เก่าไป-ใหม่มา/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1827
ผู้ติดตาม: 1

เก่าไป-ใหม่มา/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมสังเกตเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกิดขึ้นในโลกจำนวนมาก สิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้น เติบโตอย่างรวดเร็ว และภายในเวลาไม่นานนักก็แซงหรือทดแทนสิ่งเก่าที่เคยยิ่งใหญ่หรือเป็นสิ่งที่เคยยึดถือกันมายาวนานเป็นสิบ ๆ หรือร้อยปี นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนต้องใช้กัน แต่รวมถึงแนวความคิดและปรัชญาของผู้คนที่เปลี่ยนเร็วไม่แพ้กันหรือเร็วยิ่งกว่าสิ่งของที่จับต้องได้

การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ ผมคิดว่ามาจากการ “ปฏิวัติ” ของเทคโนโลยีโดยเฉพาะทางด้านดิจิตอลที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จาก 1G กลายเป็น 5G ภายในเวลาแค่ประมาณ 20 ปี ซึ่งทำให้ประชาชนรายเล็ก ๆ ทั่วโลกที่ไม่เคยเป็นพลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมกลายเป็นคนที่มีความสำคัญโดยเฉพาะเมื่อพวกเขาสามารถ “รวมพลัง” กันผ่านระบบ “สื่อสังคม” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยรู้จักนั่นก็คือระบบอินเตอร์เน็ต ในอดีตนั้น คน ๆ เดียวทำหรือมีบทบาทอะไรน้อยมากโดยเฉพาะถ้าเขาไม่ได้อยู่ในระบบของ “อำนาจเดิม” ที่เป็น “สถาบัน” ที่มีอยู่ในโลกมายาวนานเช่น สถาบันการปกครองของรัฐต่าง ๆ หรือสถาบันเศรษฐกิจที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ต่าง ๆ ในโลก เป็นต้น

ในปัจจุบันนั้น คนที่อาจจะไม่มีความหมายอะไรเลยหากเกิดในยุคก่อน เช่น ไม่ได้อยู่ในครอบครัวที่มีอำนาจรัฐหรือไม่มีเงินและชื่อเสียง อาจจะสามารถก่อตั้งบริษัทเล็ก ๆ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการสร้างผลิตภัณฑ์ ระดมเงินที่ต้องการผ่านกองทุนต่าง ๆ แล้วก็นำเสนอและขายผลิตภัณฑ์นั้นแก่คนทั่วไปผ่านสื่อสังคมที่สามารถขยายไปอย่างรวดเร็วถึงคนเป็นล้าน ๆ ทั่วโลก ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี สินค้าของเขาก็ได้รับการยอมรับและใช้กันทั่วไปมากกว่าบริษัทยุคเก่าที่อาจจะเปิดดำเนินการมาเป็นร้อยปีและเป็นผู้นำมาครึ่งศตวรรษ ผู้ก่อตั้งบริษัทรุ่นใหม่ที่พลิกเปลี่ยนโลกในชั่วข้ามคืนเหล่านั้น จำนวนมาก เริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่เพิ่งจบหรือยังไม่จบวิทยาลัย ในวันที่เขายิ่งใหญ่และเป็นมหาเศรษฐีนั้นก็มักจะยังหนุ่มมาก อายุไม่เกิน 40 หรือที่มากหน่อยก็แค่ 50 ปี ความแตกต่างของอายุของผู้นำในโลกยุคใหม่กับผู้นำในโลกยุคเก่าเห็นได้อย่างชัดเจน ความคิดของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน โลกกำลังเกิด “Generation Gap” หรือ “ช่องว่างระหว่างวัย” ที่รุนแรง ไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้ของหรืออุปกรณ์ แต่เป็นเรื่องของความคิดที่อาจจะส่งผลรุนแรงทางการเมืองได้



