ดีลล่าสุดของ Microsoft / คนขายของ
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 792
- ผู้ติดตาม: 0
ดีลล่าสุดของ Microsoft / คนขายของ
โพสต์ที่ 1
ดีลล่าสุดของ Microsoft / โดย คนขายของ
บริษัทซอฟแวร์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ซึ่งมีมูลค่ากิจการสูงถึงสี่แสนล้านเหรียญสหรัฐ ก่อตั้งโดย Paul Allen และ Bill Gates เมื่อปี 1975 และ กลายมาเป็นบริษัทจดทะเบียนในปี 1986 ถ้านักลงทุนซื้อหุ้น Microsoft (MSFT) ตอน IPO แล้วถือมาถึงทุกวันนี้ จากเงิน 10,000 บาทเมื่อ 30 ปีที่แล้ว จะกลายมาเป็น 5.3 ล้านบาทในปัจจุบัน (ไม่รวมปันผลที่ได้ในแต่ละปี) บริษัทมีรายได้หลักจากการขายโปรแกรม Windows และ Office ต่อมาได้ขยายเข้าสู่ธุรกิจเครื่องเล่นเกมส์ XBOX ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทดูเหมือนจะประสบ ความสำเร็จในทุกๆ ด้าน แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ตกเป็นที่วิจารณ์เป็นอย่างมาก คือการทำ M&A ของบริษัท
MSFT ตัดสินใจซื้อหุ้นของ aQuantive บริษัทโฆษณาบนโลกออนไลน์ ในปี 2007 เป็นเงินสูงถึง 6.3 พันล้านเหรียญ แต่อีกห้าปีต่อมาบริษัทต้องทำการตัดจำหน่ายมูลค่าเงินลงทุนออกไปเกือบทั้งหมด เพราะไม่สามารถทำกำไรได้ในธุรกิจนี้ และต่อมาในปี 2014 MSFT ได้ซื้อกิจการ โทรศัพท์มือถือของ Nokia เป็นเงิน 7.2 พันล้านเหรียญ ซึ่งภายในอีกเพียงหนึ่งปีต่อมา ทางบริษัทต้องตัดจำหน่ายเกือบทั้ง จำนวนออกไป เพราะธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือไม่เป็นดังคาด
แล้วในวันจันทร์ที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา MSFT ก็ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้งให้กับ Wall Street โดยการประกาศซื้อกิจการของ LinkedIn (LNKD) กิจการ “Professional Network” ซึ่งมีผู้ใช้งานลงทำเบียนไว้ราว 430 ล้านคนใน 200 ประเทศทั่วโลก เป็นมูลค่าสูงถึง 26.2 พันล้านเหรียญ หรือราวๆ เก้าแสนล้านบาท ถ้าเรามาดูงบดุลของ MSFT จะเห็นว่าบริษัทมีเงินสดในมือสูงถึงหนึ่งแสนล้านเหรียญ ดังนั้นดีลนี้จึงไม่น่ามีผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของบริษัท แต่หากเราหันมาดูผลประกอบการและอัตราส่วนทางการเงินของ LNKD เราคงตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใด MSFT ถึงได้ให้ราคาสูงถึงขนาดนั้น? เพราะราคาที่ซื้อ เป็นราคาที่สูงกว่าราคาตลาดก่อนประกาศครอบงำกิจการถึง 46%
LNKD มีรายได้ 3 พันล้านเหรียญ ในปี 2015 ราคาที่ MSFT ซื้อคิดเป็น 8.7 เท่าของรายได้ เนื่องจาก บริษัทขาดทุนในปีที่แล้ว จึงไม่สามารถคิดค่า PE ได้ จะว่าไปแล้ว กำไรสุทธิของบริษัทก็ดูเหมือนมีแนวโน้ม แย่ลงตลอด จากที่กำไร 27 ล้านเหรียญในปี 2013 กลายมาเป็นขาดทุน 16 ล้านเหรียญ ในปี 2014 และ ขาดทุน 166 ล้านเหรียญในปี 2015 หรือว่าซื้อเพราะการเติบโตของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง? รายได้ของ บริษัทจากที่เคยโต 100% ติดต่อกัน 3 ปีในช่วง 2010-2012 ลดลงเหลือ 50% ในช่วง 2013-2014 และ เหลือแค่ 36% ในปี 2015 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน ที่เคยได้ 8% ในปี 2012 ล่าสุดกลายเป็น -6.2% ดูเหมือนว่าตัวเลขเดียวที่ยังคงดูดีอยู่เสมอคือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ซึ่งเติบโตด้วยดีเสมอมา จากเพียง 9 ล้านเหรียญในปี 2009 กลายมาเป็น 807 ล้านเหรียญในปี 2015 และคาดว่าปี 2016 อาจทำได้สูงถึง 1,000 ล้านเหรียญเป็นครั้งแรก
