Value Way ฉบับวันที่ 28 ธันวาคม 2552
โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
Peak Oil
สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยคงมีไม่มากนักที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับราคาน้ำมันในตลาดโลก เนื่องมากจากมูลค่าหลักทรัพย์ของหุ้นบริษัทพลังงานมีสัดส่วนต่อขนาดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มบริษัทปตท ทั้งบริษัทแม่และบริษัทลูกในส่วนของการขุดเจาะสำรวจ โรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี ราคาของหุ้นกลุ่มเหล่านี้มักมีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนมองว่าถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นจะทำให้บริษัทที่ทำการค้าขายเกี่ยวข้องกับน้ำมันมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มเหล่านี้สูงขึ้นตามไปด้วย
จะเห็นว่าในช่วงต้นปี 2008 ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขึ้นไปสูงสุดที่ 140 เหรียญต่อบาร์เรล ดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นไปทำสถิติสูงสุดในรอบสิบปีที่กว่า 900 จุด ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาที่เกิดวิกฤติซัพไพร์ม ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงกว่าร้อยเหรียญลงมาเหลือที่ 30 เหรียญ ในเวลาเดียวกันดัชนีตลาดหุ้นไทยตกต่ำลดลงกว่า 400 จุด ปัจจุบันราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ 70 เหรียญ ดัชนีหุ้นไทยยืนอยู่แถว 700 จุดเช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ดังกล่าวดูเหมือนว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยอิงกับราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่มากก็น้อย
นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่สนใจในทิศทางของตลาดหุ้นจึงให้ความสำคัญกับราคาน้ำมันดิบค่อนข้างมาก ราคาน้ำมันในอนาคตอาจจะบอกได้คร่าวๆว่าดัชนีหุ้นไทยจะเป็นไปในทิศทางใด ปัจจุบันมีแนวคิดว่าการผลิตน้ำมันในโลกตอนนี้ได้เพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุดแล้ว นับจากนี้การผลิตน้ำมันในโลกจะค่อยๆลดลงเนื่องมาจากการค้นพบแหล่งผลิตใหม่ๆจะไม่สามารถทดแทนแหล่งเก่าที่กำลังหมดไปได้ เรียกกันว่าการเกิดสถานการณ์ "Peak Oil" เมื่อผ่านจุดนี้ไปความสามารถในการผลิตน้ำมันดิบของโลกจะเริ่มลดลง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และขณะนี้สถานภาพการผลิตน้ำมันของโลกในหลายๆ ประเทศได้เข้าสู่ภาวะ Peak Oil แล้ว และหากไม่มีการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่แล้วในไม่ช้าโลกก็จะเผชิญกับวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำมันที่รุนแรง ราคาน้ำมันดิบจะยิ่งพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
จากกรณีศึกษาจากแหล่งผลิตน้ำมันในที่ต่างๆ ของโลก ปัจจุบันพบว่ามีการใช้น้ำมันดิบไปแล้วกว่า 50% ของปริมาณน้ำมันที่มี กล่าวคือเมื่อน้ำมันสำรองใต้ดินลดลง ประกอบกับความสามารถในการผลิตน้ำมันดิบเริ่มประสบกับการชะลอตัวจึงส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นนั่นเอง ซึ่งนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ด้านพลังงานต่างให้ความสนใจในการคาดการณ์ภาวะ Peak Oil ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด การใช้ทฤษฎีฮับเบิร์ท (Hubbert Curve ของ Dr. M. King Hubbert) มาใช้ในการคำนวณหา Peak Oil คาดว่าน่าจะเริ่มขึ้นในช่วงประมาณปี 2553-2563 อย่างไรก็ตามภาวะ Peak Oil อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ก็เป็นได้หากปริมาณการใช้น้ำมันของประชากรโลกเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
Peak Oil ในแต่ละประเทศจะเกิดขึ้นต่างกัน โดยสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2513 และในช่วงที่ผ่านมามีสัญญาณบอกเหตุดังกล่าว โดยจากข้อมูลกำลังการผลิตน้ำมันในแหล่งน้ำมันแถบอลาสกาพบว่ากำลังการผลิตจากเดิมในปี 2531 ผลิตได้ 2.017 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2547 กลับลดลงเหลือเพียงแต่ 938,000 บาร์เรลต่อวัน ส่วนประเทศยุโรปในแถบทะเลเหนือก็เริ่มเข้าสู่ช่วง Peak Oil แล้วเช่นกัน ประเทศนอร์เวย์เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่สำคัญประเทศหนึ่งในแถบทะเลเหนือ มีรายได้หลักจากการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 20% ของจีดีพี ขณะนี้นอร์เวย์กำลังประสบปัญหากำลังการผลิต เนื่องจากประเทศอื่นๆ ในแถบทะเลเหนือต่างประสบปัญหาภาวะความสามารถในการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเริ่มถดถอย หากนอร์เวย์เร่งกำลังการผลิตส่งออกเพื่อตอบสนองตลาด แน่นอนที่สุดในเวลาไม่ช้านอร์เวย์ต้องประสบปัญหาเช่นเดียวกับประเทศสหรัฐและประเทศอื่นๆ
ส่วนในประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกน่าจะประสบภาวะ Peak Oil ช้ากว่าที่อื่นๆ เพราะประเทศซาอุดีอาระเบียและประเทศอิรัก มีน้ำมันสำรองอยู่ประมาณ 25% และ 11% ตามลำดับ แต่หากทั่วโลกยังมีปริมาณการใช้น้ำมันสูงขึ้นเรื่อยๆ ประเทศแถบตะวันออกกลางน่าจะเริ่มเข้าสู่ภาวะ Peak Oil ประมาณปี 2563
Peak Oil :ValueWay วิบูลย์ พึงประเสริฐ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 795
- ผู้ติดตาม: 0
Peak Oil :ValueWay วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์ที่ 1
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"