Megatrend โลก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- little wing
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 187
- ผู้ติดตาม: 0
Megatrend โลก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 25 มีนาคม 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
แนวโน้มใหญ่หรือ Megatrend ของโลกนั้น จะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวที่ต่อเนื่องยาวนานอย่างน้อย 10 ปี ขึ้นไป และน่าจะต้องเป็นอย่างนั้นต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 10 ปี และต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมเห็น
Megatrend แรกที่ดำเนินมายาวนานน่าจะหลายสิบปีและจะดำเนินต่อไปอีกนานมากก็คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 2 ด้านนั่นก็คือ เทคโนโลยีด้าน IT และการสื่อสารแบบเคลื่อนที่ กับเทคโนโลยีด้านชีวภาพหรือ Biotech นี่คือเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนเราตามแทบไม่ทัน ด้านของ IT นั้น เราส่วนใหญ่อาจจะได้ยินได้เห็นและได้ใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่ในด้านของเทคโนโลยีชีวภาพนั้น อาจจะมีคนไม่มากที่ได้สัมผัสกับมันโดยตรง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบก็อาจจะมีมากพอ ๆ กับเรื่องของ IT เพราะหลายเรื่องเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีเกี่ยวกับยาและการแพทย์ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วจนทำให้การรักษาโรคที่ร้ายแรงในอดีต สามารถทำได้ดีขึ้นมากในปัจจุบันและต่อไปในอนาคตอันใกล้
Megatrend ที่สองก็คือเรื่องของ Wealth หรือความมั่งคั่งของคนในโลก นี่เป็นแนวโน้มที่ต่อเนื่องยาวนาน ในอดีตนั้น การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมักเกิดขึ้นในประเทศที่เจริญกว่า แต่ในปัจจุบันความมั่งคั่งมักเพิ่มขึ้นเร็วกว่าในประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะที่มีประชากรมากหรือมีทรัพยากรมาก ความมั่งคั่งที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวกับเงินซึ่งรวมถึงระบบธนาคารและการบริหารเงินและกองทุนรวมเติบโตต่อเนื่องระยะยาว และแน่นอน ส่งผลต่อราคาหุ้นโดยเฉพาะในประเทศที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
Megatrend ที่สามคือเรื่องของโครงสร้างอายุของประชากรในโลกที่เริ่มแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว อายุเฉลี่ยของประชากรโลกน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเด็กเกิดใหม่มีอัตราลดลงในขณะที่คนก็มีอายุยืนขึ้น โดยที่ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น ผลกระทบก็คือ ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและคนสูงอายุน่าจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
Megatrend ที่สี่คือเรื่องที่ผมอยากเรียกว่าเป็น “การเพิ่มขึ้นของอิทธิพลของเอเซีย” นี่คือแนวโน้มใหญ่ที่ประเทศในเอเซียมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับส่วนอื่นของโลก ประกอบกับการที่มีประชากรจำนวนมาก ทำให้เอเชียมีบทบาทและความสำคัญสูงขึ้นอย่างมากในทุกด้าน ทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม ผลต่อประเทศไทยก็คือ เราจะมีการค้าและการลงทุนมากขึ้นเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่จะมีมากขึ้นเนื่องจากไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่อยู่ในศูนย์กลางของเอเซีย
