สังคมคนแก่กับการลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1
สังคมคนแก่กับการลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
ในฐานะของ VI ที่เน้นการลงทุนระยะยาวนั้น สิ่งที่ผมจะต้องวิเคราะห์ก็คือภาพของประเทศ ผู้คน ภาวะทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในตลาดหุ้นที่ผมจะลงทุนว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต สิ่งที่ผมจะต้องดูเป็นพิเศษก็คือ เศรษฐกิจจะโตขึ้นมากน้อยแค่ไหน บริษัทจะมีรายได้และกำไรมากขึ้นเท่าไรและบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมไหนจะดีและกลุ่มไหนจะแย่ในอีกซัก 10 ปีข้างหน้าและต่อจากนั้น
สำหรับประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยนั้น ช่วงที่ผมเริ่มลงทุนในตลาดเต็มตัวเมื่อกว่า 20 ปีโดยเฉพาะหลังภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 นั้น ผมไม่ได้กังวลกับ “ภาพใหญ่” ของประเทศไทยเลยทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนว่าประเทศไทย “กำลังล่มสลาย” และไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไรในยามที่เกือบทุกบริษัทมีหนี้สินล้นพ้นตัวและกำลังจะล้มละลาย เหตุผลคงเป็นเพราะว่าเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำลงมาอย่างหนักและการส่งออกสินค้าที่ถดถอยลงอย่างแรงผ่านไป มันก็เริ่มฟื้นตัวอย่างแรง การผลิตถูกขับเคลื่อนโดยการลงทุนสร้างโรงงานก่อนหน้านั้น บวกกับกำลังแรงงานที่มีเหลือเฟือและค่าแรงต่ำซึ่งทำให้การส่งออกของไทยมีความได้เปรียบในตลาดโลกและอานิสงค์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงไปมาก บวกกับความต้องการบริโภคของคนในประเทศที่กำลังพุ่งขึ้นอานิสงค์จากรายได้ที่สูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงมากซึ่งทำให้คนชั้นกลางที่ไม่เคยเป็นหนี้หรือมีหนี้น้อยสามารถกู้เงินใช้จ่ายได้สูงกว่าปกติมาก ผลก็คือ เศรษฐกิจกลับมาเติบโตค่อนข้างแรงและบริษัทโดยเฉพาะที่เน้นการขายสินค้าแก่ผู้บริโภคภายในประเทศเติบโตขึ้นมหาศาล บริษัทเหล่านี้กลายเป็นหุ้นจดทะเบียนที่นำให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ 5-6 ปีที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนว่าทุก ๆ อย่างที่พูดถึงนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไป คนกลุ่มใหญ่มากในสังคมกลุ่มหนึ่งที่เกิดในยุคเบบี้บูมซึ่งรวมถึงผมเองนั้นเริ่มถึงเวลาเกษียณอายุคือ 60 ปี ถ้าผมจำไม่ผิด เด็กที่เกิดในช่วงเวลานั้นน่าจะมีเกือบล้านคนต่อปีโดยเฉลี่ย เพื่อน ๆ รุ่นเดียวกับผมนั้นมักจะมีพี่น้องประมาณ 5-6 คน ผมซึ่งมีพี่น้องเพียง 3 คนนั้นถือว่าน้อยมาก ดังนั้น การที่พวกเขาบางคนเกษียณอายุจึงทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัวลงแม้ว่าจะมีคนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นมาแทนที่ อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ที่เกิดและจะเกิดมาแทนที่นั้น กำลังลดลงอย่างแรง จากปีหนึ่งเกิดล้านคนก็ลดลงเหลือปีละ 700,000 คนและคงจะลดลงไปเรื่อย ๆ อีกนาน ครอบครัวของคนไทยรุ่นใหม่นั้นมักจะต้องการมีลูกน้อยมาก เฉลี่ยประมาณ 1.5 คน จำนวนมากบอกว่าไม่ต้องการมีลูกเลย ทั้งหมดนี้ทำให้ตัวเลขคนไทยที่เป็นแรงงานหรือทำงานนั้นเพิ่มขึ้นน้อยลงเรื่อย ๆ และภายใน 10 ปีก็จะลดลง ไทยกำลังเข้าสู่ภาวะสังคมคนแก่แบบสมบูรณ์เหมือนอย่างที่ญี่ปุ่นเป็นมากว่า 10-20 ปีแล้ว
