ในโลกปัจจุบันที่ “ต้นทุนในการสื่อสาร” ลดลงมาต่ำมากจนแทบเป็นศูนย์ เราก็ได้เห็น Content หรือข้อมูลข่าวสารถูกส่งออกไปมากมายมหาศาลจน “รับไม่ไหว” บางเรื่องก็เป็นเรื่องจริง จำนวนพอ ๆ กันก็เป็นเรื่องไม่จริงหรือที่เราเรียกว่า “Fake News” แต่ที่จริงแล้วคนที่ส่งออกไปก็ไม่รู้ว่าข่าวต่าง ๆ นั้นจริงหรือไม่ ถ้าเขาชอบข่าวหรือข้อมูลนั้น เขาก็เพียงแต่ส่งมันต่อไป เพื่อที่จะให้คนอื่นรู้และเห็นด้วย นี่คงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่อยากให้คนอื่นคิดและเห็นเหมือนกับตนเอง เพราะคนที่มีความคิดความเห็นเหมือนกันจะช่วยส่งเสริมให้ “ยีน” ของพวกเขาสามารถเอาตัวรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์ได้ดีขึ้น
ผมเอง หรือที่จริงน่าจะเกือบทุกคนต่างก็มี “กลุ่มไลน์” หลาย ๆ กลุ่ม เช่น กลุ่มเพื่อนโรงเรียนเก่า กลุ่มชมรมกิจกรรม กลุ่มคนทำงานในแผนกหรือในโครงการ กลุ่มนักลงทุน และกลุ่มสนใจการเมือง เป็นต้น ข้อมูลข่าวสารแต่ละวันที่ผมได้รับนั้น ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้และความคิดเห็นโดยเฉพาะในเรื่องที่ผมสนใจและ “เห็นด้วย” ผมก็มักจะดูหรืออ่านแบบตั้งใจมากกว่าเรื่องที่ผมไม่สนใจหรือไม่เห็นด้วย นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมชาติของยีน เวลาทำไปมาก ๆ นาน ๆ ความรู้และความคิดเหล่านั้นก็จะถูก “ย้ำ” เข้าไปในสมองซึ่งอาจทำให้ความรู้ของเรามากขึ้น แต่ถ้าเป็นความคิดเห็นมันก็มักจะ “แรง” ขึ้น และเราก็จะปฎิเสธความคิดเห็นที่ “แตกต่าง” มากขึ้น ซึ่งในที่สุดก็อาจจะนำไปสู่ “ความขัดแย้งกัน” รุนแรงขึ้น และนี่ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น “ทั่วโลก” โดยเฉพาะในด้านของการเมืองซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความรู้หรือความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ ของเราในวันนี้ ผมคิดว่ามีโอกาสที่จะเกิด Bias หรือเกิด “ความลำเอียง” มากขึ้น เรากำลังถูก “ล้างสมอง” ทุกวันอย่างไม่รู้ตัว เราอาจจะรู้สึกว่าความคิดเห็นของเรานั้นถูกต้องและคนส่วนใหญ่ต่างก็คิดและทำแบบนั้น เพราะเพื่อนส่วนใหญ่และคนรู้จักที่เข้ามาอ่านหรือพูดคุยในไลน์ต่างก็เห็นด้วย คิดและทำแบบนั้นทั้งนั้น อาจจะมีบ้างบางคนที่ “เพี้ยน” หรือเป็นคน “นอกคอก” หรือ “มีผลประโยชน์” หรือ “ไม่รู้ข้อมูลจริง” เพราะ “ไม่ได้ศึกษา” และไปหลงเชื่อ “เฟคนิวส์” จากคนอื่นที่มี “เจตนาที่เลวร้าย” ไม่ประสงค์ดีต่อสังคมหรือประเทศชาติ “โลก” ของคนเราที่คิดว่าจะ “กว้าง” ขึ้นเพราะอินเตอร์เน็ตที่แพร่หลายซึ่งทำให้ข้อมูลความรู้และความคิดเห็นกระจายไปทุกที่อย่างไม่มีข้อจำกัดนั้น อาจจะไม่กว้างขึ้นอย่างที่คิด สำหรับหลายคนแล้ว โลกของเขาอาจจะ “แคบลง” เพราะสมองไม่ยอมรับความคิดใหม่และที่แตกต่างจากพื้นฐานความคิดเดิมของตนเองที่ “ถูกย้ำ” ทุกวัน
แต่นักลงทุนโดยเฉพาะแบบ VI นั้น เราจะปล่อยให้ความรู้ ความคิดและความเห็นของเราต่อโลกและต่อทุกสิ่งมีความ “ลำเอียง” ไม่ได้ เราอาจจะมีความคิดเห็นแบบหนึ่งที่เราเห็นด้วยและเราชอบ แต่เราต้องรู้ว่าโลกและคนอื่นคิดและรู้สึกอย่างไร คน “ส่วนใหญ่” เขาคิดอย่างไร คนแต่ละกลุ่มคิดอย่างไร อนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงไปไหม เราต้องมีภาพโดยเฉพาะ “ภาพใหญ่” ในแต่ละเรื่องที่ถูกต้องจริง ๆ ไม่ใช่ถูกต้องในความคิดของเราหรือที่เราอยากเห็น แน่นอนว่าคนทั่วไปที่เป็น “นักสู้” นั้น เมื่อเขาคิดและอยากให้คนอื่นเห็นด้วย เขาก็อาจจะ “สู้” โดยการส่งข้อมูลความคิดเห็นของเขาเข้าสู่ระบบสื่อสารมวลชน แต่คนที่เป็น “นักเลือก” ซึ่งกลุ่มหนึ่งก็คือนักลงทุนนั้น ก็จะต้องคอยสังเกตว่าอะไรคือความรู้หรือความคิดเห็นของคนส่วนมากหรือคนกลุ่มไหน เพื่อที่จะนำมาวิเคราะห์ว่าจะ “เลือกลงทุน” อย่างไรโดยที่ “ไม่มีความลำเอียง”