Megatrend ที่ห้าก็คือ เรื่อง “ภาวะโลกร้อน” นี่คือแนวโน้มที่เพิ่งเกิดมาไม่นาน หรือน่าจะพูดว่าเราเพิ่งตระหนักมาไม่นานนัก แต่ผลกระทบนั้นอาจจะรุนแรงขนาดที่สามารถเปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของโลกได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นนั้น ผลกระทบก็อาจจะเป็นเรื่องของท้องถิ่นบางแห่งที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงของลมฟ้าอากาศซึ่งรวมถึงภาวะแห้งแล้ง พายุ หรือน้ำท่วม ที่อาจจะเกิดขึ้นมากกว่าปกติ และนี่ทำให้เกิดความเสี่ยงโดยเฉพาะในด้านของทรัพย์สินและการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ชัดเจนว่าจะเกิดที่จุดไหนและเมื่อใด
Megatrend สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือเรื่อง Globalization หรือโลกานุวัตร ซึ่งบางคนใช้คำว่า “โลกแบน” ความหมายก็คือ พรมแดนทางภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศและวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นจะมีความหมายน้อยลงเรื่อย ๆ คนในแต่ละประเทศจะมีความคิด ค่านิยม และความเป็นอยู่คล้าย ๆ กันขึ้นอยู่กับฐานะและความมั่งคั่งมากกว่าเรื่องของวัฒนธรรมประจำชาติ นอกจากนั้น แต่ละประเทศจะไม่สามารถทำอะไรตามใจตนเองได้ทั้งหมดแต่จะต้องทำในสิ่งที่เป็นที่ยอมรับของสังคมโลกด้วย เช่นเดียวกัน การแข่งขันทางธุรกิจก็จะต้องเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และต้องรวมไปถึงธุรกิจจากต่างประเทศทั่วโลก ผลกระทบก็คือ บริษัทที่มีความสามารถทางการแข่งขันสูงจะสามารถขยายตัวได้มากขึ้นมาก ในขณะที่บริษัทระดับรองหรืออ่อนแอจะอยู่ได้ยากขึ้น
โดยสรุปก็คือ ผมคิดว่าอุตสาหกรรมที่เป็น Megatrend และจะโตเร็วและโตไปอีกนานก็คือ อุตสาหกรรมไฮเทคที่เกี่ยวกับ IT และการสื่อสารในระบบเคลื่อนที่ และอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการแพทย์และการให้บริการทางการแพทย์ ในอุตสาหกรรมอื่นนั้น ผมคิดว่าธุรกิจการเงินและการบริหารเงิน และการลงทุนในหุ้น น่าจะมีอนาคตสดใส เช่นเดียวกับการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของประเทศในทวีปเอเซียที่ประชากรมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น ซึ่งการบริโภคนี้รวมถึงการท่องเที่ยวและการเดินทางข้ามประเทศที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ผลกระทบจากการเปิดเสรีประเทศมากขึ้นจากผลของโลกานุวัตรจะทำให้กิจการที่เป็นผู้นำที่โดดเด่น โดดเด่นขึ้น ในขณะที่บริษัทระดับรองลำบากขึ้น และผลกระทบจากภาวะโลกร้อนนั้น จะทำให้ความเสี่ยงของธุรกิจสูงขึ้นจากภัยธรรมชาติในระยะสั้น
ผลกระทบของ Megatrend โลกนั้น แน่นอน รวมถึงประเทศไทย เพราะเราอยู่ในกระแสของโลกานุวัตรด้วย ดังนั้น เราต้องนำ Trend ต่าง ๆ เหล่านั้นเข้ามาพิจารณา ในเรื่องของการลงทุน สิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในกระแสและหลีกเลี่ยงหุ้นที่สวนกระแส แต่การลงทุนกับหุ้นที่อยู่ใน Megatrend นั้นยังไม่เพียงพอ เหตุผลก็คือ กิจการที่อยู่ในกระแสนั้น บ่อยครั้งมีมากยิ่งกว่ากิจการที่ไม่อยู่ในกระแส การแข่งขันกันจึงรุนแรงและอาจทำให้บริษัทขาดทุนหรือล้มหายตายจากได้ง่าย ๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือกิจการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี IT ที่เราเห็น “คนตาย” มากกว่า “คนอยู่” หุ้นหรือกิจการที่เราต้องการจริง ๆ ก็คือ เราต้องการบริษัทที่เป็น “ผู้ชนะ” ในอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Megatrend และในราคาที่สมเหตุผล
