เทพ รุ่งธนาภิรมย์
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 1
ช่วงนี้เพื่อนๆคงรับเงินปันผลกันเพลินนะครับ
เคยจำได้ว่านักลงทุนท่านนึงคือคุณเทพ รุ่งธนาภิรมย์
ใช้เทคนิคในการเลือกหุ้น โดยเน้นที่เงินปันผล
และผมได้เก็บบทความเทคนิคคัดหุ้นของท่านไว้
โดยคัดลอกจากกรุงเทพธุรกิจถนนนักลงทุนประมาณ 1-2 ปีมาแล้ว
เอามาให้เพือนๆลองอ่านดูครับ ว่าเหมาะสมกับแนวทาง vi หรือเปล่า
หุ้นห่านทองคำ' เล่นไม่ยากหากจะเล่น
"ผมเองเจอหุ้นนานๆ ดูที ข้อมูลว่างเมื่อไรก็ศึกษา ไม่ได้ต้องมาเกาะติดอยู่ตลอด แต่จะเน้นดูงบ ไปฟังเมื่อบริษัทพรีเซ้นท์ข้อมูล
เวลาที่ให้กับเรื่องหุ้น 90% จะเป็นการค้นคว้า แค่ 5-6% เท่านั้นที่จะมาเทรด" เทพ รุ่งธนาภิรมย์ กล่าวถึง วิธีการลงทุนในหุ้นห่านทองคำของเขา
แนวคิดในการลงทุนแบบหุ้นห่านทองคำนี้ เขาบอกว่าเอามาจากการผสมผสานจากหนังสือหลายๆ เล่ม เช่น ให้เงินทำงาน การเก็บเงินการออมเงิน ความเป็นไททางการเงิน ฯลฯ
แม้กระทั่งหมากโกะ เกมกีฬาโปรดก็ถูกนำมาดัดแปลง
"โกะ มันมีพื้นที่กว้าง ต้องวางหมากไว้หลายจุด ก็เหมือนกับที่เราดูว่าจะมีจำนวนห่านให้มากได้อย่างไร แล้วธรรมชาติของมันจะเอาชนะโดยการไม่เอาชนะ ก็เหมือนการเล่นหุ้นโดยไม่ได้หวังเอาชนะ แต่เราจะเอาเงินปันผล"
ส่วนสไตล์ของนักลงทุนชื่อดังระดับโลกที่ชื่นชอบ Value Stocks ไม่ว่าจะเป็น วอร์เรนต์ บัฟเฟตต์ หรือปีเตอร์ ลินช์ นั้น เขาบอกว่าจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
"บัฟเฟตต์ เป็น Value Investor เหมือนกัน แต่เขาจะรอจนราคาลงลึก แล้วซื้อทีละหนักๆ ปีเตอร์ ลินช์ เขาบริหารกองทุนก็จะเน้นหุ้นที่ทำให้มีเอ็นเอวีดี
แต่ส่วนตัวผม จะเน้นผลตอบแทนจากเงินปันผล
ไม่แน่ใจว่าใครจะเป็นอย่างผมบ้าง แต่ถ้าเป็นคนแรกก็จะดีใจมาก"
เทพบอกว่า หุ้นทั้งหลายมันเหมือนห่านให้ไข่ทองคำเราทุกปี ถ้าเราขายก็เหมือนฆ่าห่านทิ้ง
"เราจึงต้องมองผลตอบแทนการลงทุนจากเงินปันผล ไม่ใช่ผลตอบแทนจากการขายหุ้น ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะมองแต่ส่วนนั้น
แต่อันนี้ทำกลับกัน ไม่ขายหุ้นทิ้ง ให้มีหุ้น (ห่าน) อยู่ส่วนหนึ่งเสมอ"
สำหรับกลยุทธ์การเลือกหุ้นห่านทองคำของเทพนั้น
หลักอันดับแรก เขาจะใช้ เกณฑ์เงินปันผลของหุ้นเป็นหลัก โดยจะเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนมาก 10-20 อันดับแรก ซึ่งหุ้นเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 7%
"วิธีคัดเลือกแบบง่ายสุด คือเลือกบริษัทที่มีกำไรสูงไว้ก่อน เพราะถ้ากำไรมากก็มีโอกาสจ่ายปันผลมาก"
แต่ก็ต้องระวังหุ้นที่มีกำไรสูงๆ หากมีขาดทุนสะสม เขาบอกว่า "ให้เลี่ยงซะ"
เมื่อได้ "ร่อน" หุ้นได้มาจำนวนหนึ่งแล้วก็ ตั้งคำถามยุทธศาสตร์ เช่น ทำธุรกิจอะไร ผู้บริหารคือใคร ผลงานที่ผ่านมา แผนงานและแนวโน้มในอนาคต
4 คำถามนี้แม้จะดูว่าพื้นๆ แต่ถ้าใครค้นหาคำตอบได้ ก็จะทำให้รู้จัก "ชาติตระกูล" ของห่านทองคำนั้นๆ ว่าเป็น "ห่านทองคำแท้" หรือ "ห่านอมโรค" ได้
ประเมินเชิงคุณภาพ โดยการลิสต์หัวข้อจุดเด่น จุดด้อย ของหุ้นนั้นทั้งหมดแล้วแยกแยะข้อดี-เสียออกจากกัน
ข้อมูลเหล่านี้ อาจจะมาจากข้อมูลพื้นฐาน ข่าวคราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับตัวบริษัท
ประเมินเชิงมูลค่า เป็นการหามูลค่าหุ้นที่แท้จริง จากเงินปันผล โดยพิจารณาจากเป้าหมาย "ไข่ทองคำ" หรือเงินปันผลที่เราต้องการ แล้วสรุปเป็นราคาหุ้นที่จะลงทุน
เช่น สมมติ หุ้นแพนเอเชียฟุทแวร์ จ่ายปันผลหุ้นละ 0.50 บาท หากเราต้องการผลตอบแทนจากเงินปันผล 10% ราคาหุ้นที่ต้องการจะเป็นเท่าไรนั้น ก็ใช้เงินปันผลหารด้วยผลตอบแทนที่ต้องการ หรือ .50 หารด้วย 10% ซึ่งผลลัพธ์จะเท่ากับหุ้นละ 5 บาท
จากนั้นก็เปรียบเทียบกับราคาตลาด ถ้าต่ำกว่า 5 บาท ให้ซื้อได้ในจำนวนมาก ถ้าเท่ากับราคาตลาดให้ซื้อบ้าง แต่ถ้าราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าหุ้นที่คำนวณได้ให้รอไปก่อน
"ลงทุนและติดตามผล" ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย ทั้งนี้ ก็เพื่อจะปรับการลงทุนให้เหมาะ
โดยข้อมูลที่จะให้ติดตามผลนั้นเขาบอกว่า อาจจะมาจากแหล่งข้อมูลจากตลาดหุ้น www.set.or.th ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ รวมถึงการเข้าฟังการพรีเซ้นท์ข้อมูลหุ้นของบริษัท การร่วมประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท
วิธีการแบบนี้ จึงทำให้เขาแตกต่างกับสมัยก่อน
"สมัยก่อนหุ้นขึ้นก็ดีใจ ลงก็ทำไงดี เดี๋ยวคัทลอสท์ เดี๋ยวมาร์เก็ตไพรส์ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ มันเล่นแบบมีความสงบในใจ ไม่มุ่งเอากำไร แต่มุ่งเอาบริษัทดีๆ ผู้บริหารทำงานจริงจัง มีกำไรก็แบ่งให้เรา จะเลือกหุ้นแบบนี้เข้ามาในพอร์ต"
ใช้หลักลงทุนแบบนี้แล้วจะมีพลาดบ้างไหม เขาบอกว่ามีบ้าง เนื่องจากการวิเคราะห์ยังไม่สมบูรณ์พอ ก็ต้อง "คัทลอสท์" ไป แต่ไม่ได้เป็นไปแบบตื่นตระหนก เพราะโดยรวมแล้วพื้นฐานของบริษัทยังดีอยู่
"การลงทุนเหมือนการทำสวน ค่อยๆ ตกแต่งไปเรื่อยๆ งอกเงยมาก็ลิดกิ่งก้าน หายไปก็เติม หาต้นไม้ใหม่ๆ เข้าสวน"
[quote]สู่อิสรภาพทางการเงิน ด้วย 'หุ้นปันผล '
"เทพ รุ่งธนาภิรมณ์" บอกว่า ช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน นับเป็นเดือนที่เขาตื่นเต้น และมีความสุขมากสุดในรอบปี เพราะจะได้รับเงินปันผลที่ลงทุนในบริษัทต่างๆ
"ผมชอบลุ้นว่า บริษัทนี้จะได้เท่าไร บริษัทนั้นจะได้เท่าไร"
สไตล์การลงทุนในหุ้นปันผล หรือหุ้นห่านทองคำนี้ แม้จะถูกมองว่า "ไม่ทันใจ" เพราะต้อง "นั่งรอ" รับเงินปันผลเป็นหลัก แต่กำไรที่ได้ก็เป็นเนื้อเป็นหนัง จากหุ้นที่ให้ผลตอบแทน 10% ขึ้นไป และจากการปรับพอร์ต เช่น ถ้าหุ้นตกซื้อเพิ่ม หรือพอหุ้นขึ้นเกินมูลค่าก็ขาย
ทั้งยังช่วยลดต้นทุนทุกปี ทำให้การลงทุนมีความปลอดภัยมากขึ้น
เทพบอกว่า ตอนนี้เขานำเงินที่ได้จากไข่ทองคำไปลงทุนต่อ เพราะยังมีรายได้จากการทำงานพิเศษ และรายได้จากไข่ทองคำยังน้อยกว่าค่าใช้จ่าย
ช่วงนี้จึงยังเป็นช่วงของการ "หว่านพืช"
แต่เมื่อใดที่ไข่ทองคำสูงกว่าค่าใช้จ่ายนั่นคือ ช่วงเก็บเกี่ยว ซึ่งจะช่วยให้เขาได้ใช้ชีวิตตามใจปรารถนา
"หุ้นเหล่านี้เปรียบเสมือนห่านที่ขนเอาไข่ทองคำมาให้เรา พอที่เราจะ cover ค่าใช้จ่าย ก็จะช่วยให้เป็นไท"
เป็นไทอย่างไรน่ะหรือ ก็คือ การมีเงินไว้ใช้จ่ายโดยไม่ต้องทำงานประจำ ด้วยรายได้ ซึ่งอาจจะมาจากเงินปันผล ดอกเบี้ย
เทพบอกว่า "อย่าลืมว่าเราต้องทำงานเราถึงจะมีเงินมาใช้ แต่จะเป็นไปได้ไหม ที่จะให้เงินทำงานแทนคุณ การลงทุนในหุ้นปันผลก็เป็นวิธีหนึ่ง แล้วอันนี้จะสร้าง future income ให้ด้วย
คนที่อายุ 20 ปีอยากจะเป็นเศรษฐีนี่อีก 20 ปีก็สามารถเป็นได้"
วิธีการที่ช่วยให้เป็นเศรษฐี มีอิสรภาพทางการเงินเร็วขึ้นนั้น เขายกตัวอย่างให้เห็นว่า
"ถ้าหากเราอยากเป็นเศรษฐีในเวลา 20 ปี สมมติเราต้องการใช้เงินเดือนละ 20,000 บาท ในปีที่ 21 แสดงว่าเราจะต้องมีผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยอย่างน้อยเดือนละ 20,000 บาท หรือปีละ 240,000 บาท
แล้วจะต้องออมเงินเท่าไร จึงจะได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายนั้น"
สูตรของเขา คือ ถ้าต้องการผลตอบแทนขั้นต่ำจากการลงทุนอย่างน้อย 10 % ต่อปี แสดงว่าเงินต้นของเราในปีที่ 20 ควรจะสะสมได้จำนวน 2,400,000 บาท เท่ากับต้องสะสมเงินปีละ 120,000 บาท หรือเดือนละ 10,000 บาท หรือ 334 บาทต่อวัน
ดังนั้นวงเงินที่จะต้องหามาเก็บออมจึงไม่ถือว่าสูงนัก
ใครจะใช้วิธีทำงานพิเศษ หรือใช้วิธีลงทุนเพื่อให้ได้ตัวเลขตามนั้นก็แล้วแต่
แต่เขาบอกว่า เมื่อมีรายรับจากการลงทุนมากกว่ารายจ่ายแล้ว ก็จะทำให้เกิดความเป็นไททางการเงิน ซึ่งขณะนี้เขาเองแม้ยังไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งขึ้น
แต่มั่นใจว่ามาถูกทาง
ด้วย "กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ"
"เพียงแค่เงินปันผลที่ได้รับ ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมมีชีวิตความเป็นอยู่สบาย ไม่ต้องทำงานประจำเหมือนเมื่อก่อนแล้ว"
ยุทธการ 'ตามล่า' หาห่านทองคำ
"คนที่อยู่ในตลาดหุ้นส่วนใหญ่ หุ้นขึ้นก็ดีใจ หุ้นลงก็ใจเสีย แต่การลงทุนแบบนี้ไม่
ถึงจะเกิดสงคราม ก็ไม่ห่วง
เพราะการลงทุนแบบนี้จะทำให้คนปลอดภัย เนื่องจากเราได้เลือกหุ้นดีไว้แล้ว ทำให้ไม่กดดัน ไม่เครียด ไม่แตกตื่น ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
เวลาหุ้นตกก็มองว่า จะซื้อเพิ่มได้ไหม ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีเสียอีก"
"เทพ รุ่งธนาภิรมย์" กล่าวถึงการลงทุนในหุ้น ซึ่งเขาถนัดที่จะเรียกว่า "หุ้นห่านทองคำ"
มีด้วยหรือการลงทุนอย่างนี้ ?
เทพอธิบายว่า ถ้าหากหุ้นสามารถให้ผลตอบแทนเป็น "เงินปันผล" สม่ำเสมอ ก็เหมือนห่านที่ออกไข่ทองคำได้ทุกวัน
หุ้นดังกล่าวจึงไม่ต่างอะไรกับ "หุ้นห่านทองคำ" เพราะให้ "ไข่ทองคำ"
ข้อสำคัญเขาได้พิสูจน์ความสำเร็จใน "ทฤษฎีใหม่" ของตัวเองมาแล้ว จากการเริ่มลงทุนในสไตล์นี้เพียงปีเศษ
ไข่ทองคำ หรือเงินที่ได้จากการปันผล มากน้อยแค่ไหนน่ะหรือ แค่ทำให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่สบาย ไม่ต้องทำงานประจำเหมือนก่อน และมีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ราว 10%
จัดเป็นไข่ทองคำเบอร์ใหญ่ ใบเขื่องทีเดียว !!!
