ซื้อขายหุ้นในยามวิกฤติ / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อขายหุ้นในยามวิกฤติ / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 16 พฤษภาคม 2552
ในยามเศรษฐกิจวิกฤตินั้น การซื้อขายหุ้นน่าจะต้องมีความแตกต่างจากการลงทุนในภาวะปกติอยู่บ้าง ต่อไปนี้คือแนวทางที่ผมคิดว่าควรจะนำไปพิจารณาถ้าคิดจะซื้อหุ้นในยามนี้
ข้อแรก บริษัทหรือกิจการที่เราจะลงทุนนั้น เราจะต้องมั่นใจว่ามันจะไม่ “เจ๊ง“ หรือล้มละลายหรือต้องเพิ่มทุนมากมายเพื่อที่จะกู้ฐานะของกิจการ นี่เป็นกฏที่สำคัญ เพราะในยามวิกฤตินั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการที่กิจการขาดสภาพคล่องและต้องเลิกกิจการหรือต้องมีการเพิ่มทุนที่ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมมีมูลค่าลดลงมาก และถ้าเราซื้อหุ้นไปแล้วเกิดสถานการณ์อย่างนั้น ความเสียหายก็จะมหาศาล
ข้อสอง วิธีที่จะทำให้เราปลอดภัยในการซื้อหุ้นลงทุน นั่นคือ ไม่ใช่ว่าซื้อแล้วหุ้นจะตกลงไปและเราก็กระวนกระวายใจไม่รู้ว่ามันจะกลับขึ้นมาเมื่อไรก็คือ ต้องมองว่าอนาคตโดยเฉพาะในปีนี้หรือปีหน้า กำไรของบริษัทจะต้องไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหรือลดลงมาก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ราคาหุ้นก็จะขึ้นไปยาก เผลอ ๆ จะลดลงไปอีก และกว่าจะฟื้นได้ก็อาจจะใช้เวลานาน ดังนั้น ถ้าจะซื้อหุ้นแบบนี้ เราก็น่าจะรอไว้ก่อนได้ รอจนกว่าจะ “เห็นแสงที่ปลายอุโมง“ ก่อนจะดีกว่า
ข้อสาม ในยามที่หุ้นส่วนใหญ่ตกลงมามาก หุ้นจำนวนมากกลายเป็นหุ้น Value ซึ่งรวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพดี มีความเข้มแข็งสูง ดังนั้น ความจำเป็นที่จะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่ยังไม่ค่อยได้พิสูจน์ถึงคุณภาพของกิจการจึงมีน้อย เช่นเดียวกัน การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ นั้น ความเสี่ยงย่อมจะต่ำกว่าหุ้นขนาดเล็ก ทั้งในเรื่องของผลประกอบการของกิจการเองและในเรื่องสภาพคล่องของหุ้น พูดกันชัด ๆ ก็คือ ถ้าซื้อหุ้นขนาดเล็กแล้วพลาด ความเสียหายบางทีจะสูงมาก เพราะเวลาขายจะหาคนซื้อยากและราคาก็จะตกลงมากกว่าปกติ นอกจากนั้น ในเวลาที่ตลาดหุ้นฟื้นตัว หุ้นขนาดใหญ่ก็มักจะปรับตัวขึ้นก่อน
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในยามวิกฤติแบบนี้ก็คงจะมีมากมาย ผมเองลองนึกดูก็พอจะบอกได้สามสี่กลุ่มดังต่อไปนี้
กลุ่มแรกก็คือกลุ่มที่มี Monopoly Power หรือมีอำนาจผูกขาดทางการตลาดสูง ข้อสังเกตก็คือ บริษัทในกลุ่มนี้จะมีกำไรต่อเนื่องมานาน อย่างไรก็ตาม ในยามวิกฤติ ยอดขายอาจจะตกลงไปมากทำให้กำไรลดลงมากหรืออาจจะขาดทุน นี่ทำให้ราคาหุ้นตกลงไปมาก แต่ถ้าเรามั่นใจว่าในอนาคตเศรษฐกิจจะต้องฟื้นและยอดขายของกิจการก็จะกลับมาอย่างน้อยเท่าเดิม และกำไรก็น่าจะกลับมาเท่าเดิมได้ แบบนี้ เราก็สามารถที่จะเก็บหุ้นลงทุนได้ โดยที่ราคาหุ้นที่เราจะซื้อนั้น อย่างน้อยควรจะเท่ากับหรือต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของราคาหุ้นของบริษัทก่อนที่จะเกิดวิกฤติ เมื่อซื้อแล้วก็รอจนกว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นและยอดขายของกิจการฟื้นตัว โดยที่กระบวนการนี้เราคาดว่าไม่น่าเกิน 4 -5 ปี ซึ่งก็ยังคุ้มค่า เพราะการลงทุน 5 ปีแล้วราคาหุ้นขึ้นมาได้หนึ่งเท่าตัวนั้น เท่ากับผลตอบแทนทบต้นปีละถึง 15%
