ฉากต่อไปจะเป็นอย่างไร/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1827
ผู้ติดตาม: 1

ฉากต่อไปจะเป็นอย่างไร/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

หากเป็นละคร ฉากที่ผ่านมาของปีนี้เป็นเสมือนปีที่หายไป หรือ Lost Year สำหรับหลายๆคน ที่เบาหน่อยก็เพียงแต่รู้สึกไม่ได้ทำอะไรเพิ่มขึ้นมากนักเหมือนที่เคยทำมาในปีอื่นๆ ไปจนถึงที่สาหัสคือ งานหายไป หรือ Job Loss ซึ่งหมายถึงรายได้ขาดหายไป และไม่มีเงินใช้จ่าย

นอกจากการใช้ชีวิตของทุกคนในโลกที่มีการต่อต่อพบปะกับผู้คนในสังคมต้องเปลี่ยนแปลงไปอันสืบเนื่องมาจากโควิด -19 แล้ว การปรับเปลี่ยนทัศนคติ การเรียนรู้ การทำงาน ก็ต้องปรับเปลี่ยนไป “ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม” ในฉากต่อไป นโยบาย รูปแบบ และการจัดการธุรกิจ และการบริหารจัดการประเทศ ก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย

โควิด-19 มาพร้อมกับกวาดตำแหน่งงานที่มีอยู่ให้หายไปมากมาย เฉพาะในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว World Economic Forum รายงานว่า จากการศึกษาของคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยคอร์แนลร่วมกับกลุ่มแนวร่วมเพื่ออเมริกาที่รุ่งเรือง คาดการณ์ว่าตำแหน่งงานในสหรัฐอเมริกาจะหายไปถึง 37 ล้านตำแหน่ง เนื่องมาจากผลพวงของโควิดต่อเศรษฐกิจ

ในประเทศกลุ่ม OECD มีการคาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานของประเทศในกลุ่ม OECD จะเพิ่มจาก 5.3% ณ สิ้นปี 2562 เป็น 9.4% ในปีนี้ และหากมีการระบาดระลอกสองในปลายปี การว่างงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 12.6% ค่ะ และจากการศึกษาพบว่า ผู้อยู่ในกลุ่มฐานะยากจน และคนทำงานเพศหญิงได้รับผลกระทบมากกว่า

ในเยอรมนี สหภาพการค้า IG Metall ซึ่งเป็นตัวแทนของลูกจ้าง 2.3 ล้านคน ได้ออกมาเรียกร้องเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ให้ ภาคธุรกิจ ให้พนักงานทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ เพื่อลดผลกระทบจากโควิด 19 และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรมรถยนต์ เนื่องจากคาดว่าตำแหน่งงานประมาณ 0.3 ล้านตำแหน่งมีโอกาสหายไป

การให้พนักงานทำงานคนละเพียง 4 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยทำให้ธุรกิจไม่ต้องปรับลดจำนวนคนไปตามความต้องการสินค้าและบริการที่ลดลง พูดง่ายๆก็คือ แบ่งงานเฉลี่ยกันทำ แต่ละคนจะมีรายได้ลดลง ซึ่งก็ยังดีกว่าบางคนมีรายได้ แต่บางคนไม่มีรายได้เลยค่ะ

เมื่อพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และทุกคนไม่เคยพบมาเลยในช่วงชีวิตนี้ ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ นโยบายต่างๆของรัฐและโมเดลธุรกิจต่างๆของเอกชน ก็ต้องปรับเปลี่ยนไป เรียกว่าต้องกลับมาลองผิดลองถูก กลับมาคิดต่าง เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจและธุรกิจขับเคลื่อนไปข้างหน้า

เรามีช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อขึ้นสูงจนเป็นอันตราย เช่นช่วงหลังสงครามโลก ช่วงน้ำมันราคาพุ่งสูงในทศวรรษที่ 1970 และเราก็มีช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อต่ำเป็นเวลานาน เช่นที่เกิดขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จนอาจจะเกิดอันตราย (แบบที่เคยเกิดที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วง “ทศวรรษแห่งการสูญหาย (Lost Decade)” ซึ่งเศรษฐกิจไม่เติบโต เงินเฟ้อต่ำใกล้ศูนย์จนถึงติดลบ)

หลังจากวิกฤติโรคระบาดที่มาจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นวิกฤติที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกปักหัวลง ธนาคารกลางของประเทศต่างๆจึงต้องปรับตัว ปรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยกันใหม่ค่ะ โดยล่าสุดประธานของธนาคารสหรัฐ หรือ เฟด คือนายเจอโรม พาวเวล ได้ออกมาประกาศว่า เฟดจะปรับนโยบายอัตราดอกเบี้ย ไปเป็นการใช้ “เป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ย” แทนที่จะเป็น “เป้าหมายเงินเฟ้อ”