ใน “สังคมคนแก่” อย่างที่ญี่ปุ่นหรืออีกหลายประเทศเป็นนั้น สิ่งที่เห็นก็คือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมักจะถดถอยลงอย่างช้า ๆ แต่ต่อเนื่อง เศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นน่าจะแทบไม่โตเลยเป็นเวลาน่าจะเกิน 20 ปีแล้ว เหตุผลนั้นชัดเจน เพราะว่าคนน้อยลงก็น่าจะผลิตน้อยลง เช่นเดียวกับที่คนแก่ตัวลงก็มักจะไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตได้มากนัก บางทีแค่ประคองให้มีประสิทธิภาพเท่าเดิมก็ทำได้ยากแล้ว ดังนั้น สำหรับไทยเอง ผมคิดว่าเราอาจจะไม่สามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้เร็วอย่างที่เคยเป็นมาอีกต่อไปแล้ว ห้าถึงหกปีที่ผ่านมาที่เราโตแค่ 3-4% ต่อปีโดยเฉลี่ยน่าจะเป็นสัญญาณว่าสังคมเราเริ่มแก่ตัวลง มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกหรือปัญหาการเมืองหรืออะไรในประเทศไทยเลยก็ได้ และเมื่อเศรษฐกิจโตช้าลง—ในระยะยาว ตลาดหุ้นซึ่งเป็นตัวสะท้อนภาวะเศรษฐกิจเองนั้นก็มักจะเติบโตช้าตามกันไป ตัวอย่างจากญี่ปุ่นก็เห็นได้ชัดว่าดัชนีตลาดหุ้นนิเกอินั้น Sideway มาเป็นสิบ ๆ ปีและอยู่ที่ประมาณ 20,000 จุดในช่วงเร็ว ๆ นี้ และไม่เคยขึ้นไปแตะที่จุดสูงสุดตลอดกาลที่ 38,000 จุดที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว ดังนั้น สำหรับตลาดหุ้นไทยเอง ผมคิดว่าเราคงจะหวังให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตสูงแบบเดิมคงเป็นไปได้ยาก
เรื่องของการลงทุนโดยเฉพาะการสร้างโรงงานผลิตสินค้านั้น ผมก็คิดว่าจะมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ ในระยะยาว เหตุผลก็คือ โรงงานโดยเฉพาะในประเทศไทยที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีสูงนั้น จำเป็นต้องใช้คนมากและจะต้องมีค่าแรงต่ำเพื่อที่จะสามารถแข่งขันได้ แต่นี่คือสิ่งที่เราขาด ดังนั้น คนที่คิดว่าเราจะมีการขยายตัวของการลงทุนเพื่อการผลิตมากขึ้นและธุรกิจที่เกี่ยวข้องเช่น การผลิตสินค้าและนิคมอุตสาหกรรม จะเติบโตมากนั้น ผมคิดว่าจะต้องคิดใหม่ จริงอยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น การลงทุนก็อาจจะมากขึ้นได้ แต่ในระยะยาวแล้ว มันคงไปไม่ไหว ไทยไม่น่าจะสามารถเติบโตทางด้านการผลิตได้เร็วและมากอีกต่อไป
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการน่าจะเป็นทางออกสำหรับสังคมที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกภาคส่วน จำนวนคนที่เกิดน้อยลงมากในช่วงก่อนหน้านี้จนถึงขณะนี้ก็ส่งผลอย่างเห็นได้ชัดแล้วเช่น เรื่องของการศึกษา ซึ่งเราได้เห็นการปิดตัวของโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง ที่ยังไม่ปิดก็อยู่อย่างยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ และน่าจะถึงจุดใกล้วิกฤติโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน โชคดีที่การท่องเที่ยวของไทยนั้นเติบโตดีอานิสงค์จากการท่องเที่ยวของคนจีนและอินเดียที่อยู่ใกล้ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นภาคที่เติบโตเพื่อที่จะรองรับสังคมของคนที่แก่ตัวมากขึ้น นี่ก็คงคล้าย ๆ กับญี่ปุ่นที่ขณะนี้ต้องอาศัยการท่องเที่ยวมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตนจากที่ในอดีตนั้นค่อนข้าง “ปิด” ไม่ยอมให้ใครเข้าไป “วุ่นวาย” ในประเทศ