กลุ่มที่สอง นี่คือกลุ่มที่น่าจะปลอดภัยที่สุดแต่ผลตอบแทนอาจจะไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับกลุ่มแรก นี่คือหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมหรือเป็น Super Company บริษัทในกลุ่มนี้เป็นกิจการที่แข็งแกร่ง มีความได้เปรียบคู่แข่งอย่างยั่งยืน มียอดขายและกำไรที่เติบโตต่อเนื่องมายาวนาน สินค้าทดแทนมีน้อยหรือไม่มี ข้อสังเกตของกิจการในกลุ่มนี้ก็คือ แม้ในยามที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ยอดขายก็ไม่ลดลงหรือยังเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับกำไรที่มักจะยังรักษาอยู่ได้หรือเพิ่มขึ้น และทั้งสองอย่างนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากรายการที่ผิดปกติหรือเป็นเรื่องของการลงบัญชีหรือเป็นกำไรที่เกิดจากการขายในอดีต ถ้าเป็นแบบนี้ และราคาหุ้นตกลงมาหรือไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างที่มันควรเป็น การซื้อหุ้นแบบนี้ก็คือ โอกาสในการซื้อหุ้น Super Stock ในราคาถูกหรือราคายุติธรรม ซึ่งก็จะเป็นแนวการลงทุนแบบที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ ชอบใช้
กลุ่มที่สามที่ผมจะพูดถึงก็คือ การเล่นหุ้น Commodities หรือสินค้าโภคภัณฑ์ นี่จะเป็นการลงทุนประเภท High Risk, High Return หรือเล่นแบบกล้าได้กล้าเสีย เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสู่งแต่ก็คาดว่าจะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติ แนวความคิดนี้ก็คือ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ปรับตัวลงมามากเนื่องจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ นั่นทำให้บริษัทที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์เช่นน้ำมัน ปิโตรเคมี ต้องขาดทุนกันอย่างหนัก ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นตกลงมามาก แต่ราคาโภคคภัณฑ์เหล่านั้นเราเห็นว่าเริ่มอยู่ตัวแล้ว ในอนาคต โดยเฉพาะถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัว ราคาสินค้ามีแต่จะปรับตัวขึ้น และเมื่อนั้น บริษัทก็จะกลับมาทำกำไรได้อย่างงดงาม และในกรณีที่ราคาสินค้าไม่ปรับตัวขึ้นเราก็ยังเห็นว่าบริษัทก็ยังสามารถทำกำไรได้ ในสถานการณ์แบบนี้ และราคาหุ้นของบริษัทได้ปรับตัวลงมาต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของราคาหุ้นก่อนวิกฤติ การซื้อหุ้นไว้ก็อาจจะทำให้เราสามารถทำกำไรรได้อย่างงดงาม อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่ในกรณีที่ราคาโภคภัณฑ์อาจจะลดลงไปได้อีกเนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงก่อนใกล้วิกฤติ ดังนั้น การวิเคราะห์ในเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อที่จะลดความเสี่ยงในการลงทุนลง
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของกลยุทธ์ในการมองหาโอกาสจากวิกฤติ ซึ่งถ้าทำดี ๆ เราก็จะได้เงินมากและเร็วกว่าในภาวะปกติ ความเสี่ยงนั้นมีแน่ แต่มักจะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกินหนึ่งหรือสองปี ดังนั้น คนที่จะลงทุนซื้อหุ้นในช่วงนี้จะต้องเข้าใจและทำใจให้ได้