แล้วถ้าเปรียบเทียบกับการซื้อกิจการบริษัทที่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากอันอื่นล่ะ? ตอนที่ Facebook ซื้อ Instragram ในปี 2012 คิดเป็นราคา 33 เหรียญต่อผู้ใช้งาน และต่อมา Facebook ก็ซื้อ Whatsapp ในปี 2014 ที่ราคา 55 เหรียญต่อผู้ใช้งาน ถ้าเอาราคาที่ MSFT ซื้อ LNKD มาคิดในแบบเดียวกัน จะได้ราว 61 เหรียญต่อผู้ใช้งาน นอกจากนั้น LNKD ยังมีโมเดลทางธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างแน่นอน ถ้ามอง ในมุมนี้ราคาที่ MSFT จ่ายเพื่อซื้อ LNKD อาจไม่ได้ดูแพงเท่าใดนัก และหาก MSFT สามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานให้เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณเหมือน Facebook ช่วยเพิ่มผู้ใช้งาน Instragram จากเพียง 30 ล้านคน จนกลายมาเป็น 500 ล้านคนในปัจจุบัน ดีลนี้ก็น่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับ MSFT มากเลยทีเดียว
มีบริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนมากยอมทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อกิจการ ทั้งนี้การซื้อกิจการแบบนี้ มีหลายครั้งที่ ประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดกับบริษัทนั้นไม่ได้มองผลตอบแทนทางการเงินเป็นหลัก แต่เป็นเพราะ ต้องการเพิ่ม องค์ความรู้เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม หรือเพื่อขยายฐานผู้ใช้งาน หรือแม้กระทั้งในบางกรณี เป็นการซื้อเพื่อลด จำนวนบริษัทที่อาจกลายมาเป็นคู่แข่งได้ในอนาคต นักลงทุนทั่วไปไม่ควรคิดว่าราคาที่บริษัทยักษ์ใหญ่เข้าซื้อกิจการเป็นราคาที่ปลอดภัยสามารถลงทุนได้ ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าบริษัทเขาคงคิดมาถี่ถ้วนแล้ว และเชื่อว่าราคาจะไม่ตกต่ำไปกว่านี้ เช่น MSFT ซื้อ LNKD ที่หุ้น 196 เหรียญ นักลงทุนก็เข้าซื้อตามเลยโดยไม่ดู รายละเอียด การตัดสินใจแบบนี้เป็นเรื่่องที่เสี่ยงมาก เพราะมีหลายครั้งที่บริษัทยักษ์ใหญ่ก็ผิดพลาด เช่นการซื้อกิจการรถยนต์ Chrysler ของ Daimler, การรวมกิจการของ AOL กับ Timer Warner และ การซื้อกิจการ Compaq ของ HP เป็นต้น และที่สำคัญ บริษัทอย่าง MSFT มีเงินสดถึงแสนล้านเหรียญ หากพลาดในดีล LNKD นี้เขาคงไม่เป็นไร แต่รายย่อยที่แห่ซื้อตาม MSFT แถมอัดมาร์จิ้นไปอีก 100% หากพลาดขึ้นมา ฐานะคงเปลี่ยนไปมากเลยทีเดียว
บริษัทซอฟแวร์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ซึ่งมีมูลค่ากิจการสูงถึงสี่แสนล้านเหรียญสหรัฐ ก่อตั้งโดย Paul Allen และ Bill Gates เมื่อปี 1975 และ กลายมาเป็นบริษัทจดทะเบียนในปี 1986 ถ้านักลงทุนซื้อหุ้น Microsoft (MSFT) ตอน IPO แล้วถือมาถึงทุกวันนี้ จากเงิน 10,000 บาทเมื่อ 30 ปีที่แล้ว จะกลายมาเป็น 5.3 ล้านบาทในปัจจุบัน (ไม่รวมปันผลที่ได้ในแต่ละปี) บริษัทมีรายได้หลักจากการขายโปรแกรม Windows และ Office ต่อมาได้ขยายเข้าสู่ธุรกิจเครื่องเล่นเกมส์ XBOX ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทดูเหมือนจะประสบ ความสำเร็จในทุกๆ ด้าน แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ตกเป็นที่วิจารณ์เป็นอย่างมาก คือการทำ M&A ของบริษัท