อสังหาริมทรัพย์จะเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่โตอีกต่อไปในยามที่จำนวนคนเพิ่มน้อยหรือลดลง ความต้องการที่ลดลงบวกกับ “สต็อก” ของบ้านที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากบ้านนั้นสร้างเสร็จแล้วก็สามารถอยู่ได้เป็นหลาย ๆ สิบปี ดังนั้น ถ้าเราเห็นอสังหาริมทรัพย์ซบเซาลงช่วงนี้ก็อย่าไปหวังว่ามันจะ “ฟื้นขึ้นแรง” ในปีต่อ ๆ ไป มันอาจจะถึงจุดที่ค่อย ๆ ลดลงอย่างช้า ๆ ตลอดไปแล้วก็ได้ และนี่ก็อาจจะรวมไปถึงห้างร้านและช็อปปิ้งมอลทั้งหลายที่ต้องอาศัยคนเข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้า ซึ่งถ้าคนที่มีเงินและพร้อมจับจ่ายสินค้ามีน้อยลงเพราะคนแก่ตัวลงและคนเกิดใหม่มีน้อยลง การเติบโตของร้านค้าเหล่านั้นก็จะถึงจุดที่ค่อย ๆ ลดลงตลอดไป แน่นอนว่าคนที่เข้าห้างบางส่วนก็อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น แต่ที่จะสามารถทดแทนคนในประเทศเองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะยกเว้นก็คือร้านค้าที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จริง ๆ ที่อาจจะยังอยู่ไปได้เรื่อย ๆ ตราบที่การท่องเที่ยวของเรายังดีอยู่
เรื่องของ Innovation หรือการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ หรือความคิดใหม่ ๆ ต่าง ๆ ที่เราเชื่อกันว่าจะเป็นสิ่งที่นำเราให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไปในทางเศรษฐกิจเองนั้น ผมก็คิดว่าทำได้ไม่ง่ายเนื่องจากจำนวนคนรุ่นหนุ่มสาวที่จะเป็นผู้นำทางด้านการคิดค้นและทำธุรกิจ Startup มีน้อยลง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าอาจจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมของสังคมที่ยังถูกครอบงำโดยความคิดของคนรุ่นก่อนที่มีจำนวนมากและยังเป็นผู้นำทางสังคมและการเมืองอยู่ ซึ่งทำให้สังคมไทยยังเป็นสังคมอนุรักษ์นิยมสูง คนไม่ค่อยกล้าที่จะคิดนอกกรอบในขณะที่ขนบธรรมเนียมดั้งเดิมจะได้รับการส่งเสริม ผลก็คือ ความคิดสร้างสรรค์และความกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นน้อย และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เรายังไม่มีสตาร์ทอัพที่เป็น “ยูนิคอร์น” เลย ทั้ง ๆ ที่ระดับการพัฒนาและขนาดเศรษฐกิจของไทยนั้นอยู่เหนือกว่าอีกหลาย ๆ ประเทศหลักในอาเซียน และนี่ก็ทำให้ผมนึกถึงญี่ปุ่นที่ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ มานานมากหลังจากยุค “วอล์คแมน” ของโซนี่ทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศยิ่งใหญ่อันดับ 2 และ 3 ของโลกมานาน
ทั้งหมดนั้นก็คือปัญหาของความแก่ซึ่งผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ได้อย่างไร ในด้านของส่วนตัวเองนั้น สิ่งที่ทำก็คือการพยายามรักษาสุขภาพและหาวิธี “ลดอายุ” ในส่วนของการลงทุนเองนั้น ผมก็กระจายการลงทุนบางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่และอยู่ในวัยฉกรรจ์และกำลังเติบโตเหมือนเมืองไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
สำหรับประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยนั้น ช่วงที่ผมเริ่มลงทุนในตลาดเต็มตัวเมื่อกว่า 20 ปีโดยเฉพาะหลังภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 นั้น ผมไม่ได้กังวลกับ “ภาพใหญ่” ของประเทศไทยเลยทั้ง ๆ ที่ดูเหมือนว่าประเทศไทย “กำลังล่มสลาย” และไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไรในยามที่เกือบทุกบริษัทมีหนี้สินล้นพ้นตัวและกำลังจะล้มละลาย เหตุผลคงเป็นเพราะว่าเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำลงมาอย่างหนักและการส่งออกสินค้าที่ถดถอยลงอย่างแรงผ่านไป มันก็เริ่มฟื้นตัวอย่างแรง การผลิตถูกขับเคลื่อนโดยการลงทุนสร้างโรงงานก่อนหน้านั้น บวกกับกำลังแรงงานที่มีเหลือเฟือและค่าแรงต่ำซึ่งทำให้การส่งออกของไทยมีความได้เปรียบในตลาดโลกและอานิสงค์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงไปมาก บวกกับความต้องการบริโภคของคนในประเทศที่กำลังพุ่งขึ้นอานิสงค์จากรายได้ที่สูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงมากซึ่งทำให้คนชั้นกลางที่ไม่เคยเป็นหนี้หรือมีหนี้น้อยสามารถกู้เงินใช้จ่ายได้สูงกว่าปกติมาก ผลก็คือ เศรษฐกิจกลับมาเติบโตค่อนข้างแรงและบริษัทโดยเฉพาะที่เน้นการขายสินค้าแก่ผู้บริโภคภายในประเทศเติบโตขึ้นมหาศาล บริษัทเหล่านี้กลายเป็นหุ้นจดทะเบียนที่นำให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ 5-6 ปีที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนว่าทุก ๆ อย่างที่พูดถึงนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไป คนกลุ่มใหญ่มากในสังคมกลุ่มหนึ่งที่เกิดในยุคเบบี้บูมซึ่งรวมถึงผมเองนั้นเริ่มถึงเวลาเกษียณอายุคือ 60 ปี ถ้าผมจำไม่ผิด เด็กที่เกิดในช่วงเวลานั้นน่าจะมีเกือบล้านคนต่อปีโดยเฉลี่ย เพื่อน ๆ รุ่นเดียวกับผมนั้นมักจะมีพี่น้องประมาณ 5-6 คน ผมซึ่งมีพี่น้องเพียง 3 คนนั้นถือว่าน้อยมาก ดังนั้น การที่พวกเขาบางคนเกษียณอายุจึงทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัวลงแม้ว่าจะมีคนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นมาแทนที่ อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ที่เกิดและจะเกิดมาแทนที่นั้น กำลังลดลงอย่างแรง จากปีหนึ่งเกิดล้านคนก็ลดลงเหลือปีละ 700,000 คนและคงจะลดลงไปเรื่อย ๆ อีกนาน ครอบครัวของคนไทยรุ่นใหม่นั้นมักจะต้องการมีลูกน้อยมาก เฉลี่ยประมาณ 1.5 คน จำนวนมากบอกว่าไม่ต้องการมีลูกเลย ทั้งหมดนี้ทำให้ตัวเลขคนไทยที่เป็นแรงงานหรือทำงานนั้นเพิ่มขึ้นน้อยลงเรื่อย ๆ และภายใน 10 ปีก็จะลดลง ไทยกำลังเข้าสู่ภาวะสังคมคนแก่แบบสมบูรณ์เหมือนอย่างที่ญี่ปุ่นเป็นมากว่า 10-20 ปีแล้ว