เทียบกับวิธีการลงทุนที่เขาเคยใช้มา 20 กว่าปี เขาบอกว่า "แตกต่างอย่างสิ้นเชิง"
ก่อนหน้านี้วิธีลงทุนในตลาดหุ้นของเทพไม่ต่างกับชาวหุ้นคนอื่นๆ นั่นคือลงทุนในตลาดหุ้นแบบหวังกำไรจากส่วนต่างของราคา ซื้อมาก็ขายทิ้งไป ไม่เน้นศึกษาอะไรมาก เพราะตลาดเป็นช่วง "ขาขึ้น"
เขาเพลิดเพลินถึงขั้นไป "กู้เงิน" มาลงทุนในตลาดหุ้นทีเดียว
"เมื่อก่อนตลาดหุ้นเป็นช่วงขาขึ้น ลงทุนอะไรไปก็ได้กำไร ก็ได้เงินมาเยอะ"
ช่วงที่หุ้น ที่ดิน สนามกอล์ฟ เป็นสูตร "ความมั่งคั่ง" ของผู้คน เทพก็เช่นกัน
อย่างไรก็ตามนับว่าเขายัง "โชคดี" เพราะได้เริ่ม "ฉาก" ออกจากตลาดหุ้นก่อนหน้าที่จะเกิด "บิ๊ก แบง" อย่างจังในช่วงปี 2540
โดยเขาได้โยกตัวเองจากการทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกสิกรไทย ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ มารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารที่ บงล.มหาธนกิจ
งานในหน้าที่ใหม่ทำให้เขาเกรงว่าจะไม่มีเวลาให้กับตลาดหุ้นเท่าไหร่นัก จึงเริ่มถอยห่าง โดยทยอยขายหุ้นออกมาจำนวนหนึ่ง
จากนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่แตก ตลาดหุ้น "เหวี่ยงตัว" รุนแรง จากขาขึ้นเป็นขาลง จากที่ลงทุนง่ายกลายเป็นเรื่องยาก
เทพเองบอกว่า เขา "ขาดทุนยับ" เช่นกัน เพราะต้องให้มาร์เก็ตติ้งตั้งราคาขายแบบ "ถูกๆ" เพื่อตัดขายหุ้นออกไป
แม้ตลาดหุ้นจะไม่ทำให้เขาเลือดโชกเช่นที่บรรดา "เซียน" และ "แมลงเม่า" ประสบเพราะเมื่อขายหุ้น เคลียร์หนี้เคลียร์สินแล้ว เขายังมีเงินเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง
แต่เขาบอกว่าตั้งแต่นั้น "เข็ดหลาบตลาดหุ้นไปเลย"
นักการเงินระดับซีอีโอหันมา "บริหารเงิน" ด้วยวิธีดั้งเดิมสุด คือ "ฝากเงิน"
"ช่วงที่ทรัสต์ปิดก็รีไทร์ตัวเอง ตอนนั้นหนี้ไม่มี มีเงินฝาก ซึ่งได้ดอกเบี้ยสูงก็ถือว่ายังเอ็นจอย แต่พออยู่ไปๆ ดอกเบี้ยลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายไม่ลงตามก็กังวลเหมือนกัน คิดว่าเราจะทำยังไงดี"
รายได้จากดอกเบี้ยหดหายไปถึง 80% มิหนำซ้ำยังเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงวัยใกล้เกษียณ ถือเป็นเรื่องชวนเครียดทีเดียว โชคดีเป็นของเขาที่ได้เจอเพื่อนซึ่งแนะนำให้ลงทุนใน "หุ้นปันผล"
"เขาบอกว่าหุ้นปันผลบางตัวให้ผลตอบแทน 10% ผมก็เชื่อ เริ่มตัดสินใจทบทวนการลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง"
ครั้งนี้เขามาใน "มาดใหม่" จากที่เมื่อก่อนแทบจะไม่ได้วิเคราะห์เจาะลึกเอง เพราะมีบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ "ป้อน" ให้เสร็จสรรพ ทั้งระบุราคาที่ควรซื้อขาย เขาเริ่มศึกษาหุ้นเอง ดูงบให้เข้าใจ เอารายงานประจำปีมาอ่าน เข้าห้องสมุดตลาดหุ้น ดูข้อมูลย้อนหลัง
แล้วเลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะในหุ้นเหล่านี้
"อ่านจนมึนไปหมด แต่พออ่านแล้วปรากฏว่าได้ความรู้ดีขึ้นๆ โดยเฉพาะในรายงาน 56-1จะมีรายละเอียดให้เห็นเยอะแยะ ปัจจัยเสี่ยง การแก้ไขปัญหาของบริษัท อ่านแล้วได้ไอเดียมาก ก็เริ่มทดลองลงทุน ผมเข้าตลาดหุ้นช่วงปลายปี 2543 เป็นจังหวะดีด้วย เพราะของยังไม่แพง"
ตอนนั้นเทพบอกว่าเขาได้จัดสรรเงินเรียบร้อยแล้ว แบ่งไว้ใช้ส่วนหนึ่ง ยามฉุกเฉินส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็เอามาลงในตลาดหุ้น แต่เลือกที่ "ปลอดภัย ไว้ก่อน" มิใช่หุ้นขึ้นก็รีบซื้อ หุ้นลงก็รีบขาย
นับเป็นสไตล์ลงทุนที่ต่างจากช่วงก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง
"ผมจะเลือกหุ้นที่มีการขึ้น-ลงไม่หวือหวา เพราะตลาดหุ้นขึ้นลงเร็ว เราในฐานะนักลงทุนรายย่อยตามไม่ทันแน่ แล้วก็มองกลับกับคนอื่น เพราะสิ่งที่เราอยากได้จากตลาดหุ้น คือ กระแสเงินสดเพื่อทดแทนดอกเบี้ย เพราะฉะนั้นหุ้นนั้นจะต้องมีเงินปันผลที่แน่นอน"
หุ้นที่สามารถให้ผลตอบแทนลักษณะนี้ได้ เขาบอกว่า ต้องเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการดี มีกำไรสะสมเป็นบวก มีเงินสด หนี้ไม่มาก และต้องจ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ
เพื่อจะมั่นใจได้ว่า จะได้รับ "ไข่ทองคำ" หรือ "เงินปันผล" แน่ๆ
"คุณสมบัติของบริษัทของหุ้นห่านทองคำ จะต้องมีกำเนิดจากบริษัทที่ดี ผู้บริหารดี มีประสิทธิภาพในการบริหารคน บริหารกำไร เพื่อสร้างมูลค่าแก่บริษัทและผู้ถือหุ้น" เขากล่าว
เมื่อเลือกหุ้นได้แล้ว บางทีก็มีโอกาสที่จะ "เทรดดิ้ง" ได้อีก เขาจึงนำเอาสองอย่างนี้มาผสมกัน
"หลักการแรกต้องเป็นหุ้นที่เราศึกษามาแล้ว แล้วราคาเหมาะสม โดยใช้ dividend yield 10% เป็นเกณฑ์"
ทำไมต้อง 10% น่ะหรือ
เขาให้เหตุผลว่า เพราะพื้นฐานของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 2% ต่อปี บวกค่าความเสี่ยงอีก 5% ที่เหลืออีก 3% ถือเป็นค่าความปลอดภัย ดังนั้นระดับผลตอบแทนจากเงินปันผล 10% จึงถือว่าเหมาะในสายตาเขา
"ถ้า dividend yield 10% ผมถึงจะกล้าลงทุน หาก 7-8% ลงทุนน้อยหน่อย แต่ถ้าแค่ 5% ขอดูก่อน
แล้วหุ้นมันมีขึ้นมีลง ดังนั้นพอหุ้นขึ้นเราก็ขายส่วนหนึ่ง yield ก็จะเพิ่มเป็น 8% เป็น 9% หรือจาก 9% เป็น 10% โดยอัตโนมัติ
ถ้าหุ้นตกลงมาเราก็เข้าไปซื้อ ก็จะได้จำนวนหุ้นมากขึ้น"
เรียกว่าเขาจะใช้วิธีเลือกหุ้นที่ดี และเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ก็จะขายออกมาจำนวนหนึ่งเพื่อเอากำไรมาลดต้นทุน แต่ยังเก็บไว้อีกจำนวนหนึ่งเพื่อรับ "ไข่ทองคำ" และเมื่อมีจังหวะก็ยังซื้อเพิ่ม
การลงทุนในแบบฉบับนี้ นอกจากจะทำให้มีรายได้สม่ำเสมอแล้ว ยังมีหุ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย ทั้งไม่ต้องกังวลว่าตลาดหุ้นจะตกหรือขึ้น
ปีแรกของการลงทุนสไตล์ใหม่ เทพบอกว่าน่าชื่นใจไม่น้อย เพราะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 75% ของค่าใช้จ่ายสำหรับครอบครัว
โดยหากตีว่าครอบครัวของเขาใช้จ่ายเดือนละ 2 แสน ปีหนึ่งก็เกือบ 2.4 ล้านบาท
จึงสร้างความมั่นใจในแนวคิดลงทุนด้วยหุ้นห่านทองคำ
"ผมเริ่มใช้กลยุทธ์ห่านทองคำเมื่อต้นปี '45 โดยวางแผนให้มีไข่ทองคำมากพอกับรายจ่ายภายใน 3 ปี แต่เมื่อสิ้นปี '45 ก็ได้รับปันผลถึง 75% ของเป้าหมายแล้ว เพราะหุ้นห่านทองคำบางตัว สุขภาพดีมาก ให้ไข่เบอร์ใหญ่"
ในขณะนี้เทพได้ปรับเป้าหมายใหม่ให้สูงกว่าเดิม 3 เท่า และวางแผนที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวในอีก 5 ปี
เมื่อถึงตอนนั้น เขาบอกว่าจะ "บรรลุเสรีภาพทางการเงิน" ที่แท้จริง
นี่คือ ที่มาที่ไปซึ่งทำให้เขาเกิดไอเดียที่จะเผยแพร่แนวคิด "หุ้นห่านทองคำ" ผ่านหนังสือ "กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ"
เพื่อให้คนที่กำลังอึดอัดหาวเรอกับการลงทุน หรือผู้ที่อยากจะได้แนวการลงทุนแบบปลอดภัยๆ ไปใช้ โดยเฉพาะบรรดา "หน้าใหม่"
"คือผมมองว่า มีคนอีกมากที่ไม่มีความรู้ด้านการเงิน (Financial Literacy ) ตลาดหุ้นมีนักลงทุน 2 แสนราย แต่คนอีกข้างนอกตั้งเท่าไหร่ มากเป็นล้าน หลายคนสนใจตลาดหุ้นแต่ก็กลัว งบดุล คืออะไรก็ไม่รู้ ทั้งที่พวกนี้เป็นคนมีความรู้
ก็พยายามทำให้เขามองว่าไม่ยาก และเมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วก็มีประโยชน์
หรือบางคนอาจจะบอกว่าการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง เราก็สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ด้วยการคัดเลือกหุ้นที่สามารถจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือกหุ้นที่ดี"
เทพบอกว่า เขาพยายามนำเสนอแนวคิดนี้ให้ง่ายต่อความเข้าใจที่สุด อย่างเช่น
ถ้าจะดูว่าบริษัทนั้นๆ เป็นห่านทองคำหรือแค่ห่านโซ ก็ต้องเข้าใจงบการเงินของบริษัทก่อน
งบการเงินนั้นจะประกอบด้วยงบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด
ฟังแค่นี้ คนที่ไม่คุ้นจะปวดหัวตุ้บทันที แต่เขาบอกให้นึกเสียว่า งบการเงินนั้นเสมือน "พรมวิเศษ"
ถ้าใช้งบเป็น ก็เหมือนกับได้ขับเคลื่อนด้วยพรมวิเศษ สามารถไปยังที่ที่ต้องการ หรือเจาะลึกได้ถึงแก่นของบริษัทนั่นเอง
"เมื่อมองเข้าไปในงบเหล่านี้ จะเห็นว่ามีอะไรเยอะแยะไปหมด ไม่ต้องกลัว ให้ดูเฉพาะตัวเลขที่สำคัญๆ คิดง่ายๆ ใช้หลักธาตุทั้ง 4 เหมือนร่างกายคนเรา
แยกเป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
บริษัทประเภทไหนเป็น ธาตุไฟ ตอบได้ทันทีว่า เป็นบริษัทที่มีหนี้เยอะ เพราะมีสีแดงเยอะเหมือนไฟ ไฟถ้ามีมากไป มันก็ร้อน
อะไรที่ดับไฟได้ คือ น้ำ ก็เหมือนกับอะไรที่ชำระหนี้ได้ คือ เงินสด นั่นเอง
อีก 2 ธาตุ คือ ดิน กับ ลม
ลม คือ สินค้า ลมมันต้องหมุน ถ้าสินค้ายิ่งหมุนมากก็ยิ่งดี คือขายได้มาก
ดิน คือ ทรัพย์สิน คือ ที่ดิน กิจการ โรงงาน ถ้าขยายกิจการ โรงงานมีมาก เครื่องจักรมาก ก็ดี"
เพราะฉะนั้นถ้าบริษัทไหนมีตัวเลขของน้ำดี ดินดี ลมดี เขาบอกว่า เข้าข่าย "ทองคำ"
"ธาตุทองคำเปรียบเหมือนทุน ทองคำมาจากไหน ก็มาจาก น้ำ+ลม+ดิน
ถ้าบริษัททำดีหมดทุกอย่าง ก็เท่ากับมีธาตุทองเปล่งปลั่ง
แต่ถ้าใครธาตุไม่สมดุล ก็แตกดับได้ เช่น มีธาตุไฟสูง ทองก็ย่อมน้อย เพราะทองคำมันจะละลายเมื่อถูกไฟไหม้" เทพอธิบาย
เขาบอกว่าจะคิดเป็นสีๆ ก็ได้ โดยมองจากตัวเลขในงบว่ามีสีอะไรมากน้อย เช่น ทอง คือ สีทอง หนี้ คือ สีแดง น้ำก็สีฟ้า ลมก็สีเขียว ดินก็สีน้ำตาล
เมื่อดูงบดุลเป็นสีสัน แล้วก็ดูว่าความเชื่อมโยงกันเป็นยังไง ก็จะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น
ส่วนตัวเลข เขาบอกว่ายิ่งไม่ต้องกลัวใหญ่ เพราะเวลาบริษัทพูดถึงตัวเลขหลายสิบหลัก มูลค่าเป็นพันๆ ล้าน ก็อ่านแค่สองสามหลักเสีย เช่น 696,000,000 บาท ก็อ่านเป็น 69.6 บาท เป็นต้น
วิธี "ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายของเขา" ยังมีอีกเช่น การวิเคราะห์เจาะลึกธุรกิจของบริษัทนั้น อาจจะดูว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่เขาจะตั้งคำถามง่ายๆ แค่ "ธุรกิจทำอะไร"
"แค่นี้เราก็ย่องานช้างมาเป็นงานมดได้แล้ว"
เขาบอกว่า ครั้งหนึ่งเคยลงทุนในหุ้นพลังงานขนาดใหญ่ ซึ่งคนทั่วไปมักไม่สนใจวิเคราะห์เอง เพราะความซับซ้อนของกิจการ