ประเด็นสำคัญที่ตามมาก็คือ อะไรคือ “ราคาที่สมเหตุผล” นี่เป็นเรื่องยากหรืออาจจะยากยิ่งกว่าการกำหนดว่าบริษัทอยู่ใน Megatrend และเป็น “ผู้ชนะ” หรือไม่? เหตุผลก็คือ หุ้นที่อิงกับกระแสแนวโน้มใหญ่นั้น มักจะเติบโตไปได้ต่อเนื่องยาวนานตราบที่เขายังมีความสามารถสูงอยู่ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ บริษัทที่ “กำลังชนะ” นั้น Profit Margin หรือกำไรต่อยอดขายมักจะมาทีหลัง ในขณะที่ช่วงแรก ๆ ของการเติบโต ผลกำไรจะไม่สูงมากเนื่องจากบริษัทจะเน้นไปที่การเพิ่มยอดขายมากกว่าที่จะทำกำไร ดังนั้น ในช่วงที่บริษัทยังโตเร็ว ผลกำไรอาจจะไม่สูงมาก นี่ทำให้ค่า PE อาจจะดูสูงและทำให้ราคาหุ้นดูไม่สมเหตุผลโดยเฉพาะในสายตาของ Value Investor ที่เน้นหุ้นถูกเป็นหลัก วิธีที่ดีกว่าก็คือ การดู “ศักยภาพ” ว่า บริษัทน่าจะสามารถเติบโตมียอดขายถึงระดับไหนและมันน่าจะมีกำไรเท่าไรเมื่อถึงจุดนั้น โดยกำไรนั้นจะต้องคำนวณจาก Profit Margin ที่เหมาะสม ซึ่งนั่นจะทำให้เราสามารถคำนวณหากำไรและราคาหุ้นที่เหมาะสมในอนาคตได้ จากนั้นจึงมาดูว่าราคาในปัจจุบันนั้นเหมาะสมหรือไม่
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
แนวโน้มใหญ่หรือ Megatrend ของโลกนั้น จะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวที่ต่อเนื่องยาวนานอย่างน้อย 10 ปี ขึ้นไป และน่าจะต้องเป็นอย่างนั้นต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 10 ปี และต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมเห็น
Megatrend แรกที่ดำเนินมายาวนานน่าจะหลายสิบปีและจะดำเนินต่อไปอีกนานมากก็คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 2 ด้านนั่นก็คือ เทคโนโลยีด้าน IT และการสื่อสารแบบเคลื่อนที่ กับเทคโนโลยีด้านชีวภาพหรือ Biotech นี่คือเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนเราตามแทบไม่ทัน ด้านของ IT นั้น เราส่วนใหญ่อาจจะได้ยินได้เห็นและได้ใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่ในด้านของเทคโนโลยีชีวภาพนั้น อาจจะมีคนไม่มากที่ได้สัมผัสกับมันโดยตรง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบก็อาจจะมีมากพอ ๆ กับเรื่องของ IT เพราะหลายเรื่องเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีเกี่ยวกับยาและการแพทย์ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วจนทำให้การรักษาโรคที่ร้ายแรงในอดีต สามารถทำได้ดีขึ้นมากในปัจจุบันและต่อไปในอนาคตอันใกล้
Megatrend ที่สองก็คือเรื่องของ Wealth หรือความมั่งคั่งของคนในโลก นี่เป็นแนวโน้มที่ต่อเนื่องยาวนาน ในอดีตนั้น การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมักเกิดขึ้นในประเทศที่เจริญกว่า แต่ในปัจจุบันความมั่งคั่งมักเพิ่มขึ้นเร็วกว่าในประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะที่มีประชากรมากหรือมีทรัพยากรมาก ความมั่งคั่งที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวกับเงินซึ่งรวมถึงระบบธนาคารและการบริหารเงินและกองทุนรวมเติบโตต่อเนื่องระยะยาว และแน่นอน ส่งผลต่อราคาหุ้นโดยเฉพาะในประเทศที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
