ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 27 มิถุนายน 2552
ในการลงทุนทำธุรกิจโดยทั่วไปนั้น เราต้องมีเงินส่วนตัวหรือเงินจากหุ้นส่วนมาร่วมกันลงทุน นอกจากเงินที่เป็น “ส่วนของเจ้าของ” แล้ว ธุรกิจส่วนใหญ่ก็ยังมักจะ “กู้เงิน” หรือยืมเงินคนอื่นมาใช้ในการลงทุนด้วย ในเรื่องของธุรกิจแล้ว เงินที่กู้มามักจะมีมากกว่าเงินในส่วนของเจ้าของเองด้วยซ้ำ ดังนั้น เงินกู้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ถ้าขาดเงินกู้ โครงการหรือธุรกิจก็เดินไม่ได้ หรือไม่อย่างนั้น เราก็ต้องลดขนาดของธุรกิจลง การลดขนาดของธุรกิจลงก็ทำให้กำไรลดน้อยลง ผลตอบแทนการลงทุนของเราก็น้อยลง การลงทุนก็อาจจะไม่คุ้มค่า สรุปอย่างง่ายก็คือ เรากู้เงินมาใช้ก็เพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนของเรา
แต่การกู้เงินมาใช้นั้นมีความเสี่ยง เพราะเงินกู้นั้นต้องมีกำหนดเวลาใช้คืนและต้องมีดอกเบี้ยที่จะต้องจ่าย บางทีทุกเดือน ถ้าบริหารกระแสเงินสดไม่ดี และ/หรือ ธุรกิจเกิดประสบปัญหาขาดทุน เราอาจจะถูกฟ้องล้มละลาย เงินส่วนของเราก็สูญไปด้วย หรือในกรณีที่ไม่เลวร้ายเกินไปนัก เราอาจจะไม่ถึงกับล้มละลาย แต่ธุรกิจทำกำไรได้น้อยในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่า แบบนี้แทนที่เราจะได้กำไรบ้างถ้าเราไม่ได้กู้เงิน เราก็อาจจะไม่มีกำไรเลยหรือขาดทุนได้ ดังนั้น การที่เราจะกู้เงินหรือไม่จึงอยู่ที่การชั่งน้ำหนักว่า ระหว่างผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้เพิ่มขึ้น กับความเสี่ยงที่ว่าเราอาจจะล้มละลายหรือผลตอบแทนน้อยลงหรือขาดทุน เราจะเลือกอย่างไหน?
สำหรับ “นักธุรกิจ” แล้ว ส่วนใหญ่มักจะเลือกการกู้เงิน เพราะการลงทุนทำธุรกิจมักจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนสูง บางทีเกินกำลังเงินส่วนตัวที่มีอยู่ นอกจากนั้น นักธุรกิจมักมองว่าผลตอบแทนที่จะได้จากธุรกิจนั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ดังนั้น การกู้เงินจะทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้น ส่วนความเสี่ยงที่จะล้มละลาย เขามักจะให้ความใส่ใจน้อยกว่า เขาคงคิดว่าเขาเข้าใจและรู้จักธุรกิจดีพอ เหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นคน “คุมธุรกิจ” นั้นเอง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาอาจจะคิดว่า ถ้าเลวร้ายมากและธุรกิจต้องล้มละลาย เขาก็แค่เสียเงินส่วนตัวที่ลงทุนไปเท่านั้นและก็อาจจะเป็นเงินที่ไม่มาก และหลังจากล้มละลายเพียง 3-4 ปีเขาก็ “หลุด” จากการล้มละลายและกลับมาลองใหม่ได้อีก แต่ถ้าเขาโชคดี ธุรกิจประสบความสำเร็จงดงาม กำไรของเขาจะมหาศาลและมากกว่าการไม่กู้เงินหลายเท่า ดังนั้น สำหรับนักธุรกิจบางคนแล้ว เขาต้องการกู้เงินมาลงทุนให้มากที่สุด เขารู้ว่านี่เป็น “เกม” ที่เขาได้เปรียบ คือ ถ้าเขาชนะ เขาได้ 10 ถ้าแพ้ อย่างมากเขาก็เสีย 1 คนที่รับความเสี่ยงมากจริง ๆ ก็คือคนให้กู้ ซึ่งก็คือสถาบันการเงินที่เชื่อเขา
การลงทุนในหุ้นสำหรับผมก็คือ การลงทุนคล้ายกับการทำธุรกิจเหมือนกัน สิ่งที่แตกต่างจริง ๆ สำหรับผมก็คือ ผมสามารถค่อย ๆ ทยอยลงทุนทีละน้อยไปเรื่อย ๆ เมื่อมีเงินเพิ่มเติมขึ้นมาจากแหล่งไหนก็ตาม อีกความแตกต่างหนึ่งก็คือ การกู้เงินมาใช้ซื้อหุ้นลงทุนนั้น สถาบันการเงินอื่นมักไม่ให้กู้ จะมีก็แต่โบรกเกอร์ที่เราเป็นลูกค้าอยู่ที่จะให้กู้ที่เรียกกันว่าการซื้อหุ้นด้วย “มาร์จิน” แต่โบรกเกอร์นั้นก็ให้กู้แบบมีข้อจำกัด นั่นคือ เราไม่สามารถกู้ได้เกินหนึ่งเท่าของเงินส่วนตัวที่เราเอามาลงทุน และที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ เราจะกู้ได้เฉพาะเพื่อที่จะลงทุนซื้อหุ้นที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง เราไม่สามารถจะซื้อหุ้นของกิจการที่ดีแต่หุ้นไม่มีสภาพคล่องพอได้
