วู๊ดสต็อคนายทุน
นักลงทุนที่ไปประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในเมืองไทยดูเหมือนว่าจะมีน้อยมาก เท่าที่สังเกตดู ถ้าเป็นบริษัทเล็กที่เป็นที่สนใจของ Value Investor ก็มักจะมี Value Investor เข้าร่วมประชุมสักหยิบมือหนึ่ง คนเหล่านี้ตั้งใจมาฟังและถามคำถามกับผู้บริหารเพื่อนำไปวิเคราะห์ว่าสมควรจะถือหุ้นต่อไป ซื้อเพิ่ม หรือขายหุ้นทิ้ง หลายคนไปเพื่อทำความรู้จักกับผู้บริหาร ดูว่า น่าไว้วางใจ หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถหาข้อมูลนี้ได้จากรายงานต่าง ๆ ของบริษัท
ถ้าหุ้นของบริษัทเป็นหุ้น ยอดนิยม ที่นักเก็งกำไรทั้งหลายชอบ เป็นหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยทุกคนรู้จักและ เล่น เป็นประจำ การประชุมผู้ถือหุ้นก็มักจะมีกลุ่ม คุณป้าและคุณเจ๊ เข้าร่วมประชุมมากหน้าหลายตานับได้หลายสิบหรืออาจเป็นร้อย แต่คนเหล่านี้ หลายคนไปเพื่อที่จะ บ่นและต่อว่าผู้บริหาร เวลาหุ้นตก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ ไปรับของชำร่วยและรับประทานอาหารหรือของว่างที่บริษัทจัดไว้ให้
บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ก็มักจะดูแลต้อนรับผู้ถือหุ้นเป็นอย่างดี อาจจะเป็นเพราะว่ามีเพียงปีละครั้งหรือสองครั้งที่จะได้พบผู้ถือหุ้น ซึ่งมองทางนิตินัยก็คือจ้าวนาย หรืออาจจะรู้สึกว่าต้องเอาใจไม่ให้ผู้ถือหุ้น โวยมากนัก นอกจากนั้น หลาย ๆ บริษัทก็มักจะเกณฑ์พนักงานที่เป็นผู้ถือหุ้นหรือรับมอบฉันทะเข้ามาร่วมประชุมด้วยเพื่อเอาไว้ คาน หรือ ต้าน กับผู้ถือหุ้น แสบ ๆ ทั้งหลาย ถ้ามี
ไม่ว่าบรรยากาศของการประชุมผู้ถือหุ้นแต่ละบริษัทจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ผมเห็นก็คือ การประชุมผู้ถือหุ้นมักจะตึงเครียด มีลักษณะของการ ประจันหน้า มากกว่าที่จะเป็นบรรยากาศของความผ่อนคลาย รื่นเริง เป็นมิตร ทั้ง ๆ ที่การประชุมผู้ถือหุ้นนั้น ถ้าจะว่าไปก็เหมือนกับที่หุ้นส่วนหรือเจ้าของบริษัทมาพบกันเพื่อปรึกษาพูดคุยถึงธุรกิจที่ได้ทำมาทั้งปีและมาตกลงกันว่าจะจ่ายปันผลกันเท่าไรจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และถ้าบริษัททำได้ดีเยี่ยม ผู้บริหารได้สร้างคุณค่าให้กับผู้ถือหุ้นมหาศาล การประชุมผู้ถือหุ้นก็น่าจะเป็นมหกรรมแห่งความรื่นเริงไม่ใช่หรือ?
ใช่สิครับ! และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ของวอเร็น บัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นมหกรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งโลกทุนนิยมเหมือนกับมหกรรมเพลงวู๊ดสต็อคอย่างไรก็อย่างนั้น
การประชุมผู้ถือหุ้นของเบิร์กไชร์นั้น มีผู้ถือหุ้นมาร่วมประชุมกว่าหมื่นคน ต้องเปิดสนามแข่งม้าเป็นที่ประชุม ที่สำคัญ คนที่มาประชุมมาจากทั่วประเทศเกือบทุกรัฐของอเมริกาและจากอีกหลายประเทศทั่วโลก
ผู้ถือหุ้นจะทะยอยกันมาล่วงหน้าและถือโอกาสมาท่องเที่ยวเมืองโอมาฮา เยี่ยมเยียนสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทและวอเร็น บัฟเฟตต์ เช่นไปเยี่ยมชมร้านเฟอร์นิเจอร์ในเมืองที่บริษัทเป็นเจ้าของ ไปกินสเต็คในร้านที่บัฟเฟตต์ชอบ และถือโอกาสกระทบไหล่เขาในโอกาสเดียวกัน
บริษัทที่อยู่ภายใต้ธงของเบิร์กไชร์ก็จะนำสินค้าของตนมาเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้น ที่โดดเด่นก็มีสินค้าเครื่องประดับของ Borsheim s รองเท้าของ Dexter ช็อคโกแล็ต ของ See s และแน่นอนการเสิร์พน้ำอัดลมของโค๊ก ซึ่งสินค้าทั้งหมดนั้นขายระเบิด เพราะผู้ถือหุ้นของเบิร์กไชร์นั้นต่างก็เป็นเศรษฐีกันทั้งนั้น เพราะหุ้นเบิร์กไชร์แค่หุ้นเดียวก็มีค่าหลายล้านบาทแล้ว ดังนั้น การประชุมผู้ถือหุ้นนี้ก็น่าจะเป็นการชุมนุมเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของโลก
