หุ้นสินเชื่อแย่ขัดศก.พอเพียง
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นสินเชื่อแย่ขัดศก.พอเพียง
โพสต์ที่ 1
หุ้นสินเชื่อแย่ขัดศก.พอเพียง - ติดโผ 14 ตัว KTC AEONTS หนักสุดปล่อยกู้บุคคล
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 06 October 2006 05:13
จับตา 14 หุ้นเฉา ดำเนินธุรกิจขัดนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงของรัฐบาลใหม่มีโอกาสโตยากทางการไม่หนุน เคทีซี อิออนแย่สุด เน้นปล่อยกู้สินเชื่อบุคคล ถูกมองแหล่งเพาะคนไทยมือเติบ ขณะที่ปล่อยเช่าซื้อรถยนต์ SPL ติดโผ เล่นตลาดรถยนต์ใหม่
อนาคตหุ้นสินเชื่อเช่าซื้อ และบุคคลไม่สดใส หลังพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ประกาศนโยบายนำพาประเทศโดยยึดแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้นเชื่อว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบกับบริษัทดำเนินธุรกิจปล่อยกู้ เพื่อให้ประชาชนนำไปใช้จ่ายเกินตัว เพราะจะไม่ได้รับการส่งเสริม หรือเกื้อหนุนให้เติบโตได้ดีนักภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ ในทางกลับกันอาจมีนโยบายให้ดำเนินธุรกิจยากขึ้น
โดยบริษัทที่เป็นแหล่งพึ่งพิงสำคัญ และปล่อยเงินกู้ให้ประชาชนใช้เงินเกินตัว มีทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และอยู่นอกตลาด ซึ่งในส่วนของที่อยู่ในตลาดพบว่ามีจำนวน 14ราย แบ่งเป็นให้สินเชื่อบุคคล 2 รายได้แก่บริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS บริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC
ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อมี 10 รายได้แก่ บริษัทเอเซียเสริมกิจ จำกัด (มหาชน) หรือASK บริษัทตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ECL บริษัทกรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL บริษัทกรุงไทยคาร์เรนท์แอนด์ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ KCAR บริษัทไมด้าลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ML
บริษัทนวลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NVL บริษัทภัทรลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือPL บริษัทราชธานีลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI บริษัทฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือTK บริษัทสยามพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPL และบริษัทสแกนดิเนเวียลีสซิ่งจำกัด (มหาชน) หรือ SCAN
ส่วนอีกรายเน้นปล่อยสินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้แก่บริษัทดีอี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ DE
สำหรับบริษัทมีอยู่นอกตลาดมีอยู่ 3 แห่งที่ค่อนเป็นที่รู้จัก ได้แก่บริษัทแคปปิตอล โอเคจำกัด (มหาชน) บริษัทอีซี่บาย จำกัด (มหาชน) และบริษัทเฟิร์สช้อย จำกัด
ทั้งนี้เชื่อว่าในส่วนของบริษัทที่ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล น่าจะถูกจับตามองมากสุด ว่าการดำเนินธุรกิจขัดกับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงมากที่สุด เนื่องจากบริการปล่อยเงินให้กับประชาชนในรูปแบบเงินสด เพื่อนำไปใช้สอยอะไรก็ได้ ไม่ได้มีขีดจำกัด และยังถือเป็นแหล่งรีไฟแนนซ์หนี้หลักของประชาชน ดังนั้น KTC และ AEONTS ถือว่าทำธุรกิจลำบากขึ้นจากนโยบายดังกล่าว
ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อกลุ่มที่เล่นปล่อยกู้รถยนต์ใหม่น่าจะได้รับผลกระทบ อาทิ SPL MLมากกว่าพวกเน้นปล่อยกู้รถมือสอง และรถกระบะ
โดยในส่วนของสินเชื่อบุคคลม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.ถือว่าเล็งเห็นถึงปัญหาของธุรกิจเหล่านี้มานานแล้ว และค่อนข้างเข้ามาจับตาดูเป็นพิเศษ
โดยได้มอบหมายนโยบายผ่านมือขวาอย่างนางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าด้านเสถียรภาพสถาบันการเงินธนาคารแห่งประเทศ ให้ดึงธุรกิจนี้เข้ามาดูแลรับผิดชอบเอง จากเดิมอยู่ในความดูแลของกระทรวงพาณิชย์
ทั้งนี้นางธาริษา ถือว่ารับนโยบายดังกล่าวได้ดี โดยได้ออกกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้นทั้งในส่วนของการตีกรอบการคิดอัตราดอกเบี้ยสูงสุด การตั้งสำรองต่อหนี้เสีย เพื่อไม่ให้ธุรกิจสร้างความเสียหายให้กับภาพรวมของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มเพดานการผ่อนชำระขั้นต่ำจากเดิมกำหนดไว้ 5% เป็น 10% ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณอย่างมีนัย คือออกมาตรการที่เข้มข้น เพื่อให้คนมีกำลังผ่อนชำระลดลงซึ่งช่วยจำกัดธุรกิจไม่ให้แบบก้าวกระโดดจนเกินไป หลังเห็นแนวโน้มสินเชื่อเช่าซื้อพุ่งแบบน่าเป็นห่วง