ตัวอย่างเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ก็คือการที่หุ้นของเทสลา ผู้ผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ใช้ไฟฟ้านำโดยอีลอนมัสก์ ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดรถยนต์มาแค่สิบกว่าปีและขายรถยนต์ล่าสุดปีละไม่กี่แสนคัน แต่บริษัทกลับมีขนาดของบริษัทวัดจาก Market Cap. สูงกว่าบริษัทโตโยต้าที่เป็นบริษัทเก่าแก่อายุร้อยปีและเป็นผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบันและมียอดขายปีละกว่า 10 ล้านคัน นี่ก็คือข้อพิสูจน์ที่ว่า รถยนต์รุ่นเก่าที่ใช้น้ำมันกำลังถดถอยลง อนาคตเป็นของรถยนต์ไฟฟ้า บริษัทรถยนต์ที่ยังยิ่งใหญ่ในวันนี้ ในอีก 10-20 ปีข้างหน้าจำนวนมากอาจจะ “ไม่ติดอันดับ” บริษัทรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่อีกต่อไป “เก่ากำลังจะไปและใหม่กำลังจะมา”

เรื่องของความคิด นามธรรม และปรัชญาต่าง ๆ ของคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ในแวดวงของความบันเทิงนั้น นักร้องนักแสดงรุ่นใหม่ที่เข้ามาสู่แวดวงนี้ต่างก็มักจะผ่านมาทางระบบของสื่อสังคมและบริษัทรุ่นใหม่ที่ไม่ได้อิงกับระบบเดิม ๆ ที่ต้องอาศัยสถาบันและบริษัทใหญ่ ๆ อีกต่อไป พวกเขาสร้างผลงานและความดังระดับโลกได้ด้วยความคิดและเครื่องมือที่คนตัวเล็ก ๆ หรือบริษัทใหม่ ๆ ก็สามารถทำได้ เหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้บริโภคกลุ่มใหญ่เองก็เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดและความรู้สึกคล้าย ๆ กัน ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถตอบสนองลูกค้าได้ดีกว่าคนรุ่นก่อนที่มักจะมีความคิดแบบเดิม ๆ ที่อาจจะ “Out” ไปแล้ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและในอดีตไม่นานมานี้เราอาจจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ก็คือการที่วงดนตรีของเกาหลี เช่น วงบีทีเอส และแบล็คพิ้งค์ สามารถก้าวขึ้นมาเป็นวงนำระดับต้น ๆ ของโลกได้ในเวลาไม่กี่ปีและเหนือกว่าวงของทางด้านอเมริกาที่มีชื่อเสียงมาเป็นเวลาเกือบร้อยปี

ความคิดหลาย ๆ อย่างในโลกนี้เช่น การปกปักรักษาสิ่งแวดล้อมของโลกเองนั้น ด้วยเทคโนโลยีดิจิตอลที่ทำให้โลกโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวสามารถสื่อสารกันได้อย่างง่ายดาย เราก็ได้เห็นการรณรงค์ที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพจนก่อให้เกิดเป็นพลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนทั้งโลก รูปธรรมที่ผมเองรู้สึกทึ่งมากก็คือการที่โลกซึ่งรวมถึงประเทศไทยเรา “เลิกใช้ถุง” โดยเฉพาะถุงพลาสติกใช้แล้วทิ้งซึ่งส่งผลให้บริษัทที่ผลิตสินค้าแทบจะ “เจ๊ง” ภายในเวลาอันรวดเร็ว และคนที่ทำให้เกิดกระแสการอนุรักษ์มากมายขึ้นไม่ใช่หน่วยงานรัฐหรือผู้มีบารมีอย่างอดีตรองประธานาธิบดีอัลกอร์ของอเมริกาหรือเป็นดาราดังที่จะชักชวนให้คนทำอีกต่อไป แต่เป็นเด็กมัธยมชื่อ เกรตา ธันเบิร์ก จากประเทศเล็ก ๆ คือสวีเดน ซึ่งกลายเป็นเซเลบที่ไปพูดที่ไหนก็เป็นข่าวดังไปทั่วโลก