แต่จากการตั้งคำถามดังกล่าว ทำให้เขาได้ภาพใหญ่ของธุรกิจมา 3 ส่วน โดยเป็นธุรกิจก๊าซ น้ำมัน ปิโตรเลียม
ต่อมาก็นำมาวิเคราะห์ต่อว่า ปิโตรเลียมกำลังฟื้นตัว ก๊าซทำกำไรสูง น้ำมันโตช้า ไม่หวือหวา
"จากนั้นผมก็ไปฟังการพรีเซ้นท์ข้อมูลของบริษัท ซื้อหุ้นด้วยความมั่นใจ หุ้นตกลงมาต่ำกว่าราคาที่ขายก็ไม่เดือดร้อน แต่ไปซื้อเพิ่มเพื่อลดต้นทุน
พอคนเห็นว่าสงครามจะเกิด รายได้บริษัทจะเพิ่มก็แห่มาซื้อ ผมก็ได้จังหวะขายมาบ้าง ต้นทุนก็ต่ำลงอีก แล้วยังได้ปันผลอยู่"
ผลคือ เขาได้ผลตอบแทน จาก 6.5% เป็น 10% สมใจ
เขาบอกว่าที่เราควรสนใจ "ตัวบริษัท" มากกว่าราคา ก็เพราะราคาเป็นเรื่องปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ตัวบริษัทเราเข้าไปเจาะข้อมูลของเขาได้
หากถามว่า แล้วหุ้นห่านทองคำในพอร์ตของเขามีอะไรบ้างนั้น อาจจะไม่สามารถเปิดเผยได้โดยตรง แต่จากตัวอย่างที่เขายกให้เห็น ก็สะท้อนว่า ห่านทองคำแต่ละตัวได้มาจากการเข้าไปเอกซเรย์ด้วยวิธีการของเขาเองทั้งสิ้น
เช่นในธุรกิจการผลิตสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับเอกสารการเงิน ซึ่งเคยมีปัญหาทางการเงิน แต่เมื่อเขาเข้าไปศึกษาแล้วก็พบว่ากิจการนี้ "ไม่เลวนัก" เพราะบริษัทสามารถผลิตบัตรเครดิตได้ในช่วงที่ตลาดบัตรเครดิตกำลังขยายตัว
หุ้นตัวนี้กลายเป็นหุ้นห่านทองคำที่ผลิตไข่ทองคำให้ เพราะหลังจากตัดสินใจซื้อในราคาเฉลี่ยที่ 29-30 บาท ปรากฏว่าต่อมาบริษัทถูกเทคโอเวอร์โดยมีราคารับซื้อที่หุ้นละ 40 กว่าบาท
หรือการเข้าไปลงทุนในหุ้นผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จากการแกะรอยในรายงานประจำปี และพบว่าบริษัทมีเงินเหลือมาก หนี้สินน้อย อัตราเติบโตสูง
"ผมใช้รายงานประจำปีเป็นลายแทงในการตรวจสอบสุขภาพหุ้นห่านทองคำที่ซุกซ่อนอยู่ในตลาดหุ้น" เขาบอก
บางครั้งก็เป็นการลงทุนที่ได้จากการสังเกตการณ์ เช่น เข้าไปลงทุนในหุ้นเบเกอรี่ ซึ่งมีแพ็คเกจจิ้งสวยงามจนลูกค้าชอบ ขณะที่รสชาติของขนมก็ดีและมีราคาสูงกว่าทั่วไป
นอกจากการศึกษาข้อมูลตัวบริษัทแล้ว เขายังให้ความสำคัญกับตัวผู้บริหาร โดยบอกว่าผู้บริหารที่เข้าใจธรรมชาติของธุรกิจ จะสามารถแปลงหุ้นให้เป็นหุ้นห่านทองคำได้เช่นกัน
เช่น บริษัทผลิตเครื่องแก้วอีกรายหนึ่งเดิมทีกิจการย่ำแย่ แต่เมื่อได้ผู้บริหารที่ดี สามารถพลิกความย่ำแย่ให้มีกำไรได้
หรือกิจการหนึ่ง ทำธุรกิจจัดสรรที่ให้เช่าขายสินค้า เมื่อบริษัทมีคนหนุ่มสาวเข้ามาบริหาร ได้ปรับปรุงคุณภาพพื้นที่ให้เช่า ปรับปรุงสินค้าที่นำมาขาย จนทำให้สามารถขึ้นค่าเช่าได้ และยังขยายทำเลไปต่างจังหวัดได้
"หลายครั้งที่ผมสามารถประเมินมูลค่าหุ้นได้อย่างเหมาะสม หรือบางทีก็ค้นพบก่อนฝ่ายวิเคราะห์ของโบรกเกอร์จะมีบทวิจัยออกมาเสียอีก"
แต่เขาบอกว่ามีบ้างเหมือนกันที่วิเคราะห์พลาด หรือขายหุ้นออกไปแล้วหุ้นแพง จนไม่สามารถซื้อกลับ
แต่นั่นก็เท่ากับทำให้หุ้นในพอร์ตมีราคาสูงขึ้น
หรือเมื่อภาวะตลาดไม่ดี ทำให้ราคาตกลง ห่านทองคำของเขาก็พลอยฟ้าพลอยฝนตกลงมาด้วย แต่ถือว่าไม่เป็นไร เพราะเป็นโอกาสซื้อเพิ่ม ลดต้นทุน
บางครั้งลดต้นทุนไปลดต้นทุนมา เมื่อรวมกับผลตอบแทนจากเงินปันผล ทำให้เขาได้ถือหุ้นฟรีๆ ก็มี
แนวทางลงทุนแบบนี้เขาบอกว่า "ทำไม่ยาก"
"ขอให้ศึกษาสักนิด ตั้งคำถามให้ดี เวลามีพบปะผู้ลงทุนเราก็ไป ประชุมผู้ถือหุ้นก็เข้าร่วม เอารายงานประจำปีมาศึกษา แล้วตั้งคำถามเขา
ไม่ใช่เป็นคำถามตีรวน แต่ถามเพื่อให้เกิดความกระจ่าง เช่นค่าใช้จ่ายนี้เกิดจากอะไร ที่ลงทุนในด้านนั้นๆ คิดอย่างไร อนาคตคิดอย่างไร"
เทพยังตั้งความหวังไว้ลึกๆ ว่า เมื่อหนังสือเล่มนี้ออกมา มีคนสนใจในแนวคิดนี้เหมือนๆ กัน ก็อยากจะตั้งเป็น "สโมสรนักลงทุนมดงาน" หรือ "Investor Club" เป็นการ "รวมพลัง" คนชอบหุ้นห่านทองคำ
"อยากให้คนที่สนใจเหมือนกันได้มารวมตัวกัน แล้วแบ่งกันไปศึกษา หาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นนั้นนี้มาแลกเปลี่ยนกัน โดยไม่ต้องลงทุนร่วมกัน
ผมไม่อยากให้ใครมองรายย่อยเป็นแมลงเม่า แต่อยากให้มองเป็นมดงาน เราต้องทำงาน ต้องเรียนรู้ ศึกษาพรมวิเศษ เลือกบริษัท ก็ทำตัวเองเป็นหมอ ตรวจเอกซเรย์
แล้ววิธีนี้ไม่ต้องใช้ความซับซ้อนมาก ดู dividend yield เป็นหลัก ดูว่าอัตราการโตของกำไรเป็นยังไง ดูแคชโฟลว์ เงินสด หรือเงินแห้ง เลขที่ใช้วิเคราะห์ก็มีไม่กี่ตัว ยอดกำไร ยอดเงินสด ยอดหนี้ เงินปันผล"
เขาบอกว่าวิธีการลงทุนสไตล์นี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ
"เราทยอยไปเรื่อยๆ สะสมผลตอบแทน ติดตามบริหารพอร์ต ในที่สุดเป้าหมายที่ต้องการจะไม่ไกลเกินเอื้อม"
แล้วเมื่อคนสนใจการลงทุนแบบนี้มากขึ้น ก็จะส่งผลให้บริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารให้ดี เพื่อจะจ่ายปันผล ตลาดหุ้นก็แข็งแรง
แม้ว่านักลงทุนหุ้นห่านทองคำจะต้องทำการบ้าน ต้องอดทนรอไข่ทองคำในระยะยาว ผลตอบแทนอาจจะไม่ทำให้มั่งคั่งฉับพลัน แต่เมื่อได้แล้วก็นับว่า "คุ้มค่า" เพราะจะได้รับต่อเนื่องตราบที่ยังถือหุ้นนั้นๆ
ข้อสำคัญเทพบอกว่า การลงทุนดังกล่าวยังทำให้เขามีเวลาทำสิ่งอื่นๆ ที่สนใจ โดยไม่ต้องผูกติดอยู่กับงานประจำเพื่อหารายได้หลัก
ไม่ว่าจะเป็นด้านธรรมะ การวิปัสสนา การออกกำลังกายมวยจีน การเล่นหมากโกะ กระทั่งการรับเชิญเป็นกรรมการตรวจสอบในบริษัทต่างๆ ซึ่งทำให้เขามีส่วนในการนำระบบ Good Governance มาใช้
"ตอนนี้ในฐานะที่ไม่ได้ทำงานฟูลไทม์ พอมาทำเรื่องนี้ก็ทำให้ชีวิตมีประโยชน์ เหมือนการทำงานชนิดหนึ่ง มีปัญหาก็ศึกษา แล้วยังได้มุมมองที่คิดไม่ถึง ก็เก็บเล็กประสมน้อย ทำต่อเนื่อง
ผมคิดเสมอว่า ชีวิตคนเราต้องสมดุล ต้อง peaceful วิธีที่คนเราจะ peaceful คือ สุขภาพใจ สุขภาพกาย สุขภาพจิต และสุดท้ายสุขภาพเงิน ซึ่งผมว่าถ้าได้ 4 อย่างนี้
ก็ "แฮปปี้" แล้วนะ"
เคยจำได้ว่านักลงทุนท่านนึงคือคุณเทพ รุ่งธนาภิรมย์
ใช้เทคนิคในการเลือกหุ้น โดยเน้นที่เงินปันผล
และผมได้เก็บบทความเทคนิคคัดหุ้นของท่านไว้
โดยคัดลอกจากกรุงเทพธุรกิจถนนนักลงทุนประมาณ 1-2 ปีมาแล้ว
เอามาให้เพือนๆลองอ่านดูครับ ว่าเหมาะสมกับแนวทาง vi หรือเปล่า
หุ้นห่านทองคำ' เล่นไม่ยากหากจะเล่น
"ผมเองเจอหุ้นนานๆ ดูที ข้อมูลว่างเมื่อไรก็ศึกษา ไม่ได้ต้องมาเกาะติดอยู่ตลอด แต่จะเน้นดูงบ ไปฟังเมื่อบริษัทพรีเซ้นท์ข้อมูล
เวลาที่ให้กับเรื่องหุ้น 90% จะเป็นการค้นคว้า แค่ 5-6% เท่านั้นที่จะมาเทรด" เทพ รุ่งธนาภิรมย์ กล่าวถึง วิธีการลงทุนในหุ้นห่านทองคำของเขา
แนวคิดในการลงทุนแบบหุ้นห่านทองคำนี้ เขาบอกว่าเอามาจากการผสมผสานจากหนังสือหลายๆ เล่ม เช่น ให้เงินทำงาน การเก็บเงินการออมเงิน ความเป็นไททางการเงิน ฯลฯ
แม้กระทั่งหมากโกะ เกมกีฬาโปรดก็ถูกนำมาดัดแปลง
"โกะ มันมีพื้นที่กว้าง ต้องวางหมากไว้หลายจุด ก็เหมือนกับที่เราดูว่าจะมีจำนวนห่านให้มากได้อย่างไร แล้วธรรมชาติของมันจะเอาชนะโดยการไม่เอาชนะ ก็เหมือนการเล่นหุ้นโดยไม่ได้หวังเอาชนะ แต่เราจะเอาเงินปันผล"
ส่วนสไตล์ของนักลงทุนชื่อดังระดับโลกที่ชื่นชอบ Value Stocks ไม่ว่าจะเป็น วอร์เรนต์ บัฟเฟตต์ หรือปีเตอร์ ลินช์ นั้น เขาบอกว่าจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
"บัฟเฟตต์ เป็น Value Investor เหมือนกัน แต่เขาจะรอจนราคาลงลึก แล้วซื้อทีละหนักๆ ปีเตอร์ ลินช์ เขาบริหารกองทุนก็จะเน้นหุ้นที่ทำให้มีเอ็นเอวีดี
แต่ส่วนตัวผม จะเน้นผลตอบแทนจากเงินปันผล
ไม่แน่ใจว่าใครจะเป็นอย่างผมบ้าง แต่ถ้าเป็นคนแรกก็จะดีใจมาก"
เทพบอกว่า หุ้นทั้งหลายมันเหมือนห่านให้ไข่ทองคำเราทุกปี ถ้าเราขายก็เหมือนฆ่าห่านทิ้ง
"เราจึงต้องมองผลตอบแทนการลงทุนจากเงินปันผล ไม่ใช่ผลตอบแทนจากการขายหุ้น ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะมองแต่ส่วนนั้น
แต่อันนี้ทำกลับกัน ไม่ขายหุ้นทิ้ง ให้มีหุ้น (ห่าน) อยู่ส่วนหนึ่งเสมอ"
สำหรับกลยุทธ์การเลือกหุ้นห่านทองคำของเทพนั้น
หลักอันดับแรก เขาจะใช้ เกณฑ์เงินปันผลของหุ้นเป็นหลัก โดยจะเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนมาก 10-20 อันดับแรก ซึ่งหุ้นเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 7%
"วิธีคัดเลือกแบบง่ายสุด คือเลือกบริษัทที่มีกำไรสูงไว้ก่อน เพราะถ้ากำไรมากก็มีโอกาสจ่ายปันผลมาก"
แต่ก็ต้องระวังหุ้นที่มีกำไรสูงๆ หากมีขาดทุนสะสม เขาบอกว่า "ให้เลี่ยงซะ"
เมื่อได้ "ร่อน" หุ้นได้มาจำนวนหนึ่งแล้วก็ ตั้งคำถามยุทธศาสตร์ เช่น ทำธุรกิจอะไร ผู้บริหารคือใคร ผลงานที่ผ่านมา แผนงานและแนวโน้มในอนาคต
4 คำถามนี้แม้จะดูว่าพื้นๆ แต่ถ้าใครค้นหาคำตอบได้ ก็จะทำให้รู้จัก "ชาติตระกูล" ของห่านทองคำนั้นๆ ว่าเป็น "ห่านทองคำแท้" หรือ "ห่านอมโรค" ได้
ประเมินเชิงคุณภาพ โดยการลิสต์หัวข้อจุดเด่น จุดด้อย ของหุ้นนั้นทั้งหมดแล้วแยกแยะข้อดี-เสียออกจากกัน
ข้อมูลเหล่านี้ อาจจะมาจากข้อมูลพื้นฐาน ข่าวคราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับตัวบริษัท
ประเมินเชิงมูลค่า เป็นการหามูลค่าหุ้นที่แท้จริง จากเงินปันผล โดยพิจารณาจากเป้าหมาย "ไข่ทองคำ" หรือเงินปันผลที่เราต้องการ แล้วสรุปเป็นราคาหุ้นที่จะลงทุน
เช่น สมมติ หุ้นแพนเอเชียฟุทแวร์ จ่ายปันผลหุ้นละ 0.50 บาท หากเราต้องการผลตอบแทนจากเงินปันผล 10% ราคาหุ้นที่ต้องการจะเป็นเท่าไรนั้น ก็ใช้เงินปันผลหารด้วยผลตอบแทนที่ต้องการ หรือ .50 หารด้วย 10% ซึ่งผลลัพธ์จะเท่ากับหุ้นละ 5 บาท
จากนั้นก็เปรียบเทียบกับราคาตลาด ถ้าต่ำกว่า 5 บาท ให้ซื้อได้ในจำนวนมาก ถ้าเท่ากับราคาตลาดให้ซื้อบ้าง แต่ถ้าราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าหุ้นที่คำนวณได้ให้รอไปก่อน
"ลงทุนและติดตามผล" ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย ทั้งนี้ ก็เพื่อจะปรับการลงทุนให้เหมาะ
โดยข้อมูลที่จะให้ติดตามผลนั้นเขาบอกว่า อาจจะมาจากแหล่งข้อมูลจากตลาดหุ้น www.set.or.th ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ รวมถึงการเข้าฟังการพรีเซ้นท์ข้อมูลหุ้นของบริษัท การร่วมประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท
วิธีการแบบนี้ จึงทำให้เขาแตกต่างกับสมัยก่อน