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการได้ทำหนังสือ เพื่อขอให้แบงก์ชาติลดเกณฑ์ที่เข้มงวดลงโดยขอให้กำหนดวงเงินผ่อนชำระขั้นต่ำไว้ที่ 5% เหมือนเดิม อ้างเหตุผลว่า เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุนการใช้จ่ายของประชาชน หลังประสบปัญหาเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้มีกำลังซื้อ และผ่อนชำระได้น้อยลง
อย่างไรก็ดีแบงก์ชาติไม่ได้โอนอ่อนให้กับผู้ประกอบการ โดยยังคงเกณฑ์ชำระขั้นต่ำที่10% เหมือนเดิม ทั้งนี้เพื่อจำกัดการใช้จ่าย และเพื่อไม่ให้การก่อหนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นมากนัก
ดังนั้นเชื่อว่าแบงก์ชาติจะรับช่วงนโยบายในส่วนนี้มาดำเนินการต่อเนื่อง ถึงแม้อนาคตม.ร.ว.ปรีดิยาธร จะต้องย้ายมานั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แต่ในส่วนของนางธาริษา ซึ่งติดโผขึ้นเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ คงสานต่องานได้เป็นอย่างดี และอาจออกเกณฑ์เพิ่มเติม เพื่อจำกัดให้ธุรกิจเหล่านี้เดินลำบากขึ้นด้วย
นายอภิชาติ นันทเทิม กรรมการผู้จัดการบริษัทอิออน กล่าวาการปล่อยสินเชื่อของบริษัทเน้นเพื่อการอุปโภค-บริโภคเป็นหลัก จึงไม่ขัดกับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทคำนึงถึงจุดนี้ และได้ออกสินเชื่อที่ตอบสนองความต้องการ หรือมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเพื่อการศึกษา สินเชื่อประกันชีวิต และล่าสุดกำลังจะเปิดตัวสินเชื่อเพื่อประกันสุขภาพ
นายอภิชาติ กล่าวว่าการจะพิจารณาว่าสินค้าไหนเป็นของฟุ้มเฟือยคงพูดยากในยุคนี้เนื่องจากสังคมเปลี่ยนแปลงไป โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ของเหล่านี้กลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิต แต่คงต้องพิจารณาให้มีราคาที่เหมาะสม และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปมากกว่า
"โทรศัพท์เครื่องละพัน-หมื่นถือว่าโอเคเหมาะสม ไม่ใช่ปาเข้าไปเครื่องละแสนหรือล้าน โทรทัศน์แบบโฮมเธียเตอร์ตรงนี้ยอมรับว่ากลายเป็นสิ่งฟุ้มเฟือย แต่ของอิออนเรามีเกณฑ์การปล่อยที่รอบคอบ ลูกค้าส่วนใหญ่ของเราจึงกู้เงินตามความจำเป็น และมีการผ่อนชำระตรงเวลา ดูได้จากเราเปิดดำเนินการมาแล้วเกือบ 15 ปีเอ็นพีแอลไม่ได้เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.5%-3%"นายอภิชาติ กล่าว
แหล่งข่าวในวงการ กล่าวว่าการดำเนินสินเชื่อบุคคลมีการเจาะกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป คือมีทั้งระดับรากหญ้าและระดับบน แต่ประเมินยากว่ากลุ่มไหนมีเอ็นพีแอลมากกว่ากัน เพราะขึ้นอยู่กับวินัยของผู้กู้มากกว่า อย่างไรก็ดีในแง่ของบริษัทที่เล่นระดับบนถือว่ามีความเสี่ยงที่สูงกว่า เพราะคนกลุ่มนี้มักนิยมใช้ของแพง
ขณะที่กลุ่มเช่าซื้อก็คงได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวเช่นกัน แต่ในส่วนของการปล่อยกู้รถจักรยานยนต์ และรถกระบะถือว่ายังไปได้ เพราะมีความจำเป็นลูกค้ากู้ซื้อเพื่อนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หรือประกอบอาชีพ ขณะที่พวกเล่นรถยนต์ใหม่จะได้รับผลกระทบมากกว่า
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 06 October 2006 05:13
จับตา 14 หุ้นเฉา ดำเนินธุรกิจขัดนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงของรัฐบาลใหม่มีโอกาสโตยากทางการไม่หนุน เคทีซี อิออนแย่สุด เน้นปล่อยกู้สินเชื่อบุคคล ถูกมองแหล่งเพาะคนไทยมือเติบ ขณะที่ปล่อยเช่าซื้อรถยนต์ SPL ติดโผ เล่นตลาดรถยนต์ใหม่
อนาคตหุ้นสินเชื่อเช่าซื้อ และบุคคลไม่สดใส หลังพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ประกาศนโยบายนำพาประเทศโดยยึดแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้นเชื่อว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลกระทบกับบริษัทดำเนินธุรกิจปล่อยกู้ เพื่อให้ประชาชนนำไปใช้จ่ายเกินตัว เพราะจะไม่ได้รับการส่งเสริม หรือเกื้อหนุนให้เติบโตได้ดีนักภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ ในทางกลับกันอาจมีนโยบายให้ดำเนินธุรกิจยากขึ้น
โดยบริษัทที่เป็นแหล่งพึ่งพิงสำคัญ และปล่อยเงินกู้ให้ประชาชนใช้เงินเกินตัว มีทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และอยู่นอกตลาด ซึ่งในส่วนของที่อยู่ในตลาดพบว่ามีจำนวน 14ราย แบ่งเป็นให้สินเชื่อบุคคล 2 รายได้แก่บริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS บริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC
ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อมี 10 รายได้แก่ บริษัทเอเซียเสริมกิจ จำกัด (มหาชน) หรือASK บริษัทตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ECL บริษัทกรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL บริษัทกรุงไทยคาร์เรนท์แอนด์ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ KCAR บริษัทไมด้าลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ML
บริษัทนวลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NVL บริษัทภัทรลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือPL บริษัทราชธานีลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI บริษัทฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือTK บริษัทสยามพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPL และบริษัทสแกนดิเนเวียลีสซิ่งจำกัด (มหาชน) หรือ SCAN
ส่วนอีกรายเน้นปล่อยสินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้แก่บริษัทดีอี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ DE
สำหรับบริษัทมีอยู่นอกตลาดมีอยู่ 3 แห่งที่ค่อนเป็นที่รู้จัก ได้แก่บริษัทแคปปิตอล โอเคจำกัด (มหาชน) บริษัทอีซี่บาย จำกัด (มหาชน) และบริษัทเฟิร์สช้อย จำกัด
ทั้งนี้เชื่อว่าในส่วนของบริษัทที่ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล น่าจะถูกจับตามองมากสุด ว่าการดำเนินธุรกิจขัดกับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงมากที่สุด เนื่องจากบริการปล่อยเงินให้กับประชาชนในรูปแบบเงินสด เพื่อนำไปใช้สอยอะไรก็ได้ ไม่ได้มีขีดจำกัด และยังถือเป็นแหล่งรีไฟแนนซ์หนี้หลักของประชาชน ดังนั้น KTC และ AEONTS ถือว่าทำธุรกิจลำบากขึ้นจากนโยบายดังกล่าว
ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อกลุ่มที่เล่นปล่อยกู้รถยนต์ใหม่น่าจะได้รับผลกระทบ อาทิ SPL MLมากกว่าพวกเน้นปล่อยกู้รถมือสอง และรถกระบะ
โดยในส่วนของสินเชื่อบุคคลม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.ถือว่าเล็งเห็นถึงปัญหาของธุรกิจเหล่านี้มานานแล้ว และค่อนข้างเข้ามาจับตาดูเป็นพิเศษ
โดยได้มอบหมายนโยบายผ่านมือขวาอย่างนางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าด้านเสถียรภาพสถาบันการเงินธนาคารแห่งประเทศ ให้ดึงธุรกิจนี้เข้ามาดูแลรับผิดชอบเอง จากเดิมอยู่ในความดูแลของกระทรวงพาณิชย์
ทั้งนี้นางธาริษา ถือว่ารับนโยบายดังกล่าวได้ดี โดยได้ออกกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้นทั้งในส่วนของการตีกรอบการคิดอัตราดอกเบี้ยสูงสุด การตั้งสำรองต่อหนี้เสีย เพื่อไม่ให้ธุรกิจสร้างความเสียหายให้กับภาพรวมของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มเพดานการผ่อนชำระขั้นต่ำจากเดิมกำหนดไว้ 5% เป็น 10% ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณอย่างมีนัย คือออกมาตรการที่เข้มข้น เพื่อให้คนมีกำลังผ่อนชำระลดลงซึ่งช่วยจำกัดธุรกิจไม่ให้แบบก้าวกระโดดจนเกินไป หลังเห็นแนวโน้มสินเชื่อเช่าซื้อพุ่งแบบน่าเป็นห่วง
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการได้ทำหนังสือ เพื่อขอให้แบงก์ชาติลดเกณฑ์ที่เข้มงวดลงโดยขอให้กำหนดวงเงินผ่อนชำระขั้นต่ำไว้ที่ 5% เหมือนเดิม อ้างเหตุผลว่า เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุนการใช้จ่ายของประชาชน หลังประสบปัญหาเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้มีกำลังซื้อ และผ่อนชำระได้น้อยลง
อย่างไรก็ดีแบงก์ชาติไม่ได้โอนอ่อนให้กับผู้ประกอบการ โดยยังคงเกณฑ์ชำระขั้นต่ำที่10% เหมือนเดิม ทั้งนี้เพื่อจำกัดการใช้จ่าย และเพื่อไม่ให้การก่อหนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นมากนัก
ดังนั้นเชื่อว่าแบงก์ชาติจะรับช่วงนโยบายในส่วนนี้มาดำเนินการต่อเนื่อง ถึงแม้อนาคตม.ร.ว.ปรีดิยาธร จะต้องย้ายมานั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง แต่ในส่วนของนางธาริษา ซึ่งติดโผขึ้นเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ คงสานต่องานได้เป็นอย่างดี และอาจออกเกณฑ์เพิ่มเติม เพื่อจำกัดให้ธุรกิจเหล่านี้เดินลำบากขึ้นด้วย
นายอภิชาติ นันทเทิม กรรมการผู้จัดการบริษัทอิออน กล่าวาการปล่อยสินเชื่อของบริษัทเน้นเพื่อการอุปโภค-บริโภคเป็นหลัก จึงไม่ขัดกับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทคำนึงถึงจุดนี้ และได้ออกสินเชื่อที่ตอบสนองความต้องการ หรือมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเพื่อการศึกษา สินเชื่อประกันชีวิต และล่าสุดกำลังจะเปิดตัวสินเชื่อเพื่อประกันสุขภาพ
นายอภิชาติ กล่าวว่าการจะพิจารณาว่าสินค้าไหนเป็นของฟุ้มเฟือยคงพูดยากในยุคนี้เนื่องจากสังคมเปลี่ยนแปลงไป โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ของเหล่านี้กลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิต แต่คงต้องพิจารณาให้มีราคาที่เหมาะสม และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปมากกว่า