ด้วยข้อจำกัดในการกู้ดังกล่าว ประกอบกับการที่ผมค่อนข้างที่จะเน้นความปลอดภัยในการลงทุนเป็นพิเศษเนื่องจากเราไม่อยู่ในฐานะที่เสี่ยงต่อความสูญเสียที่รุนแรงได้ ผมจึงเลือกที่จะลงทุนโดยไม่กู้เลยตั้งแต่แรกที่ผมเริ่มลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินส่วนตัวของผมเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว ผมรู้สึกว่า ผมไม่จำเป็นที่จะต้อง “เร่ง” ผลตอบแทนการลงทุนไปมากกว่านั้น ว่าที่จริง การลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินเก็บทั้งหมดนั้น ถ้ามันให้ผลตอบแทนที่พอสมควรเช่นปีละ 10% เงินมันก็โตเร็วมากอยู่แล้ว พูดโดยสรุปก็คือ การลงทุนโดยการกู้หรือที่เรียกว่าซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จิน ไม่เคยอยู่ในความคิดผมเลยมากกว่าสิบปีนับตั้งแต่ประมาณปี 2538 หรือ 2539
ประมาณเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน 2551 หรือปลายปีที่แล้ว วิกฤติเศรษฐกิจก็ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเดือนเดียวดัชนีตกลงมาเข้าใจว่าเกือบ 30% หุ้นจำนวนมากมีราคาตกต่ำลงอย่างไม่น่าเชื่อ หลายบริษัททำกิจการที่ผมมั่นใจว่าจะต้องอยู่ต่อไปในประเทศไทยและจะกลับมาทำกำไรได้เท่าเดิมและมากกว่าเมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป แต่ราคาหุ้นของบริษัทนั้นตกต่ำเกินความเป็นจริง โอกาสในการลงทุนเกิดขึ้นแต่ผมกลับไม่มีเงินสดเลยเพราะผมถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ผมไม่อยากขายหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในพอร์ตเพราะหุ้นเหล่านั้นก็มีราคาต่ำเกินไปเหมือนกัน ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจ “กู้” โดยการเปิดพอร์ตการซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จินเป็นครั้งแรก
การกู้เงินซื้อหุ้นของผมนั้น ผมคิดไว้ว่า ข้อหนึ่ง มันไม่ควรมากกว่า 10-20% ของมูลค่าพอร์ต ข้อสอง หุ้นที่ซื้อจะต้องเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องที่ดีที่เราสามารถขายทิ้งได้อย่างรวดเร็วถ้าจำเป็นแต่ที่สำคัญเท่า ๆ กันก็คือ ข้อสาม หุ้นจะต้องมีราคาต่ำมากและกำไรของบริษัทไม่ได้อยู่ในภาวะสูงผิดปกติ ตรงกันข้าม มันควรที่จะมีกำไรลดลงไปมากแต่ทุกอย่างกำลังดีขึ้นในเวลาไม่นานนัก และสุดท้าย เราต้องมี Exit Strategy หรือ “ทางออกจากหนี้” ซึ่ง สำหรับผมก็คือ การนำเงินปันผลที่จะได้มาจากพอร์ตโดยรวมมาลดหนี้ การทยอยขายหุ้นที่ซื้อมาเมื่อมันมีราคาเพิ่มขึ้น และถ้าจำเป็น อาจต้องขายหุ้นตัวอื่นเพื่อมาล้างหนี้
ผมโชคดีที่การตัดสินใจถูกต้อง เพราะหลังจากนั้น ราคาหุ้นที่ซื้อมาปรับตัวขึ้นมาก และแม้ว่าหนี้ก็ยังคงอยู่แต่พอร์ตก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาก ความเสี่ยงจากการกู้ไม่สูงนัก อย่างไรก็ตาม ผมตระหนักอยู่เสมอว่า หนี้นั้นเป็นสิ่งที่อันตราย เราต้องมองป้าย “ทางออก” อยู่เสมอ และถ้าไม่มั่นใจจริง ๆ ก็ “อย่าลอง” จะดีกว่า
