จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 62
กระทู้: อย่าระห่ำ ท้าทายเจ้ามือ!! เพราะคุณจะกลายเป็น “เจ้าเฝ้าหุ้น”
ที่ http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=16503
(^_^)
ที่ http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=16503
(^_^)
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 63
หาใช่เพียงแต่ "ชาว VI" ที่ควรศึกษาพฤติกรรมของ "จ้าวที่"
แต่ในมุมกลับกัน...
"จ้าวที่" เอง...ก็ต้องศึกษาพฤติกรรมของ "ชาว VI" เช่นกัน
เพราะ VI แตกต่างจาก Speculator ทั่วไป
พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ย่อมส่งผลกระทบต่อ Pattern ของการซื้อขายของนักลงทุนในตลาด
ผมมองว่า...
ในสงครามแห่งตลาดผลประโยชน์ นั้น... "รู้เค้า รู้เรา" ย่อมได้เปรียบอ่ะนะครับ
แต่ในมุมกลับกัน...
"จ้าวที่" เอง...ก็ต้องศึกษาพฤติกรรมของ "ชาว VI" เช่นกัน
เพราะ VI แตกต่างจาก Speculator ทั่วไป
พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ย่อมส่งผลกระทบต่อ Pattern ของการซื้อขายของนักลงทุนในตลาด
ผมมองว่า...
ในสงครามแห่งตลาดผลประโยชน์ นั้น... "รู้เค้า รู้เรา" ย่อมได้เปรียบอ่ะนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 64
[color=#0000FF][b]การซ่อนออร์เดอร์ จิตวิทยามวลชนในการไล่แขก[/b][/color]
โลกยุคอินเตอร์เน็ต ทำให้ทุกวันนี้ ทุกท่านมีข้อมูลการลงทุน ทั้งทางด้านปัจจัยพื้นฐาน และ ทางด้านการวิเคราะห์กราฟ เกือบจะเสมอภาคเท่าเทียมกัน ผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ รายใหญ่ จึงต้องใช้จิตวิทยามวลชน เข้ามากดดัน ให้รายย่อยพลาดพลั้ง ทำการซื้อหรือขาย ตามที่เขาต้องการ ด้วยวิธีการต่างๆนานา
ด้วยเหตุนี้ กลยุทธ์ในการรับมือกับรายใหญ่ จึงเป็นสิ่งที่จะแยกรายย่อยผู้ชนะ ให้โดดเด่นขึ้นมา ท่ามกลางมวลชน
ซื้อแล้วลง ขายแล้วขึ้น เป็นเรื่องปกติที่ผิดพลาดกันได้ครับ แต่ความผิดพลาดนั้น สามารถทำให้ลดน้อยลงไปได้ ด้วยความช่างสังเกต และรู้จักการซื้อตามเมื่อหุ้นนั้นผ่านแนวต้านไปได้ด้วย volume outperform แน่นอนล่ะ บางทีก็ต้องซื้อที่ราคาแพงกว่าที่ขายไป ….. ก็มันผ่านแนวต้านมาได้อย่างมั่นคงแล้วนี่ครับ กว่าจะไปชนแนวต้านถัดไปก็อีกยาวไกล
ในการจะกวาดซื้อหุ้นมันต้องใช้เงิน ถ้าตลอดทางของการไล่ซื้อหุ้นขึ้นไป รายใหญ่โดนพวก net settlement พวกตีหัวเข้าบ้าน พวกจับเสือมือเปล่า หรือ พวกที่มีต้นทุนต่ำ ขายใส่ตลอดทาง มันจะทำให้เงินหมดซะก่อน อย่างนี้ จึงต้องไล่แขกออกไปให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรค ในการวิ่ง
การไล่แขก และ การตั้งซ่อนออร์เดอร์ เพื่อหลอกซื้อของจากแขก มักจะใช้ในช่วงที่ราคาอยู่ที่แนวรับ จะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่พอดี ซึ่งตรงจุดนี้ ผู้ที่มีต้นทุนต่ำ มักจะยอมขายทิ้งลงมา ก่อนที่ราคาจะหลุดแนวรับลงไป หรือไม่ก็มักจะใช้ในช่วงที่ราคาหุ้นอยู่ที่แนวต้านพอดี ให้เราลุ้นเล่นว่าจะ breakout ผ่านขึ้นไปได้หรือไม่ พอเราเห็นว่า มันคงไปไม่ไหวแล้ว เราก็จะขายลงมาให้เขาที่จ่อๆ รอซื้ออยู่แล้ว จากนั้นไม่นาน เขาก็จะลากผ่านแนวต้านขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ใครกล้าตาม
แหม ชักแม่น้ำทั้งห้า ฮวงโห แยงซี มิซซิปซิปปี้ เจ้าพระยา และ แม่น้ำไนล์ตั้งนาน กว่าจะเข้าเรื่องได้ …… ไปเลยแล้วกัน การเล่นจิตวิทยามวลชน ด้วยวิธี Partial Publish ซึ่งใช้กันแพร่หลายทั้งในหุ้น Large Cap. & หุ้น Small Cap.
หากรายใหญ่ต้องการให้มวลชนขายลงมา เขาก็จะขนหุ้นมาวางขายที่ฝั่ง offer หนาๆ แล้วตั้ง bid น้อยๆให้เราหวาดเสียวเล่น หรือไม่ก็ใช้ กลวิธี “ทุบให้อ๊วก” ตามแต่ความซาดิสต์ที่มีในจิตใจ หารู้ไม่ ว่านั่นบาปกรรม
แต่เมื่อราคาไหลหรือดิ่งลงไป ณ ใกล้แนวรับแล้ว และในหลายกรณี เลือกที่จะเล่นสงครามจิตวิทยากันที่แนวต้านซะด้วย เพื่อให้คนถอดใจขายของลงมา …………. โดยเฉพาะเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา 20 ก.ค. เห็นหลายตัวเลย ที่เล่นกันที่แนวต้าน …… รายใหญ่เหล่านั้นก็จะสั่งตั้งซื้อแบบซ่อนออร์เดอร์ ที่ฝั่ง bid ด้วยการตั้งซื้อหุ้นจำนวนมาก แต่ใช้คำสั่ง partial publish ทีละน้อยๆ เช่น สั่ง bid ซื้อหุ้นช่องละ 1 ล้านหุ้น แต่ให้เห็นทีละ 40,000 หุ้น
แหม พอเราเห็นฝั่ง offer หนาๆ ขนาดหลายล้านหุ้นขวางอยู่ ขณะที่ bid เหลือแค่ 40,000 หุ้น เราก็รีบขายซิครับ ก่อนที่ราคานั้นจะมีคนชิงขายลงมาก่อน แต่มันก็น่าแปลก พอเราขายลงมา 40,000 หุ้น มันก็โผล่ขึ้นมาอัตโนมัติที่ฝั่ง bid อีก 40,000 หุ้น พอเราขายอีก 40,000 หุ้น มันก็โผล่เข้ามาอีก 40,000 หุ้น พอเราขายอีก 80,000 หุ้น มันก็โผล่เข้ามาอีก 40,000 หุ้น 2 ครั้ง ติดกัน พอเราหยุดขาย มันก็ยังคงรอเราที่ฝั่ง bid อีก 40,000 หุ้น แบบไม่สะทกสะท้านแรงขาย
คำถามคือ หากเป็นท่านเอง ท่านต้องการจะขายหุ้น 2-3 ล้านหุ้น ท่านจะเอามาวางโชว์ที่ฝั่ง offer ไหมครับ ถ้าท่านแสดงให้คนอื่นเห็นว่าท่านอยากขาย 2-3 ล้านหุ้น แล้วใครจะไปเคาะซื้อล่ะครับ
