มองจีน(อีกรอบ) :ValueWay โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
PERFECT LUCKY
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 795
ผู้ติดตาม: 0

มองจีน(อีกรอบ) :ValueWay โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

Value Way ฉบับวันที่ 7 กันยายน 2552
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
มองจีน(อีกรอบ)

นอกเหนือจากเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงวิกฤติรอบนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อพูดถึงประเทศจีนแผ่นดินใหญ่คือจำนวนเงินทุนสำรองต่างประเทศของรัฐบาลจีนซึ่งปัจจุบันมีมากที่สุดในโลกถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐสูงกว่าอันดับสองอย่างญี่ปุ่นกว่าเท่าตัว

เส้นทางของการสร้างเงินทุนสำรองขนาดมหาศาลของจีนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ในช่วงเปิดประเทศใหม่ๆในปี 1978  รัฐบาลจีนมีเงินทุนสำรองเพียง 1.6 ล้านเหรียญเท่านั้นซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับระดับมาตรฐานเงินทุนสำรองที่ประเทศต่างๆต้องรักษาระดับไว้ หลังจากเปิดประเทศและเริ่มมีการส่งออก ระดับเงินทุนสำรองของจีนจึงเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ในปี 1987 จีนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวน 16.3 ล้านเหรียญ แต่การขาดดุลการค้าและเศรษฐกิจถดถอยในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ประท้วงที่จตุรัสเทียนอันเหมิน ทำให้เงินทุนสำรองของจีนลดลงไปอย่างมาก

ในปี 1993 รัฐบาลจีนเริ่มอนุญาตให้ต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศจีนได้ แต่ยังไม่เปิดเสรีการเงินเต็มตัวเพราะไม่สามารถนำเงินที่ลงทุนออกไปได้ยกเว้นกำไรจากการดำเนินงาน เงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI-Foreign Direct Investment) เป็นตัวเร่งให้เงินทุนสำรองของจีนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมองเห็นโอกาสในการเติบโตจากเศรษฐกิจของจีนเอง รวมทั้งบางส่วนย้ายฐานการผลิตสินค้ามายังจีนเพราะมีต้นทุนที่ถูกกว่าและมีแรงงานจำนวนมาก จากระดับเงินทุนสำรองไม่กี่สิบล้านเหรียญ เงินสำรองของจีนเพิ่มเป็น 107 ล้านเหรียญในปี 1996

หลังจากนั้นระดับเงินทุนสำรองของจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่จีนเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO-World Trade Organization) ในปี  2001 หลังจากนั้นเพียงห้าปี เงินทุนสำรองของจีนมากขึ้นแตะระดับ 1  ล้านล้านเหรียญในเดือนตุลาคม 2006
และล่าสุดเพิ่มขึ้นถึงระดับ 2 ล้านล้านเหรียญในเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา

จีนนำเงินสำรองไปในการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเป็นหลักต่อเนื่องหลายสิบปี เมื่อสหรัฐเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้น ทำให้จีนเริ่มเป็นกังวลกับเสถียรภาพของค่าเงินดอลลาร์ที่ตนถือไว้เป็นจำนวนมาก ธนากรกลางของจีนพยายามกระจายการลงทุนของเงินทุนสำรองไปในสินทรัพย์อื่นๆมากขึ้น เช่น เงินตราต่างประเทศสกุลอื่น เงินเยน เงินยูโร เงินปอนด์สเตอริงค์ รวมถึงลงทุนในทองคำ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังคงเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดของจำนวนเงินทุนสำรองถึง 65%

ถึงแม้รัฐบาลจีนต้องการลดสัดส่วนการถือครองพัธบัตรรัฐบาลสหรัฐลง แต่ในทางปฏิบัติกลับทำได้ยากกว่าที่คิด เนื่องจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือเงินตราของประเทศอื่นรวมทั้งทองคำ มีขนาดตลาดไม่ใหญ่พอที่จะรองรับเงินสำรองจำนวนมหาศาลของจีนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนได้เพียงพอ จึงมีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจีนคงต้องลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐต่อไปเรื่อยๆ

สิ่งนี้ถ้าวิเคราะห์อย่างละเอียดดูเหมือนว่าจะเป็นการรีไซเคิลเงินดออลาร์ระดับโลกอย่างถูกกฏหมายวิธีหนึ่งเลยทีเดียว รัฐบาลสหรัฐออกพันธบัตรรัฐบาล จีนนำเงินดอลลาร์มาซื้อพันธบัตรสหรัฐ สหรัฐนำเงินดอลลาร์ที่ได้มาจ่ายเป็นค่าสินค้าที่ผลิตจากจีนเนื่องจากสหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนเป็นจำนวนมาก เมื่อจีนได้รับเงินดอลลาร์จากการขายสินค้าที่ผู้ผลิตนำมาแลกเป็นเงินหยวนแล้ว จึงนำเงินดออลาร์ที่ได้มาซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐหมุนเวียนเป็นลูกโซ่ต่อไปเรื่อยๆ ระบบรีไซเคิลเงินดอลลาร์วงจรนี้คงไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ ตราบใดที่สหรัฐยังต้องพิมพ์พันธบัตรออกมาเพื่อจ่ายหนี้และจีนยังหาสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องพอมาทดแทนไม่ได้

ถ้ากล่าวตามภาษาโบราณอาจเรียกกระบวนการนี้ว่าอัฐยายซื้อขนมยาย ต่างกันเพียงว่าอัฐยายมีมูลค่าล้านล้านเหรียญเท่านั้นเอง
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว" :)
โพสต์โพสต์