ในการลงทุนทำธุรกิจโดยทั่วไปนั้น เราต้องมีเงินส่วนตัวหรือเงินจากหุ้นส่วนมาร่วมกันลงทุน นอกจากเงินที่เป็น “ส่วนของเจ้าของ” แล้ว ธุรกิจส่วนใหญ่ก็ยังมักจะ “กู้เงิน” หรือยืมเงินคนอื่นมาใช้ในการลงทุนด้วย ในเรื่องของธุรกิจแล้ว เงินที่กู้มามักจะมีมากกว่าเงินในส่วนของเจ้าของเองด้วยซ้ำ ดังนั้น เงินกู้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ถ้าขาดเงินกู้ โครงการหรือธุรกิจก็เดินไม่ได้ หรือไม่อย่างนั้น เราก็ต้องลดขนาดของธุรกิจลง การลดขนาดของธุรกิจลงก็ทำให้กำไรลดน้อยลง ผลตอบแทนการลงทุนของเราก็น้อยลง การลงทุนก็อาจจะไม่คุ้มค่า สรุปอย่างง่ายก็คือ เรากู้เงินมาใช้ก็เพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนของเรา
แต่การกู้เงินมาใช้นั้นมีความเสี่ยง เพราะเงินกู้นั้นต้องมีกำหนดเวลาใช้คืนและต้องมีดอกเบี้ยที่จะต้องจ่าย บางทีทุกเดือน ถ้าบริหารกระแสเงินสดไม่ดี และ/หรือ ธุรกิจเกิดประสบปัญหาขาดทุน เราอาจจะถูกฟ้องล้มละลาย เงินส่วนของเราก็สูญไปด้วย หรือในกรณีที่ไม่เลวร้ายเกินไปนัก เราอาจจะไม่ถึงกับล้มละลาย แต่ธุรกิจทำกำไรได้น้อยในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่า แบบนี้แทนที่เราจะได้กำไรบ้างถ้าเราไม่ได้กู้เงิน เราก็อาจจะไม่มีกำไรเลยหรือขาดทุนได้ ดังนั้น การที่เราจะกู้เงินหรือไม่จึงอยู่ที่การชั่งน้ำหนักว่า ระหว่างผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้เพิ่มขึ้น กับความเสี่ยงที่ว่าเราอาจจะล้มละลายหรือผลตอบแทนน้อยลงหรือขาดทุน เราจะเลือกอย่างไหน?
สำหรับ “นักธุรกิจ” แล้ว ส่วนใหญ่มักจะเลือกการกู้เงิน เพราะการลงทุนทำธุรกิจมักจะต้องใช้เม็ดเงินลงทุนสูง บางทีเกินกำลังเงินส่วนตัวที่มีอยู่ นอกจากนั้น นักธุรกิจมักมองว่าผลตอบแทนที่จะได้จากธุรกิจนั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ดังนั้น การกู้เงินจะทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้น ส่วนความเสี่ยงที่จะล้มละลาย เขามักจะให้ความใส่ใจน้อยกว่า เขาคงคิดว่าเขาเข้าใจและรู้จักธุรกิจดีพอ เหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นคน “คุมธุรกิจ” นั้นเอง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาอาจจะคิดว่า ถ้าเลวร้ายมากและธุรกิจต้องล้มละลาย เขาก็แค่เสียเงินส่วนตัวที่ลงทุนไปเท่านั้นและก็อาจจะเป็นเงินที่ไม่มาก และหลังจากล้มละลายเพียง 3-4 ปีเขาก็ “หลุด” จากการล้มละลายและกลับมาลองใหม่ได้อีก แต่ถ้าเขาโชคดี ธุรกิจประสบความสำเร็จงดงาม กำไรของเขาจะมหาศาลและมากกว่าการไม่กู้เงินหลายเท่า ดังนั้น สำหรับนักธุรกิจบางคนแล้ว เขาต้องการกู้เงินมาลงทุนให้มากที่สุด เขารู้ว่านี่เป็น “เกม” ที่เขาได้เปรียบ คือ ถ้าเขาชนะ เขาได้ 10 ถ้าแพ้ อย่างมากเขาก็เสีย 1 คนที่รับความเสี่ยงมากจริง ๆ ก็คือคนให้กู้ ซึ่งก็คือสถาบันการเงินที่เชื่อเขา
การลงทุนในหุ้นสำหรับผมก็คือ การลงทุนคล้ายกับการทำธุรกิจเหมือนกัน สิ่งที่แตกต่างจริง ๆ สำหรับผมก็คือ ผมสามารถค่อย ๆ ทยอยลงทุนทีละน้อยไปเรื่อย ๆ เมื่อมีเงินเพิ่มเติมขึ้นมาจากแหล่งไหนก็ตาม อีกความแตกต่างหนึ่งก็คือ การกู้เงินมาใช้ซื้อหุ้นลงทุนนั้น สถาบันการเงินอื่นมักไม่ให้กู้ จะมีก็แต่โบรกเกอร์ที่เราเป็นลูกค้าอยู่ที่จะให้กู้ที่เรียกกันว่าการซื้อหุ้นด้วย “มาร์จิน” แต่โบรกเกอร์นั้นก็ให้กู้แบบมีข้อจำกัด นั่นคือ เราไม่สามารถกู้ได้เกินหนึ่งเท่าของเงินส่วนตัวที่เราเอามาลงทุน และที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ เราจะกู้ได้เฉพาะเพื่อที่จะลงทุนซื้อหุ้นที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง เราไม่สามารถจะซื้อหุ้นของกิจการที่ดีแต่หุ้นไม่มีสภาพคล่องพอได้