Megatrend ที่สามคือเรื่องของโครงสร้างอายุของประชากรในโลกที่เริ่มแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว อายุเฉลี่ยของประชากรโลกน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเด็กเกิดใหม่มีอัตราลดลงในขณะที่คนก็มีอายุยืนขึ้น โดยที่ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น ผลกระทบก็คือ ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและคนสูงอายุน่าจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
Megatrend ที่สี่คือเรื่องที่ผมอยากเรียกว่าเป็น “การเพิ่มขึ้นของอิทธิพลของเอเซีย” นี่คือแนวโน้มใหญ่ที่ประเทศในเอเซียมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับส่วนอื่นของโลก ประกอบกับการที่มีประชากรจำนวนมาก ทำให้เอเชียมีบทบาทและความสำคัญสูงขึ้นอย่างมากในทุกด้าน ทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม ผลต่อประเทศไทยก็คือ เราจะมีการค้าและการลงทุนมากขึ้นเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่จะมีมากขึ้นเนื่องจากไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่อยู่ในศูนย์กลางของเอเซีย
Megatrend ที่ห้าก็คือ เรื่อง “ภาวะโลกร้อน” นี่คือแนวโน้มที่เพิ่งเกิดมาไม่นาน หรือน่าจะพูดว่าเราเพิ่งตระหนักมาไม่นานนัก แต่ผลกระทบนั้นอาจจะรุนแรงขนาดที่สามารถเปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของโลกได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นนั้น ผลกระทบก็อาจจะเป็นเรื่องของท้องถิ่นบางแห่งที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงของลมฟ้าอากาศซึ่งรวมถึงภาวะแห้งแล้ง พายุ หรือน้ำท่วม ที่อาจจะเกิดขึ้นมากกว่าปกติ และนี่ทำให้เกิดความเสี่ยงโดยเฉพาะในด้านของทรัพย์สินและการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ชัดเจนว่าจะเกิดที่จุดไหนและเมื่อใด
Megatrend สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือเรื่อง Globalization หรือโลกานุวัตร ซึ่งบางคนใช้คำว่า “โลกแบน” ความหมายก็คือ พรมแดนทางภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศและวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นจะมีความหมายน้อยลงเรื่อย ๆ คนในแต่ละประเทศจะมีความคิด ค่านิยม และความเป็นอยู่คล้าย ๆ กันขึ้นอยู่กับฐานะและความมั่งคั่งมากกว่าเรื่องของวัฒนธรรมประจำชาติ นอกจากนั้น แต่ละประเทศจะไม่สามารถทำอะไรตามใจตนเองได้ทั้งหมดแต่จะต้องทำในสิ่งที่เป็นที่ยอมรับของสังคมโลกด้วย เช่นเดียวกัน การแข่งขันทางธุรกิจก็จะต้องเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และต้องรวมไปถึงธุรกิจจากต่างประเทศทั่วโลก ผลกระทบก็คือ บริษัทที่มีความสามารถทางการแข่งขันสูงจะสามารถขยายตัวได้มากขึ้นมาก ในขณะที่บริษัทระดับรองหรืออ่อนแอจะอยู่ได้ยากขึ้น
โดยสรุปก็คือ ผมคิดว่าอุตสาหกรรมที่เป็น Megatrend และจะโตเร็วและโตไปอีกนานก็คือ อุตสาหกรรมไฮเทคที่เกี่ยวกับ IT และการสื่อสารในระบบเคลื่อนที่ และอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการแพทย์และการให้บริการทางการแพทย์ ในอุตสาหกรรมอื่นนั้น ผมคิดว่าธุรกิจการเงินและการบริหารเงิน และการลงทุนในหุ้น น่าจะมีอนาคตสดใส เช่นเดียวกับการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของประเทศในทวีปเอเซียที่ประชากรมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น ซึ่งการบริโภคนี้รวมถึงการท่องเที่ยวและการเดินทางข้ามประเทศที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ผลกระทบจากการเปิดเสรีประเทศมากขึ้นจากผลของโลกานุวัตรจะทำให้กิจการที่เป็นผู้นำที่โดดเด่น โดดเด่นขึ้น ในขณะที่บริษัทระดับรองลำบากขึ้น และผลกระทบจากภาวะโลกร้อนนั้น จะทำให้ความเสี่ยงของธุรกิจสูงขึ้นจากภัยธรรมชาติในระยะสั้น
