ครั้งหนึ่งในงานสัมมนาที่จัดเป็นล่ำเป็นสันมานาน

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

ครั้งหนึ่งในงานสัมมนาที่จัดเป็นล่ำเป็นสันมานาน

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ครั้งหนึ่งในงานสัมมนาที่จัดเป็นล่ำเป็นสันมานาน

คราวนี้นักลงทุนต่างเฝ้ารอเซียนมาพูดเช่นเคย แต่คราวนี้จะยกเรื่อง reflexivity ขึ้นมาคุยกัน โดยเรียกคนพูดที่เป็นผู้จัดการกองทุนเฮจฟันมาในงานที่มีความคุ้นเคยกับหลักการของโซรอส มาสามท่าน อายุอานามก็ คนแรกกับคนที่สองสามสิบกว่าๆ คนที่สามแก่กว่าเพื่อน ห้าสิบกว่าแล้ว ทั้งสามท่านไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย แถมคนพูดก็ไม่ได้ซักซ้อมกันมาก่อนอีกด้วย มาว่ากันกลอนสด ไม่มีพิธีกร ไม่เหมือนการพุดสัมมนาเรื่องการลงทุนในสมัยนี้ การพุดเรื่อง reflexivity มันไม่จำเป็นว่าต้องพูดเรื่องใดสูตรใด แต่ละคนพูดท่านก็ซักไซ้ไล่เลียงกันเองให้นักลงทุนผู้นั่งฟังได้รู้อย่างกระจ่างในเวลานั้น สถานการณ์ปัจจุบันนั้น ในบัดนั้นทันที

คนแรกเริ่มที่ว่า....

โลกนี้เป็นอนิจจัง ดังนั้นแล้ว….ผิด ถุก ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าผิดแล้วขาดทุนเท่าใด ถูกแล้วกำไรเท่าใด ใครที่ยังมีความรู้สุกผิดถูกอยู๋ จึงยังไม่เข้าใจเรื่อง Reflexivity คนที่สองเสริมว่า ต้องตื่นเต้นก่อน เทรดทีหลัง invest first investigate later มองไปที่ข้างหน้าก่อนที่ปัญหาจะเกิด

จากนั้นการสนทนาก็ดำเนินไปตามลำดับ

คนพูดที่หนึ่ง : ผมคิดว่าหัวใจอยู่ที่ความไม่แน่นอนในโลกนี้ที่พุทธเจ้าท่านสอนไว้ เพราะฉะนั้น ต้องเอาตัวรอดอย่างไร คือ คำถามที่ต้องใช้ทุกกระบวนท่าหาคำตอบให้จงได้

สอง : ผมก็ว่าเช่นนั้น วิถีเอาตัวที่ดีที่สุดคือ รู้เขารู้เรา อีกทั้งยังต้องมีความสามารถในการจับใจความสำคัญเรื่องต่างๆ และเอาออกมาใช้ ต้องตอบให้ได้ว่าตัวเรามี Margin of Safety หรือไม่ ต้องตรวจสอบว่าสิ่งที่ทำลงไปมีโอกาสพลิกกลับหรือไม่ ถ้าพลิกแล้วจะแก้ไขอย่างไร ตรวจสอบตัวเองด้วยคำถามต่างๆ ที่ขัดแย้งกัน ถ้าจะซื้อก็ขายดีกว่า ถ้าจะขายก็ซื้อดีกว่า

หนึ่ง : การตั้งคำถามที่ขัดแย้ง ต้องมีความรวดเร็วในการมองเห็นข้อแตกต่างอย่างลึกซึ้ง แต่นั่นไม่พอ ผมว่าควรมีระเบียบแบบแผนในการคิดหาคำตอบทางตัวเลขโดยประมาณอย่างมีเหตุผลอีกด้วย ท่านว่าไหมครับ

สอง : มีความสามารถในการคำนวณไม่พอหรอก ไม่พอนะ ต้องมีความเข้าใจในหลักการ Fundamental ; Technical and Reflexivity สามารถเห็นภาพ วาดภาพ แล้วประเมิณผลออกมาเป้น Expected value ได้

หนึ่ง : ขนาดนั้นเลยหรือท่าน ผมว่าทำหลายอย่างอย่างท่านได้ ต้องมีสมาธิก่อน โดยไม่วอกแวกกับสิ่งเร้าต่างๆ ทั้งภายนอกและภายในจิตใจ เมื่อมีข้อมูลอื่นมาประกอบกันหลายอย่าง ต้องสามารถแบ่งแยกสมาธิกระจายออกไปดูข้อมูลต่างๆและรวบรวมสมาธิกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง กลับไปมามาได้

สอง : ทำได้ขนาดนั้น แสดงว่าท่านต้องปลูกฝังตัวเองให้มีมุมมองที่เป็นภาพรวม มองเห้นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ในหลายมุมมองได้ และต้องบอกได้ว่า ผู้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่มีสถานะต่างกัน มีมุมมองและความสัมพันธ์ในเหตการนั้นๆ อย่างไร และ มุมมองเหล่านี้เปลี่ยนแปลงเมื่อฐานะความสัมพันของผู้อยู๋ในเหตุการเปลี่ยนไป สามารถตัดสินใจ และ แก้ไขทันต่อเหตการอย่างมีเหตุผล