ด้วยข้อจำกัดในการกู้ดังกล่าว ประกอบกับการที่ผมค่อนข้างที่จะเน้นความปลอดภัยในการลงทุนเป็นพิเศษเนื่องจากเราไม่อยู่ในฐานะที่เสี่ยงต่อความสูญเสียที่รุนแรงได้ ผมจึงเลือกที่จะลงทุนโดยไม่กู้เลยตั้งแต่แรกที่ผมเริ่มลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินส่วนตัวของผมเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว ผมรู้สึกว่า ผมไม่จำเป็นที่จะต้อง “เร่ง” ผลตอบแทนการลงทุนไปมากกว่านั้น ว่าที่จริง การลงทุนในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ของเงินเก็บทั้งหมดนั้น ถ้ามันให้ผลตอบแทนที่พอสมควรเช่นปีละ 10% เงินมันก็โตเร็วมากอยู่แล้ว พูดโดยสรุปก็คือ การลงทุนโดยการกู้หรือที่เรียกว่าซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จิน ไม่เคยอยู่ในความคิดผมเลยมากกว่าสิบปีนับตั้งแต่ประมาณปี 2538 หรือ 2539
ประมาณเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน 2551 หรือปลายปีที่แล้ว วิกฤติเศรษฐกิจก็ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเดือนเดียวดัชนีตกลงมาเข้าใจว่าเกือบ 30% หุ้นจำนวนมากมีราคาตกต่ำลงอย่างไม่น่าเชื่อ หลายบริษัททำกิจการที่ผมมั่นใจว่าจะต้องอยู่ต่อไปในประเทศไทยและจะกลับมาทำกำไรได้เท่าเดิมและมากกว่าเมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป แต่ราคาหุ้นของบริษัทนั้นตกต่ำเกินความเป็นจริง โอกาสในการลงทุนเกิดขึ้นแต่ผมกลับไม่มีเงินสดเลยเพราะผมถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ผมไม่อยากขายหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในพอร์ตเพราะหุ้นเหล่านั้นก็มีราคาต่ำเกินไปเหมือนกัน ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจ “กู้” โดยการเปิดพอร์ตการซื้อขายหุ้นด้วยมาร์จินเป็นครั้งแรก
การกู้เงินซื้อหุ้นของผมนั้น ผมคิดไว้ว่า ข้อหนึ่ง มันไม่ควรมากกว่า 10-20% ของมูลค่าพอร์ต ข้อสอง หุ้นที่ซื้อจะต้องเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องที่ดีที่เราสามารถขายทิ้งได้อย่างรวดเร็วถ้าจำเป็นแต่ที่สำคัญเท่า ๆ กันก็คือ ข้อสาม หุ้นจะต้องมีราคาต่ำมากและกำไรของบริษัทไม่ได้อยู่ในภาวะสูงผิดปกติ ตรงกันข้าม มันควรที่จะมีกำไรลดลงไปมากแต่ทุกอย่างกำลังดีขึ้นในเวลาไม่นานนัก และสุดท้าย เราต้องมี Exit Strategy หรือ “ทางออกจากหนี้” ซึ่ง สำหรับผมก็คือ การนำเงินปันผลที่จะได้มาจากพอร์ตโดยรวมมาลดหนี้ การทยอยขายหุ้นที่ซื้อมาเมื่อมันมีราคาเพิ่มขึ้น และถ้าจำเป็น อาจต้องขายหุ้นตัวอื่นเพื่อมาล้างหนี้
ผมโชคดีที่การตัดสินใจถูกต้อง เพราะหลังจากนั้น ราคาหุ้นที่ซื้อมาปรับตัวขึ้นมาก และแม้ว่าหนี้ก็ยังคงอยู่แต่พอร์ตก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาก ความเสี่ยงจากการกู้ไม่สูงนัก อย่างไรก็ตาม ผมตระหนักอยู่เสมอว่า หนี้นั้นเป็นสิ่งที่อันตราย เราต้องมองป้าย “ทางออก” อยู่เสมอ และถ้าไม่มั่นใจจริง ๆ ก็ “อย่าลอง” จะดีกว่า
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
สุดยอดครับอาจารย์
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- SEHJU
- Verified User
- โพสต์: 1238
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
ข้อมูลลับนะนเย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยครับ
ว่าแต่ว่า ดร. กู้มาลงทุนในสายการบินรึป่าววนา......