"โทรศัพท์เครื่องละพัน-หมื่นถือว่าโอเคเหมาะสม ไม่ใช่ปาเข้าไปเครื่องละแสนหรือล้าน โทรทัศน์แบบโฮมเธียเตอร์ตรงนี้ยอมรับว่ากลายเป็นสิ่งฟุ้มเฟือย แต่ของอิออนเรามีเกณฑ์การปล่อยที่รอบคอบ ลูกค้าส่วนใหญ่ของเราจึงกู้เงินตามความจำเป็น และมีการผ่อนชำระตรงเวลา ดูได้จากเราเปิดดำเนินการมาแล้วเกือบ 15 ปีเอ็นพีแอลไม่ได้เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.5%-3%"นายอภิชาติ กล่าว
แหล่งข่าวในวงการ กล่าวว่าการดำเนินสินเชื่อบุคคลมีการเจาะกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป คือมีทั้งระดับรากหญ้าและระดับบน แต่ประเมินยากว่ากลุ่มไหนมีเอ็นพีแอลมากกว่ากัน เพราะขึ้นอยู่กับวินัยของผู้กู้มากกว่า อย่างไรก็ดีในแง่ของบริษัทที่เล่นระดับบนถือว่ามีความเสี่ยงที่สูงกว่า เพราะคนกลุ่มนี้มักนิยมใช้ของแพง
ขณะที่กลุ่มเช่าซื้อก็คงได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวเช่นกัน แต่ในส่วนของการปล่อยกู้รถจักรยานยนต์ และรถกระบะถือว่ายังไปได้ เพราะมีความจำเป็นลูกค้ากู้ซื้อเพื่อนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หรือประกอบอาชีพ ขณะที่พวกเล่นรถยนต์ใหม่จะได้รับผลกระทบมากกว่า
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นสินเชื่อแย่ขัดศก.พอเพียง
โพสต์ที่ 3
เช่าซื้อรถยนต์โดนด้วยเหรอ แค่นี้ก็จะแย่กันอยู่แล้ว :roll คงเป็นแค่การคาดเดาล่วงหน้ากันไปก่อนหรือเปล่าครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นสินเชื่อแย่ขัดศก.พอเพียง
โพสต์ที่ 6
เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว
ถ้าของจริงคือคนกู้ๆไปเพื่อฟุ้งเฟ้อ นโยบายนี้ก็จะได้ผล เพราะคนลดความฟุ่มเฟือยลง
แต่ถ้าของจริงไม่ใช่แบบนี้ แต่เขากู้เพราะความจำเป็นจริงๆ หรือกระทั่งผสมผสานทั้งสองอย่าง
นโยบายนี้ก็จะผลักดันไปสู่
กู้ตรงนี้ไม่ได้ ก็อาจจะหันไปกู้ใต้ดินเหมือนเดิม
เล่นหวยบนดินไม่ได้ ก็อาจจะหันไปเล่นใต้ดินเหมือนเดิม
สิ่งที่ตามมาก็คือ ผู้มีอิทธิพล เจ้ามือหวย เจ้าแม่เงินกู้มหาโหดกลับมาเฟื่องฟู............
ถ้าของจริงคือคนกู้ๆไปเพื่อฟุ้งเฟ้อ นโยบายนี้ก็จะได้ผล เพราะคนลดความฟุ่มเฟือยลง
แต่ถ้าของจริงไม่ใช่แบบนี้ แต่เขากู้เพราะความจำเป็นจริงๆ หรือกระทั่งผสมผสานทั้งสองอย่าง
นโยบายนี้ก็จะผลักดันไปสู่
กู้ตรงนี้ไม่ได้ ก็อาจจะหันไปกู้ใต้ดินเหมือนเดิม
เล่นหวยบนดินไม่ได้ ก็อาจจะหันไปเล่นใต้ดินเหมือนเดิม
สิ่งที่ตามมาก็คือ ผู้มีอิทธิพล เจ้ามือหวย เจ้าแม่เงินกู้มหาโหดกลับมาเฟื่องฟู............
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นสินเชื่อแย่ขัดศก.พอเพียง
โพสต์ที่ 8
คุณ house ถือหุ้นที่ว่านี่อยู่หรือเปล่าคะhouse เขียน:โอ้ งั้นลงมาๆๆๆ ลดราคาซัก 30-50% นะ
ผมไม่เชื่อครับ ว่าธุรกิจจะแย่จริงๆ ตอนนี้ข่าวมีประเด็นการเมืองเยอะกว่าข้อเท็จจริงมากๆ
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นสินเชื่อแย่ขัดศก.พอเพียง
โพสต์ที่ 10
ผมเห็นว่าควรจะมีต่อไป แต่ควรเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลเครดิต เพราะคนที่กู้แล้วมีปัญญาใช้คืนก็คือให้เสรีภาพในการกู้แก่เขาต่อไปเพราะเขาไม่ได้ทำให้สังคมเดือดร้อนในภายหลัง
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 337
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นสินเชื่อแย่ขัดศก.พอเพียง
โพสต์ที่ 11
ใช่ครับสุมาอี้ เขียน:ผมเห็นว่าควรจะมีต่อไป แต่ควรเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลเครดิต เพราะคนที่กู้แล้วมีปัญญาใช้คืนก็คือให้เสรีภาพในการกู้แก่เขาต่อไปเพราะเขาไม่ได้ทำให้สังคมเดือดร้อนในภายหลัง
ผมว่าต้องดูว่าคนที่กู้เขานำเงินไปทำอะไร
ผมว่าคนไทยตอนนี้ความคิดยังรับข้อมูลไม่ตรงกันทำให้ความคิด
แตกแยกกัน
เศรษฐกิจพอเพียงคือการให้เราเติบโตแบบยั่งยืนและมั่นคง
ถ้าเราเข้าใจตรงกันความคิดแตกแยกกันคงจะลดลง
ส่วนตัวผมคิดว่าเรากำลังมาถูกทาง
ดีกว่า
ให้พวกเราโตแบบฟองสบู่เหมือนเมื่อก่อน
ที่พวกเราเคยเจอเหตุการต้มยำกุ้ง
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 1
หุ้นสินเชื่อแย่ขัดศก.พอเพียง
โพสต์ที่ 12
พอดีเจอข่าวพระพยอมให้สัมภาษณ์ไทยรัฐเรื่องหวยว่า
เพราะรางวัลแจ็คพ็อตเป็นการมอมเมาประชาชน และยิ่งไทยรัฐชอบออกข่าวคนโน้นคนนี้ถูกรางวัลแจ็คพ็อต 75 ล้านมั่ง ร้อยล้านมั่ง ก็ยิ่งแต่เป็นการโฆษณาโดยตรงและยิ่งมอมเมามากขึ้น
เรื่องเหล่านี้ไม่ควรจะโฆษณามากนัก รวมทั้งที่ออกทางทีวี รู้ไหมการขายสลาก รายได้เข้ามาเอาไปทำอะไร ครูครับเขาก็เอาไปส่งเสริมให้กับการศึกษา แล้วยังวงการแพทย์ไทย ก้าวไกลพัฒนา ส่งเสริมวงการกีฬาให้ก้าวหน้าสู่โลกสากล
พวกนี้ไม่ควรโฆษณา ถ้าจะให้เงินจริงก็ให้เงียบๆดีกว่า
แต่การที่ไม่ยกเลิกหวยบนดินก็จะทำให้หวยใต้ดินเกิดยาก เพราะหวยใต้ดินก็ไม่ได้มีรางวัลแจ็คพ็อตแต่อย่างไร
ผมอ่านแล้วก็เห็นด้วยกับพระพยอมเป็นอย่างยิ่งเห็นด้วยกับการยกเลิกรางวัลแจ็คพ็อต แต่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกหวยบนดิน เพราะเจ้ามือหวยใต้ดินได้กำไรก็เข้ากระเป๋าตัวเอง แต่หวยบนดินกำไรเข้ารัฐบาล