หนึ่ง : ท่านพุดได้เฉียบคมนัก ท่านคงต้องควบคลุมจิตใจและร่างกายได้ดี ตามข้อมูลที่ได้จากการเห็น ฟัง และ สัมผัสที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รู้จังหวะใดควรผ่อน จังหวะใดควรเร่ง รักษาความสมดุลของชีวิต

สอง : ท่านต้องนักเป็นนักคาดคะเนและนักวางแผนที่เยียมยอด
หนี่ง : สำคัญไม่เทากับ สติที่เป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุด อยู๋ที่ใครจะครอบครองมันได้หรือปล่าว ผมบอกได้สั้นๆ ว่า มองไปข้างหน้าป้องกันก่อนที่ปัญหาจริงจะเกิดดีที่สุด แล้วหาทางป้องกันไว้ก่อนแล้ว นักลงทุนภาพสะท้อนต้องเหลือพื้นที่ในสมองไว้มองภาพรวม

สอง : แสดงว่าท่านฝึกเทรดจำลอง simulator ก่อนเทรดทุกครั้ง

หนึ่ง : ผมแค่ทดสอบ Psychomonitor ร่วมกับ Reflexivity Possibility ในสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขั้นในแต่ละวัน ไม่ทราบว่าท่านสองมีขั้นตอนปฏิบัติอย่างไรบ้าง

สอง : ผมทดสอบ Profit / Loss Investigation และหาข้อขัดแย้งที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ขาดเหตุผลและไม่ถูกต้อง รู้อะไรรู้ให้จริง แล้วเราจะไม่กลัว คนเรามักจะกลัวมากกว่าความจริงที่เกิดขึ้นจริงสองเท่าเสมอ

หนึ่ง : ท่านสองจับผิดตัวเองในแบบที่อาจารย์โซรอสสอน ผมนับถือเลย อาจารย์ท่านพยายามที่ย้ำมาตลอด แต่ความมีวินัยละท่าน ถึงท่านจะเตรียมการไว้อย่างดี ก็ไม่มีความมหมายนะครับ อย่างผมนี่ ผมทำตาม Fund Procedures ตามกฏระเบียบอย่างมีวินัยเลยนะ ผมเคยเห็นน้องท่านหนึ่งที่เป็นศิษย์โซรอสเหมือนกัน ตอน training ทำตามแผนที่วางไว้ แต่พอ trading operation กลับทำตามใจตัวเอง การใช้ homemade procedure หรือ การใช้อารมณ์ในการเทรดอันตรายที่สุด โดยเฉพาะช่วง Honeymoon Period หรือ ช่วงเปิดตลาด

สอง : ผมก็เคยครับ นิสัยถาวรนี่แก้ยากมาก ไม่ทำตาม Fund Procedures ทางป้องกันที่ดีที่สุด คือ ต้องคัดออกไปเลย แต่ต้องมีนักจิตวิทยาการลงทุนเป็นผู้วินิจฉัยอีกทีครับ

หนึ่ง : ผมเห็นด้วยครับ บุคคลิกที่เห็นชัดที่สุดในหมู่ผู้จัดการกองทุนที่ใช้ reflexivity ในการบริหารงานกองทุน คือ สุขุมนุ่มลึก นิ่ง หนักแน่นและมีความมั่นคงทางอารมณ์

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ


หลังจากนั้น ท่านผู้จัดการทั้งสองท่านนั้นได้อธิบายให้ความรู้ต่างๆ กับผู้ฟังในงานสัมมนานั้น ว่า reflexivity คืออะไร เหมือนอะไร ไม่เหมือนอะไร เกิดที่ไหน อย่างไร อาศัยอะไรถึงเกิด ผสมปนเปกับเรื่องตลกเฮอฮา ผู้ฟังก็สนุกกับลวดลายกลเม้ดที่สองท่านนำออกมาใช้ กระทั่งมุขต่างๆ ของทั้งสองท่าน เริ่มน้อยลงไป และ กระแสความอยากรู้ของคนฟังเริ่มถึงที่สุดน้อยลงไปเรื่อยๆ ขณะนั้น มีใครไม่กี่คนเริ่มสังเกตุ ว่าผู้จัดการเฮจฟันคนที่สามนั่งฟังสองคนแรกโต้กันอย่างเงียบๆ โดยดุษฎี

ท่านหนึ่งจึงหันมาถามท่านสามว่ามีความคิดอย่างไรบ้าง พอถูกถามตามฉบับว่า reflexivity คืออะไร คนในห้องสัมมนาในห้องประชุมพากันเงียบหมด ต่างเตรียมตัวเงี่ยหูฟังว่าท่านที่สามจะมีฝีปากอย่างไร เพราะยังไมได้ปิปากแม้แต่คำเดียวตั้งแต่ต้น

แทนที่ท่านสามจะพูดเป็นต่อยหอยตามธรรมเนียมแขกรับเชิญของงานสัมนา ท่านกลับเงียบไปพักหนึ่ง ทำให้ทุกคนในที่นั้นก็งงเป็นยิ่งนัก ว่าเมื่อไหร่ท่านจะเริ่มเผยเคล้ดลับของท่านบ้าง ได้แต่จ้องท่านหนึ่งที่ถามท่านอย่างไม่ละสายตา พลางท่านเอ๋ยขึ้นด้วยเสียงต่ำๆ ตามวัยของท่านว่า


“ ส้นทีน!!! .’’