ในยามเศรษฐกิจวิกฤตินั้น การซื้อขายหุ้นน่าจะต้องมีความแตกต่างจากการลงทุนในภาวะปกติอยู่บ้าง ต่อไปนี้คือแนวทางที่ผมคิดว่าควรจะนำไปพิจารณาถ้าคิดจะซื้อหุ้นในยามนี้
ข้อแรก บริษัทหรือกิจการที่เราจะลงทุนนั้น เราจะต้องมั่นใจว่ามันจะไม่ “เจ๊ง“ หรือล้มละลายหรือต้องเพิ่มทุนมากมายเพื่อที่จะกู้ฐานะของกิจการ นี่เป็นกฏที่สำคัญ เพราะในยามวิกฤตินั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการที่กิจการขาดสภาพคล่องและต้องเลิกกิจการหรือต้องมีการเพิ่มทุนที่ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมมีมูลค่าลดลงมาก และถ้าเราซื้อหุ้นไปแล้วเกิดสถานการณ์อย่างนั้น ความเสียหายก็จะมหาศาล
ข้อสอง วิธีที่จะทำให้เราปลอดภัยในการซื้อหุ้นลงทุน นั่นคือ ไม่ใช่ว่าซื้อแล้วหุ้นจะตกลงไปและเราก็กระวนกระวายใจไม่รู้ว่ามันจะกลับขึ้นมาเมื่อไรก็คือ ต้องมองว่าอนาคตโดยเฉพาะในปีนี้หรือปีหน้า กำไรของบริษัทจะต้องไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหรือลดลงมาก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ราคาหุ้นก็จะขึ้นไปยาก เผลอ ๆ จะลดลงไปอีก และกว่าจะฟื้นได้ก็อาจจะใช้เวลานาน ดังนั้น ถ้าจะซื้อหุ้นแบบนี้ เราก็น่าจะรอไว้ก่อนได้ รอจนกว่าจะ “เห็นแสงที่ปลายอุโมง“ ก่อนจะดีกว่า
ข้อสาม ในยามที่หุ้นส่วนใหญ่ตกลงมามาก หุ้นจำนวนมากกลายเป็นหุ้น Value ซึ่งรวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพดี มีความเข้มแข็งสูง ดังนั้น ความจำเป็นที่จะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่ยังไม่ค่อยได้พิสูจน์ถึงคุณภาพของกิจการจึงมีน้อย เช่นเดียวกัน การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ นั้น ความเสี่ยงย่อมจะต่ำกว่าหุ้นขนาดเล็ก ทั้งในเรื่องของผลประกอบการของกิจการเองและในเรื่องสภาพคล่องของหุ้น พูดกันชัด ๆ ก็คือ ถ้าซื้อหุ้นขนาดเล็กแล้วพลาด ความเสียหายบางทีจะสูงมาก เพราะเวลาขายจะหาคนซื้อยากและราคาก็จะตกลงมากกว่าปกติ นอกจากนั้น ในเวลาที่ตลาดหุ้นฟื้นตัว หุ้นขนาดใหญ่ก็มักจะปรับตัวขึ้นก่อน
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในยามวิกฤติแบบนี้ก็คงจะมีมากมาย ผมเองลองนึกดูก็พอจะบอกได้สามสี่กลุ่มดังต่อไปนี้
กลุ่มแรกก็คือกลุ่มที่มี Monopoly Power หรือมีอำนาจผูกขาดทางการตลาดสูง ข้อสังเกตก็คือ บริษัทในกลุ่มนี้จะมีกำไรต่อเนื่องมานาน อย่างไรก็ตาม ในยามวิกฤติ ยอดขายอาจจะตกลงไปมากทำให้กำไรลดลงมากหรืออาจจะขาดทุน นี่ทำให้ราคาหุ้นตกลงไปมาก แต่ถ้าเรามั่นใจว่าในอนาคตเศรษฐกิจจะต้องฟื้นและยอดขายของกิจการก็จะกลับมาอย่างน้อยเท่าเดิม และกำไรก็น่าจะกลับมาเท่าเดิมได้ แบบนี้ เราก็สามารถที่จะเก็บหุ้นลงทุนได้ โดยที่ราคาหุ้นที่เราจะซื้อนั้น อย่างน้อยควรจะเท่ากับหรือต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของราคาหุ้นของบริษัทก่อนที่จะเกิดวิกฤติ เมื่อซื้อแล้วก็รอจนกว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นและยอดขายของกิจการฟื้นตัว โดยที่กระบวนการนี้เราคาดว่าไม่น่าเกิน 4 -5 ปี ซึ่งก็ยังคุ้มค่า เพราะการลงทุน 5 ปีแล้วราคาหุ้นขึ้นมาได้หนึ่งเท่าตัวนั้น เท่ากับผลตอบแทนทบต้นปีละถึง 15%