ผลกระทบของ Megatrend โลกนั้น แน่นอน รวมถึงประเทศไทย เพราะเราอยู่ในกระแสของโลกานุวัตรด้วย ดังนั้น เราต้องนำ Trend ต่าง ๆ เหล่านั้นเข้ามาพิจารณา ในเรื่องของการลงทุน สิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในกระแสและหลีกเลี่ยงหุ้นที่สวนกระแส แต่การลงทุนกับหุ้นที่อยู่ใน Megatrend นั้นยังไม่เพียงพอ เหตุผลก็คือ กิจการที่อยู่ในกระแสนั้น บ่อยครั้งมีมากยิ่งกว่ากิจการที่ไม่อยู่ในกระแส การแข่งขันกันจึงรุนแรงและอาจทำให้บริษัทขาดทุนหรือล้มหายตายจากได้ง่าย ๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือกิจการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี IT ที่เราเห็น “คนตาย” มากกว่า “คนอยู่” หุ้นหรือกิจการที่เราต้องการจริง ๆ ก็คือ เราต้องการบริษัทที่เป็น “ผู้ชนะ” ในอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Megatrend และในราคาที่สมเหตุผล
ประเด็นสำคัญที่ตามมาก็คือ อะไรคือ “ราคาที่สมเหตุผล” นี่เป็นเรื่องยากหรืออาจจะยากยิ่งกว่าการกำหนดว่าบริษัทอยู่ใน Megatrend และเป็น “ผู้ชนะ” หรือไม่? เหตุผลก็คือ หุ้นที่อิงกับกระแสแนวโน้มใหญ่นั้น มักจะเติบโตไปได้ต่อเนื่องยาวนานตราบที่เขายังมีความสามารถสูงอยู่ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ บริษัทที่ “กำลังชนะ” นั้น Profit Margin หรือกำไรต่อยอดขายมักจะมาทีหลัง ในขณะที่ช่วงแรก ๆ ของการเติบโต ผลกำไรจะไม่สูงมากเนื่องจากบริษัทจะเน้นไปที่การเพิ่มยอดขายมากกว่าที่จะทำกำไร ดังนั้น ในช่วงที่บริษัทยังโตเร็ว ผลกำไรอาจจะไม่สูงมาก นี่ทำให้ค่า PE อาจจะดูสูงและทำให้ราคาหุ้นดูไม่สมเหตุผลโดยเฉพาะในสายตาของ Value Investor ที่เน้นหุ้นถูกเป็นหลัก วิธีที่ดีกว่าก็คือ การดู “ศักยภาพ” ว่า บริษัทน่าจะสามารถเติบโตมียอดขายถึงระดับไหนและมันน่าจะมีกำไรเท่าไรเมื่อถึงจุดนั้น โดยกำไรนั้นจะต้องคำนวณจาก Profit Margin ที่เหมาะสม ซึ่งนั่นจะทำให้เราสามารถคำนวณหากำไรและราคาหุ้นที่เหมาะสมในอนาคตได้ จากนั้นจึงมาดูว่าราคาในปัจจุบันนั้นเหมาะสมหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Megatrend โลก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
วิธีที่ดีกว่าก็คือ การดู “ศักยภาพ” ว่า บริษัทน่าจะสามารถเติบโตมียอดขายถึงระดับไหนและมันน่าจะมีกำไรเท่าไรเมื่อถึงจุดนั้น โดยกำไรนั้นจะต้องคำนวณจาก Profit Margin ที่เหมาะสม ซึ่งนั่นจะทำให้เราสามารถคำนวณหากำไรและราคาหุ้นที่เหมาะสมในอนาคตได้ จากนั้นจึงมาดูว่าราคาในปัจจุบันนั้นเหมาะสมหรือไม่
จุดมุมมองใหม่ให้ผมอีกแล้วครับ ขอบคุณครับอาจารย์
จุดมุมมองใหม่ให้ผมอีกแล้วครับ ขอบคุณครับอาจารย์
Value = Quality/Cost
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Megatrend โลก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