และ ใครกันหนอ จะรับซื้อที่ฝั่ง bid ได้ไม่อั้นขนาดนั้น ใครขายมาเท่าไหร่ รับซื้อหมดเลย แสดงว่า คนที่รับซื้อไม่อั้นคนนั้น เขาต้องมั่นใจสูงเลยใช่ไหมครับว่าราคาจะวิ่งแน่ เพราะถ้าเป็นคนปกติ เขาไม่ซื้อหรอก ถ้าแรงขายยังขายทิ้งลงมาเรื่อยๆแบบนี้ …… สรุป คนนั้นผิดปกติ หรือไม่ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ผู้กำหนดราคา
ถ้าท่านเห็นแบบนี้ ต้องหยุดขาย หรือ หาจังหวะซื้อคืนแล้วนะครับ พลาดแล้วล่ะ เขากำลังตั้งโต๊ะซื้อของอยู่ และเมื่อไม่มีใครขายลงมาให้แล้ว อีกไม่นาน เขาจะกวาดรวบขึ้นไปอย่างรวดเร็ว……. ต้องซื้อคืนแล้วครับ ยิ่งผ่านแนวต้านไปได้ ยิ่งต้องซื้อตามเลย เพราะมันกำลังจะวิ่งไปที่แนวต้านถัดไปอย่างรวดเร็ว
พอวิธีนี้ เริ่มมีคนสังเกตเห็น รายใหญ่เลยพัฒนาวิธีใหม่ ด้วยการ ย้าย partial publish มาที่ฝั่ง offer ซะงั้น พร้อมๆกับ ทยอยตั้งรับ ที่ฝั่ง bid ด้วย จากนั้น ก็เคาะซื้อของตัวเองไปเรื่อยๆ ที่ฝั่ง offer เพื่อให้ใครๆเห็นว่า นี่เป็น partial publish นะ มีออร์เดอร์ซ่อนขายที่ฝั่ง offer นะ น่ากลัวนะ กลัวอ่ะปล่าว
พอเขาเคาะซื้อที่เขาตั้ง offer ไว้เองที่อีกโบรกเกอร์หนึ่ง จำนวน 100,000 หุ้น โห partial publish ไหลมาให้เห็น 20 รายการๆละ 5,000 หุ้น เลยแหะ อีกสักพัก เขาก็เคาะซื้ออีก 200,000 หุ้น partial publish ก็จะโชว์ให้เห็นมา 40 รายการๆละ 5,000 หุ้น …….. เหมือนๆจะขู่เราว่า ว่าไง ว่าไง กลัวไหม มีออร์เดอร์ซ่อนขายอยู่นะ
พอเราเห็นว่า เคาะซื้อฝั่ง offer เท่าไหร่ก็ไม่หมดซะที แถมซ่อนออร์เดอร์ซะด้วย ด้วยความรู้เท่าทัน เราก็จะขายโครมลงมาที่ฝั่ง bid แป่ววววว ……. แหะๆๆ เสร็จเขาเลยล่ะครับ เขาได้ของไปแล้ว ………. พอฝั่ง bid จะหมด เขาก็เติม bid อีก ขายมาเท่าไหร่ ฝั่ง bid ก็ไม่หมดซะที ไอ้ที่เราขายไปแล้ว นั่งรอทั้งวัน ยังไม่ได้ซื้อคืนเลย
คำถามคือ หากเป็นท่านเอง ท่านต้องการจะซื้อหุ้นจำนวนมาก ท่านเห็นว่า ฝั่ง offer หนาขนาดนั้น เคาะไม่ผ่านสักที ท่านจำเป็นจะต้องรีบตั้ง bid จ่อซื้อประชิดตัวซะขนาดนี้ไหมครับ ทำไมฝั่ง offer ไม่ผ่าน แต่ฝั่ง bid ก็ไม่หลุดล่ะ ถ้าไม่มีคนตั้งโต๊ะรอซื้อไม่อั้นที่ฝั่ง bid?
ถ้าเราหมั่นสังเกต จนตามกลิ่นเงินเจอ การเกาะเงินของเขาขึ้นไปขอส่วนแบ่งกำไรด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ….. รถเมลล์ที่กำลังจะออกจากอู่ ไม่ค่อยจะมีที่นั่งว่างให้เราครับ เราต้องยืน เครื่องร้อนแล้ว รถกำลังจะวิ่งแล้ว ส่วนรถเมลล์อีกหลายคันที่อู่ ที่มีที่นั่งเพียบเลย แต่ไม่ยักกะไปซะที ก่อนโชเฟอร์จะลงจากรถ ยังบอกเราซะด้วยว่า คิวของผม อีก 6 ชั่วโมงครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปนอนก่อนนะ
ถ้าให้เลือก ท่านจะเลือกอะไรครับ ระหว่างทำธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือ กับ ขายวิทยุติดตามตัว …… ตามกลิ่นเงินเจอ แพงแค่ไหนก็ขายได้ครับ
*อ้างอิงจาก http://www.thaidaytrade.com/readspecial ... 1185029099
================================================================
ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... =7&gblog=9
โลกยุคอินเตอร์เน็ต ทำให้ทุกวันนี้ ทุกท่านมีข้อมูลการลงทุน ทั้งทางด้านปัจจัยพื้นฐาน และ ทางด้านการวิเคราะห์กราฟ เกือบจะเสมอภาคเท่าเทียมกัน ผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ รายใหญ่ จึงต้องใช้จิตวิทยามวลชน เข้ามากดดัน ให้รายย่อยพลาดพลั้ง ทำการซื้อหรือขาย ตามที่เขาต้องการ ด้วยวิธีการต่างๆนานา
ด้วยเหตุนี้ กลยุทธ์ในการรับมือกับรายใหญ่ จึงเป็นสิ่งที่จะแยกรายย่อยผู้ชนะ ให้โดดเด่นขึ้นมา ท่ามกลางมวลชน
ซื้อแล้วลง ขายแล้วขึ้น เป็นเรื่องปกติที่ผิดพลาดกันได้ครับ แต่ความผิดพลาดนั้น สามารถทำให้ลดน้อยลงไปได้ ด้วยความช่างสังเกต และรู้จักการซื้อตามเมื่อหุ้นนั้นผ่านแนวต้านไปได้ด้วย volume outperform แน่นอนล่ะ บางทีก็ต้องซื้อที่ราคาแพงกว่าที่ขายไป ….. ก็มันผ่านแนวต้านมาได้อย่างมั่นคงแล้วนี่ครับ กว่าจะไปชนแนวต้านถัดไปก็อีกยาวไกล
ในการจะกวาดซื้อหุ้นมันต้องใช้เงิน ถ้าตลอดทางของการไล่ซื้อหุ้นขึ้นไป รายใหญ่โดนพวก net settlement พวกตีหัวเข้าบ้าน พวกจับเสือมือเปล่า หรือ พวกที่มีต้นทุนต่ำ ขายใส่ตลอดทาง มันจะทำให้เงินหมดซะก่อน อย่างนี้ จึงต้องไล่แขกออกไปให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรค ในการวิ่ง
การไล่แขก และ การตั้งซ่อนออร์เดอร์ เพื่อหลอกซื้อของจากแขก มักจะใช้ในช่วงที่ราคาอยู่ที่แนวรับ จะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่พอดี ซึ่งตรงจุดนี้ ผู้ที่มีต้นทุนต่ำ มักจะยอมขายทิ้งลงมา ก่อนที่ราคาจะหลุดแนวรับลงไป หรือไม่ก็มักจะใช้ในช่วงที่ราคาหุ้นอยู่ที่แนวต้านพอดี ให้เราลุ้นเล่นว่าจะ breakout ผ่านขึ้นไปได้หรือไม่ พอเราเห็นว่า มันคงไปไม่ไหวแล้ว เราก็จะขายลงมาให้เขาที่จ่อๆ รอซื้ออยู่แล้ว จากนั้นไม่นาน เขาก็จะลากผ่านแนวต้านขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ใครกล้าตาม
แหม ชักแม่น้ำทั้งห้า ฮวงโห แยงซี มิซซิปซิปปี้ เจ้าพระยา และ แม่น้ำไนล์ตั้งนาน กว่าจะเข้าเรื่องได้ …… ไปเลยแล้วกัน การเล่นจิตวิทยามวลชน ด้วยวิธี Partial Publish ซึ่งใช้กันแพร่หลายทั้งในหุ้น Large Cap. & หุ้น Small Cap.