MSFT ตัดสินใจซื้อหุ้นของ aQuantive บริษัทโฆษณาบนโลกออนไลน์ ในปี 2007 เป็นเงินสูงถึง 6.3 พันล้านเหรียญ แต่อีกห้าปีต่อมาบริษัทต้องทำการตัดจำหน่ายมูลค่าเงินลงทุนออกไปเกือบทั้งหมด เพราะไม่สามารถทำกำไรได้ในธุรกิจนี้ และต่อมาในปี 2014 MSFT ได้ซื้อกิจการ โทรศัพท์มือถือของ Nokia เป็นเงิน 7.2 พันล้านเหรียญ ซึ่งภายในอีกเพียงหนึ่งปีต่อมา ทางบริษัทต้องตัดจำหน่ายเกือบทั้ง จำนวนออกไป เพราะธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือไม่เป็นดังคาด
แล้วในวันจันทร์ที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา MSFT ก็ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้งให้กับ Wall Street โดยการประกาศซื้อกิจการของ LinkedIn (LNKD) กิจการ “Professional Network” ซึ่งมีผู้ใช้งานลงทำเบียนไว้ราว 430 ล้านคนใน 200 ประเทศทั่วโลก เป็นมูลค่าสูงถึง 26.2 พันล้านเหรียญ หรือราวๆ เก้าแสนล้านบาท ถ้าเรามาดูงบดุลของ MSFT จะเห็นว่าบริษัทมีเงินสดในมือสูงถึงหนึ่งแสนล้านเหรียญ ดังนั้นดีลนี้จึงไม่น่ามีผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของบริษัท แต่หากเราหันมาดูผลประกอบการและอัตราส่วนทางการเงินของ LNKD เราคงตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใด MSFT ถึงได้ให้ราคาสูงถึงขนาดนั้น? เพราะราคาที่ซื้อ เป็นราคาที่สูงกว่าราคาตลาดก่อนประกาศครอบงำกิจการถึง 46%
LNKD มีรายได้ 3 พันล้านเหรียญ ในปี 2015 ราคาที่ MSFT ซื้อคิดเป็น 8.7 เท่าของรายได้ เนื่องจาก บริษัทขาดทุนในปีที่แล้ว จึงไม่สามารถคิดค่า PE ได้ จะว่าไปแล้ว กำไรสุทธิของบริษัทก็ดูเหมือนมีแนวโน้ม แย่ลงตลอด จากที่กำไร 27 ล้านเหรียญในปี 2013 กลายมาเป็นขาดทุน 16 ล้านเหรียญ ในปี 2014 และ ขาดทุน 166 ล้านเหรียญในปี 2015 หรือว่าซื้อเพราะการเติบโตของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง? รายได้ของ บริษัทจากที่เคยโต 100% ติดต่อกัน 3 ปีในช่วง 2010-2012 ลดลงเหลือ 50% ในช่วง 2013-2014 และ เหลือแค่ 36% ในปี 2015 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน ที่เคยได้ 8% ในปี 2012 ล่าสุดกลายเป็น -6.2% ดูเหมือนว่าตัวเลขเดียวที่ยังคงดูดีอยู่เสมอคือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ซึ่งเติบโตด้วยดีเสมอมา จากเพียง 9 ล้านเหรียญในปี 2009 กลายมาเป็น 807 ล้านเหรียญในปี 2015 และคาดว่าปี 2016 อาจทำได้สูงถึง 1,000 ล้านเหรียญเป็นครั้งแรก
แล้วถ้าเปรียบเทียบกับการซื้อกิจการบริษัทที่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมากอันอื่นล่ะ? ตอนที่ Facebook ซื้อ Instragram ในปี 2012 คิดเป็นราคา 33 เหรียญต่อผู้ใช้งาน และต่อมา Facebook ก็ซื้อ Whatsapp ในปี 2014 ที่ราคา 55 เหรียญต่อผู้ใช้งาน ถ้าเอาราคาที่ MSFT ซื้อ LNKD มาคิดในแบบเดียวกัน จะได้ราว 61 เหรียญต่อผู้ใช้งาน นอกจากนั้น LNKD ยังมีโมเดลทางธุรกิจที่สร้างรายได้อย่างแน่นอน ถ้ามอง ในมุมนี้ราคาที่ MSFT จ่ายเพื่อซื้อ LNKD อาจไม่ได้ดูแพงเท่าใดนัก และหาก MSFT สามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานให้เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณเหมือน Facebook ช่วยเพิ่มผู้ใช้งาน Instragram จากเพียง 30 ล้านคน จนกลายมาเป็น 500 ล้านคนในปัจจุบัน ดีลนี้ก็น่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับ MSFT มากเลยทีเดียว
มีบริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนมากยอมทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อกิจการ ทั้งนี้การซื้อกิจการแบบนี้ มีหลายครั้งที่ ประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดกับบริษัทนั้นไม่ได้มองผลตอบแทนทางการเงินเป็นหลัก แต่เป็นเพราะ ต้องการเพิ่ม องค์ความรู้เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม หรือเพื่อขยายฐานผู้ใช้งาน หรือแม้กระทั้งในบางกรณี เป็นการซื้อเพื่อลด จำนวนบริษัทที่อาจกลายมาเป็นคู่แข่งได้ในอนาคต นักลงทุนทั่วไปไม่ควรคิดว่าราคาที่บริษัทยักษ์ใหญ่เข้าซื้อกิจการเป็นราคาที่ปลอดภัยสามารถลงทุนได้ ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าบริษัทเขาคงคิดมาถี่ถ้วนแล้ว และเชื่อว่าราคาจะไม่ตกต่ำไปกว่านี้ เช่น MSFT ซื้อ LNKD ที่หุ้น 196 เหรียญ นักลงทุนก็เข้าซื้อตามเลยโดยไม่ดู รายละเอียด การตัดสินใจแบบนี้เป็นเรื่่องที่เสี่ยงมาก เพราะมีหลายครั้งที่บริษัทยักษ์ใหญ่ก็ผิดพลาด เช่นการซื้อกิจการรถยนต์ Chrysler ของ Daimler, การรวมกิจการของ AOL กับ Timer Warner และ การซื้อกิจการ Compaq ของ HP เป็นต้น และที่สำคัญ บริษัทอย่าง MSFT มีเงินสดถึงแสนล้านเหรียญ หากพลาดในดีล LNKD นี้เขาคงไม่เป็นไร แต่รายย่อยที่แห่ซื้อตาม MSFT แถมอัดมาร์จิ้นไปอีก 100% หากพลาดขึ้นมา ฐานะคงเปลี่ยนไปมากเลยทีเดียว
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
-
- Verified User
- โพสต์: 10
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดีลล่าสุดของ Microsoft / คนขายของ
โพสต์ที่ 2
ใช่ครับ บ.ใหญ่ บางทีก็ซื้อด้วยเหตุผลต่างฯเเต่ไม่อาจทำกำไรได้ เหมีอนมีผลประโยชน์เเอบเเฝง
-
- Verified User
- โพสต์: 92
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ดีลล่าสุดของ Microsoft / คนขายของ
โพสต์ที่ 3
มีเงินมีกำไรก็มีโอกาสทำผิด^^
พี่ชายครับ บ.ได้แถลงอะไรบ้างหรือเปล่าครับว่าได้อะไรกลับมาบ้างจากการตัดจำหน่ายทั้งสองครั้งที่ผ่านมา
พี่ชายครับ บ.ได้แถลงอะไรบ้างหรือเปล่าครับว่าได้อะไรกลับมาบ้างจากการตัดจำหน่ายทั้งสองครั้งที่ผ่านมา
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ดีลล่าสุดของ Microsoft / คนขายของ
โพสต์ที่ 4
Deal ล่าสุดของ MS นั้น ในความคิดเห็นส่วนตัว
LNKD เก็บข้อมูลอะไรไว้ ในตัวเอง
บริษัทนี้เก็บ Presentation หรือ เอกสาร ต่างๆเอาไว้นั้นเอง
ซึ่งตัว MS เอง มี Power Power ในการนำเสนอ มีเอกสาร Word ในการพิมพ์เอกสาร อยู่แล้ว
ซื้อ LNKD ไปดูแนวโน้มในการนำเสนอ และ เอกสาร ว่าไปในทิศทางไหนหรือเปล่า
LNKD เก็บข้อมูลอะไรไว้ ในตัวเอง
บริษัทนี้เก็บ Presentation หรือ เอกสาร ต่างๆเอาไว้นั้นเอง
ซึ่งตัว MS เอง มี Power Power ในการนำเสนอ มีเอกสาร Word ในการพิมพ์เอกสาร อยู่แล้ว
ซื้อ LNKD ไปดูแนวโน้มในการนำเสนอ และ เอกสาร ว่าไปในทิศทางไหนหรือเปล่า