"สมัยก่อนหุ้นขึ้นก็ดีใจ ลงก็ทำไงดี เดี๋ยวคัทลอสท์ เดี๋ยวมาร์เก็ตไพรส์ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ มันเล่นแบบมีความสงบในใจ ไม่มุ่งเอากำไร แต่มุ่งเอาบริษัทดีๆ ผู้บริหารทำงานจริงจัง มีกำไรก็แบ่งให้เรา จะเลือกหุ้นแบบนี้เข้ามาในพอร์ต"
ใช้หลักลงทุนแบบนี้แล้วจะมีพลาดบ้างไหม เขาบอกว่ามีบ้าง เนื่องจากการวิเคราะห์ยังไม่สมบูรณ์พอ ก็ต้อง "คัทลอสท์" ไป แต่ไม่ได้เป็นไปแบบตื่นตระหนก เพราะโดยรวมแล้วพื้นฐานของบริษัทยังดีอยู่
"การลงทุนเหมือนการทำสวน ค่อยๆ ตกแต่งไปเรื่อยๆ งอกเงยมาก็ลิดกิ่งก้าน หายไปก็เติม หาต้นไม้ใหม่ๆ เข้าสวน"
[quote]สู่อิสรภาพทางการเงิน ด้วย 'หุ้นปันผล '
"เทพ รุ่งธนาภิรมณ์" บอกว่า ช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน นับเป็นเดือนที่เขาตื่นเต้น และมีความสุขมากสุดในรอบปี เพราะจะได้รับเงินปันผลที่ลงทุนในบริษัทต่างๆ
"ผมชอบลุ้นว่า บริษัทนี้จะได้เท่าไร บริษัทนั้นจะได้เท่าไร"
สไตล์การลงทุนในหุ้นปันผล หรือหุ้นห่านทองคำนี้ แม้จะถูกมองว่า "ไม่ทันใจ" เพราะต้อง "นั่งรอ" รับเงินปันผลเป็นหลัก แต่กำไรที่ได้ก็เป็นเนื้อเป็นหนัง จากหุ้นที่ให้ผลตอบแทน 10% ขึ้นไป และจากการปรับพอร์ต เช่น ถ้าหุ้นตกซื้อเพิ่ม หรือพอหุ้นขึ้นเกินมูลค่าก็ขาย
ทั้งยังช่วยลดต้นทุนทุกปี ทำให้การลงทุนมีความปลอดภัยมากขึ้น
เทพบอกว่า ตอนนี้เขานำเงินที่ได้จากไข่ทองคำไปลงทุนต่อ เพราะยังมีรายได้จากการทำงานพิเศษ และรายได้จากไข่ทองคำยังน้อยกว่าค่าใช้จ่าย
ช่วงนี้จึงยังเป็นช่วงของการ "หว่านพืช"
แต่เมื่อใดที่ไข่ทองคำสูงกว่าค่าใช้จ่ายนั่นคือ ช่วงเก็บเกี่ยว ซึ่งจะช่วยให้เขาได้ใช้ชีวิตตามใจปรารถนา
"หุ้นเหล่านี้เปรียบเสมือนห่านที่ขนเอาไข่ทองคำมาให้เรา พอที่เราจะ cover ค่าใช้จ่าย ก็จะช่วยให้เป็นไท"
เป็นไทอย่างไรน่ะหรือ ก็คือ การมีเงินไว้ใช้จ่ายโดยไม่ต้องทำงานประจำ ด้วยรายได้ ซึ่งอาจจะมาจากเงินปันผล ดอกเบี้ย
เทพบอกว่า "อย่าลืมว่าเราต้องทำงานเราถึงจะมีเงินมาใช้ แต่จะเป็นไปได้ไหม ที่จะให้เงินทำงานแทนคุณ การลงทุนในหุ้นปันผลก็เป็นวิธีหนึ่ง แล้วอันนี้จะสร้าง future income ให้ด้วย
คนที่อายุ 20 ปีอยากจะเป็นเศรษฐีนี่อีก 20 ปีก็สามารถเป็นได้"
วิธีการที่ช่วยให้เป็นเศรษฐี มีอิสรภาพทางการเงินเร็วขึ้นนั้น เขายกตัวอย่างให้เห็นว่า
"ถ้าหากเราอยากเป็นเศรษฐีในเวลา 20 ปี สมมติเราต้องการใช้เงินเดือนละ 20,000 บาท ในปีที่ 21 แสดงว่าเราจะต้องมีผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยอย่างน้อยเดือนละ 20,000 บาท หรือปีละ 240,000 บาท
แล้วจะต้องออมเงินเท่าไร จึงจะได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายนั้น"
สูตรของเขา คือ ถ้าต้องการผลตอบแทนขั้นต่ำจากการลงทุนอย่างน้อย 10 % ต่อปี แสดงว่าเงินต้นของเราในปีที่ 20 ควรจะสะสมได้จำนวน 2,400,000 บาท เท่ากับต้องสะสมเงินปีละ 120,000 บาท หรือเดือนละ 10,000 บาท หรือ 334 บาทต่อวัน
ดังนั้นวงเงินที่จะต้องหามาเก็บออมจึงไม่ถือว่าสูงนัก
ใครจะใช้วิธีทำงานพิเศษ หรือใช้วิธีลงทุนเพื่อให้ได้ตัวเลขตามนั้นก็แล้วแต่
แต่เขาบอกว่า เมื่อมีรายรับจากการลงทุนมากกว่ารายจ่ายแล้ว ก็จะทำให้เกิดความเป็นไททางการเงิน ซึ่งขณะนี้เขาเองแม้ยังไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งขึ้น
แต่มั่นใจว่ามาถูกทาง
ด้วย "กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ"
"เพียงแค่เงินปันผลที่ได้รับ ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมมีชีวิตความเป็นอยู่สบาย ไม่ต้องทำงานประจำเหมือนเมื่อก่อนแล้ว"
ยุทธการ 'ตามล่า' หาห่านทองคำ
"คนที่อยู่ในตลาดหุ้นส่วนใหญ่ หุ้นขึ้นก็ดีใจ หุ้นลงก็ใจเสีย แต่การลงทุนแบบนี้ไม่
ถึงจะเกิดสงคราม ก็ไม่ห่วง
เพราะการลงทุนแบบนี้จะทำให้คนปลอดภัย เนื่องจากเราได้เลือกหุ้นดีไว้แล้ว ทำให้ไม่กดดัน ไม่เครียด ไม่แตกตื่น ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
เวลาหุ้นตกก็มองว่า จะซื้อเพิ่มได้ไหม ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีเสียอีก"
"เทพ รุ่งธนาภิรมย์" กล่าวถึงการลงทุนในหุ้น ซึ่งเขาถนัดที่จะเรียกว่า "หุ้นห่านทองคำ"
มีด้วยหรือการลงทุนอย่างนี้ ?
เทพอธิบายว่า ถ้าหากหุ้นสามารถให้ผลตอบแทนเป็น "เงินปันผล" สม่ำเสมอ ก็เหมือนห่านที่ออกไข่ทองคำได้ทุกวัน
หุ้นดังกล่าวจึงไม่ต่างอะไรกับ "หุ้นห่านทองคำ" เพราะให้ "ไข่ทองคำ"
ข้อสำคัญเขาได้พิสูจน์ความสำเร็จใน "ทฤษฎีใหม่" ของตัวเองมาแล้ว จากการเริ่มลงทุนในสไตล์นี้เพียงปีเศษ
ไข่ทองคำ หรือเงินที่ได้จากการปันผล มากน้อยแค่ไหนน่ะหรือ แค่ทำให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่สบาย ไม่ต้องทำงานประจำเหมือนก่อน และมีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ราว 10%
จัดเป็นไข่ทองคำเบอร์ใหญ่ ใบเขื่องทีเดียว !!!
เทียบกับวิธีการลงทุนที่เขาเคยใช้มา 20 กว่าปี เขาบอกว่า "แตกต่างอย่างสิ้นเชิง"
ก่อนหน้านี้วิธีลงทุนในตลาดหุ้นของเทพไม่ต่างกับชาวหุ้นคนอื่นๆ นั่นคือลงทุนในตลาดหุ้นแบบหวังกำไรจากส่วนต่างของราคา ซื้อมาก็ขายทิ้งไป ไม่เน้นศึกษาอะไรมาก เพราะตลาดเป็นช่วง "ขาขึ้น"
เขาเพลิดเพลินถึงขั้นไป "กู้เงิน" มาลงทุนในตลาดหุ้นทีเดียว
"เมื่อก่อนตลาดหุ้นเป็นช่วงขาขึ้น ลงทุนอะไรไปก็ได้กำไร ก็ได้เงินมาเยอะ"
ช่วงที่หุ้น ที่ดิน สนามกอล์ฟ เป็นสูตร "ความมั่งคั่ง" ของผู้คน เทพก็เช่นกัน
อย่างไรก็ตามนับว่าเขายัง "โชคดี" เพราะได้เริ่ม "ฉาก" ออกจากตลาดหุ้นก่อนหน้าที่จะเกิด "บิ๊ก แบง" อย่างจังในช่วงปี 2540
โดยเขาได้โยกตัวเองจากการทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกสิกรไทย ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ มารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารที่ บงล.มหาธนกิจ
งานในหน้าที่ใหม่ทำให้เขาเกรงว่าจะไม่มีเวลาให้กับตลาดหุ้นเท่าไหร่นัก จึงเริ่มถอยห่าง โดยทยอยขายหุ้นออกมาจำนวนหนึ่ง
จากนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่แตก ตลาดหุ้น "เหวี่ยงตัว" รุนแรง จากขาขึ้นเป็นขาลง จากที่ลงทุนง่ายกลายเป็นเรื่องยาก
เทพเองบอกว่า เขา "ขาดทุนยับ" เช่นกัน เพราะต้องให้มาร์เก็ตติ้งตั้งราคาขายแบบ "ถูกๆ" เพื่อตัดขายหุ้นออกไป
แม้ตลาดหุ้นจะไม่ทำให้เขาเลือดโชกเช่นที่บรรดา "เซียน" และ "แมลงเม่า" ประสบเพราะเมื่อขายหุ้น เคลียร์หนี้เคลียร์สินแล้ว เขายังมีเงินเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง
แต่เขาบอกว่าตั้งแต่นั้น "เข็ดหลาบตลาดหุ้นไปเลย"
นักการเงินระดับซีอีโอหันมา "บริหารเงิน" ด้วยวิธีดั้งเดิมสุด คือ "ฝากเงิน"
"ช่วงที่ทรัสต์ปิดก็รีไทร์ตัวเอง ตอนนั้นหนี้ไม่มี มีเงินฝาก ซึ่งได้ดอกเบี้ยสูงก็ถือว่ายังเอ็นจอย แต่พออยู่ไปๆ ดอกเบี้ยลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายไม่ลงตามก็กังวลเหมือนกัน คิดว่าเราจะทำยังไงดี"
รายได้จากดอกเบี้ยหดหายไปถึง 80% มิหนำซ้ำยังเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงวัยใกล้เกษียณ ถือเป็นเรื่องชวนเครียดทีเดียว โชคดีเป็นของเขาที่ได้เจอเพื่อนซึ่งแนะนำให้ลงทุนใน "หุ้นปันผล"
"เขาบอกว่าหุ้นปันผลบางตัวให้ผลตอบแทน 10% ผมก็เชื่อ เริ่มตัดสินใจทบทวนการลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง"
ครั้งนี้เขามาใน "มาดใหม่" จากที่เมื่อก่อนแทบจะไม่ได้วิเคราะห์เจาะลึกเอง เพราะมีบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ "ป้อน" ให้เสร็จสรรพ ทั้งระบุราคาที่ควรซื้อขาย เขาเริ่มศึกษาหุ้นเอง ดูงบให้เข้าใจ เอารายงานประจำปีมาอ่าน เข้าห้องสมุดตลาดหุ้น ดูข้อมูลย้อนหลัง
แล้วเลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะในหุ้นเหล่านี้
"อ่านจนมึนไปหมด แต่พออ่านแล้วปรากฏว่าได้ความรู้ดีขึ้นๆ โดยเฉพาะในรายงาน 56-1จะมีรายละเอียดให้เห็นเยอะแยะ ปัจจัยเสี่ยง การแก้ไขปัญหาของบริษัท อ่านแล้วได้ไอเดียมาก ก็เริ่มทดลองลงทุน ผมเข้าตลาดหุ้นช่วงปลายปี 2543 เป็นจังหวะดีด้วย เพราะของยังไม่แพง"
ตอนนั้นเทพบอกว่าเขาได้จัดสรรเงินเรียบร้อยแล้ว แบ่งไว้ใช้ส่วนหนึ่ง ยามฉุกเฉินส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็เอามาลงในตลาดหุ้น แต่เลือกที่ "ปลอดภัย ไว้ก่อน" มิใช่หุ้นขึ้นก็รีบซื้อ หุ้นลงก็รีบขาย
นับเป็นสไตล์ลงทุนที่ต่างจากช่วงก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง
"ผมจะเลือกหุ้นที่มีการขึ้น-ลงไม่หวือหวา เพราะตลาดหุ้นขึ้นลงเร็ว เราในฐานะนักลงทุนรายย่อยตามไม่ทันแน่ แล้วก็มองกลับกับคนอื่น เพราะสิ่งที่เราอยากได้จากตลาดหุ้น คือ กระแสเงินสดเพื่อทดแทนดอกเบี้ย เพราะฉะนั้นหุ้นนั้นจะต้องมีเงินปันผลที่แน่นอน"
หุ้นที่สามารถให้ผลตอบแทนลักษณะนี้ได้ เขาบอกว่า ต้องเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการดี มีกำไรสะสมเป็นบวก มีเงินสด หนี้ไม่มาก และต้องจ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ
เพื่อจะมั่นใจได้ว่า จะได้รับ "ไข่ทองคำ" หรือ "เงินปันผล" แน่ๆ
"คุณสมบัติของบริษัทของหุ้นห่านทองคำ จะต้องมีกำเนิดจากบริษัทที่ดี ผู้บริหารดี มีประสิทธิภาพในการบริหารคน บริหารกำไร เพื่อสร้างมูลค่าแก่บริษัทและผู้ถือหุ้น" เขากล่าว
เมื่อเลือกหุ้นได้แล้ว บางทีก็มีโอกาสที่จะ "เทรดดิ้ง" ได้อีก เขาจึงนำเอาสองอย่างนี้มาผสมกัน
"หลักการแรกต้องเป็นหุ้นที่เราศึกษามาแล้ว แล้วราคาเหมาะสม โดยใช้ dividend yield 10% เป็นเกณฑ์"
ทำไมต้อง 10% น่ะหรือ
เขาให้เหตุผลว่า เพราะพื้นฐานของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 2% ต่อปี บวกค่าความเสี่ยงอีก 5% ที่เหลืออีก 3% ถือเป็นค่าความปลอดภัย ดังนั้นระดับผลตอบแทนจากเงินปันผล 10% จึงถือว่าเหมาะในสายตาเขา
"ถ้า dividend yield 10% ผมถึงจะกล้าลงทุน หาก 7-8% ลงทุนน้อยหน่อย แต่ถ้าแค่ 5% ขอดูก่อน
แล้วหุ้นมันมีขึ้นมีลง ดังนั้นพอหุ้นขึ้นเราก็ขายส่วนหนึ่ง yield ก็จะเพิ่มเป็น 8% เป็น 9% หรือจาก 9% เป็น 10% โดยอัตโนมัติ
ถ้าหุ้นตกลงมาเราก็เข้าไปซื้อ ก็จะได้จำนวนหุ้นมากขึ้น"