ตัวอย่างเล็ก ๆ ที่ผมเห็นก็คือการลงทุนในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะที่เวียตนามซึ่งผมก็เห็นมีการ Debate หรือโต้เถียงกันในเว็บไซ้ต์เกี่ยวกับการลงทุนว่าเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเวียตนามดีจริงหรือ? โดยที่มักจะเปรียบเทียบกับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่เราอยู่และเรารักและรู้สึกดีมาตลอดชีวิต ดังนั้น เรามี Bias อยู่แล้วโดยธรรมชาติ ดังนั้น เวลาคนนำเสนอข้อเปรียบเทียบ เขาก็จะนำสิ่งที่ดีกว่าทั้งหลายของไทยมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่แย่กว่าของเวียตนาม อาทิเช่น ระบบการคมนาคมขนส่งเช่น รถไฟฟ้าและใต้ดินที่เรามีไม่รู้กี่สายแล้วในขณะที่เวียตนามนั้นสร้างมาไม่รู้กี่ปีก็ยังไม่เสร็จซักแห่งเดียว เป็นต้น นอกจากนั้น ถ้าจะว่าไป สาธารณูปโภคเกือบทุกอย่างของเวียตนามก็ “แพ้ไทย” อย่างไม่เห็นฝุ่น รวมไปถึง “ดัชนี” ความก้าวหน้าทั้งหลาย เช่นการสาธารณสุข การพัฒนาด้านคนและอื่น ๆ ไทยก็ชนะทั้งนั้น ส่วนที่ไทย “แพ้” เช่น เรื่องของการลงทุนจากต่างประเทศหรือการส่งออกซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากในประเด็นของการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตก็จะไม่พูดถึง เป็นต้น
ประเด็นก็คือ ถ้าจะเปรียบเทียบ ระดับ ของการพัฒนาประเทศหรือการพัฒนาทางเศรษฐกิจแล้ว ไทยก็เหนือกว่าเวียตนามค่อนข้างมากอย่างแน่นอนในขณะนี้ ดังนั้น แทบทุกอย่างที่วัดว่าประเทศไหน “รวย” หรือดีกว่ากันไทยก็ชนะแน่นอน แต่ในด้านของการลงทุนในตลาดหุ้นนั้นเราไม่ได้วัดกันที่ “ระดับ” แต่เราวัดกันที่ “การเติบโต” ของเศรษฐกิจ เพราะถ้าเศรษฐกิจโตเร็ว หุ้นก็มักจะโตไปตามเศรษฐกิจในระยะยาว นี่เป็นเรื่องที่ไม่มี Bias และถ้าเวียตนามโตเร็วต่อไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งเขาก็จะมีรถไฟฟ้าหรือสาธารณูปโภคอย่างที่ไทยมีในวันนี้
การแก้ปัญหาหรือวิธีคิดที่จะทำให้เราไม่ลำเอียงนั้น ประเด็นแรกก็คือ เราต้องรู้ว่าเราอาจจะลำเอียงได้ในเรื่องที่เรากำลังคิด ความลำเอียงนั้นเกิดขึ้นเมื่อจิตใจเรามีความชอบหรือความรักหรือมีความคุ้นเคยในสิ่งที่เรากำลังพิจารณา นอกจากนั้น การที่เราอยู่ในวัฒนธรรมของประเทศไทยก็ทำให้เราเกิดความลำเอียงได้ไม่น้อย เพราะนั่นคือสิ่งที่เราประสบพบเห็นตั้งแต่เกิด ไม่มีทางที่เราจะแก้หรือ “Unlearn” มันได้ง่าย ดังนั้น เราจึงควรจะรู้ว่าวัฒนธรรมไทยนั้นมีความแตกต่างจากประเทศอื่นอย่างไรบ้าง
ความรักหรือความชอบนั้น จะทำให้เรารู้สึกดีและดังนั้น เราก็จะมีความลำเอียงว่ามันจะดีกว่าความเป็นจริง ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือเรื่องของหุ้น ถ้าเราเป็นเจ้าของถือหุ้นมานานพอสมควรและมันให้ผลตอบแทนที่ดีเราก็จะ “รัก” มันและคิดว่านี่คือบริษัทที่ดี มีการบริหารงานที่ดี มากกว่ามองข้อเสียที่อาจจะมีมากกว่า และอาจจะทำให้เราไม่ขายมันทั้ง ๆ ที่มันไม่คุ้มค่าแล้ว นี่ก็ทำให้ในวงการนักลงทุนมีคำเตือนว่าเราไม่ควรจะ “รักหุ้น” มากเกินไป เพราะเราจะ Bias