หากรายใหญ่ต้องการให้มวลชนขายลงมา เขาก็จะขนหุ้นมาวางขายที่ฝั่ง offer หนาๆ แล้วตั้ง bid น้อยๆให้เราหวาดเสียวเล่น หรือไม่ก็ใช้ กลวิธี “ทุบให้อ๊วก” ตามแต่ความซาดิสต์ที่มีในจิตใจ หารู้ไม่ ว่านั่นบาปกรรม
แต่เมื่อราคาไหลหรือดิ่งลงไป ณ ใกล้แนวรับแล้ว และในหลายกรณี เลือกที่จะเล่นสงครามจิตวิทยากันที่แนวต้านซะด้วย เพื่อให้คนถอดใจขายของลงมา …………. โดยเฉพาะเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา 20 ก.ค. เห็นหลายตัวเลย ที่เล่นกันที่แนวต้าน …… รายใหญ่เหล่านั้นก็จะสั่งตั้งซื้อแบบซ่อนออร์เดอร์ ที่ฝั่ง bid ด้วยการตั้งซื้อหุ้นจำนวนมาก แต่ใช้คำสั่ง partial publish ทีละน้อยๆ เช่น สั่ง bid ซื้อหุ้นช่องละ 1 ล้านหุ้น แต่ให้เห็นทีละ 40,000 หุ้น
แหม พอเราเห็นฝั่ง offer หนาๆ ขนาดหลายล้านหุ้นขวางอยู่ ขณะที่ bid เหลือแค่ 40,000 หุ้น เราก็รีบขายซิครับ ก่อนที่ราคานั้นจะมีคนชิงขายลงมาก่อน แต่มันก็น่าแปลก พอเราขายลงมา 40,000 หุ้น มันก็โผล่ขึ้นมาอัตโนมัติที่ฝั่ง bid อีก 40,000 หุ้น พอเราขายอีก 40,000 หุ้น มันก็โผล่เข้ามาอีก 40,000 หุ้น พอเราขายอีก 80,000 หุ้น มันก็โผล่เข้ามาอีก 40,000 หุ้น 2 ครั้ง ติดกัน พอเราหยุดขาย มันก็ยังคงรอเราที่ฝั่ง bid อีก 40,000 หุ้น แบบไม่สะทกสะท้านแรงขาย
คำถามคือ หากเป็นท่านเอง ท่านต้องการจะขายหุ้น 2-3 ล้านหุ้น ท่านจะเอามาวางโชว์ที่ฝั่ง offer ไหมครับ ถ้าท่านแสดงให้คนอื่นเห็นว่าท่านอยากขาย 2-3 ล้านหุ้น แล้วใครจะไปเคาะซื้อล่ะครับ
และ ใครกันหนอ จะรับซื้อที่ฝั่ง bid ได้ไม่อั้นขนาดนั้น ใครขายมาเท่าไหร่ รับซื้อหมดเลย แสดงว่า คนที่รับซื้อไม่อั้นคนนั้น เขาต้องมั่นใจสูงเลยใช่ไหมครับว่าราคาจะวิ่งแน่ เพราะถ้าเป็นคนปกติ เขาไม่ซื้อหรอก ถ้าแรงขายยังขายทิ้งลงมาเรื่อยๆแบบนี้ …… สรุป คนนั้นผิดปกติ หรือไม่ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ผู้กำหนดราคา
ถ้าท่านเห็นแบบนี้ ต้องหยุดขาย หรือ หาจังหวะซื้อคืนแล้วนะครับ พลาดแล้วล่ะ เขากำลังตั้งโต๊ะซื้อของอยู่ และเมื่อไม่มีใครขายลงมาให้แล้ว อีกไม่นาน เขาจะกวาดรวบขึ้นไปอย่างรวดเร็ว……. ต้องซื้อคืนแล้วครับ ยิ่งผ่านแนวต้านไปได้ ยิ่งต้องซื้อตามเลย เพราะมันกำลังจะวิ่งไปที่แนวต้านถัดไปอย่างรวดเร็ว
พอวิธีนี้ เริ่มมีคนสังเกตเห็น รายใหญ่เลยพัฒนาวิธีใหม่ ด้วยการ ย้าย partial publish มาที่ฝั่ง offer ซะงั้น พร้อมๆกับ ทยอยตั้งรับ ที่ฝั่ง bid ด้วย จากนั้น ก็เคาะซื้อของตัวเองไปเรื่อยๆ ที่ฝั่ง offer เพื่อให้ใครๆเห็นว่า นี่เป็น partial publish นะ มีออร์เดอร์ซ่อนขายที่ฝั่ง offer นะ น่ากลัวนะ กลัวอ่ะปล่าว
พอเขาเคาะซื้อที่เขาตั้ง offer ไว้เองที่อีกโบรกเกอร์หนึ่ง จำนวน 100,000 หุ้น โห partial publish ไหลมาให้เห็น 20 รายการๆละ 5,000 หุ้น เลยแหะ อีกสักพัก เขาก็เคาะซื้ออีก 200,000 หุ้น partial publish ก็จะโชว์ให้เห็นมา 40 รายการๆละ 5,000 หุ้น …….. เหมือนๆจะขู่เราว่า ว่าไง ว่าไง กลัวไหม มีออร์เดอร์ซ่อนขายอยู่นะ
พอเราเห็นว่า เคาะซื้อฝั่ง offer เท่าไหร่ก็ไม่หมดซะที แถมซ่อนออร์เดอร์ซะด้วย ด้วยความรู้เท่าทัน เราก็จะขายโครมลงมาที่ฝั่ง bid แป่ววววว ……. แหะๆๆ เสร็จเขาเลยล่ะครับ เขาได้ของไปแล้ว ………. พอฝั่ง bid จะหมด เขาก็เติม bid อีก ขายมาเท่าไหร่ ฝั่ง bid ก็ไม่หมดซะที ไอ้ที่เราขายไปแล้ว นั่งรอทั้งวัน ยังไม่ได้ซื้อคืนเลย
คำถามคือ หากเป็นท่านเอง ท่านต้องการจะซื้อหุ้นจำนวนมาก ท่านเห็นว่า ฝั่ง offer หนาขนาดนั้น เคาะไม่ผ่านสักที ท่านจำเป็นจะต้องรีบตั้ง bid จ่อซื้อประชิดตัวซะขนาดนี้ไหมครับ ทำไมฝั่ง offer ไม่ผ่าน แต่ฝั่ง bid ก็ไม่หลุดล่ะ ถ้าไม่มีคนตั้งโต๊ะรอซื้อไม่อั้นที่ฝั่ง bid?
ถ้าเราหมั่นสังเกต จนตามกลิ่นเงินเจอ การเกาะเงินของเขาขึ้นไปขอส่วนแบ่งกำไรด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ….. รถเมลล์ที่กำลังจะออกจากอู่ ไม่ค่อยจะมีที่นั่งว่างให้เราครับ เราต้องยืน เครื่องร้อนแล้ว รถกำลังจะวิ่งแล้ว ส่วนรถเมลล์อีกหลายคันที่อู่ ที่มีที่นั่งเพียบเลย แต่ไม่ยักกะไปซะที ก่อนโชเฟอร์จะลงจากรถ ยังบอกเราซะด้วยว่า คิวของผม อีก 6 ชั่วโมงครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปนอนก่อนนะ
ถ้าให้เลือก ท่านจะเลือกอะไรครับ ระหว่างทำธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือ กับ ขายวิทยุติดตามตัว …… ตามกลิ่นเงินเจอ แพงแค่ไหนก็ขายได้ครับ
*อ้างอิงจาก http://www.thaidaytrade.com/readspecial ... 1185029099
================================================================
ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id ... =7&gblog=9
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 65
มุมมองของผม กับคำว่า "เจ้าเก็บของยังไม่ครบ"
By pak
"เจ้า"...คือคนที่มีเงิน(ก้อนใหญ่มากพอ) ,มีหุ้น(จำนวนมากพอ) และมีประสบการณ์ช่ำชองในตลาดหุ้น
คนกลุ่มนี้จะเข้าใจพฤติกรรมของนักลงทุนและแมงเม่าเป็นอย่างดี
ว่าจะล่ออย่างไร ให้นักลงทุนมาสนใจซื้อหุ้น
และจะทำอย่างไร ให้หุ้นดูน่าเบื่อ และดูเสมือนว่าไร้มีอนาคต...เพื่อบีบให้รายย่อยขายหุ้นทิ้งออกมา
เพราะสิ่งเหล่านี้ คือ "พฤติกรรมที่เกิดซ้ำๆ ของความโลภและความกลัว"
"เจ้า"...คือ คนที่สามารถคุมเกมส์ทุกอย่างบนกระดานได้
เพราะเจ้ามีเงิน ,มีหุ้น และเก๋าเกมส์อย่างยิ่ง!!!
รวมทั้ง เจ้ารู้หน้าตักพวกเราหมด ว่าหุ้นอยู่ที่ใคร? จำนวนเท่าไหร่? และยังรู้ด้วยว่า ต้นทุนเท่าไหร่?
มากกว่านั้น...
บางครั้ง "เจ้า"...คือคนที่สนิทสนมกับผู้บริหาร (หรือบางทีอาจมีเอี่ยวกันด้วย)
ดังนั้น เจ้าจะรู้ทุกอย่างที่เป็นข้อมูลภายใน
ไม่ว่าจะเป็น ยอดขาย, ต้นทุน, กำไร, รายได้พิเศษ ,ข่าวดีและข่าวร้ายต่างๆ
ประมาณว่า รู้หมดไส้หมดพุง
ดังนั้น ด้วยความได้เปรียบทุกอย่าง
เพราะ "เจ้า" บางคน สามารถคุม "การปล่อยข่าว"
หรือมากกว่านั้น "เจ้า" บางคนสามารถเปลี่ยนผลประกอบการรายไตรมาสได้เลยทีเดียว
(เช่น เจ้าไม่อยากให้กำไร เจ้าก็ให้เจ้าของบริษัทฯทำบัญชีให้ขาดทุนได้)
"เจ้า"...จึงรู้ผลประกอบการล่วงหน้าเสมอ
ถ้าผลประกอบการจะออกมา "เลว"
เจ้าจะมีวิธีหลอกล่อให้คุณเข้าไปซื้อที่ราคาสูงๆ และติดดอยได้อย่างไม่ยาก!!!