เรียกว่าเขาจะใช้วิธีเลือกหุ้นที่ดี และเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ก็จะขายออกมาจำนวนหนึ่งเพื่อเอากำไรมาลดต้นทุน แต่ยังเก็บไว้อีกจำนวนหนึ่งเพื่อรับ "ไข่ทองคำ" และเมื่อมีจังหวะก็ยังซื้อเพิ่ม
การลงทุนในแบบฉบับนี้ นอกจากจะทำให้มีรายได้สม่ำเสมอแล้ว ยังมีหุ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย ทั้งไม่ต้องกังวลว่าตลาดหุ้นจะตกหรือขึ้น
ปีแรกของการลงทุนสไตล์ใหม่ เทพบอกว่าน่าชื่นใจไม่น้อย เพราะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 75% ของค่าใช้จ่ายสำหรับครอบครัว
โดยหากตีว่าครอบครัวของเขาใช้จ่ายเดือนละ 2 แสน ปีหนึ่งก็เกือบ 2.4 ล้านบาท
จึงสร้างความมั่นใจในแนวคิดลงทุนด้วยหุ้นห่านทองคำ
"ผมเริ่มใช้กลยุทธ์ห่านทองคำเมื่อต้นปี '45 โดยวางแผนให้มีไข่ทองคำมากพอกับรายจ่ายภายใน 3 ปี แต่เมื่อสิ้นปี '45 ก็ได้รับปันผลถึง 75% ของเป้าหมายแล้ว เพราะหุ้นห่านทองคำบางตัว สุขภาพดีมาก ให้ไข่เบอร์ใหญ่"
ในขณะนี้เทพได้ปรับเป้าหมายใหม่ให้สูงกว่าเดิม 3 เท่า และวางแผนที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวในอีก 5 ปี
เมื่อถึงตอนนั้น เขาบอกว่าจะ "บรรลุเสรีภาพทางการเงิน" ที่แท้จริง
นี่คือ ที่มาที่ไปซึ่งทำให้เขาเกิดไอเดียที่จะเผยแพร่แนวคิด "หุ้นห่านทองคำ" ผ่านหนังสือ "กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ"
เพื่อให้คนที่กำลังอึดอัดหาวเรอกับการลงทุน หรือผู้ที่อยากจะได้แนวการลงทุนแบบปลอดภัยๆ ไปใช้ โดยเฉพาะบรรดา "หน้าใหม่"
"คือผมมองว่า มีคนอีกมากที่ไม่มีความรู้ด้านการเงิน (Financial Literacy ) ตลาดหุ้นมีนักลงทุน 2 แสนราย แต่คนอีกข้างนอกตั้งเท่าไหร่ มากเป็นล้าน หลายคนสนใจตลาดหุ้นแต่ก็กลัว งบดุล คืออะไรก็ไม่รู้ ทั้งที่พวกนี้เป็นคนมีความรู้
ก็พยายามทำให้เขามองว่าไม่ยาก และเมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วก็มีประโยชน์
หรือบางคนอาจจะบอกว่าการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง เราก็สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ด้วยการคัดเลือกหุ้นที่สามารถจ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ เลือกหุ้นที่ดี"
เทพบอกว่า เขาพยายามนำเสนอแนวคิดนี้ให้ง่ายต่อความเข้าใจที่สุด อย่างเช่น
ถ้าจะดูว่าบริษัทนั้นๆ เป็นห่านทองคำหรือแค่ห่านโซ ก็ต้องเข้าใจงบการเงินของบริษัทก่อน
งบการเงินนั้นจะประกอบด้วยงบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด
ฟังแค่นี้ คนที่ไม่คุ้นจะปวดหัวตุ้บทันที แต่เขาบอกให้นึกเสียว่า งบการเงินนั้นเสมือน "พรมวิเศษ"
ถ้าใช้งบเป็น ก็เหมือนกับได้ขับเคลื่อนด้วยพรมวิเศษ สามารถไปยังที่ที่ต้องการ หรือเจาะลึกได้ถึงแก่นของบริษัทนั่นเอง
"เมื่อมองเข้าไปในงบเหล่านี้ จะเห็นว่ามีอะไรเยอะแยะไปหมด ไม่ต้องกลัว ให้ดูเฉพาะตัวเลขที่สำคัญๆ คิดง่ายๆ ใช้หลักธาตุทั้ง 4 เหมือนร่างกายคนเรา
แยกเป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
บริษัทประเภทไหนเป็น ธาตุไฟ ตอบได้ทันทีว่า เป็นบริษัทที่มีหนี้เยอะ เพราะมีสีแดงเยอะเหมือนไฟ ไฟถ้ามีมากไป มันก็ร้อน
อะไรที่ดับไฟได้ คือ น้ำ ก็เหมือนกับอะไรที่ชำระหนี้ได้ คือ เงินสด นั่นเอง
อีก 2 ธาตุ คือ ดิน กับ ลม
ลม คือ สินค้า ลมมันต้องหมุน ถ้าสินค้ายิ่งหมุนมากก็ยิ่งดี คือขายได้มาก
ดิน คือ ทรัพย์สิน คือ ที่ดิน กิจการ โรงงาน ถ้าขยายกิจการ โรงงานมีมาก เครื่องจักรมาก ก็ดี"
เพราะฉะนั้นถ้าบริษัทไหนมีตัวเลขของน้ำดี ดินดี ลมดี เขาบอกว่า เข้าข่าย "ทองคำ"
"ธาตุทองคำเปรียบเหมือนทุน ทองคำมาจากไหน ก็มาจาก น้ำ+ลม+ดิน
ถ้าบริษัททำดีหมดทุกอย่าง ก็เท่ากับมีธาตุทองเปล่งปลั่ง
แต่ถ้าใครธาตุไม่สมดุล ก็แตกดับได้ เช่น มีธาตุไฟสูง ทองก็ย่อมน้อย เพราะทองคำมันจะละลายเมื่อถูกไฟไหม้" เทพอธิบาย
เขาบอกว่าจะคิดเป็นสีๆ ก็ได้ โดยมองจากตัวเลขในงบว่ามีสีอะไรมากน้อย เช่น ทอง คือ สีทอง หนี้ คือ สีแดง น้ำก็สีฟ้า ลมก็สีเขียว ดินก็สีน้ำตาล
เมื่อดูงบดุลเป็นสีสัน แล้วก็ดูว่าความเชื่อมโยงกันเป็นยังไง ก็จะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น
ส่วนตัวเลข เขาบอกว่ายิ่งไม่ต้องกลัวใหญ่ เพราะเวลาบริษัทพูดถึงตัวเลขหลายสิบหลัก มูลค่าเป็นพันๆ ล้าน ก็อ่านแค่สองสามหลักเสีย เช่น 696,000,000 บาท ก็อ่านเป็น 69.6 บาท เป็นต้น
วิธี "ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายของเขา" ยังมีอีกเช่น การวิเคราะห์เจาะลึกธุรกิจของบริษัทนั้น อาจจะดูว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่เขาจะตั้งคำถามง่ายๆ แค่ "ธุรกิจทำอะไร"
"แค่นี้เราก็ย่องานช้างมาเป็นงานมดได้แล้ว"
เขาบอกว่า ครั้งหนึ่งเคยลงทุนในหุ้นพลังงานขนาดใหญ่ ซึ่งคนทั่วไปมักไม่สนใจวิเคราะห์เอง เพราะความซับซ้อนของกิจการ
แต่จากการตั้งคำถามดังกล่าว ทำให้เขาได้ภาพใหญ่ของธุรกิจมา 3 ส่วน โดยเป็นธุรกิจก๊าซ น้ำมัน ปิโตรเลียม
ต่อมาก็นำมาวิเคราะห์ต่อว่า ปิโตรเลียมกำลังฟื้นตัว ก๊าซทำกำไรสูง น้ำมันโตช้า ไม่หวือหวา
"จากนั้นผมก็ไปฟังการพรีเซ้นท์ข้อมูลของบริษัท ซื้อหุ้นด้วยความมั่นใจ หุ้นตกลงมาต่ำกว่าราคาที่ขายก็ไม่เดือดร้อน แต่ไปซื้อเพิ่มเพื่อลดต้นทุน
พอคนเห็นว่าสงครามจะเกิด รายได้บริษัทจะเพิ่มก็แห่มาซื้อ ผมก็ได้จังหวะขายมาบ้าง ต้นทุนก็ต่ำลงอีก แล้วยังได้ปันผลอยู่"
ผลคือ เขาได้ผลตอบแทน จาก 6.5% เป็น 10% สมใจ
เขาบอกว่าที่เราควรสนใจ "ตัวบริษัท" มากกว่าราคา ก็เพราะราคาเป็นเรื่องปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ตัวบริษัทเราเข้าไปเจาะข้อมูลของเขาได้
หากถามว่า แล้วหุ้นห่านทองคำในพอร์ตของเขามีอะไรบ้างนั้น อาจจะไม่สามารถเปิดเผยได้โดยตรง แต่จากตัวอย่างที่เขายกให้เห็น ก็สะท้อนว่า ห่านทองคำแต่ละตัวได้มาจากการเข้าไปเอกซเรย์ด้วยวิธีการของเขาเองทั้งสิ้น
เช่นในธุรกิจการผลิตสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับเอกสารการเงิน ซึ่งเคยมีปัญหาทางการเงิน แต่เมื่อเขาเข้าไปศึกษาแล้วก็พบว่ากิจการนี้ "ไม่เลวนัก" เพราะบริษัทสามารถผลิตบัตรเครดิตได้ในช่วงที่ตลาดบัตรเครดิตกำลังขยายตัว
หุ้นตัวนี้กลายเป็นหุ้นห่านทองคำที่ผลิตไข่ทองคำให้ เพราะหลังจากตัดสินใจซื้อในราคาเฉลี่ยที่ 29-30 บาท ปรากฏว่าต่อมาบริษัทถูกเทคโอเวอร์โดยมีราคารับซื้อที่หุ้นละ 40 กว่าบาท
หรือการเข้าไปลงทุนในหุ้นผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จากการแกะรอยในรายงานประจำปี และพบว่าบริษัทมีเงินเหลือมาก หนี้สินน้อย อัตราเติบโตสูง
"ผมใช้รายงานประจำปีเป็นลายแทงในการตรวจสอบสุขภาพหุ้นห่านทองคำที่ซุกซ่อนอยู่ในตลาดหุ้น" เขาบอก
บางครั้งก็เป็นการลงทุนที่ได้จากการสังเกตการณ์ เช่น เข้าไปลงทุนในหุ้นเบเกอรี่ ซึ่งมีแพ็คเกจจิ้งสวยงามจนลูกค้าชอบ ขณะที่รสชาติของขนมก็ดีและมีราคาสูงกว่าทั่วไป
นอกจากการศึกษาข้อมูลตัวบริษัทแล้ว เขายังให้ความสำคัญกับตัวผู้บริหาร โดยบอกว่าผู้บริหารที่เข้าใจธรรมชาติของธุรกิจ จะสามารถแปลงหุ้นให้เป็นหุ้นห่านทองคำได้เช่นกัน
เช่น บริษัทผลิตเครื่องแก้วอีกรายหนึ่งเดิมทีกิจการย่ำแย่ แต่เมื่อได้ผู้บริหารที่ดี สามารถพลิกความย่ำแย่ให้มีกำไรได้
หรือกิจการหนึ่ง ทำธุรกิจจัดสรรที่ให้เช่าขายสินค้า เมื่อบริษัทมีคนหนุ่มสาวเข้ามาบริหาร ได้ปรับปรุงคุณภาพพื้นที่ให้เช่า ปรับปรุงสินค้าที่นำมาขาย จนทำให้สามารถขึ้นค่าเช่าได้ และยังขยายทำเลไปต่างจังหวัดได้
"หลายครั้งที่ผมสามารถประเมินมูลค่าหุ้นได้อย่างเหมาะสม หรือบางทีก็ค้นพบก่อนฝ่ายวิเคราะห์ของโบรกเกอร์จะมีบทวิจัยออกมาเสียอีก"
แต่เขาบอกว่ามีบ้างเหมือนกันที่วิเคราะห์พลาด หรือขายหุ้นออกไปแล้วหุ้นแพง จนไม่สามารถซื้อกลับ
แต่นั่นก็เท่ากับทำให้หุ้นในพอร์ตมีราคาสูงขึ้น
หรือเมื่อภาวะตลาดไม่ดี ทำให้ราคาตกลง ห่านทองคำของเขาก็พลอยฟ้าพลอยฝนตกลงมาด้วย แต่ถือว่าไม่เป็นไร เพราะเป็นโอกาสซื้อเพิ่ม ลดต้นทุน
บางครั้งลดต้นทุนไปลดต้นทุนมา เมื่อรวมกับผลตอบแทนจากเงินปันผล ทำให้เขาได้ถือหุ้นฟรีๆ ก็มี
แนวทางลงทุนแบบนี้เขาบอกว่า "ทำไม่ยาก"
"ขอให้ศึกษาสักนิด ตั้งคำถามให้ดี เวลามีพบปะผู้ลงทุนเราก็ไป ประชุมผู้ถือหุ้นก็เข้าร่วม เอารายงานประจำปีมาศึกษา แล้วตั้งคำถามเขา
ไม่ใช่เป็นคำถามตีรวน แต่ถามเพื่อให้เกิดความกระจ่าง เช่นค่าใช้จ่ายนี้เกิดจากอะไร ที่ลงทุนในด้านนั้นๆ คิดอย่างไร อนาคตคิดอย่างไร"
เทพยังตั้งความหวังไว้ลึกๆ ว่า เมื่อหนังสือเล่มนี้ออกมา มีคนสนใจในแนวคิดนี้เหมือนๆ กัน ก็อยากจะตั้งเป็น "สโมสรนักลงทุนมดงาน" หรือ "Investor Club" เป็นการ "รวมพลัง" คนชอบหุ้นห่านทองคำ
"อยากให้คนที่สนใจเหมือนกันได้มารวมตัวกัน แล้วแบ่งกันไปศึกษา หาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นนั้นนี้มาแลกเปลี่ยนกัน โดยไม่ต้องลงทุนร่วมกัน
ผมไม่อยากให้ใครมองรายย่อยเป็นแมลงเม่า แต่อยากให้มองเป็นมดงาน เราต้องทำงาน ต้องเรียนรู้ ศึกษาพรมวิเศษ เลือกบริษัท ก็ทำตัวเองเป็นหมอ ตรวจเอกซเรย์
แล้ววิธีนี้ไม่ต้องใช้ความซับซ้อนมาก ดู dividend yield เป็นหลัก ดูว่าอัตราการโตของกำไรเป็นยังไง ดูแคชโฟลว์ เงินสด หรือเงินแห้ง เลขที่ใช้วิเคราะห์ก็มีไม่กี่ตัว ยอดกำไร ยอดเงินสด ยอดหนี้ เงินปันผล"
เขาบอกว่าวิธีการลงทุนสไตล์นี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ
"เราทยอยไปเรื่อยๆ สะสมผลตอบแทน ติดตามบริหารพอร์ต ในที่สุดเป้าหมายที่ต้องการจะไม่ไกลเกินเอื้อม"
แล้วเมื่อคนสนใจการลงทุนแบบนี้มากขึ้น ก็จะส่งผลให้บริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารให้ดี เพื่อจะจ่ายปันผล ตลาดหุ้นก็แข็งแรง
แม้ว่านักลงทุนหุ้นห่านทองคำจะต้องทำการบ้าน ต้องอดทนรอไข่ทองคำในระยะยาว ผลตอบแทนอาจจะไม่ทำให้มั่งคั่งฉับพลัน แต่เมื่อได้แล้วก็นับว่า "คุ้มค่า" เพราะจะได้รับต่อเนื่องตราบที่ยังถือหุ้นนั้นๆ
ข้อสำคัญเทพบอกว่า การลงทุนดังกล่าวยังทำให้เขามีเวลาทำสิ่งอื่นๆ ที่สนใจ โดยไม่ต้องผูกติดอยู่กับงานประจำเพื่อหารายได้หลัก
ไม่ว่าจะเป็นด้านธรรมะ การวิปัสสนา การออกกำลังกายมวยจีน การเล่นหมากโกะ กระทั่งการรับเชิญเป็นกรรมการตรวจสอบในบริษัทต่างๆ ซึ่งทำให้เขามีส่วนในการนำระบบ Good Governance มาใช้