เพราะรางวัลแจ็คพ็อตเป็นการมอมเมาประชาชน และยิ่งไทยรัฐชอบออกข่าวคนโน้นคนนี้ถูกรางวัลแจ็คพ็อต 75 ล้านมั่ง ร้อยล้านมั่ง ก็ยิ่งแต่เป็นการโฆษณาโดยตรงและยิ่งมอมเมามากขึ้น
เรื่องเหล่านี้ไม่ควรจะโฆษณามากนัก รวมทั้งที่ออกทางทีวี รู้ไหมการขายสลาก รายได้เข้ามาเอาไปทำอะไร ครูครับเขาก็เอาไปส่งเสริมให้กับการศึกษา แล้วยังวงการแพทย์ไทย ก้าวไกลพัฒนา ส่งเสริมวงการกีฬาให้ก้าวหน้าสู่โลกสากล
พวกนี้ไม่ควรโฆษณา ถ้าจะให้เงินจริงก็ให้เงียบๆดีกว่า
แต่การที่ไม่ยกเลิกหวยบนดินก็จะทำให้หวยใต้ดินเกิดยาก เพราะหวยใต้ดินก็ไม่ได้มีรางวัลแจ็คพ็อตแต่อย่างไร
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- โอ@
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4246
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นสินเชื่อแย่ขัดศก.พอเพียง
โพสต์ที่ 15
พออ่านหัวข้อข่าวอย่างเดียวก็ ธุรกิจสินเชื่อแย่แน่เลย แต่พออ่านไปอ่านมาถึงประโยคสุด เอ๋ มีหวังกำไรบานเลยนะนั่น'อุ๋ย'เผยรัฐบลใหม่จะเข้มงวดบัตรเครดิต
7 ตุลาคม 2549 15:16 น.
"ม.รว.ปรีดิยาธร"เผยรัฐบาลใหม่หาทางกำกับบัตรเครดิตเสริม หวั่นสร้างนิสัยไม่ดีให้เยาวชน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า อาจจะนั่งควบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขณะที่นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ทั้งนี้ ยืนยันว่าการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ทั้งในระดับครัวเรือน องค์กรธุรกิจ และเศรษฐมหภาคจะให้ความสำคัญต่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งหมายถึงความพอดี พอตัว ไม่ใช้จ่าย เกินตัว แต่ยืนยันว่าในส่วนของโครงการเมกะโปรเจกต์ เช่นโครงการรถไฟฟ้า 3 สายที่รัฐบาลชุดก่อนหน้าวางแผนลงทุนไว้นั้นจะเดินหน้าต่อไป เนื่องจากเห็นว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจเพราะสถานการณ์ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ควรให้ประชาชนใช้บริการระบบสาธารณะมากขึ้น นอกจากนี้ยังเห็นว่านโยบายด้านทรัพยากรน้ำก็ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำเช่นกัน
ส่วนโครงการลงทุนไหนที่ยังไม่มีผลการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจชัดเจนก็จะต้องทำการศึกษาให้ชัดเจนก่อน ส่วนแนวนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้น ยอมรับว่าระยะเวลา 1 ปีคงไม่สามารถดำเนินการได้ทัน ดังนั้น รัฐบาลจะต้องวางรากฐานในลักษณะการเตรียมความพร้อม โดยแต่ละรัฐวิสาหกิจที่จะทำการแปรรูปควรจะมีคณะกรรมการกำกับเพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้บริโภค
นอกจากนี้ ยังต้องเน้นการรักษาวินัยการเงิน โดยได้ฝากธนาคารแห่งประเทศไทย ว่า ควรจะมีการพิจารณาเกี่ยวกับกรณีที่สถาบันการเงินเปิดให้มีบัตรเครดิตเสริม ว่า ควรจะมีขอบเขตอย่างไรหรือไม่ เพราะแม้ว่าพ่อแม่มีฐานะดีทำบัตรเสริมให้ลูก แต่ในทางสังคมแล้วอาจเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดีให้เยาวชนด้วย นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่อาจจะอนุญาตให้ปรับเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตขึ้นถึงร้อยละ 20
_________
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: หุ้นสินเชื่อแย่ขัดศก.พอเพียง
โพสต์ที่ 16
"สมคิด"เตือนสติรัฐ ยึดหลักพอเพียงตั้งงบ เจ้าสัวดันธุรกิจนำไปใช้
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Friday, May 11, 2012
ASTVผู้จัดการรายวัน - "สมคิด" เตือนสติรัฐบาล ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงตั้งงบประมาณประเทศ อย่ามุ่งดันจีดีพีโตแบบกลวงหวั่นประเทศลงเหวASTVผู้จัดการรายวัน -"สมคิด" เตือนสติรัฐบาล ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงตั้งงบ
ประมาณประเทศ อย่ามุ่งหวังจีดีพีโตแบบกลวง หวั่นนำพาประเทศเข้าสู่ความเสี่ยงด้านบิ๊กเอกชนประสานเสียงใช้เศรษฐกิจพอเพียงสร้างความมั่นคงให้ธุรกิจ พร้อมแนะSMEs ทำตาม
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในการบรรยายพิเศษเรื่อง"ชี้นำเศรษฐกิจ:ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ภายในงานสัมมนา 80 ปี หอการค้าไทย วานนี้ (10 พ.ค.) ว่า ขณะนี้โลกกำลังเผชิญภัยคุกคามทางเศรษฐกิจ หลายฝ่ายอยู่ระหว่างการหารูปแบบการจัดการเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นการพัฒนาเชิงคุณภาพ ไม่ใช่เชิงปริมาณที่ใช้การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่งให้กับคนบางกลุ่ม โดยเห็นว่าหลักการเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้ สามารถมาตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้อย่างลงตัวเพราะหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงคือ การยึดหลักพอดี มีความรู้ เท่าทันกระแสโลกาภิวัตน์ และดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรมซื่อสัตย์ซึ่งหลักการดำเนินธุรกิจดังกล่าวสามารถใช้ได้กับทุกธุรกิจ