แต่ถ้าผลประกอบการจะออกมาดี
เจ้าก็มีวิธีทำให้หุ้นแม่มโครตน่าเบื่อ และทำให้คุณขายออกมาด้วยความหมดหวังได้เสมอ
นี่คือความสามารถของเจ้า
มาถึง คำถาม ของ จขกท. นะครับ
คำว่า "เจ้าเก็บของยังไม่ครบ" ผมเชื่อว่าน่าจะเกิดจากลำดับเหตุการณ์ดังนี้นะครับ
1. เริ่มจาก "เจ้า...ปล่อยข่าวดี แล้วลากราคาหุ้นไปสูงๆ
วางบิดหนาๆเพื่อให้รายย่อยมั่นใจ และระดมเคาะขวาอย่างรุนแรง
จากนั้นก็ "ขาย" หรือ "ปล่อยของ" ออกมาจำนวนมาก ที่ราคาสูงๆนั้น
คนซื้อไปก็ "ติดดอย" ครับ
2. เมื่อเจ้าขายของแพงได้แล้ว(ที่ยอดดอย)
สันดอนเจ้า ก็อยากซื้อคืนครับ (แต่...เค้าอยากซื้อคืนในราคาที่ถูกสุดๆ)
ขบวนการทำให้หุ้นกลายเป็นหุ้น "เซ็งเป็ด" หรือ "ขอลาขาดจนตาย" จึงเริ่มขึ้น
ประมาณว่า หุ้นตัวอื่นขึ้น กรูจะไม่ขึ้น
หุ้นตัวอื่นลง กรูจะลงให้เยอะกว่า
เจ้า...มักจะเค็มเป็นเกลือ ประมาณว่า ใครแม่มเข้ามาเล่นเนท โดนหมด!!!
บาทเดียวแทบจะไม่กระเด็น
ตั้งซื้อเอง แล้วให้อีกพอร์ตโยนขายหุ้นให้ เพื่อข่มขวัญนักลงทุน
จนรายย่อยหมดหวัง และเริ่มสาปส่งหุ้นตัวนั้น
เจ้า...จะวางบิด อย่างใจเย็น ค่อยๆเก็บหุ้นไปเรื่อย
เพราะเค้าคุมทุกอย่างไว้แล้ว ทั้งผลประกอบการ และการปล่อยข่างทางหน้า นสพ.
ในเมื่อเค้ารู้ว่า 2 เดือนข้างหน้า ก่อนผลประกอบการจะประกาศ
มันจะเป็นช่วงเงียบ ไร้ข่าว
โดยเฉพาะช่วงตลาดรวมที่เป็นขาลง มีแต่ข่าวร้าย
เจ้าจะเก็บของอย่างใจเย็น และเลือดเย็นเป็นที่สุด
รายย่อย...ทนไม่ไหว ขายล้างพอร์ต
หรือขายปรับพอร์ตไปเข้าตัวอื่น
เจ้าเก็บของเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพราะเจ้าบอกว่า กรูขายแพงไปแล้ว และกำลังอยากซื้อคืนถูกๆจากเม่า (ในช่วงไร้ข่าว)
จบเกมส์นี้...
เจ้า น่าจะมีจำนวนหุ้นมากขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
และฉากสุดท้าย...
เมื่อเจ้าเก็บของครบ เวลานั้น ข่าวดีมักจะออกมาเสมอๆ
แต่ใครจะรู้ว่า...
หุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือเจ้าหมดแล้ว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
คราวนี้ เมื่อเจ้าปล่อยข่าวดีออกมา เจ้าก็มักจะสร้างราคาให้หุ้นขึ้นอีก
บางทีเจ้าก็วางออฟเฟอร์เอง แล้วเคาะเองบ้างหล่ะ เพื่อสร้างโวลุ่ม
จากนั้นให้กลุ่มก๊วนตัวเอง ช่วยกันสร้างราคา ทำกราฟให้เกิดสัญญาณ "ซื้อ"
เสมือนเจ้าจะถามคุณว่า...
"อยากได้ไหมหล่ะ??? หุ้นกำลังขึ้นนะ"
ถ้าอยากได้ เจ้าจะขายให้คุณแพงๆ
และคุณก็มักจะรับซื้อไปเสมอ
...มันก็ง่ายๆเท่านี้ แต่มันก็มักจะได้ผลเสมอเช่นกัน
*** นำมาจากการตอบกระทู้ของผมใน Pantip.com ครับ
By pak
"เจ้า"...คือคนที่มีเงิน(ก้อนใหญ่มากพอ) ,มีหุ้น(จำนวนมากพอ) และมีประสบการณ์ช่ำชองในตลาดหุ้น
คนกลุ่มนี้จะเข้าใจพฤติกรรมของนักลงทุนและแมงเม่าเป็นอย่างดี
ว่าจะล่ออย่างไร ให้นักลงทุนมาสนใจซื้อหุ้น
และจะทำอย่างไร ให้หุ้นดูน่าเบื่อ และดูเสมือนว่าไร้มีอนาคต...เพื่อบีบให้รายย่อยขายหุ้นทิ้งออกมา
เพราะสิ่งเหล่านี้ คือ "พฤติกรรมที่เกิดซ้ำๆ ของความโลภและความกลัว"
"เจ้า"...คือ คนที่สามารถคุมเกมส์ทุกอย่างบนกระดานได้
เพราะเจ้ามีเงิน ,มีหุ้น และเก๋าเกมส์อย่างยิ่ง!!!
รวมทั้ง เจ้ารู้หน้าตักพวกเราหมด ว่าหุ้นอยู่ที่ใคร? จำนวนเท่าไหร่? และยังรู้ด้วยว่า ต้นทุนเท่าไหร่?
มากกว่านั้น...
บางครั้ง "เจ้า"...คือคนที่สนิทสนมกับผู้บริหาร (หรือบางทีอาจมีเอี่ยวกันด้วย)
ดังนั้น เจ้าจะรู้ทุกอย่างที่เป็นข้อมูลภายใน
ไม่ว่าจะเป็น ยอดขาย, ต้นทุน, กำไร, รายได้พิเศษ ,ข่าวดีและข่าวร้ายต่างๆ
ประมาณว่า รู้หมดไส้หมดพุง
ดังนั้น ด้วยความได้เปรียบทุกอย่าง
เพราะ "เจ้า" บางคน สามารถคุม "การปล่อยข่าว"
หรือมากกว่านั้น "เจ้า" บางคนสามารถเปลี่ยนผลประกอบการรายไตรมาสได้เลยทีเดียว
(เช่น เจ้าไม่อยากให้กำไร เจ้าก็ให้เจ้าของบริษัทฯทำบัญชีให้ขาดทุนได้)
"เจ้า"...จึงรู้ผลประกอบการล่วงหน้าเสมอ
ถ้าผลประกอบการจะออกมา "เลว"
เจ้าจะมีวิธีหลอกล่อให้คุณเข้าไปซื้อที่ราคาสูงๆ และติดดอยได้อย่างไม่ยาก!!!
แต่ถ้าผลประกอบการจะออกมาดี
เจ้าก็มีวิธีทำให้หุ้นแม่มโครตน่าเบื่อ และทำให้คุณขายออกมาด้วยความหมดหวังได้เสมอ
นี่คือความสามารถของเจ้า
มาถึง คำถาม ของ จขกท. นะครับ
คำว่า "เจ้าเก็บของยังไม่ครบ" ผมเชื่อว่าน่าจะเกิดจากลำดับเหตุการณ์ดังนี้นะครับ
1. เริ่มจาก "เจ้า...ปล่อยข่าวดี แล้วลากราคาหุ้นไปสูงๆ
วางบิดหนาๆเพื่อให้รายย่อยมั่นใจ และระดมเคาะขวาอย่างรุนแรง
จากนั้นก็ "ขาย" หรือ "ปล่อยของ" ออกมาจำนวนมาก ที่ราคาสูงๆนั้น
คนซื้อไปก็ "ติดดอย" ครับ
2. เมื่อเจ้าขายของแพงได้แล้ว(ที่ยอดดอย)
สันดอนเจ้า ก็อยากซื้อคืนครับ (แต่...เค้าอยากซื้อคืนในราคาที่ถูกสุดๆ)
ขบวนการทำให้หุ้นกลายเป็นหุ้น "เซ็งเป็ด" หรือ "ขอลาขาดจนตาย" จึงเริ่มขึ้น
ประมาณว่า หุ้นตัวอื่นขึ้น กรูจะไม่ขึ้น
หุ้นตัวอื่นลง กรูจะลงให้เยอะกว่า
เจ้า...มักจะเค็มเป็นเกลือ ประมาณว่า ใครแม่มเข้ามาเล่นเนท โดนหมด!!!