"ตอนนี้ในฐานะที่ไม่ได้ทำงานฟูลไทม์ พอมาทำเรื่องนี้ก็ทำให้ชีวิตมีประโยชน์ เหมือนการทำงานชนิดหนึ่ง มีปัญหาก็ศึกษา แล้วยังได้มุมมองที่คิดไม่ถึง ก็เก็บเล็กประสมน้อย ทำต่อเนื่อง
ผมคิดเสมอว่า ชีวิตคนเราต้องสมดุล ต้อง peaceful วิธีที่คนเราจะ peaceful คือ สุขภาพใจ สุขภาพกาย สุขภาพจิต และสุดท้ายสุขภาพเงิน ซึ่งผมว่าถ้าได้ 4 อย่างนี้
ก็ "แฮปปี้" แล้วนะ"
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 3
port size เริ่มต้น 2.4*.75/10% = 18 ล้านบาทปีแรกของการลงทุนสไตล์ใหม่ เทพบอกว่าน่าชื่นใจไม่น้อย เพราะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 75% ของค่าใช้จ่ายสำหรับครอบครัว
โดยหากตีว่าครอบครัวของเขาใช้จ่ายเดือนละ 2 แสน ปีหนึ่งก็เกือบ 2.4 ล้านบาท
จึงสร้างความมั่นใจในแนวคิดลงทุนด้วยหุ้นห่านทองคำ
"ผมเริ่มใช้กลยุทธ์ห่านทองคำเมื่อต้นปี '45 โดยวางแผนให้มีไข่ทองคำมากพอกับรายจ่ายภายใน 3 ปี แต่เมื่อสิ้นปี '45 ก็ได้รับปันผลถึง 75% ของเป้าหมายแล้ว เพราะหุ้นห่านทองคำบางตัว สุขภาพดีมาก ให้ไข่เบอร์ใหญ่"
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 674
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 5
ผมว่ากลยุทธ์การลงทุนที่สร้างความสำเร็จในช่วงปี 45
คงไม่สามารถการันตีความสำเร็จในปัจจุบัน ซึ่งมีคนที่เรียกตัวเองกันว่า VI อยู่เกลื่อนไปหมดหรอกครับ
ช่วงปี 43-46 แค่ซื้อหุ้นที่ dividend yield สูงสุด 10 อันดับแรก ก็กำไรกันกระจัดกระจายแล้ว
แต่ช่วงปี 47-49 ผมว่าเผลอ ๆ คนที่ซื้อหุ้นโดยดู dividend yield สูง ๆ เป็นเกณฑ์จะขาดทุนเสียด้วยซ้ำ เช่น fancy, cei
หลักเกณฑ์ในการลงทุนของ VI ทุก ๆ คนก็คงคล้าย ๆ ถึงเหมือนกันหมดแหละครับ
เพราะว่าสอนกันมาอย่างคึกคักตั้งสองถึงสามปีแล้ว
ปัญหาอยู่ที่ VI คนไหนจะตาถึงกว่ากัน และ ไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัวเข้า
ส่วนตัวผมยอมรับครับว่าตาไม่ถึง เลยถูก pap ตีหัวเลือดยังไม่หยุดไหลจนถึงทุกวันนี้
คงไม่สามารถการันตีความสำเร็จในปัจจุบัน ซึ่งมีคนที่เรียกตัวเองกันว่า VI อยู่เกลื่อนไปหมดหรอกครับ
ช่วงปี 43-46 แค่ซื้อหุ้นที่ dividend yield สูงสุด 10 อันดับแรก ก็กำไรกันกระจัดกระจายแล้ว
แต่ช่วงปี 47-49 ผมว่าเผลอ ๆ คนที่ซื้อหุ้นโดยดู dividend yield สูง ๆ เป็นเกณฑ์จะขาดทุนเสียด้วยซ้ำ เช่น fancy, cei
หลักเกณฑ์ในการลงทุนของ VI ทุก ๆ คนก็คงคล้าย ๆ ถึงเหมือนกันหมดแหละครับ
เพราะว่าสอนกันมาอย่างคึกคักตั้งสองถึงสามปีแล้ว
ปัญหาอยู่ที่ VI คนไหนจะตาถึงกว่ากัน และ ไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัวเข้า
ส่วนตัวผมยอมรับครับว่าตาไม่ถึง เลยถูก pap ตีหัวเลือดยังไม่หยุดไหลจนถึงทุกวันนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 511
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 6
ส่วนตัวผมยอมรับครับว่าตาไม่ถึง เลยถูก pap ตีหัวเลือดยังไม่หยุดไหลจนถึงทุกวันนี้
You'll never walk alone
ผมก็โดน PAP ตีหัวครับ
You'll never walk alone
ผมก็โดน PAP ตีหัวครับ
VI ฝึกหัด
- มดง่าม
- Verified User
- โพสต์: 584
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 7
แล้วถ้ายังดื้อตาหมูอ้วน. เขียน:ส่วนตัวผมยอมรับครับว่าตาไม่ถึง เลยถูก pap ตีหัวเลือดยังไม่หยุดไหลจนถึงทุกวันนี้
You'll never walk alone
ผมก็โดน PAP ตีหัวครับ
โดนPAP เสียบทะลุ สยอง สุดๆ
เหงาให้ตาย ถ้าไม่ใช่เธอ(หุ้นดี) ไม่เอา
ขอให้โชคดีในการลงทุนครับ
ขอให้โชคดีในการลงทุนครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 8
เป็นกระทู้รวมคนโดน PAP ตีหัว ไปซะแล้ว :lol:
ผมก็คนหนึ่งครับ เข็ดเหมือนกัน เพราะไม่รู้ในธุรกิจอย่างแท้จริง
ที่จริงแนวคิดการลงทุนแบบคุณเทพ ก็น่าสนใจนะครับ
เป็นการลงทุนแบบซื้อหุ้นตามพื้นฐานเหมือน vi
แต่แกจะเน้นเงินปันผลมากหน่อย
เพื่อนๆในเวปที่เน้นวิธีนี้ น่าจะเป็นพี่ครรชิต คนนึงครับ
ไม่ทราบว่าให้ผลเป็นที่น่าพอใจหรือเปล่า
ผมก็คนหนึ่งครับ เข็ดเหมือนกัน เพราะไม่รู้ในธุรกิจอย่างแท้จริง
ที่จริงแนวคิดการลงทุนแบบคุณเทพ ก็น่าสนใจนะครับ
เป็นการลงทุนแบบซื้อหุ้นตามพื้นฐานเหมือน vi
แต่แกจะเน้นเงินปันผลมากหน่อย
เพื่อนๆในเวปที่เน้นวิธีนี้ น่าจะเป็นพี่ครรชิต คนนึงครับ
ไม่ทราบว่าให้ผลเป็นที่น่าพอใจหรือเปล่า
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 9
มีโอกาสได้อ่านหนังสือทั้ง 2 เล่มของ คุณเทพ รุ่งธนาภิรมย์ เมื่อนานมาแล้ว
ผมคิดว่าเป็นแนวทาง VI แบบหนึ่งเหมือนกัน แต่เน้นปันผล
ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเกษียณอายุ โดยนำเงินปันผลที่ได้มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
การที่เราพลาดอาจจะเป็นเพราะเราดูเฉพาะว่า ห่านตัวไหนออกไข่ฟองโตๆ แต่ไม่ได้ตรวจเช็ค สุขภาพของห่าน อย่างละเอียดเพียงพอว่า ห่านตัวนี้สุขภาพดีพอหรือเปล่า มีโรคอะไรซ่อนไว้ที่ยังไม่แสดงอาการมั้ย พอห่านป่วยไข่ก็ฟองน้อยลงๆ แล้วก็เลยไม่ยอมออกไข่ทองคำอีกเลย เอาไปขายก็ไม่มีใครจะซื้อแล้วทีนี้ เพราะเขาเห็นชัดเจนว่าห่านตัวนี้ป่วย ก็กดราคาได้
อย่าเข้าใจว่าเลือกห่านที่ออกไข่ฟองโตๆเป็นใช้ได้นะครับ ต้องคอยตรวจเช็คสุขภาพห่านอย่างสม่ำเสมอด้วย
ผมคิดว่าเป็นแนวทาง VI แบบหนึ่งเหมือนกัน แต่เน้นปันผล
ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเกษียณอายุ โดยนำเงินปันผลที่ได้มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
การที่เราพลาดอาจจะเป็นเพราะเราดูเฉพาะว่า ห่านตัวไหนออกไข่ฟองโตๆ แต่ไม่ได้ตรวจเช็ค สุขภาพของห่าน อย่างละเอียดเพียงพอว่า ห่านตัวนี้สุขภาพดีพอหรือเปล่า มีโรคอะไรซ่อนไว้ที่ยังไม่แสดงอาการมั้ย พอห่านป่วยไข่ก็ฟองน้อยลงๆ แล้วก็เลยไม่ยอมออกไข่ทองคำอีกเลย เอาไปขายก็ไม่มีใครจะซื้อแล้วทีนี้ เพราะเขาเห็นชัดเจนว่าห่านตัวนี้ป่วย ก็กดราคาได้
อย่าเข้าใจว่าเลือกห่านที่ออกไข่ฟองโตๆเป็นใช้ได้นะครับ ต้องคอยตรวจเช็คสุขภาพห่านอย่างสม่ำเสมอด้วย
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 226
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 11
ผมอายุมากแล้ว เลยไม่กล้าหวือหวาใช้แนวคิดห่านทองคำเหมือนกันครับ
สำหรับผม มันก็ Work ดีนะ ผมใช้กับหุ้นปันผลอย่าง THRE กับ MODERN ลดต้นทุนการถือครองลง ตอนนี้ราคาเฉลี่ยของ THRE ของผมราว 4 บาท ในขณะที่ต้นทุนเฉลี่ย MODERN ของผมต่ำกว่า 30 บาท
สำหรับผม มันก็ Work ดีนะ ผมใช้กับหุ้นปันผลอย่าง THRE กับ MODERN ลดต้นทุนการถือครองลง ตอนนี้ราคาเฉลี่ยของ THRE ของผมราว 4 บาท ในขณะที่ต้นทุนเฉลี่ย MODERN ของผมต่ำกว่า 30 บาท
-
- Verified User
- โพสต์: 160
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 12
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่1(F45-3)15/05/2549 18:19
PAP : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่1(F45-3)
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่1(F45-3)
บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)
สอบทาน
(หน่วย : พันบาท)
สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม
ไตรมาสที่ 1
ปี 2549 2548
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ (4,871) 47,324
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) (0.04) 0.36
ประเภทรายงานของผู้สอบบัญชีในงบการเงิน
ไม่มีเงื่อนไขและไม่มีข้อสังเกต
หมายเหตุ : 1. โปรดดูรายละเอียดงบการเงิน รายงานของผู้สอบบัญชี และหมายเหตุ
ประกอบงบการเงินจากระบบบริการข้อมูลตลาดหลักทรัพย์
ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อมูลที่รายงานข้างต้นนี้ถูกต้องทุกประการ พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดส่งงบ
การเงินฉบับเต็มผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์และส่งต้นฉบับให้กับสำนักงาน
ก.ล.ต.เรียบร้อยแล้ว
ลงลายมือชื่อ _______________________
( นายสมชัย เลขะพจน์พานิช )
ตำแหน่ง กรรมการ
ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ
PAP : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่1(F45-3)
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่1(F45-3)
บริษัท แปซิฟิกไพพ์ จำกัด (มหาชน)
สอบทาน
(หน่วย : พันบาท)
สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม
ไตรมาสที่ 1
ปี 2549 2548
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ (4,871) 47,324
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) (0.04) 0.36
ประเภทรายงานของผู้สอบบัญชีในงบการเงิน
ไม่มีเงื่อนไขและไม่มีข้อสังเกต
หมายเหตุ : 1. โปรดดูรายละเอียดงบการเงิน รายงานของผู้สอบบัญชี และหมายเหตุ
ประกอบงบการเงินจากระบบบริการข้อมูลตลาดหลักทรัพย์
ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อมูลที่รายงานข้างต้นนี้ถูกต้องทุกประการ พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดส่งงบ
การเงินฉบับเต็มผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์และส่งต้นฉบับให้กับสำนักงาน
ก.ล.ต.เรียบร้อยแล้ว
ลงลายมือชื่อ _______________________
( นายสมชัย เลขะพจน์พานิช )
ตำแหน่ง กรรมการ
ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ
- david
- Verified User
- โพสต์: 852
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 13
HVI เขียน: การที่เราพลาดอาจจะเป็นเพราะเราดูเฉพาะว่า ห่านตัวไหนออกไข่ฟองโตๆ แต่ไม่ได้ตรวจเช็ค สุขภาพของห่าน อย่างละเอียดเพียงพอว่า ห่านตัวนี้สุขภาพดีพอหรือเปล่า มีโรคอะไรซ่อนไว้ที่ยังไม่แสดงอาการมั้ย พอห่านป่วยไข่ก็ฟองน้อยลงๆ แล้วก็เลยไม่ยอมออกไข่ทองคำอีกเลย เอาไปขายก็ไม่มีใครจะซื้อแล้วทีนี้ เพราะเขาเห็นชัดเจนว่าห่านตัวนี้ป่วย ก็กดราคาได้
อย่าเข้าใจว่าเลือกห่านที่ออกไข่ฟองโตๆเป็นใช้ได้นะครับ ต้องคอยตรวจเช็คสุขภาพห่านอย่างสม่ำเสมอด้วย
1.My Facebook page, https://www.facebook.com/pages/Kitichai ... 5514051589.