กลุ่มที่สอง นี่คือกลุ่มที่น่าจะปลอดภัยที่สุดแต่ผลตอบแทนอาจจะไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับกลุ่มแรก นี่คือหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมหรือเป็น Super Company บริษัทในกลุ่มนี้เป็นกิจการที่แข็งแกร่ง มีความได้เปรียบคู่แข่งอย่างยั่งยืน มียอดขายและกำไรที่เติบโตต่อเนื่องมายาวนาน สินค้าทดแทนมีน้อยหรือไม่มี ข้อสังเกตของกิจการในกลุ่มนี้ก็คือ แม้ในยามที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ยอดขายก็ไม่ลดลงหรือยังเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับกำไรที่มักจะยังรักษาอยู่ได้หรือเพิ่มขึ้น และทั้งสองอย่างนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากรายการที่ผิดปกติหรือเป็นเรื่องของการลงบัญชีหรือเป็นกำไรที่เกิดจากการขายในอดีต ถ้าเป็นแบบนี้ และราคาหุ้นตกลงมาหรือไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างที่มันควรเป็น การซื้อหุ้นแบบนี้ก็คือ โอกาสในการซื้อหุ้น Super Stock ในราคาถูกหรือราคายุติธรรม ซึ่งก็จะเป็นแนวการลงทุนแบบที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ ชอบใช้
กลุ่มที่สามที่ผมจะพูดถึงก็คือ การเล่นหุ้น Commodities หรือสินค้าโภคภัณฑ์ นี่จะเป็นการลงทุนประเภท High Risk, High Return หรือเล่นแบบกล้าได้กล้าเสีย เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสู่งแต่ก็คาดว่าจะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติ แนวความคิดนี้ก็คือ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ปรับตัวลงมามากเนื่องจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ นั่นทำให้บริษัทที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์เช่นน้ำมัน ปิโตรเคมี ต้องขาดทุนกันอย่างหนัก ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นตกลงมามาก แต่ราคาโภคคภัณฑ์เหล่านั้นเราเห็นว่าเริ่มอยู่ตัวแล้ว ในอนาคต โดยเฉพาะถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัว ราคาสินค้ามีแต่จะปรับตัวขึ้น และเมื่อนั้น บริษัทก็จะกลับมาทำกำไรได้อย่างงดงาม และในกรณีที่ราคาสินค้าไม่ปรับตัวขึ้นเราก็ยังเห็นว่าบริษัทก็ยังสามารถทำกำไรได้ ในสถานการณ์แบบนี้ และราคาหุ้นของบริษัทได้ปรับตัวลงมาต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของราคาหุ้นก่อนวิกฤติ การซื้อหุ้นไว้ก็อาจจะทำให้เราสามารถทำกำไรรได้อย่างงดงาม อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่ในกรณีที่ราคาโภคภัณฑ์อาจจะลดลงไปได้อีกเนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงก่อนใกล้วิกฤติ ดังนั้น การวิเคราะห์ในเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อที่จะลดความเสี่ยงในการลงทุนลง
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของกลยุทธ์ในการมองหาโอกาสจากวิกฤติ ซึ่งถ้าทำดี ๆ เราก็จะได้เงินมากและเร็วกว่าในภาวะปกติ ความเสี่ยงนั้นมีแน่ แต่มักจะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกินหนึ่งหรือสองปี ดังนั้น คนที่จะลงทุนซื้อหุ้นในช่วงนี้จะต้องเข้าใจและทำใจให้ได้
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2147
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อขายหุ้นในยามวิกฤติ / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