- baby-investor
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
เดี๋ยวนี้ท่าน ดร. ผาดโผนขึ้นนะครับ สงสัยท่านจะเอาไปซื้อเครื่องบิน :D
-
- Verified User
- โพสต์: 362
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 7
เคยแต่ติดถึงทางเข้า (ก่อหนี้) ไม่ค่อยได้คิดถึงทางออกเลย (การใช้หนี้)
Exit Strategy เนี่ยะ สำคัญมากๆ ครับ
Exit Strategy เนี่ยะ สำคัญมากๆ ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 181
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
เมื่อครั้งที่วอร์เรน ไปซื้อปิโตรไชน่า คนก็คิดว่าวอร์เรนเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม คล้ายกับครั้งนี้ของดร.นิเวศน์
ช่วงหลังนี้ดร.บอกหลายครั้งว่าช่วงนี้ให้ดูว่าธุรกิจอะไรที่จะกลับมาแน่นอนเมื่อเศรษฐกิจกลับมาและราคาสามารถเพิ่มเป็นเท่าตัว
นี่น่าจะเป็นว่าหุ้นที่ดร.เลือกมี margin of safety สูงมากครับ
เมื่อก่อนตอนที่วอร์เรนรวบรวมเงินเพื่อตั้งเป็นกองทุนครั้งแรกก็ใช้เงินคนอื่นเกือบทั้งหมดโดยการันตีผลตอบแทน 7% ต่อปี
ส่วนถ้ากำไรเกินกว่านั้นวอร์เรนจะได้ 25%ของส่วนที่เกิน แต่ถ้าปีไหนขาดทุนก็จะยกยอดไปคิดคำนวณใช้ให้ในปีถัดไปด้วย
นี่ก็น่าจะเป็นหนึ่งเสมือนการกู้ยืมเงินเช่นกันนะครับ
ช่วงหลังนี้ดร.บอกหลายครั้งว่าช่วงนี้ให้ดูว่าธุรกิจอะไรที่จะกลับมาแน่นอนเมื่อเศรษฐกิจกลับมาและราคาสามารถเพิ่มเป็นเท่าตัว
นี่น่าจะเป็นว่าหุ้นที่ดร.เลือกมี margin of safety สูงมากครับ
เมื่อก่อนตอนที่วอร์เรนรวบรวมเงินเพื่อตั้งเป็นกองทุนครั้งแรกก็ใช้เงินคนอื่นเกือบทั้งหมดโดยการันตีผลตอบแทน 7% ต่อปี
ส่วนถ้ากำไรเกินกว่านั้นวอร์เรนจะได้ 25%ของส่วนที่เกิน แต่ถ้าปีไหนขาดทุนก็จะยกยอดไปคิดคำนวณใช้ให้ในปีถัดไปด้วย
นี่ก็น่าจะเป็นหนึ่งเสมือนการกู้ยืมเงินเช่นกันนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 99
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 13
ผมเชื่อว่าทุกอย่างมีข้อยกเว้น อยู่ที่เรารู้ตัวเราเองแค่ไหน ถ้ารู้มากความเสี่ยงก็จะน้อย ดร. ใช้มาจิน เพราะเริ่มรู้สึกว่าความเสี่ยงต่ำ ก็สามารถทำได้ คุณฉัตรชัยเคยซื้อ วอแรน เพราะคำนวณได้ว่าตัวแม่ถูกมากจึงทำได้ ผมว่าเป็นสิ่งที่ถูก ผมเองไม่อยากใช้มาจิน เพราะยังไม่เก่งจริง แต่ผมเคยรีไฟแนน บ้านตอนดอกกู้ 4% มาซื้อหุ้นที่ปันผล 7% ก่อนหุ้นขึ้นจาก สามร้อยไปเจ็ดรอยจุด คิดว่าทำได้ไม่เสี่ยงเท่าไหร่เพราะเงินกู้บ้านเป็นหนี้สินระยะยาวไม่ถูกบังคับขายด้วย เสียดายครั้งนี้หุ้นขึ้นกลับมาเร็วไปหน่อยผมกำลังจะรีไฟแนนอีกครั้งเลยอดเลยครับ :oops: :oops:
THE WINNER ALWAYS SEE AN ANSWER IN THE PROBLEM__THE LOOSER ALWAYS SEE THE PROBLEM IN AN ANSWER.