บาทเดียวแทบจะไม่กระเด็น
ตั้งซื้อเอง แล้วให้อีกพอร์ตโยนขายหุ้นให้ เพื่อข่มขวัญนักลงทุน
จนรายย่อยหมดหวัง และเริ่มสาปส่งหุ้นตัวนั้น
เจ้า...จะวางบิด อย่างใจเย็น ค่อยๆเก็บหุ้นไปเรื่อย
เพราะเค้าคุมทุกอย่างไว้แล้ว ทั้งผลประกอบการ และการปล่อยข่างทางหน้า นสพ.
ในเมื่อเค้ารู้ว่า 2 เดือนข้างหน้า ก่อนผลประกอบการจะประกาศ
มันจะเป็นช่วงเงียบ ไร้ข่าว
โดยเฉพาะช่วงตลาดรวมที่เป็นขาลง มีแต่ข่าวร้าย
เจ้าจะเก็บของอย่างใจเย็น และเลือดเย็นเป็นที่สุด
รายย่อย...ทนไม่ไหว ขายล้างพอร์ต
หรือขายปรับพอร์ตไปเข้าตัวอื่น
เจ้าเก็บของเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพราะเจ้าบอกว่า กรูขายแพงไปแล้ว และกำลังอยากซื้อคืนถูกๆจากเม่า (ในช่วงไร้ข่าว)
จบเกมส์นี้...
เจ้า น่าจะมีจำนวนหุ้นมากขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
และฉากสุดท้าย...
เมื่อเจ้าเก็บของครบ เวลานั้น ข่าวดีมักจะออกมาเสมอๆ
แต่ใครจะรู้ว่า...
หุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือเจ้าหมดแล้ว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
คราวนี้ เมื่อเจ้าปล่อยข่าวดีออกมา เจ้าก็มักจะสร้างราคาให้หุ้นขึ้นอีก
บางทีเจ้าก็วางออฟเฟอร์เอง แล้วเคาะเองบ้างหล่ะ เพื่อสร้างโวลุ่ม
จากนั้นให้กลุ่มก๊วนตัวเอง ช่วยกันสร้างราคา ทำกราฟให้เกิดสัญญาณ "ซื้อ"
เสมือนเจ้าจะถามคุณว่า...
"อยากได้ไหมหล่ะ??? หุ้นกำลังขึ้นนะ"
ถ้าอยากได้ เจ้าจะขายให้คุณแพงๆ
และคุณก็มักจะรับซื้อไปเสมอ
...มันก็ง่ายๆเท่านี้ แต่มันก็มักจะได้ผลเสมอเช่นกัน
*** นำมาจากการตอบกระทู้ของผมใน Pantip.com ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 66
เขาฟอกเงินกันอย่างไร ? ภาค 2 (จบ)
โดย Extream Aggressor
จากกระทู้ที่แล้ว เราได้รู้แล้วว่า อาชญากร นำเงินเข้าสู่ระบบอย่างไร
ขั้นตอนต่อไปของการฟอกเงิน คือ การเคลื่อนย้ายเงิน และนำเงินกลับเข้ามาใช้
การเคลื่อนย้ายเงิน หมายถึง การทำธุรกรรมทางการเงินหลายๆ ขั้นตอน ที่มีความซับซ้อน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ตัดความเชื่อมโยงของเงิน กับ ตัวอาชญากร ในขั้นตอนนี้ อาชญากรจะดำเนินการต่างๆ เช่น เปิดบัญชี นอมินี อาจจะเป็น คนสวน คนขับรถ ลูกน้องที่เชื่อใจได้ หรือ คนใกล้ชิดอื่นๆ หรือ เปิดบัญชีในประเทศที่มีระบบการป้องกันทางการเงิน หรือ ทำธุรกรรมผ่านสถาบันการเงินนอกระบบ เช่น บ่อนคาสิโน สถานรับขึ้นเช็คเป็นเงิน สถานรับแลกเงินตราต่างประเทศ ธนาคารใต้ดิน เป็นต้น
ประเทศที่มีระบบการป้องกันทางการเงิน หมายถึง ประเทศที่มีนโยบายในการักษาความลับของลูกค้า โดยไม่เปิดเผยข้อมูลเจ้าของบัญชีแก่บุคคลภายนอก ประเทศที่มีนโยบายแบบนี้ มักเป็นประเทศที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากนัก และต้องการเงินทุนเข้าประเทศ เช่น หมู่เกาะเคย์แมน, บาฮามาส หรือ ประเทศที่มีนโยบายเฉพาะอย่าง สวิสเซอร์แลนด์ เป็นต้น
เมื่อเปิดบัญชีขึ้นมารองรับแล้ว ก็จะทำธุรกรรมหลากหลาย เพื่อให้เงินเดินทางไปเรื่อยๆ เช่น จ้างวานให้ลักลอบขนเงินตราต่างประเทศข้ามพรมแดน เช่นในประเทศไทย มีกฎหมายเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายเงินตราต่างประเทศกำกับอยู่ ดังนั้น การทำธุรกรรมผ่านระบบการเงินอาจไม่ได้รับความสะดวกนัก อาชญากรจะใช้วิธีลักลอบขนเงินแทน และนำเงินตราต่างประเทศไปฝากไว้ในบัญชีของประเทศที่มีระบบป้องกันทางการเงิน ก่อนเตรียมเคลื่อนย้ายไปที่อื่นๆ
นอกจากนี้ ในสถาบันการเงินบางแห่งที่มีระบบป้องกันทางการเงิน ยังมีบริการพิเศษ คือ บัญชีเดินได้ หมายถึง เมื่อ อาชญากรโอนเงินผ่านสถาบันการเงินระหว่างประเทศเหล่านี้ เมื่อมีการร้องขอตรวจสอบข้อมูลจากทางการ สถาบันการเงินจะส่งข้อมูลระหว่างกันเพื่อ โอนย้ายเงินออกโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่างเช่น นายอัลเวซ เปิดบัญชีกับแบงก์ ก สาขานิวยอร์ก ต่อมา นายอัลเวซ สั่งโอนเงินไป บราซิล ทางการสหรัฐฯ สงสัยที่มา ที่ไปของเงินก้อนดังกล่าวของนายอัลเวซ หรืออาจจะเตรียมอายัดเงินดังกล่าว จึง ขอข้อมูลจากแบงก์ ก สาขานิวยอร์ก ในการขอข้อมูลดังกล่าว ทางการจะทำหนังสือแจ้งไปให้แบงก์ ก สาขานิวยอร์ก แจ้งข้อมูลการโอนเงินมา ซึ่ง แบงก์ ก สาขานิวยอร์ก จะแจ้งข้อมูลคู่ขนาน ไปยัง แบงก์ ก สาขาบราซิล ก่อน เพื่อทำการโอนเงินอัตโนมัติไปยังบัญชีที่อยู่ในประเทศที่มีระบบป้องกันทางการเงิน เช่น ที่เกาะเคย์แมน โดยทันที พอทางการสหรัฐฯ ได้รับข้อมูลจากแบงก์ ก สาขานิวยอร์ก ว่า เงินโอนไปที่บราซิล กว่าทางการสหรัฐฯ จะประสานงานกับทางการบราซิล ในการสกัดกั้นเงินดังกล่าว ก็ช้าไปเสียแล้ว ทำให้การตามรอยเส้นทางการเงินของนายอัลเวซ ช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ
หรือ อาชญากรจะเลือกทำธุรกรรมในตราสารทางการเงินต่างๆ หลายๆ ขั้นตอน เช่น การซื้อขายหุ้น โดยเปิดบัญชีหุ้น ตามปกติบริษัทหลักทรัพย์จะบังคับให้ลูกค้าชำระเงินโดยหักเงินผ่านบัญชีธนาคาร แต่ระหว่างรอการหักบัญชี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 -4 วัน ลูกค้าที่เป็นอาชญากร อาจทำการฝากเงิน โดยแยกย่อยเงินให้ต่ำกว่าเกณฑ์ เพื่อฝากผ่านธนาคารหลายๆ แห่ง เข้ามายังบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเงินหลักประกันเพื่อเล่นหุ้น หรืออาจใช้นอมินีหลายๆ คนทำธุรกรรมดังกล่าว แล้วซื้อหุ้น จากนั้น ค่อยโอนหุ้นไปให้เจ้าของเงินตัวจริง ซึ่งเจ้าของเงินจะเอาหุ้นไปขาย และบริษัทหลักทรัพย์จะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของอาชญากร
ในธุรกิจหลักทรัพย์เอง เรื่องของ นอมินี เป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว เหตุผลเพื่อการปั่นราคาหุ้น โดยตั้งบัญชีนอมินีขึ้นมาหลายๆ บัญชี มีการทยอยเก็บสะสมหุ้นที่จะปั่นเข้าพอร์ต ซึ่งระหว่างนี้ อาจจะมีการโอนหุ้นระหว่างกัน บริษัทหลักทรัพย์ก็จะเห็นว่า มีการโอนหุ้นระหว่างบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งเป็นเหตุผลเพียงพอในการรายงานต่อ สำนักงาน ปปง. ได้เช่นกัน