ข้อคิดของอาจารย์ยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิม และออกมากระตุ้นนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง :D
กลุ่มแรกก็คือกลุ่มที่มี Monopoly Power หรือมีอำนาจผูกขาดทางการตลาดสูง
กลุ่มที่สอง นี่คือกลุ่มที่น่าจะปลอดภัยที่สุดแต่ผลตอบแทนอาจจะไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับกลุ่มแรก
มาแชร์ความเห็นกันดีกว่าครับ
กลุ่มแรก STANLY IRC IT
กลุ่มสอง HMPRO
เพื่อนๆว่ายังไงบ้างครับ :D
กลุ่มแรกก็คือกลุ่มที่มี Monopoly Power หรือมีอำนาจผูกขาดทางการตลาดสูง
กลุ่มที่สอง นี่คือกลุ่มที่น่าจะปลอดภัยที่สุดแต่ผลตอบแทนอาจจะไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับกลุ่มแรก
มาแชร์ความเห็นกันดีกว่าครับ
กลุ่มแรก STANLY IRC IT
กลุ่มสอง HMPRO
เพื่อนๆว่ายังไงบ้างครับ :D
-
- Verified User
- โพสต์: 1808
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อขายหุ้นในยามวิกฤติ / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
[quote="Laziale"]ข้อคิดของอาจารย์ยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิม และออกมากระตุ้นนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
"Risk comes from not knowing what you're doing" - Warren Buffet
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
สุดยอดของความซับซ้อนคือความเรียบง่าย
http://www.sarut-homesite.net/
-
- Verified User
- โพสต์: 670
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อขายหุ้นในยามวิกฤติ / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
ผมลองเสนอหุ้นเรียงตามกลุ่มของอาจารย์ครับ
กลุ่มแรกก็คือกลุ่มที่มี Monopoly Power
AOT BAFS EASTW STANLY BOL SPF TTW BMCL BECL PTT (สำหรับการกำหนดราคาขายปลีกของน้ำมัน)
กลุ่มที่สอง หุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมหรือเป็น Super Company
CPALL HMPRO BH SCNYL SE-ED BEC CPN MCOT KH ADVANC OISHI PB ROBINS
กลุ่มที่สามที่ Commodities หรือสินค้าโภคภัณฑ์
เพียบเลย เลือกเอาเองในตลาด มีมากกว่าครึ่งในตลาดหลักทรัพย์ไทย
กลุ่มแรกก็คือกลุ่มที่มี Monopoly Power
AOT BAFS EASTW STANLY BOL SPF TTW BMCL BECL PTT (สำหรับการกำหนดราคาขายปลีกของน้ำมัน)
กลุ่มที่สอง หุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมหรือเป็น Super Company
CPALL HMPRO BH SCNYL SE-ED BEC CPN MCOT KH ADVANC OISHI PB ROBINS
กลุ่มที่สามที่ Commodities หรือสินค้าโภคภัณฑ์
เพียบเลย เลือกเอาเองในตลาด มีมากกว่าครึ่งในตลาดหลักทรัพย์ไทย
-
- Verified User
- โพสต์: 1088
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อขายหุ้นในยามวิกฤติ / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 8
ตาม requirement ที่อ่าน
หุ้น monopoly power ที่ราคาต่ำลงมาเกินครึ่งก็ขึ้นไปหมดแล้ว (มีตัวไหนผมพลาดบอกด้วย)
หุ้น super stock ที่อ่านจากบทความ ดร เก่าๆ ยังเหลือ SCC, METCO, STANLY ที่ราคาลงมามาก แต่ว่าพวกนี้ผลประกอบการณ์ระยะสั้นไม่ค่อยดี อย่างนี้คงต้องรอไปก่อนจนเห็น "แสงที่ปลายอุโมงค์" รึปล่าว?