ทั้งนี้ วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ล้วนเกิดจากปัจจัยที่ตรงข้ามกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การใช้จ่ายเกินตัวมีการสร้างหนี้ที่มากเกินความสามารถในการจ่ายหนี้ การบริหารอย่างไม่มีความรับผิดชอบทำให้เกิดการสะสมวิกฤตมาอย่างต่อเนื่องจนแบกรับไม่ไหว
นายสมคิดกล่าวว่า ในส่วนของไทยทุกครั้งที่เกิดวิกฤต รัฐบาลจะใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นการบริโภค และมักจะจัดทำงบประมาณขาดดุล ซึ่งได้ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปีนี้ และปีหน้า ที่คาดว่าจะใช้งบประมาณขาดดุล 4 แสนล้านบาท โดยรวมแล้ว 5 ปี ไทยก่อหนี้ไปแล้ว 2.2 ล้านล้านบาทแลกกับจีดีพีที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจจุบันแค่ 2.6% แต่การเจริญเติบโตนี้ไม่ใช่การเติบโตที่ยั่งยืน ที่จะทำให้เมืองไทยก้าวไปข้าวหน้า แต่เป็นการเติบโตจากการบริโภคอย่างเดียว
"หากไทยยังคงก่อหนี้อยู่ในระดับ 4 แสนล้านบาทต่อปีต่อไปอีก 5 ปี ถ้าจีดีพีโต 5%สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีจะอยู่ที่ 47% ถ้าจีดีพีโต 4%สัดส่วนหนี้จะอยู่ที่ 52% ถ้าจีดีพีโตแค่ 3%สัดส่วนหนี้จะมากกว่า 52% หรือถ้าก่อหนี้เต็มเพดาน 5-6 แสนล้านบาท หากจีดีพีโตได้ 5%หนี้จะอยู่ที่ 53% ถ้าจีดีพีโต 3% หนี้จะอยู่ที่58-59% ถือว่าเริ่มเสี่ยง แล้วหนี้ที่ไทยต้องจ่ายแต่ละปี ตอนนี้ก็สูงถึง 2 แสนล้านบาท เป็นเงินต้นน้อยมาก แต่ถ้ารัฐบาลยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ตั้งงบประมาณบนความพอเพียงลงทุนในสิ่งที่ควรลงทุน ลงทุนในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ไม่ใช่ตั้งงบประมาณให้สูงเข้าไว้แล้วใช้จ่ายเพื่อตัวเองทำให้จีดีพีโตแบบกลวง จะเป็นประโยชน์มากกว่า" นายสมคิดกล่าว
ส่วนบทบาทของหอการค้าไทย เห็นด้วยที่กำลังนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการประกอบธุรกิจ และควรจะเป็นแกนนำสำคัญที่จะผลักดันจากธุรกิจใหญ่ลงสู่ธุรกิจ SMEs เพื่อทำให้ประเทศเข้มแข็งทั้งระบบ
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด กล่าวว่า มิตรผลได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการประกอบธุรกิจ โดยได้ศึกษาเรื่องความเสี่ยงและเพิ่มภูมิคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา และยังได้มีการคิดค้นใหม่ๆ ที่นำไปสู่การขยายธุรกิจต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าและรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การนำชานอ้อยไปผลิตเป็นไม้ปาร์ติเกิลสำหรับตลาดเฟอร์นิเจอร์ เพื่อทดแทนการใช้ไม้ธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการตัดต้นไม้ทำลายป่าทำเชื้อเพลิงชีวมวลสำหรับผลิตไฟฟ้า ซึ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยลดโลกร้อน นำโมลาสจากการผลิตน้ำตาลมาทำเอทานอล ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงาน
นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าหากธุรกิจนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ ก็จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับธุรกิจ และเมื่อธุรกิจมีภูมิคุ้มกัน ก็จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศ ไม่ประสบปัญหาวิกฤตเหมือนอดีตที่ผ่านมา และเห็นว่า จากนี้ไป ธุรกิจไทยจะต้องเน้นการพึ่งพาต้นเองให้มาก แทนที่จะพึ่งเทคโนโลยี เงินทุน ความรู้ วิทยาการ จากต่างชาติ ต้องพัฒนาให้เป็นของตนเอง และรัฐบาลจะต้องสนับสนุน เพราะเรามีสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ก็ควรจะทำแล้วนำไปใช้ประโยชน์ให้ได้
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือเอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจี ยืนยันว่าธุรกิจต่างๆ สามารถนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ได้เพื่อสร้างการเติบโตขององค์กรได้และเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ห้ามไม่ให้รวยรวยได้ แต่ต้องรวยแบบมีคุณภาพ
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท.สผ. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในแต่ละปีไทยต้องพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศเกือบทุกประเภท เพราะมีไม่เพียงพอ โดยต้องนำเข้าปีละประมาณ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าไทยขาดภูมิคุ้มกัน ปตท. จึงได้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ โดยผลักดันให้คนในประเทศช่วยกันประหยัดพลังงาน และส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกหรือพลังงานทดแทนในชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาด้านเศรษฐกิจและเยียวยาสภาวะแวดล้อม