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 14
นึกว่าอะไร คุณ David มายกนิ้ว ยักคิ้วหลิ่วตาให้กัน
มีคนเขาว่า กาเหว่า เป็น เกย์ว้าว... แน่ะครับ
ไม่ไปแก้ข่าวหน่อยเหรอครับ ...
มีคนเขาว่า กาเหว่า เป็น เกย์ว้าว... แน่ะครับ
ไม่ไปแก้ข่าวหน่อยเหรอครับ ...
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 19
ปันผลเป็นกระแสเงินสดที่นักลงทุนควรจะได้รับระหว่างการลงทุน
ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีการเติบโตมากเพียงใด
แต่หากไม่มีการจ่ายปันผลระหว่างทางออกมาเลย ปีแล้วปีเล่า
ผมก็ไม่สนใจหุ้นลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกัน
เพราะเราเป็นเจ้าของร่วม หากมีกำไรก็ควรจะแบ่งๆกันบ้าง
ไม่อย่างนั้นไปเป็นเจ้าหนี้ดีกว่า เพราะว่าได้ดอกเบี้ย
อีกอย่างวิธีการคิดมูลค่าของบริษัท
ยังมีสูตรการคิดโดยการคำนวณ Present Value ของเงินปันผล
ที่คาดว่าจะจ่ายได้ ในอนาคตของบริษัทเลยครับ
หรือที่เรียกว่า Dividend Discount Model (DDM)
หุ้นก็ดีกว่าการลงทุนในโลหะที่มีค่าก็ตรงนี้แหละครับ
ไม่จำเป็นต้องฆ่าห่านทิ้งเพื่อกินเนื้อ
แต่รอกินไข่ปีแล้วปีเล่า .... เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงิน
ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีการเติบโตมากเพียงใด
แต่หากไม่มีการจ่ายปันผลระหว่างทางออกมาเลย ปีแล้วปีเล่า
ผมก็ไม่สนใจหุ้นลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกัน
เพราะเราเป็นเจ้าของร่วม หากมีกำไรก็ควรจะแบ่งๆกันบ้าง
ไม่อย่างนั้นไปเป็นเจ้าหนี้ดีกว่า เพราะว่าได้ดอกเบี้ย
อีกอย่างวิธีการคิดมูลค่าของบริษัท
ยังมีสูตรการคิดโดยการคำนวณ Present Value ของเงินปันผล
ที่คาดว่าจะจ่ายได้ ในอนาคตของบริษัทเลยครับ
หรือที่เรียกว่า Dividend Discount Model (DDM)
หุ้นก็ดีกว่าการลงทุนในโลหะที่มีค่าก็ตรงนี้แหละครับ
ไม่จำเป็นต้องฆ่าห่านทิ้งเพื่อกินเนื้อ
แต่รอกินไข่ปีแล้วปีเล่า .... เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงิน
"Winners never quit, and quitters never win."
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 20
สำหรับนักลงทุนอายุมากแล้ว ต้องการสิ่งสำคัญคือ เงินปันผล ให้มีออกทุกปี .... ผมเห็นด้วยและเหมาะสมที่สุด ในความคิดเห็นของผม ผมใช้หลักลงทุนโดยแบ่งออกดังนี้-
1. ครึ่งหนึ่ง หรือ 50 % จะเป็นหุ้น ในกลุ่มประกันภัย(25%) และ หุ้นสิ่งทอ(25%) (ของญี่ปุ่น ส่วนใหญ่) พวกนี้ เราจะคาดการ ปันผลได้อย่างแม่นยำและใกล้เคียงมาก อย่างประกันภัยนี่ ตัวนำตลาด คือ bki แน่นอน ปันผล ทุกไตรมาส รวมทั้งปี ก็ 12 บาท แถมทุก 2 ปี มีการปันผลเป้นหุ้นให้ด้วย.....ถ้าคิดผลตอบแทนเป็นปี จะ ไม่เห็นว่าเขาปันผลมากเท่าไหร่ แต่ถ้าคิด 2 ปี แล้วเฉลี่ยเป็นปีละเท่าไหร่ จะเห็นผลตอบแทนที่ดีและสูงเสียด้วยซิ อีกตัวในกลุ่มประกัน ก็ หุ้นประกันต่อ จะเห็นปันผลสม่ำเสมอ และ แถมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในทุกปี........หุ้นสิ่งทอ ก็ ไปตามดูกันเองว่า ตัวไหนปันผลสม่ำเสมอ .. แฮะ ๆ.. มีบางบริษัทฯ ถึงแม้ จะขาดทุน ก็ยังปันผลเสียด้วยซิครับ ปีนี้ ผมชักไม่ค่อยชอบที่เขาปันผลเท่าเดิมทุกปี ก็ ต้องไปใช้สิทธิโต้แย้ง ขอ ให้เพิ่มปันผลให้มากขึ้นหน่อย ปลายเดือนนี้จะทำเรื่องขอร้องไปยังบริษัทฯ เขา จะรับฟังหรือแพ้ในที่ประชุมใหญ่ ก็ขอแสดงออกในเรื่องนี้ อย่างแน่นอน ฉะนั้นครึ่งหนึ่งของการลงทุนจะเป็นหลักประกันว่า เราได้ผลตอบแทนแน่ นอน ปีหนึ่ง คิดว่า น่าจะให้ 6-7%.
2. อีกครึ่งหนึ่ง 50% จะเป็นหุ้นกลุ่มที่ มีการเติบโต และให้ ปันผลไปด้วย แต่กลุ่มนี้จะปันผลน้อยหน่อย การเลือกหุ้นก็ต้องใช้ความสามารถ และวิเคราะห์ให้ลึกไปอีก บางปีผมก็วิเคราะห์ถูก บางปีก็มีผิดเหมือนกัน หาทาง ตีแตกหุ้น ให้ได้ ปีละ ตัว ก็ พอใจแล้ว หรือ 2 ปีต่อตัวหนึ่งก็นับว่า พอรับได้ .... หุ้นที่ตีแตก แล้ว ก็ลงทุนไป เลยให้มากถึง 20-25% ของเงินลงทุน ... ส่วนเงินที่เหลือ ก็ ไป ลงทุนในหุ้นต่าง ๆ สนุกไปกับตลาด การลงทุนเป็นงานอย่างหนึ่ง ต้องสนใจให้ความรัก และ เข้าใจ มากที่สุด สุดท้ายก็จะพบชัยชนะและรอดจากภัยในตลาดหุ้นได้ ครับ........หุ้นส่วนใหญ่จะมีวงจรของมัน มีขึ้น มีลงบ้าง ถ้าจับวงจรได้ถูก ซื้อตอนถูก และ ขาย ตอนที่คิดว่าสูงแล้ว ก็จะให้กำไรกับนักลงทุน นี่แหละคือความสามารถเฉพาะของแต่ละคนไป บางทีผมก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ซื้อตอนถูกไปขายตอนถูก กว่า ก็มีเหมือนกันครับ หุ้นสำคัญในข้อ 2 นี้ คือหุ้นตีแตก ที่ต้องให้ปันผลและส่วนต่างของราคา และต้อง มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง .... ด้วยเงินที่จำกัด และเป็นการลงทุนยาว หุ้นตีแตกนี้จะถือยาวอย่างต่ำก็ 2-3 ปี หรือกว่านั้น ตอนนี้ผมได้ขายหุ้นที่เคยตีแตกและถือยาวถึง 6-7 ปี มาเป็นหุ้นตัวใหม่ที่พึ่งตีแตกไปเมื่อ ปี ก่อน ปีนี้เป็นปีที่สองที่ถืออยู่ และ คงจะถือไปอีกค่อนข้างยาว เพราะวิเคราะห์แล้ว กิจการของเขายังจะเติบโตไปได้อีก เพราะ ผู้บริหารมีความสามารถคิดขยายออกไปเรื่อย ๆ ก็ต้องติดตามผลงานของเขา ว่า การขยายไปเรื่อย ๆ นี้ จะประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ นี่แหละคืองานของนักลงทุนที่ต้องติดตามและเข้าใจกับกิจการนั้น ๆ
1. ครึ่งหนึ่ง หรือ 50 % จะเป็นหุ้น ในกลุ่มประกันภัย(25%) และ หุ้นสิ่งทอ(25%) (ของญี่ปุ่น ส่วนใหญ่) พวกนี้ เราจะคาดการ ปันผลได้อย่างแม่นยำและใกล้เคียงมาก อย่างประกันภัยนี่ ตัวนำตลาด คือ bki แน่นอน ปันผล ทุกไตรมาส รวมทั้งปี ก็ 12 บาท แถมทุก 2 ปี มีการปันผลเป้นหุ้นให้ด้วย.....ถ้าคิดผลตอบแทนเป็นปี จะ ไม่เห็นว่าเขาปันผลมากเท่าไหร่ แต่ถ้าคิด 2 ปี แล้วเฉลี่ยเป็นปีละเท่าไหร่ จะเห็นผลตอบแทนที่ดีและสูงเสียด้วยซิ อีกตัวในกลุ่มประกัน ก็ หุ้นประกันต่อ จะเห็นปันผลสม่ำเสมอ และ แถมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในทุกปี........หุ้นสิ่งทอ ก็ ไปตามดูกันเองว่า ตัวไหนปันผลสม่ำเสมอ .. แฮะ ๆ.. มีบางบริษัทฯ ถึงแม้ จะขาดทุน ก็ยังปันผลเสียด้วยซิครับ ปีนี้ ผมชักไม่ค่อยชอบที่เขาปันผลเท่าเดิมทุกปี ก็ ต้องไปใช้สิทธิโต้แย้ง ขอ ให้เพิ่มปันผลให้มากขึ้นหน่อย ปลายเดือนนี้จะทำเรื่องขอร้องไปยังบริษัทฯ เขา จะรับฟังหรือแพ้ในที่ประชุมใหญ่ ก็ขอแสดงออกในเรื่องนี้ อย่างแน่นอน ฉะนั้นครึ่งหนึ่งของการลงทุนจะเป็นหลักประกันว่า เราได้ผลตอบแทนแน่ นอน ปีหนึ่ง คิดว่า น่าจะให้ 6-7%.