ส่วนหุ้น commodities นี่ BANPU, PTT ขึ้นไปเยอะ ( BANPU นี่น่าจะเป็น Super Stock นะ) แต่ PSL, TTA นี่ยังราคาลงมามากจากปีที่แล้ว ว่าแต่จะมีใครกล้าซื้อในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้บ้าง? :lol:
หุ้น monopoly power ที่ราคาต่ำลงมาเกินครึ่งก็ขึ้นไปหมดแล้ว (มีตัวไหนผมพลาดบอกด้วย)
หุ้น super stock ที่อ่านจากบทความ ดร เก่าๆ ยังเหลือ SCC, METCO, STANLY ที่ราคาลงมามาก แต่ว่าพวกนี้ผลประกอบการณ์ระยะสั้นไม่ค่อยดี อย่างนี้คงต้องรอไปก่อนจนเห็น "แสงที่ปลายอุโมงค์" รึปล่าว?
ส่วนหุ้น commodities นี่ BANPU, PTT ขึ้นไปเยอะ ( BANPU นี่น่าจะเป็น Super Stock นะ) แต่ PSL, TTA นี่ยังราคาลงมามากจากปีที่แล้ว ว่าแต่จะมีใครกล้าซื้อในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้บ้าง? :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อขายหุ้นในยามวิกฤติ / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 9
ขอบคุณครับท่านอ. จากชื่อหัวข้อ(ซื้อขายหุ้นในยามวิกฤติ )ก็เฮง เฮง เฮง สิครับ :lol:
ถ้าเดาไจท่านไม่ผิด กล่มแรกน่าจะหมายถึงที่ให้เครื่องบินลงจอด กลุ่มสองน่าจะหมายถึงค้าปลีกแถวบ้าน
ปล. ชื่อกลุ่มแรกทำให้นึกถึงเกมส์เศรษฐีครับ(เล่นแล้วไม่รวยจริงๆซักทีเลยมาเล่นหุ้นซะเลยครับ )
ถ้าเดาไจท่านไม่ผิด กล่มแรกน่าจะหมายถึงที่ให้เครื่องบินลงจอด กลุ่มสองน่าจะหมายถึงค้าปลีกแถวบ้าน
ปล. ชื่อกลุ่มแรกทำให้นึกถึงเกมส์เศรษฐีครับ(เล่นแล้วไม่รวยจริงๆซักทีเลยมาเล่นหุ้นซะเลยครับ )
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2147
- ผู้ติดตาม: 0
ซื้อขายหุ้นในยามวิกฤติ / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
[quote="Hughes"]ตาม requirement ที่อ่าน
หุ้น monopoly power ที่ราคาต่ำลงมาเกินครึ่งก็ขึ้นไปหมดแล้ว (มีตัวไหนผมพลาดบอกด้วย)
หุ้น super stock ที่อ่านจากบทความ ดร เก่าๆ ยังเหลือ SCC, METCO, STANLY ที่ราคาลงมามาก แต่ว่าพวกนี้ผลประกอบการณ์ระยะสั้นไม่ค่อยดี อย่างนี้คงต้องรอไปก่อนจนเห็น "แสงที่ปลายอุโมงค์" รึปล่าว?
ส่วนหุ้น commodities นี่ BANPU, PTT ขึ้นไปเยอะ ( BANPU นี่น่าจะเป็น Super Stock นะ) แต่ PSL, TTA นี่ยังราคาลงมามากจากปีที่แล้ว ว่าแต่จะมีใครกล้าซื้อในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้บ้าง?
หุ้น monopoly power ที่ราคาต่ำลงมาเกินครึ่งก็ขึ้นไปหมดแล้ว (มีตัวไหนผมพลาดบอกด้วย)
หุ้น super stock ที่อ่านจากบทความ ดร เก่าๆ ยังเหลือ SCC, METCO, STANLY ที่ราคาลงมามาก แต่ว่าพวกนี้ผลประกอบการณ์ระยะสั้นไม่ค่อยดี อย่างนี้คงต้องรอไปก่อนจนเห็น "แสงที่ปลายอุโมงค์" รึปล่าว?
ส่วนหุ้น commodities นี่ BANPU, PTT ขึ้นไปเยอะ ( BANPU นี่น่าจะเป็น Super Stock นะ) แต่ PSL, TTA นี่ยังราคาลงมามากจากปีที่แล้ว ว่าแต่จะมีใครกล้าซื้อในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้บ้าง?