THE WINNER ALWAYS SAY DIFFICULT BUT POSSIBLE __THE LOOSER ALWAYS SAY IT POSSIBLE BUT DIFFICULT.
THE WINNER ALWAYS SAY DIFFICULT BUT POSSIBLE __THE LOOSER ALWAYS SAY IT POSSIBLE BUT DIFFICULT.
-
- Verified User
- โพสต์: 99
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 14
ผมเชื่อว่าทุกอย่างมีข้อยกเว้น อยู่ที่เรารู้ตัวเราเองแค่ไหน ถ้ารู้มากความเสี่ยงก็จะน้อย ดร. ใช้มาจิน เพราะเริ่มรู้สึกว่าความเสี่ยงต่ำ ก็สามารถทำได้ คุณฉัตรชัยเคยซื้อ วอแรน เพราะคำนวณได้ว่าตัวแม่ถูกมากจึงทำได้ ผมว่าเป็นสิ่งที่ถูก ผมเองไม่อยากใช้มาจิน เพราะยังไม่เก่งจริง แต่ผมเคยรีไฟแนน บ้านตอนดอกกู้ 4% มาซื้อหุ้นที่ปันผล 7% ก่อนหุ้นขึ้นจาก สามร้อยไปเจ็ดรอยจุด คิดว่าทำได้ไม่เสี่ยงเท่าไหร่เพราะเงินกู้บ้านเป็นหนี้สินระยะยาวไม่ถูกบังคับขายด้วย เสียดายครั้งนี้หุ้นขึ้นกลับมาเร็วไปหน่อยผมกำลังจะรีไฟแนนอีกครั้งเลยอดเลยครับ :oops: :oops:
THE WINNER ALWAYS SEE AN ANSWER IN THE PROBLEM__THE LOOSER ALWAYS SEE THE PROBLEM IN AN ANSWER.
THE WINNER ALWAYS SAY DIFFICULT BUT POSSIBLE __THE LOOSER ALWAYS SAY IT POSSIBLE BUT DIFFICULT.
THE WINNER ALWAYS SAY DIFFICULT BUT POSSIBLE __THE LOOSER ALWAYS SAY IT POSSIBLE BUT DIFFICULT.
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 21
พึ่งดูมันนี่ชาแนล มา
อาจารย์บอกว่าผลตอบแทนจากต้นปีมานี่
6 เดือนเต็ม 50% แล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่า ความสามารถในการชำระดอกเบี้ย ( Times Interest Earned)
ของเงินกู้ของอาจารย์ 20 เท่า เมื่อเทียบกับเงินกู้ 5% ต่อปี
วันหนึงหาก มีความรู้ ความมั่นใจว่าเราเก่งพอ
และคิดว่ามีี TIE = 20เท่า
ผมก็อยาก ลองเหมือนกันครับ
ตอนนี้ก็ฝึกลำดาบฝึกวิทยายุทธ์ ด้วยเงินของตัวเองก่อน
อาจารย์บอกว่าผลตอบแทนจากต้นปีมานี่
6 เดือนเต็ม 50% แล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่า ความสามารถในการชำระดอกเบี้ย ( Times Interest Earned)
ของเงินกู้ของอาจารย์ 20 เท่า เมื่อเทียบกับเงินกู้ 5% ต่อปี
วันหนึงหาก มีความรู้ ความมั่นใจว่าเราเก่งพอ
และคิดว่ามีี TIE = 20เท่า
ผมก็อยาก ลองเหมือนกันครับ
ตอนนี้ก็ฝึกลำดาบฝึกวิทยายุทธ์ ด้วยเงินของตัวเองก่อน
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 22
มาช่วยกระทุ้งคนที่คิดจะใช้ Margin นะครับ...