เมื่อมีการสะสมหุ้นไว้จำนวนมาก ต่อไป ก็จะโยนหุ้นระหว่างกัน หรือ มีการตั้งซื้อ ตั้งขายระหว่างนอมินีด้วยกันเอง ให้ดูเสมือนหนึ่งว่า มีปริมาณการซื้อขายมาก ตลาดคึกคัก แล้วไล่ราคาขึ้นไป ซึ่งการโยนหุ้นจากบัญชีนอมินีหลายๆ บัญชี แต่เงินกระเป๋าเดียวกัน กำไรของนอมินีคนแรก กับขาดทุนของนอมินีคนที่สอง ก็หักกลบกันพอดี เจ้ามือปั่นหุ้นจึงเสียค่าปั่นหุ้นแค่ ค่าคอมฯ ที่จ่ายบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์เท่านั้น
ตัวอย่างแบบง่ายๆ ของการปั่นหุ้น (ซึ่งของจริงจะไม่ง่ายแบบนี้) เช่น นาย เอ ทยอยเก็บหุ้น SS ไว้ 1 ล้านหุ้น โดยตั้งนอมินีขึ้นมา คือ บัญชีของนาย บี และ นาย ซี จากนั้น จะเริ่มมีข่าวลือในทางที่ดีเกี่ยวกับหุ้น เช่น เตรียมเจรจาดีลพันล้านกับบริษัทต่างชาติ เตรียมจ่ายปันผลสูงๆ ฯลฯ และจากนั้นก็ให้ นาย บี และ ซี คอยไล่ซื้อหุ้น
สมมติว่า เปิดตลาดมา ราคาเป็น 1 บาท ต่อหุ้น นายเอ จะ offer หรือตั้งขายไว้ที่หลายๆ ช่วงราคา (spread) เช่น 1.1, 1.2 , 1.3 บาท นายบี และซี จะไล่เคาะซื้อจนราคาสูงขึ้น พอหุ้นถ่ายมาอยู่ในมือ นายบี และ ซี สองคนนี้จะตั้งขายไว้ที่ราคาสูงขึ้นไปอีก เช่น 1.4, 1.5, 1.6 บาท นายเอ ซึ่งเพิ่งขายออกไป ก็จะมาไล่ซื้อจากนายบี และ ซี ต่อ ซึ่งนักลงทุนรายอื่น จะไม่ทราบเลยว่า หุ้นที่เห็นซื้อขายกันคึกคักนั้น เป็นการซื้อขายกันเองระหว่าง 3 คนนี้ ก็จะเข้ามาเล่นด้วย โดยยอมที่จะไล่ซื้อเพื่อเก็งกำไรต่อ เพราะปริมาณซื้อขายมาก และมีข่าวดี พอเริ่มมีนักลงทุน เข้ามาซื้อมากขึ้นๆ ทั้งสามคนก็จะเทขายหุ้นในพอร์ตจนหมด ซึ่ง ราคาที่ขายได้ ก็จะอยู่ประมาณ หุ้นละ 1.6 – 1.7 บาท เท่ากับกำไร 60% โดยเสียค่าคอมฯ ให้โบรกเกอร์ ประมาณ 0.275% เท่านั้นเอง
ธุรกรรมในลักษณะนี้ ก็มีความเสี่ยงในเรื่องการฟอกเงินเช่นกัน เนื่องจาก สามารถทำเงินผิดกฎหมายให้กลายเป็นเงินถูกกฎหมายที่มากกว่าเดิมได้ในระยะเวลาอันสั้น
ตลาดหุ้น จึงเป็นที่จับตามองของหน่วยงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในฐานะแหล่งฟอกเงินที่สำคัญ
หรือการตั้งบริษัทบังหน้า บริษัทปลอม บริษัทผี บริษัทผู้ถือหุ้น
บริษัทบังหน้า ก็คือ บริษัทที่มีการดำเนินงานจริงๆ แต่มีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้น ในการฟอกเงินให้อาชญากร โดยอาจจะเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นมานานแล้ว และถูกซื้อไปโดยกลุ่มอาชญากร เพื่อใช้ดำเนินการด้านเอกสารต่างๆ การซื้อบริษัทจะทำให้ ดูไม่มีพิรุธเพราะบริษัทดังกล่าวมีประวัติการดำเนินงานมาก่อน และอาจใช้ในการออกเอกสาร หรือลงวันที่ย้อนหลังในการสร้างธุรกรรมเพื่อกลบเกลื่อนร่อยรอย
บริษัทปลอม ก็คือบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ได้ประกอบธุรกิจใดๆ การจดทะเบียนมักทำขึ้นในประเทศที่เรียกว่า TAX Haven หรือ เมืองท่าภาษี ซึ่งจะให้สิทธิพิเศษ ปลอดภาษีในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท รวมถึง มีการตรวจสอบน้อย และหละหลวมกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นประเทศที่มีระบบการป้องกันทางการเงิน
ตัวอย่างเช่น นายจอห์น พ่อค้ายา ซื้อบริษัท SS Industrial (SSI) ซึ่งเป็นบริษัทส่งออกเครื่องจักรอุตสาหกรรม ที่มีถิ่นฐานในประเทศไทย มาไว้ใช้บังหน้า จากนั้น ไปจดทะเบียนบริษัทปลอมที่ เกาะเคย์แมน เป็นบริษัท เคย์แมน คอร์ป จ้างคนลักลอบขนเงินผิดกฎหมายผ่านพรมแดน เพื่อไปฝากไว้ที่เกาะเคย์แมน จากนั้นให้ เคย์แมน คอร์ปส่ง ออร์เดอร์ ปลอมมา ทางด้านนายจอห์นก็ให้บริษัท SSI ส่งใบเสนอราคาที่ตั้งราคาสูงๆ เวอร์ ไป และให้เคย์แมน คอร์ป รับดีลนี้ จากนั้นก็ส่งใบเรียกเก็บเงินสูงเกินจริง ให้เคย์แมน คอร์ป โอนเงินผ่านระบบที่ถูกต้องเข้ามา โดยการทำธุรกรรมในปัจจุบัน อาจจะทำผ่านศูนย์กลางการเงินสำคัญๆ ของโลก แทนที่จะส่งคำสั่งมาจาก เกาะเคย์แมน โดยตรง ซึ่งจะค่อนข้างน่าสงสัยว่าจะเป็นการฟอกเงิน
บริษัทผี คือ บริษัทที่มีแต่ชื่อ ไม่ได้จดทะเบียน หรือ ประกอบธุรกิจ
ส่วนบริษัทผู้ถือหุ้น เป็นการที่อาชญากร ให้นอมินี มาถือหุ้นในบริษัท เพื่อไม่ให้ตรวจสอบความเป็นเจ้าของที่แท้จริงได้
เมื่ออาชญากร ทำการเคลื่อนย้ายเงิน จนตัดร่องรอยของเงินผิดกฎหมาย กับตัวเขาได้แล้ว ก็จะนำเงินกลับมาใช้ โดยการซื้อทรัพย์สินที่มีราคาสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือ ในรูปของการจ่ายเงินเดือนให้ตนเองในฐานะผู้บริหาร การจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นที่เป็นนอมินี ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นเงินสะอาดที่มีที่มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
ก็เป็นความรู้คร่าวๆ เกี่ยวกับการฟอกเงิน ที่ผมพอจะอธิบายให้ฟังได้ ในฐานะคนที่ทำงานด้านนี้ คิดว่าคงเป็นประโยชน์กับผู้ที่ติดตามอ่านบ้าง ไม่มากก็น้อยครับ
ภายใต้ระบบโลกาภิวัตน์ ซึ่งเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยี ด้านวิทยาศาสตร์ การติดต่อสื่อสาร สารสนเทศขึ้นอย่างมากมาย ทำให้การติดต่อสื่อสารของมนุษย์สามารถทำได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไร้ขีดจำกัด
และผลการพัฒนาทางเทคโนโลยีดังกล่าว กลับเป็นเหตุให้อาชญากรได้มีการนำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้ ไปใช้ในการกระทำความผิด ทำให้โลกต้องเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมที่รุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งในด้านรูปแบบและปริมาณของการประกอบอาชญากรรม
จากที่เป็นลักษณะการกระทำความผิดแบบธรรมดา ซึ่งเป็นการกระทำโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือที่เรียกว่าอาชญากรรมที่พบเห็นกันทั่วไป (street crime) ที่มักจะเป็นการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย และการใช้กำลังหรือความรุนแรง กระทำต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน เช่น ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ปล้นทรัพย์ เป็นต้น นั้นได้มีการพัฒนารูปแบบมาเป็นการกระทำความผิดอาญา ในลักษณะขบวนการ ที่เรียกว่า "องค์กรอาชญากรรม" (organized crime)