2. อีกครึ่งหนึ่ง 50% จะเป็นหุ้นกลุ่มที่ มีการเติบโต และให้ ปันผลไปด้วย แต่กลุ่มนี้จะปันผลน้อยหน่อย การเลือกหุ้นก็ต้องใช้ความสามารถ และวิเคราะห์ให้ลึกไปอีก บางปีผมก็วิเคราะห์ถูก บางปีก็มีผิดเหมือนกัน หาทาง ตีแตกหุ้น ให้ได้ ปีละ ตัว ก็ พอใจแล้ว หรือ 2 ปีต่อตัวหนึ่งก็นับว่า พอรับได้ .... หุ้นที่ตีแตก แล้ว ก็ลงทุนไป เลยให้มากถึง 20-25% ของเงินลงทุน ... ส่วนเงินที่เหลือ ก็ ไป ลงทุนในหุ้นต่าง ๆ สนุกไปกับตลาด การลงทุนเป็นงานอย่างหนึ่ง ต้องสนใจให้ความรัก และ เข้าใจ มากที่สุด สุดท้ายก็จะพบชัยชนะและรอดจากภัยในตลาดหุ้นได้ ครับ........หุ้นส่วนใหญ่จะมีวงจรของมัน มีขึ้น มีลงบ้าง ถ้าจับวงจรได้ถูก ซื้อตอนถูก และ ขาย ตอนที่คิดว่าสูงแล้ว ก็จะให้กำไรกับนักลงทุน นี่แหละคือความสามารถเฉพาะของแต่ละคนไป บางทีผมก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ซื้อตอนถูกไปขายตอนถูก กว่า ก็มีเหมือนกันครับ หุ้นสำคัญในข้อ 2 นี้ คือหุ้นตีแตก ที่ต้องให้ปันผลและส่วนต่างของราคา และต้อง มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง .... ด้วยเงินที่จำกัด และเป็นการลงทุนยาว หุ้นตีแตกนี้จะถือยาวอย่างต่ำก็ 2-3 ปี หรือกว่านั้น ตอนนี้ผมได้ขายหุ้นที่เคยตีแตกและถือยาวถึง 6-7 ปี มาเป็นหุ้นตัวใหม่ที่พึ่งตีแตกไปเมื่อ ปี ก่อน ปีนี้เป็นปีที่สองที่ถืออยู่ และ คงจะถือไปอีกค่อนข้างยาว เพราะวิเคราะห์แล้ว กิจการของเขายังจะเติบโตไปได้อีก เพราะ ผู้บริหารมีความสามารถคิดขยายออกไปเรื่อย ๆ ก็ต้องติดตามผลงานของเขา ว่า การขยายไปเรื่อย ๆ นี้ จะประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ นี่แหละคืองานของนักลงทุนที่ต้องติดตามและเข้าใจกับกิจการนั้น ๆ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 21
ฟังดูแปลกๆนะ แต่จะขอออกความเห็นนิดนึงnanchan เขียน:ถ้าต้องเล่นหุ้นเพื่อหวังปันผล
ผมคงเลิกเล่น ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป
สมมติคุณเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่พอควร จะมีผู้ถือหุ้น๗คน หรือ ๗๐๐๐คน ก็แล้วแต่ listed or not listed ก็แล้วแต่ กำไรเป็นส่วนนึงของเงินทุน การที่คุณดำริจะจัดการจัดสรรอย่างไรกับกำไร เป็นสิ่งที่ทุกคนรอดูอยู่ เอาว่า๗คนก็มีปัญหานัวเนียแล้วถ้าจัดสรรมากหรือน้อย เป็นเรื่องความยุติธรรม๑, ฝีมือในการจัดสรรเพื่อ reinvest อีก๑, การส่งสัญญาณถึงทิศทางของฝ่ายจัดการ อีก๑
ในทางกลับกัน สมมติเราเป็นผู้ถือหุ้น๑ใน๗ หรือ๑ใน๗๐๐๐ เราคือตลาด ตลาดจะสะท้อนทิศทางและความสามารถในการจัดการจัดสรรเงินทุนของฝ่ายจัดการ ออกมาเป็นราคาหุ้น
Warren Buffet ดูเหมือนมีข้อกำหนดในการให้น้ำหนักเรื่อง Capital Allocation ของฝ่ายบริหารบริษัทไว้ด้วย
Rabbit VS. Turtle
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 22
ไม่แปลกหรอกครับ คนในตลาดทั้งมีความรู้และไม่มีความรู้ มีความคิดแบบนี้มากกว่าเยอะMr. Boo เขียน: ฟังดูแปลกๆนะ แต่จะขอออกความเห็นนิดนึง
ปันผลอย่างมากก็แค่ 10% เฉลี่ย 4% ที่ 4% จริงๆก็หาได้จากการฝากประจำได้ตลอดเวลาระยะยาว ไม่เสี่ยงมากเหมือนหุ้นด้วย
คนโดยทั่วไปก็เห็นโอกาส ในการเปลี่ยนแปลงของราคาระหว่างวัน ก็คิดว่าเทรดแป็บๆก็ได้แล้ว ชีวิตจริงก็อีกเรื่องนะ
ในบอร์ดนี้เองก็มองหาหุ้นที่ถูกกว่าที่ควรจะเป็นเป็นหลัก ไม่มีใครซักเท่าไหร่ให้น้ำหนักกับปันผลเป็นหลัก เท่าที่สังเกตุดู ไม่งั้นยังถือน้องมินท์กันทำไม ยิวด์ตอนนี้แค่ 1% เองมั้ง หรือตัวอื่นก็ตาม
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 25
เงินปันผลนั้นผมมองว่าเป็นผลพลอยได้ครับ ในกรณีที่ capital gain ไม่ไปไหน ได้ปันผลมาก็ยังดี หลายๆท่านเรียกว่าเป็น รางวัล(ปลอบใจ)แห่งการรอคอย
และถ้าบริษัทไม่สามารถนำเงินไปทำอะไรได้อย่างคุ้มค่าก็สมควรปันผลให้ผู้ถือหุ้น และผมก็ชอบที่จะให้บริษัทปันผลออกมาเพื่อจะได้เอาไปทำอะไรที่ผมเป็นคนตัดสินใจเอง
นักลงทุนแนว VI ก็คงมีหลักในการลงทุนคล้ายๆกัน แต่รายละเอียดในการเลือกหุ้นนั้นอาจจะแตกต่างกันในเรื่องปัจจัยที่เราให้ความสำคัญ เช่นการเติบโตของบริษัทอย่างยั่งยืน การมีธรรมาภิบาล วัฏจักรธุรกิจ การมีสินทรัพย์เยอะ การปันผลเยอะๆ หรือเป็นหุ้นที่ราคาถูกมากๆ ฯลฯ
ผลลัพภ์ที่ทำให้ VI เลือกหุ้นแตกต่างกันคงมีสาเหตุมาจากการเรียงลำดับความสำคัญว่าปัจจัยตัวไหนสำคัญมากกว่ากัน
เรื่องเงินปันผลก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ แต่ไม่ใช่สำคัญเป็นลำดับที่หนึ่ง
ผมคิดว่าการนำปัจจัยเรื่องเงินปันผลขึ้นเป็นลำดับที่หนึ่งเป็นเรื่องอันตรายและมีโอกาสผิดพลาดสูง
ถ้าบริษัทสามารถนำเงินไปทำประโยชน์ต่อเนื่องได้มากๆ ก็ไม่จำเป็นต้องปันผลออกมา................
และถ้าบริษัทไม่สามารถนำเงินไปทำอะไรได้อย่างคุ้มค่าก็สมควรปันผลให้ผู้ถือหุ้น และผมก็ชอบที่จะให้บริษัทปันผลออกมาเพื่อจะได้เอาไปทำอะไรที่ผมเป็นคนตัดสินใจเอง
นักลงทุนแนว VI ก็คงมีหลักในการลงทุนคล้ายๆกัน แต่รายละเอียดในการเลือกหุ้นนั้นอาจจะแตกต่างกันในเรื่องปัจจัยที่เราให้ความสำคัญ เช่นการเติบโตของบริษัทอย่างยั่งยืน การมีธรรมาภิบาล วัฏจักรธุรกิจ การมีสินทรัพย์เยอะ การปันผลเยอะๆ หรือเป็นหุ้นที่ราคาถูกมากๆ ฯลฯ
ผลลัพภ์ที่ทำให้ VI เลือกหุ้นแตกต่างกันคงมีสาเหตุมาจากการเรียงลำดับความสำคัญว่าปัจจัยตัวไหนสำคัญมากกว่ากัน
เรื่องเงินปันผลก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ แต่ไม่ใช่สำคัญเป็นลำดับที่หนึ่ง
ผมคิดว่าการนำปัจจัยเรื่องเงินปันผลขึ้นเป็นลำดับที่หนึ่งเป็นเรื่องอันตรายและมีโอกาสผิดพลาดสูง
ถ้าบริษัทสามารถนำเงินไปทำประโยชน์ต่อเนื่องได้มากๆ ก็ไม่จำเป็นต้องปันผลออกมา................
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 26
คุณหมอ สามัญชน เขียนชัดเจนครับ
เมื่อ 4 ปีก่อนมั้ง มีหุ้นตัวหนึ่งประกาศจ่ายปันผล ผมเห็นแล้วเสียใจมาก พูดถึงถ้าไม่จ่ายปันผลวันนั้น นำไปลงทุนอย่างที่บริษัททำอยู่ ผมว่าต้องได้ผลตอบแทนเฉพาะส่วนนั้นซัก 100%
มองในแง่ดีก็เป็นการให้โอกาสผู้ถือหุ้นตัดสินใจว่าจะนำเงินไปทำอย่างอื่นหรือเปล่า
เมื่อ 4 ปีก่อนมั้ง มีหุ้นตัวหนึ่งประกาศจ่ายปันผล ผมเห็นแล้วเสียใจมาก พูดถึงถ้าไม่จ่ายปันผลวันนั้น นำไปลงทุนอย่างที่บริษัททำอยู่ ผมว่าต้องได้ผลตอบแทนเฉพาะส่วนนั้นซัก 100%
มองในแง่ดีก็เป็นการให้โอกาสผู้ถือหุ้นตัดสินใจว่าจะนำเงินไปทำอย่างอื่นหรือเปล่า
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 28
ได้มุมมองเรื่องเงินปันผลเพิ่มขึ้นจากความเห็นของ
คุณลุงขวด และคุณ Mr.Boo ครับ
เป็น comment ที่ทำให้ได้ความรู้มากขึ้น (ในความคิดผม)
ขอบคุณมากครับ
แต่ comment ของคุณ BSL ก็เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
นักลงทุนในตลาดมีความรู้ในการลงทุนไม่เท่ากัน
นิสัยและวินัยของการลงทุนก็แตกต่างกัน
วิธีการลงทุนของแต่ละบุคคลก็แตกต่างกัน
นักลงทุนจำนวนหนึ่ง (จำนวนมาก?)
อาจจะไม่เคยดูแม้กระทั่งอัตราส่วนการเงินเลยด้วยซ้ำ
เรื่องเงินปันผลไม่ต้องพูดถึง
อยากรู้อย่างเดียวว่าตัวนี้จะขึ้นหรือเปล่า แนวรับ แนวต้านอยู่ที่ไหน
ซื้อหุ้น LEE เพราะนึกว่าขายกางเกงยีน LEE ก็มี ...
จึงไม่น่าแปลกใจว่าจะมีนักทุนเพียงจำนวนน้อยมากที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น
เมื่อเทียบกับปริมาณนักลงทุนในตลาด
หากมองในแง่ดี
นักลงทุนจำพวก trading ก็มีส่วนทำให้ตลาดเกิดสภาพคล่อง
และทำให้เกิด Mr. Market ตามมุมมองของคุณปู่ Buffett ขึ้นมา
หากขาดนักลงทุนจำพวกนี้แล้ว (Noise Trader)
คงไม่เกิด Mr. Market และ
ทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ (Efficient Market Theory) คงเป็นจริง
(ในความคิดผมอีกนั่นแหละ)
คุณลุงขวด และคุณ Mr.Boo ครับ
เป็น comment ที่ทำให้ได้ความรู้มากขึ้น (ในความคิดผม)
ขอบคุณมากครับ
แต่ comment ของคุณ BSL ก็เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
นักลงทุนในตลาดมีความรู้ในการลงทุนไม่เท่ากัน
นิสัยและวินัยของการลงทุนก็แตกต่างกัน
วิธีการลงทุนของแต่ละบุคคลก็แตกต่างกัน
นักลงทุนจำนวนหนึ่ง (จำนวนมาก?)
อาจจะไม่เคยดูแม้กระทั่งอัตราส่วนการเงินเลยด้วยซ้ำ
เรื่องเงินปันผลไม่ต้องพูดถึง
อยากรู้อย่างเดียวว่าตัวนี้จะขึ้นหรือเปล่า แนวรับ แนวต้านอยู่ที่ไหน
ซื้อหุ้น LEE เพราะนึกว่าขายกางเกงยีน LEE ก็มี ...
จึงไม่น่าแปลกใจว่าจะมีนักทุนเพียงจำนวนน้อยมากที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น
เมื่อเทียบกับปริมาณนักลงทุนในตลาด
หากมองในแง่ดี
นักลงทุนจำพวก trading ก็มีส่วนทำให้ตลาดเกิดสภาพคล่อง
และทำให้เกิด Mr. Market ตามมุมมองของคุณปู่ Buffett ขึ้นมา
หากขาดนักลงทุนจำพวกนี้แล้ว (Noise Trader)
คงไม่เกิด Mr. Market และ
ทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ (Efficient Market Theory) คงเป็นจริง
(ในความคิดผมอีกนั่นแหละ)
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 29
ผมมีความรู้สึกที่ดี ในการรับเงินปันผลครับ เหมือนตอนนี้ ที่ได้รับใบสีเขียวบ่อยๆ ไม่ค่อยชอบแบบเป็นเช็ค ต้องเสียเวลาไปแบงค์อีก ถึงแม้ผมจะชอบหุ้นที่มีการเติบโตของกำไร แต่ก็จะดูผลตอบแทนเงินปันผลด้วย อย่างน้อยไม่ควรน้อยกว่า 5% รวมเครดิตภาษี
เงินปันผลเหล่านี้ก็เป็น margin of safety แบบนึง ถ้าให้ซื้อหุ้นที่ dvd yield 1-2% ผมก็ไม่เอาเหมือนกัน ปันผลที่ได้เป็นเงินที่เราได้ค่อนข้างแน่ เหมือนนกหนึ่งตัวในมือ ย่อมดีนกสองตัวในพุ่มไม้
ในระยะยาวแล้วได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผล 5-10% บวกกับ cap gain อีก 10-15% รวมเป็น 15-25% ทำได้หลายๆปี ก็เก่งเหมือน Buffet แล้วครับ เคยอ่านจากหนังสือเล่มนึง เค้าเคยเขียนไว้ว่า หากคิดดัชนีตลาดหุ้น dowjone หรือ s&p โดยรวมผลตอบแทนเงินปันผล จะมากกว่าดัชนีปัจจุบันหลายสิบเท่าทีเดียว
เงินปันผลเหล่านี้ก็เป็น margin of safety แบบนึง ถ้าให้ซื้อหุ้นที่ dvd yield 1-2% ผมก็ไม่เอาเหมือนกัน ปันผลที่ได้เป็นเงินที่เราได้ค่อนข้างแน่ เหมือนนกหนึ่งตัวในมือ ย่อมดีนกสองตัวในพุ่มไม้
ในระยะยาวแล้วได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผล 5-10% บวกกับ cap gain อีก 10-15% รวมเป็น 15-25% ทำได้หลายๆปี ก็เก่งเหมือน Buffet แล้วครับ เคยอ่านจากหนังสือเล่มนึง เค้าเคยเขียนไว้ว่า หากคิดดัชนีตลาดหุ้น dowjone หรือ s&p โดยรวมผลตอบแทนเงินปันผล จะมากกว่าดัชนีปัจจุบันหลายสิบเท่าทีเดียว
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
เทพ รุ่งธนาภิรมย์
โพสต์ที่ 30
ในระยะยาวแล้วได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผล 5-10% บวกกับ cap gain อีก 10-15% รวมเป็น 15-25%
ที่คุณลูกอิสาน บอก เงินปันผล 5-10% นี่ ทำได้ง่ายครับ แต่ capital gain อีก 10-15% นี่ซิ ต้องใช้ฝีมือมากหน่อย :lol: หุ้นสิ่งทอ ของผม ยังไม่ให้ cap gain เลย ส่วนหุ้นกลุ่มประกันนั้นพอ ให้ ได้บ้าง
บางทีผมว่า ต้องหาหุ้นที่ให้ปันผล 2-5% แต่ได้ capital gain 15-20% กลุ่มพวกนี้ซิ จะให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า เพราะมีการเติบโตในธุรกิจทุกปี ซึ่งเป็นแบบวิธีของ ดร.นิเวศน์ ที่ผมจับทางได้ ....แต่หุ้นที่ท่านเลือกและถือตอนนี้ ให้ capital gain ไม่ใช่ 15-20% แต่เป็น 100% หลายตัวแล้วซิครับ นับว่า แน่มากจริง ๆ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่