ประสบการณ์ปีที่แล้วสอนผมมาเยอะครับ
คนที่ทำใจขายหุ้นขาลงไม่ได้ เพราะเห็นว่าหุ้นตัวเองถูก ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งนะครับ
ปีที่แล้วผมใช้ Margin ค่อนข้างเยอะในช่วงต้นปี
หุ้นลงมาเรื่อยๆ แรกๆผมก็ไม่ขายเพราะคิดว่าหุ้นตัวเองถูก แต่พอหุ้นยิ่งลงยิ่งลง ผมก็ลดความเสี่ยงของการถูก Call ด้วยการขายหุ้นขาลง ยิ่งลงก็ต้องยิ่งขาย แล้วหุ้นบางตัวสภาพคล่องมันต่ำ ยิ่งลงก็ต้องยิ่งขาย ยิ่งขายก็ยิ่งลง เป็นวงเวียนไปเรื่อย
โชคดีที่ผมยังลดความเสี่ยงตัดใจขายหุ้นขาลงได้ ทั้งๆที่รู้ว่าหุ้นที่เราถืออยู่นั้นธุรกิจยังดีอยู่ ราคาถูกมาก สรุปว่าปีที่แล้วผมขาดทุนไปประมาณ 55% จากต้นปี แต่ผมลองคำนวณคร่าวๆใหม่ว่าถ้าผมไม่ขายหุ้นขาลงเลย ผมเกือบหมดตัวนะครับ (เน้นตัวเข้มๆหน่อยจะได้เห็นชัดๆ)
แม้ว่าเราจะวิเคราะห์ธุรกิจได้ดีแค่ไหน ประเมินมูลค่าได้ดีแค่ไหน ซื้อหุ้นที่มี Margin of Safety แค่ไหน แต่ในระยะสั้น ราคาหุ้นไม่จำเป็นจะต้องสมเหตุสมผลเสมอไป..
ปล. แล้วใครที่คิดว่าจะลองเปิดดูแล้วใช้จำนวนน้อยๆ เป็นสัดส่วนของ Port เหมือนอย่างที่ท่านดร. บอก จะได้ไม่โดน Call หรือ Force ก็ยังคงอยากเตือนอยู่ดีครับ ว่าเวลาที่ทำกำไรจากหุ้นได้เยอะๆ บ่อยๆ ความโลภมันจะครอบงำครับ ไอ้กฏเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ว่าใช้ไม่เกิน 20% ของ port เราก็มักจะแกล้งๆลืม เวลาที่เรามั่นใจอะไร ... เพราะผมเองก็ผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วเหมือนกัน.. มีพี่ในเวปเราคนนึง ในเวปเราก็น่าจะรู้จักกันดี (ขออนุญาติพาดพิงเป็นวิทยาทานนะพี่) เพิ่งเปิดไม่นานเหมือนกันครับ ตั้งใจว่าจะไม่ใช้เกิน 20% ของ port ผมก็เตือนแล้วนะว่าพี่รอดูนะ เดี๋ยวแป๊บเดียวพี่ก็ใช้เกิน ความโลภมันคุมยากกว่าความกลัวซะอีก ยังไม่ทันเกิน 1 อาทิตย์ เลยครับก็ใช้เกิน 20% จนได้
ใช้ Margin นีไม่หมูนะครับ มีสิทธิหมดตัวเอาง่ายๆ เตือนด้วยความหวังดี
ประสบการณ์ปีที่แล้วสอนผมมาเยอะครับ
คนที่ทำใจขายหุ้นขาลงไม่ได้ เพราะเห็นว่าหุ้นตัวเองถูก ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งนะครับ
ปีที่แล้วผมใช้ Margin ค่อนข้างเยอะในช่วงต้นปี
หุ้นลงมาเรื่อยๆ แรกๆผมก็ไม่ขายเพราะคิดว่าหุ้นตัวเองถูก แต่พอหุ้นยิ่งลงยิ่งลง ผมก็ลดความเสี่ยงของการถูก Call ด้วยการขายหุ้นขาลง ยิ่งลงก็ต้องยิ่งขาย แล้วหุ้นบางตัวสภาพคล่องมันต่ำ ยิ่งลงก็ต้องยิ่งขาย ยิ่งขายก็ยิ่งลง เป็นวงเวียนไปเรื่อย
โชคดีที่ผมยังลดความเสี่ยงตัดใจขายหุ้นขาลงได้ ทั้งๆที่รู้ว่าหุ้นที่เราถืออยู่นั้นธุรกิจยังดีอยู่ ราคาถูกมาก สรุปว่าปีที่แล้วผมขาดทุนไปประมาณ 55% จากต้นปี แต่ผมลองคำนวณคร่าวๆใหม่ว่าถ้าผมไม่ขายหุ้นขาลงเลย ผมเกือบหมดตัวนะครับ (เน้นตัวเข้มๆหน่อยจะได้เห็นชัดๆ)
แม้ว่าเราจะวิเคราะห์ธุรกิจได้ดีแค่ไหน ประเมินมูลค่าได้ดีแค่ไหน ซื้อหุ้นที่มี Margin of Safety แค่ไหน แต่ในระยะสั้น ราคาหุ้นไม่จำเป็นจะต้องสมเหตุสมผลเสมอไป..