ใน “สังคมคนแก่” อย่างที่ญี่ปุ่นหรืออีกหลายประเทศเป็นนั้น สิ่งที่เห็นก็คือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมักจะถดถอยลงอย่างช้า ๆ แต่ต่อเนื่อง เศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นน่าจะแทบไม่โตเลยเป็นเวลาน่าจะเกิน 20 ปีแล้ว เหตุผลนั้นชัดเจน เพราะว่าคนน้อยลงก็น่าจะผลิตน้อยลง เช่นเดียวกับที่คนแก่ตัวลงก็มักจะไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตได้มากนัก บางทีแค่ประคองให้มีประสิทธิภาพเท่าเดิมก็ทำได้ยากแล้ว ดังนั้น สำหรับไทยเอง ผมคิดว่าเราอาจจะไม่สามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้เร็วอย่างที่เคยเป็นมาอีกต่อไปแล้ว ห้าถึงหกปีที่ผ่านมาที่เราโตแค่ 3-4% ต่อปีโดยเฉลี่ยน่าจะเป็นสัญญาณว่าสังคมเราเริ่มแก่ตัวลง มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกหรือปัญหาการเมืองหรืออะไรในประเทศไทยเลยก็ได้ และเมื่อเศรษฐกิจโตช้าลง—ในระยะยาว ตลาดหุ้นซึ่งเป็นตัวสะท้อนภาวะเศรษฐกิจเองนั้นก็มักจะเติบโตช้าตามกันไป ตัวอย่างจากญี่ปุ่นก็เห็นได้ชัดว่าดัชนีตลาดหุ้นนิเกอินั้น Sideway มาเป็นสิบ ๆ ปีและอยู่ที่ประมาณ 20,000 จุดในช่วงเร็ว ๆ นี้ และไม่เคยขึ้นไปแตะที่จุดสูงสุดตลอดกาลที่ 38,000 จุดที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว ดังนั้น สำหรับตลาดหุ้นไทยเอง ผมคิดว่าเราคงจะหวังให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตสูงแบบเดิมคงเป็นไปได้ยาก
เรื่องของการลงทุนโดยเฉพาะการสร้างโรงงานผลิตสินค้านั้น ผมก็คิดว่าจะมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ ในระยะยาว เหตุผลก็คือ โรงงานโดยเฉพาะในประเทศไทยที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีสูงนั้น จำเป็นต้องใช้คนมากและจะต้องมีค่าแรงต่ำเพื่อที่จะสามารถแข่งขันได้ แต่นี่คือสิ่งที่เราขาด ดังนั้น คนที่คิดว่าเราจะมีการขยายตัวของการลงทุนเพื่อการผลิตมากขึ้นและธุรกิจที่เกี่ยวข้องเช่น การผลิตสินค้าและนิคมอุตสาหกรรม จะเติบโตมากนั้น ผมคิดว่าจะต้องคิดใหม่ จริงอยู่ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น การลงทุนก็อาจจะมากขึ้นได้ แต่ในระยะยาวแล้ว มันคงไปไม่ไหว ไทยไม่น่าจะสามารถเติบโตทางด้านการผลิตได้เร็วและมากอีกต่อไป
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการน่าจะเป็นทางออกสำหรับสังคมที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกภาคส่วน จำนวนคนที่เกิดน้อยลงมากในช่วงก่อนหน้านี้จนถึงขณะนี้ก็ส่งผลอย่างเห็นได้ชัดแล้วเช่น เรื่องของการศึกษา ซึ่งเราได้เห็นการปิดตัวของโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง ที่ยังไม่ปิดก็อยู่อย่างยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ และน่าจะถึงจุดใกล้วิกฤติโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน โชคดีที่การท่องเที่ยวของไทยนั้นเติบโตดีอานิสงค์จากการท่องเที่ยวของคนจีนและอินเดียที่อยู่ใกล้ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นภาคที่เติบโตเพื่อที่จะรองรับสังคมของคนที่แก่ตัวมากขึ้น นี่ก็คงคล้าย ๆ กับญี่ปุ่นที่ขณะนี้ต้องอาศัยการท่องเที่ยวมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตนจากที่ในอดีตนั้นค่อนข้าง “ปิด” ไม่ยอมให้ใครเข้าไป “วุ่นวาย” ในประเทศ