ในด้านของสังคมและความคิดทางการเมืองนั้น ความแตกต่างระหว่างวัยยิ่งเห็นเด่นชัดขึ้นมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กระแสการประท้วงเพื่อเรียกร้องเสรีภาพในฮ่องกงนั้นมาจากคนหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ และผู้นำคนสำคัญคนหนึ่งก็คือ โจชัว หว่อง ซึ่งขณะนำการประท้วงใน “ขบวนการร่ม” ครั้งแรกนั้นเขายังเป็นเด็กมัธยม ความคิดเรื่อง “เสรีภาพ” ของคนฮ่องกงโดยเฉพาะสำหรับคนหนุ่มสาวกับคนสูงอายุนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและก่อให้เกิดปัญหาในฮ่องกงมากมาจนถึงทุกวันนี้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ จีนซึ่งมีอำนาจรัฐเหนือฮ่องกงนั้นเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ซึ่งมีความคิดเรื่องเสรีภาพต่างกับคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะในฮ่องกงอย่างสิ้นเชิง และนี่ทำให้ฮ่องกงน่าจะยังห่างไกลจากการเป็นเมืองที่มีเสรีภาพอย่างที่คนรุ่นใหม่ต้องการ การเปลี่ยนแปลงยังไม่เกิดขึ้น



ประเทศไทยเองนั้น ถ้าพูดถึงการใช้ชีวิตทั่ว ๆ ไปแล้ว คนรุ่นใหม่ต่างก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การใช้สินค้าและอุปกรณ์ไฮเท็คโดยเฉพาะด้านดิจิตอลของไทยนั้นเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วและตาม “กระแสของโลก” อย่างใกล้ชิด ซึ่งสิ่งที่ตามมานอกเหนือจากเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวันที่ผูกกับดิจิตอลไฮเท็ค ความบันเทิงและการเรียนรู้ในศิลปะและวิชาการต่าง ๆ แล้ว ก็คือ เรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณี พฤติกรรมทางสังคม และแนวคิดและปรัชญาทางการเมืองที่เปลี่ยนไปของคนรุ่นใหม่

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น คนรุ่นเก่าเอง แม้ว่าบางคนอาจจะได้สัมผัสกับโลกใหม่ที่เปลี่ยนไปเช่นเดียวกันแต่จำนวนมากก็ไม่ได้เห็นคล้อยตามไปด้วย ไม่ต้องพูดถึงคนรุ่นเก่าจำนวนมากที่ไม่พร้อมจะเปลี่ยนปรัชญา แนวทางหรือความเชื่อของตนเองที่ถูก “หล่อหลอม”จากสังคมไทยมาตลอดชีวิต ผลก็คือ เกิดความแตกต่างทางความคิดระหว่างคุณรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่อย่างชัดเจนในช่วงเวลาอาจจะแค่ 10 ปีที่ผ่านมาที่สื่อสังคมเปิดขึ้นทั้งโลกและไม่มีใครสามารถปิดกั้นการเข้าถึงได้

ในทางด้านของสังคมเองนั้น คนรุ่นใหม่ของไทยต่างก็โหยหา “เสรีภาพและความเสมอภาค” ในขณะที่ปฎิเสธขนบธรรมเนียมเดิมที่ถูกมองว่า “กดขี่” คนที่ด้อยและอ่อนแอกว่าซึ่งรวมถึงเด็กและคนรุ่นใหม่อย่างพวกเขา การต่อสู้โดยการประท้วงจาก “เด็กเลว” ที่อยากมีสิทธิไว้ผมหรือแต่งตัวตามที่ตนเองต้องการเวลาไปโรงเรียนหรือเด็กที่ไม่ต้องการหมอบกราบต่อหน้าครูบาอาจารย์ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญที่กำลังเกิดขึ้น นักศึกษาในมหาวิทยาลัยเองต่างก็เริ่มประท้วงต่อต้านทั้งในเรื่องสังคมและการเมืองที่พวกเขาเห็นว่าไม่ถูกต้องและต้องเปลี่ยนแปลง การเกิดขึ้นของพรรคการเมือง “ของคนรุ่นใหม่” ได้รับการต้อนรับและได้รับคะแนนเสียงอย่างล้นหลามโดยที่ไม่มีใครคาดคิด

ทั้งหมดนี้ยังไม่ถึงกับทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่เป็นมานับร้อยปีแต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่า ไทยอาจจะกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและในกระบวนการนั้นอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อสังคม เศรษฐกิจ การปกครองและการเมือง เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นทั่วโลกระหว่างคนหรือบริษัทรุ่นใหม่กับรุ่นเก่า เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า “When the old power refuse to die and the new power struggle to be born, evil appear.” หรือแปลว่า “เมื่ออำนาจเก่าไม่ยอมตายและอำนาจใหม่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อจะเกิด ความชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้น”
โพสต์โพสต์