ปล. แล้วใครที่คิดว่าจะลองเปิดดูแล้วใช้จำนวนน้อยๆ เป็นสัดส่วนของ Port เหมือนอย่างที่ท่านดร. บอก จะได้ไม่โดน Call หรือ Force ก็ยังคงอยากเตือนอยู่ดีครับ ว่าเวลาที่ทำกำไรจากหุ้นได้เยอะๆ บ่อยๆ ความโลภมันจะครอบงำครับ ไอ้กฏเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ว่าใช้ไม่เกิน 20% ของ port เราก็มักจะแกล้งๆลืม เวลาที่เรามั่นใจอะไร ... เพราะผมเองก็ผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วเหมือนกัน.. มีพี่ในเวปเราคนนึง ในเวปเราก็น่าจะรู้จักกันดี (ขออนุญาติพาดพิงเป็นวิทยาทานนะพี่) เพิ่งเปิดไม่นานเหมือนกันครับ ตั้งใจว่าจะไม่ใช้เกิน 20% ของ port ผมก็เตือนแล้วนะว่าพี่รอดูนะ เดี๋ยวแป๊บเดียวพี่ก็ใช้เกิน ความโลภมันคุมยากกว่าความกลัวซะอีก ยังไม่ทันเกิน 1 อาทิตย์ เลยครับก็ใช้เกิน 20% จนได้
ใช้ Margin นีไม่หมูนะครับ มีสิทธิหมดตัวเอาง่ายๆ เตือนด้วยความหวังดี
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 1
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 23
[quote="dome@perth"]พึ่งดูมันนี่ชาแนล มา
อาจารย์บอกว่าผลตอบแทนจากต้นปีมานี่
6 เดือนเต็ม 50% แล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่า ความสามารถในการชำระดอกเบี้ย
อาจารย์บอกว่าผลตอบแทนจากต้นปีมานี่
6 เดือนเต็ม 50% แล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่า ความสามารถในการชำระดอกเบี้ย
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2846
- ผู้ติดตาม: 1
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 26
Buffet invest his 99% wealth in his own company.
His company, berkshire hathaway, is a cash generating company ( insurance bussiness ).
Thus, Berkshire also always has enough cash to buy stock eventhough the time of crisis comes.
Mainly Berkshire's earning comes from three portions
1. Insurance companies group
2. Utility companies group
3. Listed company in stock market.
In the letter to shareholders, he always emphasis on the first two groups, which are the bussiness fully under his control. They always generate cash for him to buy the stocks in the last group as berkshire's benefit.
Many people may know him as a sucessful investor and understand him as 100% invest his own money to stocks. However, he is, unlike us, always has cash to buy at anytime without using Margin.
His company, berkshire hathaway, is a cash generating company ( insurance bussiness ).
Thus, Berkshire also always has enough cash to buy stock eventhough the time of crisis comes.
Mainly Berkshire's earning comes from three portions
1. Insurance companies group
2. Utility companies group
3. Listed company in stock market.
In the letter to shareholders, he always emphasis on the first two groups, which are the bussiness fully under his control. They always generate cash for him to buy the stocks in the last group as berkshire's benefit.
Many people may know him as a sucessful investor and understand him as 100% invest his own money to stocks. However, he is, unlike us, always has cash to buy at anytime without using Margin.
- vi_tal signs
- Verified User
- โพสต์: 631
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 27
ไม่รู้จิ
ผมว่า ดร. แก สูงสุดไร้กระบวนท่าแล้วอ่ะครับ
คือเล่นอย่างไร ก็ให้ได้กำไร
อย่ายึดติดคำสอน หรือ แบบแผน ( ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะ )
ส่วนเรื่องมาร์จิ้น ก็ตามพี่โยโย่ ได้เลยครับ ประสบการณ์จริง
ทำอะไรแต่พอตัวดีกว่า ความรู้เรายังไม่เท่า ดร.
ความชัวร์ยังห่างอีกเยอะ
ผมว่า ดร. แก สูงสุดไร้กระบวนท่าแล้วอ่ะครับ
คือเล่นอย่างไร ก็ให้ได้กำไร
อย่ายึดติดคำสอน หรือ แบบแผน ( ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะ )
ส่วนเรื่องมาร์จิ้น ก็ตามพี่โยโย่ ได้เลยครับ ประสบการณ์จริง
ทำอะไรแต่พอตัวดีกว่า ความรู้เรายังไม่เท่า ดร.
ความชัวร์ยังห่างอีกเยอะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1252
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 29
ท่านอ.ขอรับเที่ยวเกาหลีให้ชิวๆครับ margin เสี่ยงสูงและเริ่มมีอายุ ใช้DWแล้วจ๊าบไม่ตกยุคครับ
เอาปันผล(ท่านอ.)มีลงทุนต่อปลอดภัยที่สุด :lol:
เอาปันผล(ท่านอ.)มีลงทุนต่อปลอดภัยที่สุด :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 28
- ผู้ติดตาม: 0
ใช้มาร์จินลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 30
leverage นี่ 2 คมครับ lehmann เจอมาเเล้ว ไปถามพี่เเกดูสิครับ 55