อสังหาริมทรัพย์จะเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่โตอีกต่อไปในยามที่จำนวนคนเพิ่มน้อยหรือลดลง ความต้องการที่ลดลงบวกกับ “สต็อก” ของบ้านที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากบ้านนั้นสร้างเสร็จแล้วก็สามารถอยู่ได้เป็นหลาย ๆ สิบปี ดังนั้น ถ้าเราเห็นอสังหาริมทรัพย์ซบเซาลงช่วงนี้ก็อย่าไปหวังว่ามันจะ “ฟื้นขึ้นแรง” ในปีต่อ ๆ ไป มันอาจจะถึงจุดที่ค่อย ๆ ลดลงอย่างช้า ๆ ตลอดไปแล้วก็ได้ และนี่ก็อาจจะรวมไปถึงห้างร้านและช็อปปิ้งมอลทั้งหลายที่ต้องอาศัยคนเข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้า ซึ่งถ้าคนที่มีเงินและพร้อมจับจ่ายสินค้ามีน้อยลงเพราะคนแก่ตัวลงและคนเกิดใหม่มีน้อยลง การเติบโตของร้านค้าเหล่านั้นก็จะถึงจุดที่ค่อย ๆ ลดลงตลอดไป แน่นอนว่าคนที่เข้าห้างบางส่วนก็อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น แต่ที่จะสามารถทดแทนคนในประเทศเองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะยกเว้นก็คือร้านค้าที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จริง ๆ ที่อาจจะยังอยู่ไปได้เรื่อย ๆ ตราบที่การท่องเที่ยวของเรายังดีอยู่
เรื่องของ Innovation หรือการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ หรือความคิดใหม่ ๆ ต่าง ๆ ที่เราเชื่อกันว่าจะเป็นสิ่งที่นำเราให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไปในทางเศรษฐกิจเองนั้น ผมก็คิดว่าทำได้ไม่ง่ายเนื่องจากจำนวนคนรุ่นหนุ่มสาวที่จะเป็นผู้นำทางด้านการคิดค้นและทำธุรกิจ Startup มีน้อยลง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าอาจจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมของสังคมที่ยังถูกครอบงำโดยความคิดของคนรุ่นก่อนที่มีจำนวนมากและยังเป็นผู้นำทางสังคมและการเมืองอยู่ ซึ่งทำให้สังคมไทยยังเป็นสังคมอนุรักษ์นิยมสูง คนไม่ค่อยกล้าที่จะคิดนอกกรอบในขณะที่ขนบธรรมเนียมดั้งเดิมจะได้รับการส่งเสริม ผลก็คือ ความคิดสร้างสรรค์และความกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นน้อย และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เรายังไม่มีสตาร์ทอัพที่เป็น “ยูนิคอร์น” เลย ทั้ง ๆ ที่ระดับการพัฒนาและขนาดเศรษฐกิจของไทยนั้นอยู่เหนือกว่าอีกหลาย ๆ ประเทศหลักในอาเซียน และนี่ก็ทำให้ผมนึกถึงญี่ปุ่นที่ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ มานานมากหลังจากยุค “วอล์คแมน” ของโซนี่ทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศยิ่งใหญ่อันดับ 2 และ 3 ของโลกมานาน
ทั้งหมดนั้นก็คือปัญหาของความแก่ซึ่งผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ได้อย่างไร ในด้านของส่วนตัวเองนั้น สิ่งที่ทำก็คือการพยายามรักษาสุขภาพและหาวิธี “ลดอายุ” ในส่วนของการลงทุนเองนั้น ผมก็กระจายการลงทุนบางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่และอยู่ในวัยฉกรรจ์และกำลังเติบโตเหมือนเมืองไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
- IndyVI
- Verified User
- โพสต์: 14944
- ผู้ติดตาม: 2
Re: สังคมคนแก่กับการลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 3
.
02-09-62
รายการ รู้ใช้ เข้าใจเงิน
ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00-11.00 น.
นาที 8
-ช่วงแรก พูดคุยกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มุมมองเรื่อง สังคมคนแก่กับการลงทุน
02-09-62
รายการ รู้ใช้ เข้าใจเงิน
ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00-11.00 น.