เมื่อโจทย์เปลี่ยน การดำเนินการที่เกี่ยวข้องก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย จะยึดติดกับของเดิมๆ วิธีคิดเดิมๆไม่ได้อีกต่อไป

มาถึงของไทยบ้าง ดร.กิติพงศ์ พร้อมวงศ์ เลขาธิการ สำนักงานสภานโยบาย การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สอวช. กล่าวไว้ว่า จากการสำรวจพบว่าทักษะสำคัญที่ทำให้คนสามารถรักษางานเอาไว้ได้มี 4 ทักษะ คือ ทักษะการแก้ไขปัญหา (Problem Solving Skill) ทักษะการบริหารโครงการ (Project Management Skill) ทักษะการวิเคราะห์ (Analytical Skill) และความเป็นผู้นำ (Leadership)

หากท่านใดเริ่มรู้สึกว่างานของเราไม่มั่นคง พยายามเสริมทักษะทั้งสี่อย่างนี้ และพยายามแสดงทักษะเหล่านี้ให้ผู้อื่นเห็นด้วยนะคะ

แผนงานของ สอวช. เพื่อเตรียมตอบโจทย์วิกฤติของประเทศไทยก็น่าสนใจค่ะ ขออนุญาตนำมาสรุปย่อดังนี้

ระยะที่ 1 ระยะพยายามควบคุมการแพร่ระบาด (Restriction) เดือนที่ 1-6 (ผ่านไปแล้ว) จัดทำโปรแกรมแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ เพื่อคาดการณ์ปัญหา จัดการกับภาวะวิกฤติได้อย่างทันท่วงที เพื่อลดความเสียหายและบรรเทาความเสียหายระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงให้ความรู้กับประชาชน

ระยะที่ 2 ระยะผ่อนคลายการควบคุมและเริ่มกลับสู่การประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม (Reopening) เดือนที่ 7-12 ช่วยคนให้มีงานทำ โดยการ Reskill/Upskill ให้สามารถนำไปต่อยอดใช้จริงได้ เร่งช่วย SME กับผู้ประกอบการ จัดสรรทุนวิจัยและสร้างนวัตกรรม ถ่ายทอดเทคโนโลยี ไปยังผู้ประกอบการอย่างตรงจุด รวมถึงการสร้างตลาด การพัฒนาเชิงพื้นที่

ระยะที่ 3 ระยะการฟื้นตัวและปรับตัวภายหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย (Recovery) เดือนที่ 13-18 จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับทุกภาคส่วน ทั้งการท่องเที่ยว การผลิต SMEs บริการภาครัฐ การศึกษา สุขภาพ เศรษฐกิจฐานราก เกษตรต้นน้ำ อาหาร รวมถึงศิลปวัฒนธรรมและเกษตรสร้างสรรค์ โดยจะช่วยฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ปรับเปลี่ยนทักษะ ยกระดับทักษะ พัฒนาทุนมนุษย์ในสาขาต่างๆ เปลี่ยนผ่านธุรกิจและกิจกรรมสู่ดิจิทัล เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และตอบโจทย์พฤติกรรมใหม่ บูรณาการข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ลงทุนวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์มูลค่า ลดความเหลื่อมล้ำ เสริมคุณค่าความเป็นมนุษย์ ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี สนับสนุนให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และภูมิคุ้มกันสู่ความยั่งยืน ปลดล็อคกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

ระยะที่ 4 คาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม (Restructuring) เดือนที่ 19 ถึงอนาคต 5 ปีข้างหน้า ไปสู่เกษตรแม่นยำ หรือเกษตรมูลค่าสูง สร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการโดยใช้นวัติกรรมและเทคโนโลยี สร้างจุดขายด้านการท่องเที่ยวบนฐานความแข็งแกร่งทางสาธารณสุขและวัฒนธรรม ผลักดันให้เกิดการวิจัยและนวัตกรรมที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ ให้นักศึกษาทำงานร่วมกับชุมชน เกิดแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์สัญชาติไทย พัฒนาการศึกษาออนไลน์และแบบผสม โครงการผลิตยาชีววัตถุ พัฒนาต้นแบบรถไฟฟ้า ปลดล็อคกฎหมายที่ยังเป็นอุปสรรค มีกลไกการดำเนินงานพิเศษ แบบ Sandbox ฯลฯ

ฉากต่อไปจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับเราทุกคนที่จะเขียนบทให้ประเทศของเราค่ะ
โพสต์โพสต์