ไม่เฉพาะผู้ถือหุ้นเท่านั้นที่มา ผู้สื่อข่าว ทีวี หนังสือพิมพ์ และอื่น ๆ ก็มักจะมาทำข่าวการประชุมผู้ถือหุ้น นี่ยังไม่นับดาราและคนมีชื่อเสียงที่มักมาปรากฎตัวเป็นครั้งคราว และที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้บริหารบริษัทภายใต้สังกัดของเบิร์กไชร์ซึ่งหลายคนก็เป็นคนดังอยู่แล้ว
ในวันประชุมนั้นแม้ว่าจะเริ่มประชุมจริงในวันจันทร์เวลา 9.30 น. แต่ผู้ถือหุ้นก็จะเริ่มทะยอยเข้าที่ประชุมตั้งแต่ตีสามหรือตีสี่เพื่อจองที่นั่งข้างหน้าใกล้เวทีราวกับว่าจะเข้าฟังคอนเสิตนักร้องดังอย่างไรก็อย่างนั้น
การประชุมผู้ถือหุ้นซึ่งมีวอเร็นบัฟเฟตต์เป็นประธานและชาลี มังเจอร์เป็นรองประธานนั้นใช้เวลาประชุมที่เป็นทางการจริง ๆ แค่ 10-15 นาทีเท่านั้น หลังจากนั้นเวลาที่ทุกคนรอคอยจริง ๆ ก็จะเริ่มขึ้น นั่นคือรายการถามตอบซึ่งผู้ถือหุ้นจะเป็นคนถามและวอเร็นบัฟเฟตต์เป็นคนตอบโดยมีมังเจอร์เป็นลูกคู่
บรรยากาศของการประชุมเต็มไปด้วยความครึกครื้นเพราะบัฟเฟตต์เองนั้นเป็นคนที่มีอารมณ์ขันเหลือเฟือ มีลูกเล่นลูกฮาที่หาตัวจับได้ยาก และที่เหนือกว่าดาวตลกทั้งหลายก็คือ คำพูดของเขาเต็มไปด้วยสาระและหลักการของการลงทุนที่ถูกต้องเป็นประโยชน์ เปิดเผยตรงไปตรงมา รายการถามตอบอย่างไม่เป็นทางการนี้โดยปกติกินเวลาไม่น้อยกว่า 4-5 ชั่วโมงและกลายเป็นไฮไล้ท์ของงานที่พลาดไม่ได้ของผู้ถือหุ้น
ถ้าจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นที่มีผู้เข้าร่วมไม่น้อยไปกว่างานของเบิร์กไชร์และครึกครื้นไม่แพ้กันแล้วก็คือการประชุมของอีกบริษัทหนึ่งซึ่งก็ประสบความสำเร็จสุดยอดเช่นเดียวกันนั่นก็คือการประชุมของบริษัทวอลมาร์ทบริษัทดิสเค้าท์สโตร์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกาซึ่ง ณ. วันนี้คือบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยยอดขายปีละ 220 พันล้านเหรียญ และเป็นบริษัทที่ได้รับการชื่นชมสูงสุดในอเมริกา
การประชุมผู้ถือหุ้นของวอลมาร์ทนั้นมีผู้เข้าร่วมประชุมถึง 20,000 คนและต้องเปิดสนามกีฬาประชุมเช่นเดียวกัน แต่งานของวอลมาร์ทนั้นจะออกแนวบันเทิงมากกว่า เพราะจะมีการเชิญซุปเปอร์สตาร์ทั้งทางด้านดนตรี ภาพยนตร์ นางแบบ และกีฬา มาแสดงและโชว์ตัวเคียงคู่กับผู้บริหารบริษัท
ยกเว้นเรื่องของสาระการประชุมซึ่งแตกต่างกันแล้ว ผมคิดว่า 2 บริษัทนี้มีสิ่งที่เหมือนกันในหลาย ๆ เรื่องนั่นคือ บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยความครึกครื้น มองโลกในแง่ดี ผู้ถือหุ้นมีอารมณ์ร่วมและคิดว่านี่คือบริษัทของพวกเขาที่เขาจะมาฉลองในความสำเร็จปีละครั้ง และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นี่คือบริษัทที่ได้สร้างความมั่งคั่งให้พวกเขาต่อเนื่องยาวนานและบริหารโดยคนที่มีความสามารถ มีความซื่อสัตย์น่านับถือ และดูแลผลประโยชน์ให้เขาเป็นอย่างดี
ในเมืองไทยนั้น ผมเองยังไม่เห็นการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทไหนที่สามารถดึงดูดผู้ถือหุ้นให้มาร่วมประชุมและมีความรู้สึกทำนองเดียวกับผู้ถือหุ้นของเบิร์กไชร์หรือวอลมาร์ทแม้แต่เพียงเศษเสี้ยวเดียว แต่นี่ก็อาจจะเป็นภาพสะท้อนที่ว่า นักลงทุนของไทยยังไม่ค่อยมีใครคิดว่าตนเป็นเจ้าของบริษัท หรืออาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่มีบริษัทไหนที่ได้สร้างความมั่งคั่งให้กับผู้ถือหุ้นจำนวนมากอย่างน่าประทับใจจริง ๆ