เช่น การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด การก่อการร้าย การทุจริตต่อหน้าที่ เป็นต้น
การประกอบอาชญากรรมเหล่านี้ มีขั้นตอนในการควบคุมและเป้าหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์มหาศาล จากการกระทำความผิด จนทำให้มีลักษณะคล้ายองค์กรธุรกิจที่มีจุดประสงค์ในการแสวงหากำไร โดยมีการดำเนินการในลักษณะเป็นขบวนการ ที่มีเครือข่ายโยงใยครอบคลุมหลายกลุ่มบุคคล
องค์กรอาชญากรรมดังกล่าวสามารถนำเอาผลประโยชน์ไปแปรสภาพจากเงินได้ ซึ่งมีที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาใช้ในการขยายองค์กร เพื่อขยายอิทธิพลขององค์กรโดยวิธีการต่างๆ
ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม
วันหลังผมจะนำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาเล่าให้ฟังต่อครับ
ที่มา : http://www.soccersuck.com/soccer/viewto ... ad97faa3d1
โดย Extream Aggressor
จากกระทู้ที่แล้ว เราได้รู้แล้วว่า อาชญากร นำเงินเข้าสู่ระบบอย่างไร
ขั้นตอนต่อไปของการฟอกเงิน คือ การเคลื่อนย้ายเงิน และนำเงินกลับเข้ามาใช้
การเคลื่อนย้ายเงิน หมายถึง การทำธุรกรรมทางการเงินหลายๆ ขั้นตอน ที่มีความซับซ้อน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ตัดความเชื่อมโยงของเงิน กับ ตัวอาชญากร ในขั้นตอนนี้ อาชญากรจะดำเนินการต่างๆ เช่น เปิดบัญชี นอมินี อาจจะเป็น คนสวน คนขับรถ ลูกน้องที่เชื่อใจได้ หรือ คนใกล้ชิดอื่นๆ หรือ เปิดบัญชีในประเทศที่มีระบบการป้องกันทางการเงิน หรือ ทำธุรกรรมผ่านสถาบันการเงินนอกระบบ เช่น บ่อนคาสิโน สถานรับขึ้นเช็คเป็นเงิน สถานรับแลกเงินตราต่างประเทศ ธนาคารใต้ดิน เป็นต้น
ประเทศที่มีระบบการป้องกันทางการเงิน หมายถึง ประเทศที่มีนโยบายในการักษาความลับของลูกค้า โดยไม่เปิดเผยข้อมูลเจ้าของบัญชีแก่บุคคลภายนอก ประเทศที่มีนโยบายแบบนี้ มักเป็นประเทศที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากนัก และต้องการเงินทุนเข้าประเทศ เช่น หมู่เกาะเคย์แมน, บาฮามาส หรือ ประเทศที่มีนโยบายเฉพาะอย่าง สวิสเซอร์แลนด์ เป็นต้น
เมื่อเปิดบัญชีขึ้นมารองรับแล้ว ก็จะทำธุรกรรมหลากหลาย เพื่อให้เงินเดินทางไปเรื่อยๆ เช่น จ้างวานให้ลักลอบขนเงินตราต่างประเทศข้ามพรมแดน เช่นในประเทศไทย มีกฎหมายเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายเงินตราต่างประเทศกำกับอยู่ ดังนั้น การทำธุรกรรมผ่านระบบการเงินอาจไม่ได้รับความสะดวกนัก อาชญากรจะใช้วิธีลักลอบขนเงินแทน และนำเงินตราต่างประเทศไปฝากไว้ในบัญชีของประเทศที่มีระบบป้องกันทางการเงิน ก่อนเตรียมเคลื่อนย้ายไปที่อื่นๆ
นอกจากนี้ ในสถาบันการเงินบางแห่งที่มีระบบป้องกันทางการเงิน ยังมีบริการพิเศษ คือ บัญชีเดินได้ หมายถึง เมื่อ อาชญากรโอนเงินผ่านสถาบันการเงินระหว่างประเทศเหล่านี้ เมื่อมีการร้องขอตรวจสอบข้อมูลจากทางการ สถาบันการเงินจะส่งข้อมูลระหว่างกันเพื่อ โอนย้ายเงินออกโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่างเช่น นายอัลเวซ เปิดบัญชีกับแบงก์ ก สาขานิวยอร์ก ต่อมา นายอัลเวซ สั่งโอนเงินไป บราซิล ทางการสหรัฐฯ สงสัยที่มา ที่ไปของเงินก้อนดังกล่าวของนายอัลเวซ หรืออาจจะเตรียมอายัดเงินดังกล่าว จึง ขอข้อมูลจากแบงก์ ก สาขานิวยอร์ก ในการขอข้อมูลดังกล่าว ทางการจะทำหนังสือแจ้งไปให้แบงก์ ก สาขานิวยอร์ก แจ้งข้อมูลการโอนเงินมา ซึ่ง แบงก์ ก สาขานิวยอร์ก จะแจ้งข้อมูลคู่ขนาน ไปยัง แบงก์ ก สาขาบราซิล ก่อน เพื่อทำการโอนเงินอัตโนมัติไปยังบัญชีที่อยู่ในประเทศที่มีระบบป้องกันทางการเงิน เช่น ที่เกาะเคย์แมน โดยทันที พอทางการสหรัฐฯ ได้รับข้อมูลจากแบงก์ ก สาขานิวยอร์ก ว่า เงินโอนไปที่บราซิล กว่าทางการสหรัฐฯ จะประสานงานกับทางการบราซิล ในการสกัดกั้นเงินดังกล่าว ก็ช้าไปเสียแล้ว ทำให้การตามรอยเส้นทางการเงินของนายอัลเวซ ช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ
หรือ อาชญากรจะเลือกทำธุรกรรมในตราสารทางการเงินต่างๆ หลายๆ ขั้นตอน เช่น การซื้อขายหุ้น โดยเปิดบัญชีหุ้น ตามปกติบริษัทหลักทรัพย์จะบังคับให้ลูกค้าชำระเงินโดยหักเงินผ่านบัญชีธนาคาร แต่ระหว่างรอการหักบัญชี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 -4 วัน ลูกค้าที่เป็นอาชญากร อาจทำการฝากเงิน โดยแยกย่อยเงินให้ต่ำกว่าเกณฑ์ เพื่อฝากผ่านธนาคารหลายๆ แห่ง เข้ามายังบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเงินหลักประกันเพื่อเล่นหุ้น หรืออาจใช้นอมินีหลายๆ คนทำธุรกรรมดังกล่าว แล้วซื้อหุ้น จากนั้น ค่อยโอนหุ้นไปให้เจ้าของเงินตัวจริง ซึ่งเจ้าของเงินจะเอาหุ้นไปขาย และบริษัทหลักทรัพย์จะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของอาชญากร
ในธุรกิจหลักทรัพย์เอง เรื่องของ นอมินี เป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว เหตุผลเพื่อการปั่นราคาหุ้น โดยตั้งบัญชีนอมินีขึ้นมาหลายๆ บัญชี มีการทยอยเก็บสะสมหุ้นที่จะปั่นเข้าพอร์ต ซึ่งระหว่างนี้ อาจจะมีการโอนหุ้นระหว่างกัน บริษัทหลักทรัพย์ก็จะเห็นว่า มีการโอนหุ้นระหว่างบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งเป็นเหตุผลเพียงพอในการรายงานต่อ สำนักงาน ปปง. ได้เช่นกัน
เมื่อมีการสะสมหุ้นไว้จำนวนมาก ต่อไป ก็จะโยนหุ้นระหว่างกัน หรือ มีการตั้งซื้อ ตั้งขายระหว่างนอมินีด้วยกันเอง ให้ดูเสมือนหนึ่งว่า มีปริมาณการซื้อขายมาก ตลาดคึกคัก แล้วไล่ราคาขึ้นไป ซึ่งการโยนหุ้นจากบัญชีนอมินีหลายๆ บัญชี แต่เงินกระเป๋าเดียวกัน กำไรของนอมินีคนแรก กับขาดทุนของนอมินีคนที่สอง ก็หักกลบกันพอดี เจ้ามือปั่นหุ้นจึงเสียค่าปั่นหุ้นแค่ ค่าคอมฯ ที่จ่ายบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์เท่านั้น
