Value Way ฉบับวันที่ 24 พฤศจิกายน 2551
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
ดาวน์มฤตยู
ตลาดหุ้นไทยในรอบเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมาถือว่ามีความผันผวนเป็นอย่างมาก ดัชนีปรับตัวขึ้นในจากจุดต่ำสุดในรอบปี 383 จุดในวันที่ 28 ตุลาคม ขึ้นมาถึงจุดสูงสุด 478 จุดในวันที่ 5 พฤศจิกายน ปรับตัวขึ้น 25% โดยใช้เวลาเพียง 1สัปดาห์ หลังจากนั้นตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาเรื่อยๆและกลับมาที่จุดต่ำสุดอีกครั้งที่ 384 จุดในวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน เรียกว่าภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ดัชนีลดลงถึงจุดต่ำสุดและปรับตัวขึ้นแล้วลดลงจนกลับมาระดับต่ำสุดใหม่อีกครั้ง จนนักลงทุนตั้งหลักกันไม่ถูกเลยทีเดียว
ถ้าดูความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีตลาดหุ้นไทยกับดัชนีตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลกแล้ว จะพบว่าเป็นไปในลักษณะเดียวกัน นั่นคือปรับตัวลดลงถึงจุดต่ำสุดพร้อมๆกัน และเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดในรอบนี้ระยะเวลาใกล้เคียง รวมทั้งลดลงกับมาที่จุดเดิมอีกครั้งไล่เลี่ยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือ ตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับอิทธิพลจากการเคลื่อนไหวขึ้นลงของดัชนีดาวน์โจนส์เป็นสำคัญ ถ้าดัชนีดาวน์โจนส์ที่นิวยอร์คขึ้น ดัชนีหุ้นทั่วโลกทั้งเอเซียและยุโรปมักจะขึ้นตาม ขณะเดียวกันถ้าดัชนีดาวน์์โจนส์ลบ ตลาดหุ้นทั่วโลกพลอยปรับตัวลดลงไปด้วย ในวันพฤหัสที่ 24 พฤศจิกายน ดัชนีดาวโจนส์ลดลงเหลือ 7,552 จุดต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี เป็นช่วงเวลาที่ดัชนีหุ้นไทยและตลาดหุ้นเอเซียลดลงถึงจุดต่ำสุดอีกครั้ง
ถ้าลงดูในรายละเอียดของดัชนีดาวโจนส์จะประกอบไปด้วยหุ้นของบริษัทต่อไปนี้
Alcoa, Exxon Mobil, McDonald's, American Express, General Electric, Merck, AT&T, General Motors, Microsoft, Bank of America, Home Depot, 3M, Boeing, Hewlett-Packard, Pfizer, Caterpillar, IBM, Procter & Gamble, Chevron, Intel, United Technologies, Citigroup, J.P. Morgan, Verizon Communications, Coca-Cola, Johnson & Johnson, Wal-Mart Stores, DuPont, Kraft, Walt Disney
หุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นขนาดใหญ่ มีชื่อเสียงและมีมูลค่าการซื้อขายสูง รวมทั้งสามารถชี้เป็นชี้ตายให้กับตลาดหุ้นได้ทั่วโลก ราคาหุ้นของตลาดหุ้นอื่นๆขึ้นกับราคาหุ้นรวมกันของบริษัทเหล่านี้เท่านั้น ถ้ามองในแง่ของข้อเท็จจริงแล้ว ดัชนีดาวโจนส์ประกอบไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่ของอเมริกาเพียง 30 บริษัทซึ่งไม่สามารถเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจของอเมริกาได้อย่างแท้จริง รวมทั้งไม่สามารถแทนหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นอเมริกาซึ่งมีกว่า 20,000 บริษัทได้ ทำไมดัชนีดาวโจนส์ถึงมีความสำคัญต่อตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นทั่วโลกได้มากขนาดนี้
สาเหตุหนึ่งอาจเนื่องมาจากมีการใช้ดัชนีดาวน์โจนส์มาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันมาเป็นเวลานาน สามารถนำมาเปรียบเทียบกับสภาวะเดียวกันในช่วงอดีตได้ เช่น การตกต่ำทางเศรษฐกิจในปี 1929 ขณะที่ดัชนีเอสแอนพี (S&P 500) เกิดขึ้นมาหลังจากนั้นหลายสิบปี ยังไม่มีข้อมูลมาเปรียบเทียบกันได้
นอกเหนือจากนั้นในช่วงเวลาวิกฤติที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ตลาดหุ้นมักถูกชักนำด้วยจิตวิทยามากกว่าข้อเท็จจริง เมื่อไหร่ที่นักลงทุนหวาดกลัว ถ้าดัชนีดาวน์โจนส์ลดลง หุ้นทั่วโลกจะถูกเทขายออกมาโดยนักลงทุนต่างชาติแบบไม่สนใจราคาพื้นฐาน ถึงแม้ว่าดัชนีดาวน์โจนส์จะไม่ได้เป็นบ่งบอกถึงสถาพเศรษฐกิจจริงๆของประเทศหรือของโลกสักเท่าไหร่นัก แต่ดัชนีหุ้นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญยังคงเป็นดัชนีดาวน์โจนส์ต่อไปอีกนาน เพราะไม่มีดัชนีหุ้นอื่นใดมาทดแทนได้
ดังนั้นคำถามที่ว่าดัชนีหุ้นไทยถึงจุดต่ำสุดหรือยัง คงตอบไม่ได้เพราะต้องเปลี่ยนคำถามว่าดัชนีดาวน์โจนส์ถึงจุดต่ำสุดหรือยังแทน
ดาวน์มฤตยู Valueway วิบูลย์ พึงประเสริฐ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 795
- ผู้ติดตาม: 0
ดาวน์มฤตยู Valueway วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์ที่ 1
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"