ประเด็นสำคัญที่ตามมาก็คือ อะไรคือ “ราคาที่สมเหตุผล” นี่เป็นเรื่องยากหรืออาจจะยากยิ่งกว่าการกำหนดว่าบริษัทอยู่ใน Megatrend และเป็น “ผู้ชนะ” หรือไม่? เหตุผลก็คือ หุ้นที่อิงกับกระแสแนวโน้มใหญ่นั้น มักจะเติบโตไปได้ต่อเนื่องยาวนานตราบที่เขายังมีความสามารถสูงอยู่ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ บริษัทที่ “กำลังชนะ” นั้น Profit Margin หรือกำไรต่อยอดขายมักจะมาทีหลัง ในขณะที่ช่วงแรก ๆ ของการเติบโต ผลกำไรจะไม่สูงมากเนื่องจากบริษัทจะเน้นไปที่การเพิ่มยอดขายมากกว่าที่จะทำกำไร ดังนั้น ในช่วงที่บริษัทยังโตเร็ว ผลกำไรอาจจะไม่สูงมาก นี่ทำให้ค่า PE อาจจะดูสูงและทำให้ราคาหุ้นดูไม่สมเหตุผลโดยเฉพาะในสายตาของ Value Investor ที่เน้นหุ้นถูกเป็นหลัก วิธีที่ดีกว่าก็คือ การดู “ศักยภาพ” ว่า บริษัทน่าจะสามารถเติบโตมียอดขายถึงระดับไหนและมันน่าจะมีกำไรเท่าไรเมื่อถึงจุดนั้น โดยกำไรนั้นจะต้องคำนวณจาก Profit Margin ที่เหมาะสม ซึ่งนั่นจะทำให้เราสามารถคำนวณหากำไรและราคาหุ้นที่เหมาะสมในอนาคตได้ จากนั้นจึงมาดูว่าราคาในปัจจุบันนั้นเหมาะสมหรือไม่
ขอบคุณท่านอาจารย์ครับ เนื้อหาชัดเจน และ เป็นเนื้อหาข้อเท็จจริงครับ เยี่ยมสุดๆครับ
เท่าที่ผมติดตามแนวทางท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์จะเน้น ด้านคุณภาพ
มากกว่า ด้านตัวเลขนะครับ เห็นด้วยกับท่านอาจารย์เรื่อง ศักยภาพครับ
เสือ ยังไม่น่ากลัว เท่าเสือติดปีก
ขอบคุณท่านอาจารย์ครับ เนื้อหาชัดเจน และ เป็นเนื้อหาข้อเท็จจริงครับ เยี่ยมสุดๆครับ
เท่าที่ผมติดตามแนวทางท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์จะเน้น ด้านคุณภาพ
มากกว่า ด้านตัวเลขนะครับ เห็นด้วยกับท่านอาจารย์เรื่อง ศักยภาพครับ
เสือ ยังไม่น่ากลัว เท่าเสือติดปีก
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
- vi_tal signs
- Verified User
- โพสต์: 631
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Megatrend โลก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 8
คมมากครับ นึกถึงเลยว่า การขยายช่วงแรกกําไรไม่เยอะ แต่พอแย่งพื้นที่เบ็ดเสร็จแล้วค่อยกําไรตามมา
ราคาหุ้นเลยแพงตอนแรก
ราคาหุ้นเลยแพงตอนแรก
มันจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 30
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Megatrend โลก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 9
อาจารย์สุดยอดครับ
this is a book
-
- Verified User
- โพสต์: 362
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Megatrend โลก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
ขออนุญาติเพิ่มเติม megatrend ที่เจ็ด
ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของอาหาร เพราะถ้าดูกันตาม Megatrend ที่ท่าน ดร. ได้กล่าวไว้มีหลายข้อทีเดียวจะส่งผลกระทบต่อ Demand และ Supply ของอาหาร
- Megatrend ที่สอง Wealth จะทำให้ประชากรจำนวนมากจากอดๆ อยากๆ ก็จะมีกินมีใช้กันมากขึ้น
- Megatrend ที่สาม คนแก่มากขึ้น นิ่ก็จะหมายถึงคนหนึงคนจะมีช่วงชีวิตที่ยาวขึ้น ซึ่งก็จะทำให้มีเวลากินอยู่กันมากขึ้นเข้าไปอีก
- Megatrend ที่สี่ การเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชีย อันนี้จะคล้ายกับ Megatrend ที่สอง Wealth เพราะต้องยอบรับว่าก่อนหน้านี้ ประเทศในเอเชียเราค่อนข้างยากจนมากทีเดียว ถ้านับจากประชากรอันดับหนึ่งและสองของโลกทั้งจีนและอินเดีย ก็ปาเข้าไป 36% ของทั้งโลกและ ฉะนั้นถ้าเอเชียเจริญเติบโต ก็คือการยกระดับคนจำนวนมากของโลกที่อยู่ที่ฐานพิระมิดมาตลอด ให้ขยับขึ้นมากินดีอยู่ดีมากขึ้น
- Megatrend ที่ห้าก็คือ เรื่อง “ภาวะโลกร้อน” อันนี้ไม่ต้องพูดถึง ทำให้พื่นที่เกษตรเสียหายตลอด
อีกทั้ง พื้นที่ที่เหมาะกับการเพาะปลูกบนโลกนี้ก็มีอยู่อย่างจำกัด บางส่วนก็โดนแย่งไปปลูกพืชเศรษฐกิจอีก ผมจึงมองว่า Megatrend ในเรื่องการขาดแคลนอาหารน่าจะมีมากขึ้น เราอาจไม่ได้หาซื้อไม่ได้หรือต้องอดอยาก แต่คงต้องจ่ายแพงมากขึ้น เพื่อให้อิ่มและอร่อยกัน
ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของอาหาร เพราะถ้าดูกันตาม Megatrend ที่ท่าน ดร. ได้กล่าวไว้มีหลายข้อทีเดียวจะส่งผลกระทบต่อ Demand และ Supply ของอาหาร
- Megatrend ที่สอง Wealth จะทำให้ประชากรจำนวนมากจากอดๆ อยากๆ ก็จะมีกินมีใช้กันมากขึ้น
- Megatrend ที่สาม คนแก่มากขึ้น นิ่ก็จะหมายถึงคนหนึงคนจะมีช่วงชีวิตที่ยาวขึ้น ซึ่งก็จะทำให้มีเวลากินอยู่กันมากขึ้นเข้าไปอีก
- Megatrend ที่สี่ การเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชีย อันนี้จะคล้ายกับ Megatrend ที่สอง Wealth เพราะต้องยอบรับว่าก่อนหน้านี้ ประเทศในเอเชียเราค่อนข้างยากจนมากทีเดียว ถ้านับจากประชากรอันดับหนึ่งและสองของโลกทั้งจีนและอินเดีย ก็ปาเข้าไป 36% ของทั้งโลกและ ฉะนั้นถ้าเอเชียเจริญเติบโต ก็คือการยกระดับคนจำนวนมากของโลกที่อยู่ที่ฐานพิระมิดมาตลอด ให้ขยับขึ้นมากินดีอยู่ดีมากขึ้น
- Megatrend ที่ห้าก็คือ เรื่อง “ภาวะโลกร้อน” อันนี้ไม่ต้องพูดถึง ทำให้พื่นที่เกษตรเสียหายตลอด
อีกทั้ง พื้นที่ที่เหมาะกับการเพาะปลูกบนโลกนี้ก็มีอยู่อย่างจำกัด บางส่วนก็โดนแย่งไปปลูกพืชเศรษฐกิจอีก ผมจึงมองว่า Megatrend ในเรื่องการขาดแคลนอาหารน่าจะมีมากขึ้น เราอาจไม่ได้หาซื้อไม่ได้หรือต้องอดอยาก แต่คงต้องจ่ายแพงมากขึ้น เพื่อให้อิ่มและอร่อยกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Megatrend โลก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 13
ขอบคุณ ดร. สำหรับ บทความดีๆ เช่นเคยครับ..
1.
อันนี้ อยากเห็น บจ. ใน ไทย ไป ซื้อ brand ระดับโลก บ้าง...
ที่ผ่านมาก็เริ่ม มี แล้ว แต่ คง เห็นมากขึ้น
2.
เร็วนี้ เห็นข่าวว่า USDA organic สุด hot จัดๆ นัยว่า อาหาร organic food
อันนี้ก็น่า จะเป็น big trend และ ไทยน่าจะตามได้ทัน ถ้าเราทุ่มไปมางนี้ เพราะเราเก่ง เกษตร
ถ้า อีกหน่อย เรามี certified. 100% organic supermarket หรือ 100% organic food store หรือ restaurant แบบนี้ น่าจะเป็น
trend สุขภาพ..
1.
คงคล้าย ..ที่ จีน เขา ไปซื้อ บ. volvoสี่คือเรื่องที่ผมอยากเรียกว่าเป็น “การเพิ่มขึ้นของอิทธิพลของเอเซีย”
อันนี้ อยากเห็น บจ. ใน ไทย ไป ซื้อ brand ระดับโลก บ้าง...
ที่ผ่านมาก็เริ่ม มี แล้ว แต่ คง เห็นมากขึ้น
2.
ตรงนี้ ถ้าเป็นยา เรา ตาม เขาไม่ ทัน แต่ ถ้า เครื่องดื่ม(ยา)ชูกำลัง เราอันดับหนึ่ง ของโลกมั้ง ครับเทคโนโลยีด้านชีวภาพหรือ Biotech นี่คือเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนเราตามแทบไม่ทัน..ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีเกี่ยวกับยาและการแพทย์ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วจนทำให้การรักษาโรคที่ร้ายแรงในอดีต
เร็วนี้ เห็นข่าวว่า USDA organic สุด hot จัดๆ นัยว่า อาหาร organic food
อันนี้ก็น่า จะเป็น big trend และ ไทยน่าจะตามได้ทัน ถ้าเราทุ่มไปมางนี้ เพราะเราเก่ง เกษตร
ถ้า อีกหน่อย เรามี certified. 100% organic supermarket หรือ 100% organic food store หรือ restaurant แบบนี้ น่าจะเป็น
trend สุขภาพ..
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Megatrend โลก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 14
ผมมีมุมมองว่าเมกะเทรนด์อีกอย่างที่สังเกตเห็นได้ก็คือ คนส่วนใหญ่จะเป็นเศรษฐีเงินกู้เยอะขึ้น