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด กล่าวว่า เมืองไทยได้ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักในการบริหารธุรกิจ โดยได้พัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ไม่เน้นการกู้ยืมเงินบริหารธุรกิจอย่างมีวินัย และลงทุนภายใต้กรอบการลงทุนอย่างเคร่งครัด และบริหารความเสี่ยงด้วยการดำรงเงินกองทุนให้เหมาะสมกับการเติบโตของธุรกิจ
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์จำกัด (TUF) กล่าวว่า TUF ทำธุรกิจด้วยความพอดี ไม่ลงทุนธุรกิจที่ไม่ชำนาญ ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า พร้อมๆ กับสร้างความสมดุลในระบบทำธุรกิจด้วยความโปร่งใส ซื่อสัตย์ซึ่งทำให้ TUF เติบโตได้อย่างมั่นคงมาจนถึงวันนี้
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด กล่าวว่า ไทยเบฟ ลงทุนทำธุรกิจด้วยการก้าวไปอย่างช้าๆ ไม่ผลีพลาม ไม่ลงทุนในสิ่งที่มองว่าไม่เป็นประโยชน์ ทั้งๆ ที่ไทยเบฟมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีโอกาสระดมทุนได้มาก แต่ก็ไม่ทำ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าธุรกิจนำไปประยุกต์ใช้ก็จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจ หรือถ้าชาวโลกได้ทำความเข้าใจ และนำไปประยุกต์ใช้ก็จะช่วยแก้ปัญหาให้กับเศรษฐกิจโลกที่มีปัญหาในปัจจุบัน และทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตได้อย่างมั่งคงได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Friday, May 11, 2012
ASTVผู้จัดการรายวัน - "สมคิด" เตือนสติรัฐบาล ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงตั้งงบประมาณประเทศ อย่ามุ่งดันจีดีพีโตแบบกลวงหวั่นประเทศลงเหวASTVผู้จัดการรายวัน -"สมคิด" เตือนสติรัฐบาล ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงตั้งงบ
ประมาณประเทศ อย่ามุ่งหวังจีดีพีโตแบบกลวง หวั่นนำพาประเทศเข้าสู่ความเสี่ยงด้านบิ๊กเอกชนประสานเสียงใช้เศรษฐกิจพอเพียงสร้างความมั่นคงให้ธุรกิจ พร้อมแนะSMEs ทำตาม
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในการบรรยายพิเศษเรื่อง"ชี้นำเศรษฐกิจ:ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ภายในงานสัมมนา 80 ปี หอการค้าไทย วานนี้ (10 พ.ค.) ว่า ขณะนี้โลกกำลังเผชิญภัยคุกคามทางเศรษฐกิจ หลายฝ่ายอยู่ระหว่างการหารูปแบบการจัดการเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นการพัฒนาเชิงคุณภาพ ไม่ใช่เชิงปริมาณที่ใช้การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่งให้กับคนบางกลุ่ม โดยเห็นว่าหลักการเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้ สามารถมาตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้อย่างลงตัวเพราะหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงคือ การยึดหลักพอดี มีความรู้ เท่าทันกระแสโลกาภิวัตน์ และดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรมซื่อสัตย์ซึ่งหลักการดำเนินธุรกิจดังกล่าวสามารถใช้ได้กับทุกธุรกิจ
ทั้งนี้ วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ล้วนเกิดจากปัจจัยที่ตรงข้ามกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การใช้จ่ายเกินตัวมีการสร้างหนี้ที่มากเกินความสามารถในการจ่ายหนี้ การบริหารอย่างไม่มีความรับผิดชอบทำให้เกิดการสะสมวิกฤตมาอย่างต่อเนื่องจนแบกรับไม่ไหว
นายสมคิดกล่าวว่า ในส่วนของไทยทุกครั้งที่เกิดวิกฤต รัฐบาลจะใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นการบริโภค และมักจะจัดทำงบประมาณขาดดุล ซึ่งได้ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปีนี้ และปีหน้า ที่คาดว่าจะใช้งบประมาณขาดดุล 4 แสนล้านบาท โดยรวมแล้ว 5 ปี ไทยก่อหนี้ไปแล้ว 2.2 ล้านล้านบาทแลกกับจีดีพีที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจจุบันแค่ 2.6% แต่การเจริญเติบโตนี้ไม่ใช่การเติบโตที่ยั่งยืน ที่จะทำให้เมืองไทยก้าวไปข้าวหน้า แต่เป็นการเติบโตจากการบริโภคอย่างเดียว
"หากไทยยังคงก่อหนี้อยู่ในระดับ 4 แสนล้านบาทต่อปีต่อไปอีก 5 ปี ถ้าจีดีพีโต 5%สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีจะอยู่ที่ 47% ถ้าจีดีพีโต 4%สัดส่วนหนี้จะอยู่ที่ 52% ถ้าจีดีพีโตแค่ 3%สัดส่วนหนี้จะมากกว่า 52% หรือถ้าก่อหนี้เต็มเพดาน 5-6 แสนล้านบาท หากจีดีพีโตได้ 5%หนี้จะอยู่ที่ 53% ถ้าจีดีพีโต 3% หนี้จะอยู่ที่58-59% ถือว่าเริ่มเสี่ยง แล้วหนี้ที่ไทยต้องจ่ายแต่ละปี ตอนนี้ก็สูงถึง 2 แสนล้านบาท เป็นเงินต้นน้อยมาก แต่ถ้ารัฐบาลยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ตั้งงบประมาณบนความพอเพียงลงทุนในสิ่งที่ควรลงทุน ลงทุนในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ไม่ใช่ตั้งงบประมาณให้สูงเข้าไว้แล้วใช้จ่ายเพื่อตัวเองทำให้จีดีพีโตแบบกลวง จะเป็นประโยชน์มากกว่า" นายสมคิดกล่าว
