่า แม่iruma เขียน:หุ้นแม่-ลูกkong_kang69 เขียน:ผมคิดว่า
หุ้น ก คือ SVOA Mk.cap ตอนนี้ประมาณ 850-900 ล้าน
SVOA ถือ หุ้น ข คือ IT อยู่ 106 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1100-1200 ล้านบาท
........................................................................
ชอบจังหุ้น discount
http://api.settrade.com/blog/nivate/2008/07/28/304
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
- luangrit
- Verified User
- โพสต์: 376
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Discount/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 23
ผมกำลังเก็บหุ้นลักษณะนี้ไว้ใน Watching list ครับหุ้นที่มักมี Discount กลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ หุ้นที่โตช้าหรือไม่โต หลายบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่โตหรือกำลังตกต่ำลงหรือที่เรียกว่าอุตสาหกรรม “ตะวันตกดิน” บริษัทเหล่านี้มีกำไรที่ดีพอใช้ต่อเนื่องยาวนานและจ่ายปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้นในอัตราที่ค่อนข้างดีแต่ยอดขายก็มักจะไม่เติบโตหรือเติบโตน้อย ฐานะการเงินของบริษัทก็มักจะอยู่ในขั้นที่ดีมีหนี้น้อยหรือแทบไม่มีหนี้เงินกู้ อย่างไรก็ตาม บริษัทมักจะไม่มีโครงการอะไรใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น ส่วนหนึ่งก็เพราะตัวสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ “อิ่มตัว” แล้ว หรือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไม่มีวิวัฒนาการอะไรใหม่ ๆ ออกมานานแล้ว
ด้วยความที่หุ้นเหล่านี้มักจะเป็นสินค้าที่ค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ก็มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน
ดังนั้นจึงทำให้ยอดขายไม่ค่อยกระทบมากนักในช่วงภาวะวิกฤต
ซึ่งเมื่อภาวะวิฤตมาเยือนหุ้นเหล่านี้จะมี Discount เหมือนๆกับหุ้นประเภทอื่น
แต่อย่างที่กล่าวไว้ด้านบน หุ้นเหล่านี้ไม่ค่อยจะโดนผลกระทบมากนัก
และก็ยังสามารถจ่ายปันผลได้ในระดับเกือบจะเท่าเดิม
ซึ่งถ้าผมอดทนรอจนถึงวันที่เกิดภาวะวิฤต
หุ้นเหล่านี้จะจ่ายปันผล(อย่างมั่นคง) ได้ในระดับที่สูงมากกว่า 12% ขึ้นไป
อีกทั้งยังให้ Capital Gained ได้ดีในระดับหนึ่ง เมื่อภาวะเข้าสู่ภาวะปกติหรือภาวะกระทิง
ดังนั้นตอนนี้ผมจึงไม่สนใจว่าทิศทางของตลาดจะเป็นอย่างไร
ขึ้นหรือลง ผมไม่รู้ และไม่ทำนาย
ผมรู้อย่างเดียวว่า ถ้ามันราคาถูก(โดยเฉพาะในภาวะวิกฤต) แต่มีปันผลสูง
ผมจะทุ่มซื้อ โดยไม่สนว่าตลาดจะลงต่ออีกรึปล่าว