พูดจบยังคงมองที่ท่านหนึ่งนั่นเอง


“ ส้นทีน!!! “ ของท่านหลุดจากปากท่านออกมาท่ามกลางความเงียบ ทำให้ทกคนในที่ประชุมนั้น ตกใจกันไปหมด ไม่มีใครทราบว่าอะไรเกิดขึ้น ก่อนหน้านั้นท่านหนึ่งพุดออกฉอดๆ แต่มาได้รับคำย้อนขนาดนี้ถึงกับชะงัก ไม่นึกว่าจะมีคำพุดต่อหน้าคนฟังในที่สาธารณะถึงเพียงนี้ ใจก็นึกไปว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดสัมมนาคนไหนหนอ ช่างไปเชิญคนบ้ามาพุดได้ มิน่าเล่า ไม่ยอมปิปากตั้งแต่ต้น แถมมีสายตาขวางๆ อีกต่างหาก มันเรื่องอะไรกันนี่ หรือ ว่ามันดูถูกเรา ฮึ!!!

ไม่มีใครคาดคิด ท่านหนึ่งยืนขึ้นจ้องหน้าท่านสาม ทำให้ผู้ฟังได้เห็นว่า ท่านหนึ่งกำหมัดไว้แน่น ตัวสั่น หน้าแดงกล่ำ กระสับกระส่าย พร้อมจู่โจมท่านสามทุกเมื่อ สมควรแก่เวลา ท่านสามเจ้าของคำพูดที่ใครแปลไม่ได้ว่า “ส้นทีน” ท่านนิ่งสงบเหมือนบ่อน้ำสะท้อนเงาจันทร์ จึงเริ่มเอ๋ยปากพูดว่า.....

" reflexivity คือ ช่องว่างระหว่าง สิ่งที่เราคิดว่าควรเป็น กับ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง และช่องว่างนี้คือ ความทุกข์ อยู่ที่ว่าเราจะตัดสินใจอย่างไรเมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น จะตัดสินใจด้วยเหตุผลหรืออารมณ์" ต่อไปอย่างหน้าตาเฉย งานสัมมนาก็จบครับ

ด้วยเพียงคำพูดเพียงสองพยางค์ แต่ก็เป็นช่องทางให้ท่านสามใช้ให้เกิดการเข้าใจเรื่อง reflexivity ขึ้นตรงนั้น ผู้ฟังก็ได้ประจักษ์แก่สายตาด้วยตนเองว่า Reflexivity คืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร อาศัยอะไรถึงเกิด โดยมิต้องไปหาวิธีอธิบายอย่างอื่นให้ยุ่งยาก

Shalom…….
ภาพประจำตัวสมาชิก
harlembeats
Verified User
โพสต์: 96
ผู้ติดตาม: 0

Re: ครั้งหนึ่งในงานสัมมนาที่จัดเป็นล่ำเป็นสันมานาน

โพสต์ที่ 2

โพสต์

Reflexivity = “ ส้นทีน!!! ’’

ท่านสาม เค้ายอดคนจริงๆ

ปล. ส่วนตัวมีความรู้สึกว่าหลัก Reflexivity

มันเหมือนกับธรรมมะยังไงก็ไม่รู้
ภาพประจำตัวสมาชิก
peacedev
Verified User
โพสต์: 668
ผู้ติดตาม: 0

Re: ครั้งหนึ่งในงานสัมมนาที่จัดเป็นล่ำเป็นสันมานาน

โพสต์ที่ 3

โพสต์

Zen of Reflexivity ;)

ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
^^
Verified User
โพสต์: 519
ผู้ติดตาม: 1

Re: ครั้งหนึ่งในงานสัมมนาที่จัดเป็นล่ำเป็นสันมานาน

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณครับ
หุ้นมันอยู่รอบๆตัวเราเสมอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 1

Re: ครั้งหนึ่งในงานสัมมนาที่จัดเป็นล่ำเป็นสันมานาน

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณที่พี่เอามาลงเตือนสติอีกครั้ง
ผมขอยอมรับว่าเมื่อก่อนอ่านนี้ไม่เข้าใจเลย :)
ลงทุนเพื่อชีวิต
ziannoom
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1046
ผู้ติดตาม: 0

Re: ครั้งหนึ่งในงานสัมมนาที่จัดเป็นล่ำเป็นสันมานาน

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ผมเริ่มชอบพี่หำดรำแล้วล่ะสิ ตามบทความแกไป เหลือเชื่อไม่เคยโพสต์ร้อยคนร้อยหุ้นเลย สุดตรีนจริงๆ
ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่า ขายเมื่อมูลค่าต่ำกว่าราคา
โพสต์โพสต์