ส่วนบทบาทของหอการค้าไทย เห็นด้วยที่กำลังนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการประกอบธุรกิจ และควรจะเป็นแกนนำสำคัญที่จะผลักดันจากธุรกิจใหญ่ลงสู่ธุรกิจ SMEs เพื่อทำให้ประเทศเข้มแข็งทั้งระบบ
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด กล่าวว่า มิตรผลได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการประกอบธุรกิจ โดยได้ศึกษาเรื่องความเสี่ยงและเพิ่มภูมิคุ้มกันอยู่ตลอดเวลา และยังได้มีการคิดค้นใหม่ๆ ที่นำไปสู่การขยายธุรกิจต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าและรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การนำชานอ้อยไปผลิตเป็นไม้ปาร์ติเกิลสำหรับตลาดเฟอร์นิเจอร์ เพื่อทดแทนการใช้ไม้ธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการตัดต้นไม้ทำลายป่าทำเชื้อเพลิงชีวมวลสำหรับผลิตไฟฟ้า ซึ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยลดโลกร้อน นำโมลาสจากการผลิตน้ำตาลมาทำเอทานอล ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงาน
นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าหากธุรกิจนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ ก็จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับธุรกิจ และเมื่อธุรกิจมีภูมิคุ้มกัน ก็จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศ ไม่ประสบปัญหาวิกฤตเหมือนอดีตที่ผ่านมา และเห็นว่า จากนี้ไป ธุรกิจไทยจะต้องเน้นการพึ่งพาต้นเองให้มาก แทนที่จะพึ่งเทคโนโลยี เงินทุน ความรู้ วิทยาการ จากต่างชาติ ต้องพัฒนาให้เป็นของตนเอง และรัฐบาลจะต้องสนับสนุน เพราะเรามีสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ก็ควรจะทำแล้วนำไปใช้ประโยชน์ให้ได้
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือเอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจี ยืนยันว่าธุรกิจต่างๆ สามารถนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ได้เพื่อสร้างการเติบโตขององค์กรได้และเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ห้ามไม่ให้รวยรวยได้ แต่ต้องรวยแบบมีคุณภาพ
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท.สผ. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในแต่ละปีไทยต้องพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศเกือบทุกประเภท เพราะมีไม่เพียงพอ โดยต้องนำเข้าปีละประมาณ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าไทยขาดภูมิคุ้มกัน ปตท. จึงได้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ โดยผลักดันให้คนในประเทศช่วยกันประหยัดพลังงาน และส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกหรือพลังงานทดแทนในชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาด้านเศรษฐกิจและเยียวยาสภาวะแวดล้อม
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด กล่าวว่า เมืองไทยได้ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักในการบริหารธุรกิจ โดยได้พัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ไม่เน้นการกู้ยืมเงินบริหารธุรกิจอย่างมีวินัย และลงทุนภายใต้กรอบการลงทุนอย่างเคร่งครัด และบริหารความเสี่ยงด้วยการดำรงเงินกองทุนให้เหมาะสมกับการเติบโตของธุรกิจ
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์จำกัด (TUF) กล่าวว่า TUF ทำธุรกิจด้วยความพอดี ไม่ลงทุนธุรกิจที่ไม่ชำนาญ ใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า พร้อมๆ กับสร้างความสมดุลในระบบทำธุรกิจด้วยความโปร่งใส ซื่อสัตย์ซึ่งทำให้ TUF เติบโตได้อย่างมั่นคงมาจนถึงวันนี้
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด กล่าวว่า ไทยเบฟ ลงทุนทำธุรกิจด้วยการก้าวไปอย่างช้าๆ ไม่ผลีพลาม ไม่ลงทุนในสิ่งที่มองว่าไม่เป็นประโยชน์ ทั้งๆ ที่ไทยเบฟมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีโอกาสระดมทุนได้มาก แต่ก็ไม่ทำ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าธุรกิจนำไปประยุกต์ใช้ก็จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจ หรือถ้าชาวโลกได้ทำความเข้าใจ และนำไปประยุกต์ใช้ก็จะช่วยแก้ปัญหาให้กับเศรษฐกิจโลกที่มีปัญหาในปัจจุบัน และทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตได้อย่างมั่งคงได้
ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."