วิธีการคิดหรือวิเคราะห์ที่จะหลีกเลี่ยงความลำเอียงที่ผมมักใช้เป็นประจำก็คือการ “คิดแบบใช้สถิติ” คือแทนที่จะมองเป็น “รายตัว” ว่ามันดี หรือโตเร็ว หรืออะไรก็ตาม ผมจะดูว่าโดยปกติค่าเฉลี่ยของเรื่องนั้นหรือสิ่งนั้นในระยะยาว(ถ้ามี) เป็นอย่างไร และค่าความผันผวนโดยธรรมชาติจะทำให้ค่าสูงและค่าต่ำประมาณไหน แล้วนำข้อมูลนั้นมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เรากำลังพิจารณา ถ้าเราให้คุณค่ากับสิ่งที่เรากำลังดูนั้นสูงกว่าค่าทางสถิติมากหรือแย่กว่ามาก บางทีเราก็อาจจะกำลัง “ลำเอียง” ก็ได้ และถ้าเป็นแบบนั้น เราก็อาจจะต้องทบทวนดูอีกครั้ง ตัวอย่างในเรื่องนี้ก็อาจจะรวมถึงการตั้งผลตอบแทนคาดหวังจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่คนมักจะลำเอียงในทางสูงเช่น ตั้งผลตอบแทนคาดหวังปีละ 20-25% ต่อปีแบบทบต้นในระยะยาวอย่างน้อย 5-10 ปี ซึ่งถ้าดูจากสถิติในอดีตแล้ว เป็นไปได้ยากมาก เพราะแม้แต่เซียนหุ้นระดับโลกเอง ถ้าลงทุนแบบ “ไม่เสี่ยงเกินไป” และพอร์ตมีขนาดใหญ่พอสมควร การได้ผลตอบแทนปีละ 15-18% ต่อปีก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
อีกวิธีหนึ่งที่จะลดความลำเอียง โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางสังคมหรือการเมืองก็คือ การศึกษาหรือใช้ข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์ทั่วโลก วิธีนี้จะทำให้เราลำเอียงน้อยลงเวลาวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย แนวทางของผมก็คือ สังคมไทยนั้นเป็นสังคมที่มีการพัฒนาระดับกลางค่อนไปทางสูงเล็กน้อย และผมเชื่อว่าการพัฒนานั้นก็สะท้อน “คนไทย” โดยรวมว่าเรามีความสามารถระดับเดียวกันเมื่อเทียบกับโลกนั่นคือ เราไม่ได้เก่งหรือเด่นมากแต่ก็ไม่เลวนักในด้านต่าง ๆ รวมถึงการจัดการกับปัญหาหรือวิกฤติ ดังนั้น ผมก็มักจะไม่เชื่อคำพูดที่ว่า “เราดีที่สุดในโลก” หรือ “เราแย่มากที่สุด” โดยที่คำพูดดังกล่าวนั้นมักจะมาจากคนที่ลำเอียงทั้งทางด้านดีและร้ายขึ้นอยู่กับมุมมองของเขาต่อรัฐไทยหรือรัฐบาล เป็นต้น
ที่พูดมาทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถคิดแบบไม่ลำเอียงเลย นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราเพียงแต่ลดมันลงเพื่อทำให้สามารถคิดและวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้องมากขึ้นในโลกที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยข่าวสารที่ทำให้เราเกิดความลำเอียงมากขึ้น
คิดอย่างไรไม่ลำเอียง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1
คิดอย่างไรไม่ลำเอียง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
- IndyVI
- Verified User
- โพสต์: 14944
- ผู้ติดตาม: 2
Re: คิดอย่างไรไม่ลำเอียง/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
FM 96.5 | รู้ใช้เข้าใจเงิน | ก๊อกสุดท้ายหุ้นไทยควรถือกลุ่มไหนในมุมมองของดร.นิเวศน์ | 21 มิ.ย. 64
วันนี้คุยกับดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร : พูดคุยถึงบทความคิดอย่างไรไม่ให้ลำเอียง
และก๊อกสุดท้ายหุ้นไทยควรถือกลุ่มไหนในมุมมองของดร.นิเวศน์
https://youtu.be/ZLD-6qQ4Tmc?t=780
Investment success doesn’t come from “buying good things,” but rather from “buying things well.
# Howard Mark #
# Howard Mark #