นาที 8
-ช่วงแรก พูดคุยกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มุมมองเรื่อง สังคมคนแก่กับการลงทุน
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
# Howard Mark #
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 34
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สังคมคนแก่กับการลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 4
ผมคิดว่าดร.นิเวศน์ พูดถูกในหลายเรื่องแต่ว่ามองในแง่ลบมากไปครับ จริงอยู่ครับที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นต่ำมาก แต่ผมกลับมองสองเรื่องนี้แยกกัน ด้านสังคมผู้สูงอายุ เราสามารถทดแทนด้วยการรับแรงงานต่างประเทศจากเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานได้ ซึ่งปัจจุบันก็กำลังเป็นเช่นนั้น ผมมองว่าถ้าว่ากันด้วยปริมาณ แรงงานในไทยไม่ถึงขนาดว่าขาดแคลนจนหาไม่ได้ เพราะแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านนั้นพร้อมที่จะเข้ามาทำงานหารายได้ที่สูงกว่าบ้านเค้า เรื่องนี้ทางรัฐก็ต้องจัดการทำให้มันถูกต้องเสีย เอาแรงงานเข้าระบบ เก็บภาษีเข้ารัฐให้ได้
ผมคิดว่าเรื่องเศรษฐกิจที่เติบโตน้อย น่าจะเป็นปัญหาจากเรื่องอื่นนอกจากสังคมผู้สูงอายุด้วย ถ้าใครเคยไปเที่ยวต่างประเทศอย่างเช่นญี่ปุ่น หรือประเทศต่างๆที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว จะเห็นได้เลยว่าไทยยังห่างไกลและมีช่องว่างในการเติบโตได้อีกเยอะ ผมคิดว่าปัญหาหลักคือไทยเป็นประเทศรับจ้างผลิตมานาน อาศัยแรงงานราคาถูกเพื่อสร้างความได้เปรียบด้านต้นทุน ซึ่งเรากำลังเสียความได้เปรียบนี้ไปให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่นเวียดนามหรือกัมพูชา และทำให้ตอนนี้ประเทศไทยกำลังติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ผมมองว่าส่วนนี้ต่างหากที่เหนี่ยวรั้งการเจิรญเติบโตทางเศรษฐกิจเอาไว้
ณ ตอนนี้ ผมเชื่อว่าภาครัฐได้ตระหนักถึงเรื่องนี้แล้วและกำลังพยายามพัฒนาอยู่ จะเห็นได้ว่าประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมามีการผลักดันโครงการต่างๆ อย่างเช่น EEC หรือโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ผมเชื่อว่าเรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลาในการผลักดันกันอีกหลายปีเลยครับ แต่เชื่อว่าถ้าเอาจริงเอาจรังก็น่าจะทำได้ เพราะในต่างประเทศ เราก็เห็นแล้วว่าถ้าส่งเสริมกันให้ถูกทาง คือพยายามสร้างแบรนด์ หรือนวัตกรรมที่เป็นของประเทศตัวเองให้ได้ แล้วในระยะยาวจะประสบความสำเร็จ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือไต้หวัน และจีน ที่เมื่อก่อนใครๆก็มองว่าเป็นผู้ผลิตของเลียนแบบ แต่ปัจจุบันไม่ได้มีภาพพจน์แบบนั้นแล้ว( จีนอาจจะยังมีภาพพจน์นี้อยู่ แต่น้อยลงมาก ) ตรงนี้ผมเห็นต่างจากดร.นิเวศน์ ว่าคนไทยทำได้ครับถ้าเอาจริงเอาจริง สติปัญญาคนไทยไม่ได้ด้อยกว่าคนชาติไหนในโลก เพียงแต่รัฐบาลต้องกล้าสนับสนุนในให้คนไทยทำธุรกิจกันง่ายขึ้น อย่ามัวห่วงรายใหญ่แล้วกีดกันรายย่อยอย่างเรื่องคราฟท์เบียร์ อันนี้แย่มาก
ถ้าให้มองในภาพใหญ่ ผมเชื่อว่าตอนนี้เมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพื่อหาความได้เปรียบในการแข่งขันใหม่ ที่ไม่ใช่การรับจ้างผลิตแต่เพียงอย่างเดียว ผมมองว่าความได้เปรียบทางด้านทำเลที่เป็นจุดยุทธศาสตร์อยู่ใจกลางประเทศ CLMV น่าจะเป็นตัวสร้างการเติบโตในอนาคตได้ครับ ส่วนจะใช้ประโยชน์อย่างไร คงเป็นเรื่องที่เกินไปที่จะพูดในที่นี้
นอกจากนี้ ผมเชื่อว่าที่คนมีลูกกันน้อยลง ก็เพราะการวางแผนครอบครัวที่ทำกันมากขึ้นเมื่อคนมีการศึกษามากขึ้น ทำให้ตระหนักว่าการมีลูกมากเกินไปจะเป็นภาระหรือสร้างปัญหาให้กับส่วนรวมได้ ในทางกลับกัน ถ้าเราพัฒนาประเทศให้คนมีรายได้กันมากขึ้น และทำให้คนตระหนักได้ว่า การมีลูกน้อยเกินไปก็สร้างปัญหาให้กับประเทศได้เช่นกัน ผมเชื่อว่าเทรนด์การมีลูกน้อยก็น่าจะเปลี่ยนได้เช่นกันครับ