ตัวอย่างแบบง่ายๆ ของการปั่นหุ้น (ซึ่งของจริงจะไม่ง่ายแบบนี้) เช่น นาย เอ ทยอยเก็บหุ้น SS ไว้ 1 ล้านหุ้น โดยตั้งนอมินีขึ้นมา คือ บัญชีของนาย บี และ นาย ซี จากนั้น จะเริ่มมีข่าวลือในทางที่ดีเกี่ยวกับหุ้น เช่น เตรียมเจรจาดีลพันล้านกับบริษัทต่างชาติ เตรียมจ่ายปันผลสูงๆ ฯลฯ และจากนั้นก็ให้ นาย บี และ ซี คอยไล่ซื้อหุ้น
สมมติว่า เปิดตลาดมา ราคาเป็น 1 บาท ต่อหุ้น นายเอ จะ offer หรือตั้งขายไว้ที่หลายๆ ช่วงราคา (spread) เช่น 1.1, 1.2 , 1.3 บาท นายบี และซี จะไล่เคาะซื้อจนราคาสูงขึ้น พอหุ้นถ่ายมาอยู่ในมือ นายบี และ ซี สองคนนี้จะตั้งขายไว้ที่ราคาสูงขึ้นไปอีก เช่น 1.4, 1.5, 1.6 บาท นายเอ ซึ่งเพิ่งขายออกไป ก็จะมาไล่ซื้อจากนายบี และ ซี ต่อ ซึ่งนักลงทุนรายอื่น จะไม่ทราบเลยว่า หุ้นที่เห็นซื้อขายกันคึกคักนั้น เป็นการซื้อขายกันเองระหว่าง 3 คนนี้ ก็จะเข้ามาเล่นด้วย โดยยอมที่จะไล่ซื้อเพื่อเก็งกำไรต่อ เพราะปริมาณซื้อขายมาก และมีข่าวดี พอเริ่มมีนักลงทุน เข้ามาซื้อมากขึ้นๆ ทั้งสามคนก็จะเทขายหุ้นในพอร์ตจนหมด ซึ่ง ราคาที่ขายได้ ก็จะอยู่ประมาณ หุ้นละ 1.6 – 1.7 บาท เท่ากับกำไร 60% โดยเสียค่าคอมฯ ให้โบรกเกอร์ ประมาณ 0.275% เท่านั้นเอง
ธุรกรรมในลักษณะนี้ ก็มีความเสี่ยงในเรื่องการฟอกเงินเช่นกัน เนื่องจาก สามารถทำเงินผิดกฎหมายให้กลายเป็นเงินถูกกฎหมายที่มากกว่าเดิมได้ในระยะเวลาอันสั้น
ตลาดหุ้น จึงเป็นที่จับตามองของหน่วยงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในฐานะแหล่งฟอกเงินที่สำคัญ
หรือการตั้งบริษัทบังหน้า บริษัทปลอม บริษัทผี บริษัทผู้ถือหุ้น
บริษัทบังหน้า ก็คือ บริษัทที่มีการดำเนินงานจริงๆ แต่มีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้น ในการฟอกเงินให้อาชญากร โดยอาจจะเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นมานานแล้ว และถูกซื้อไปโดยกลุ่มอาชญากร เพื่อใช้ดำเนินการด้านเอกสารต่างๆ การซื้อบริษัทจะทำให้ ดูไม่มีพิรุธเพราะบริษัทดังกล่าวมีประวัติการดำเนินงานมาก่อน และอาจใช้ในการออกเอกสาร หรือลงวันที่ย้อนหลังในการสร้างธุรกรรมเพื่อกลบเกลื่อนร่อยรอย
บริษัทปลอม ก็คือบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ได้ประกอบธุรกิจใดๆ การจดทะเบียนมักทำขึ้นในประเทศที่เรียกว่า TAX Haven หรือ เมืองท่าภาษี ซึ่งจะให้สิทธิพิเศษ ปลอดภาษีในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท รวมถึง มีการตรวจสอบน้อย และหละหลวมกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นประเทศที่มีระบบการป้องกันทางการเงิน
ตัวอย่างเช่น นายจอห์น พ่อค้ายา ซื้อบริษัท SS Industrial (SSI) ซึ่งเป็นบริษัทส่งออกเครื่องจักรอุตสาหกรรม ที่มีถิ่นฐานในประเทศไทย มาไว้ใช้บังหน้า จากนั้น ไปจดทะเบียนบริษัทปลอมที่ เกาะเคย์แมน เป็นบริษัท เคย์แมน คอร์ป จ้างคนลักลอบขนเงินผิดกฎหมายผ่านพรมแดน เพื่อไปฝากไว้ที่เกาะเคย์แมน จากนั้นให้ เคย์แมน คอร์ปส่ง ออร์เดอร์ ปลอมมา ทางด้านนายจอห์นก็ให้บริษัท SSI ส่งใบเสนอราคาที่ตั้งราคาสูงๆ เวอร์ ไป และให้เคย์แมน คอร์ป รับดีลนี้ จากนั้นก็ส่งใบเรียกเก็บเงินสูงเกินจริง ให้เคย์แมน คอร์ป โอนเงินผ่านระบบที่ถูกต้องเข้ามา โดยการทำธุรกรรมในปัจจุบัน อาจจะทำผ่านศูนย์กลางการเงินสำคัญๆ ของโลก แทนที่จะส่งคำสั่งมาจาก เกาะเคย์แมน โดยตรง ซึ่งจะค่อนข้างน่าสงสัยว่าจะเป็นการฟอกเงิน
บริษัทผี คือ บริษัทที่มีแต่ชื่อ ไม่ได้จดทะเบียน หรือ ประกอบธุรกิจ
ส่วนบริษัทผู้ถือหุ้น เป็นการที่อาชญากร ให้นอมินี มาถือหุ้นในบริษัท เพื่อไม่ให้ตรวจสอบความเป็นเจ้าของที่แท้จริงได้
เมื่ออาชญากร ทำการเคลื่อนย้ายเงิน จนตัดร่องรอยของเงินผิดกฎหมาย กับตัวเขาได้แล้ว ก็จะนำเงินกลับมาใช้ โดยการซื้อทรัพย์สินที่มีราคาสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือ ในรูปของการจ่ายเงินเดือนให้ตนเองในฐานะผู้บริหาร การจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นที่เป็นนอมินี ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นเงินสะอาดที่มีที่มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
ก็เป็นความรู้คร่าวๆ เกี่ยวกับการฟอกเงิน ที่ผมพอจะอธิบายให้ฟังได้ ในฐานะคนที่ทำงานด้านนี้ คิดว่าคงเป็นประโยชน์กับผู้ที่ติดตามอ่านบ้าง ไม่มากก็น้อยครับ
ภายใต้ระบบโลกาภิวัตน์ ซึ่งเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยี ด้านวิทยาศาสตร์ การติดต่อสื่อสาร สารสนเทศขึ้นอย่างมากมาย ทำให้การติดต่อสื่อสารของมนุษย์สามารถทำได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไร้ขีดจำกัด
และผลการพัฒนาทางเทคโนโลยีดังกล่าว กลับเป็นเหตุให้อาชญากรได้มีการนำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้ ไปใช้ในการกระทำความผิด ทำให้โลกต้องเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมที่รุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งในด้านรูปแบบและปริมาณของการประกอบอาชญากรรม
จากที่เป็นลักษณะการกระทำความผิดแบบธรรมดา ซึ่งเป็นการกระทำโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือที่เรียกว่าอาชญากรรมที่พบเห็นกันทั่วไป (street crime) ที่มักจะเป็นการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย และการใช้กำลังหรือความรุนแรง กระทำต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน เช่น ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ปล้นทรัพย์ เป็นต้น นั้นได้มีการพัฒนารูปแบบมาเป็นการกระทำความผิดอาญา ในลักษณะขบวนการ ที่เรียกว่า "องค์กรอาชญากรรม" (organized crime)
เช่น การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด การก่อการร้าย การทุจริตต่อหน้าที่ เป็นต้น
การประกอบอาชญากรรมเหล่านี้ มีขั้นตอนในการควบคุมและเป้าหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์มหาศาล จากการกระทำความผิด จนทำให้มีลักษณะคล้ายองค์กรธุรกิจที่มีจุดประสงค์ในการแสวงหากำไร โดยมีการดำเนินการในลักษณะเป็นขบวนการ ที่มีเครือข่ายโยงใยครอบคลุมหลายกลุ่มบุคคล
องค์กรอาชญากรรมดังกล่าวสามารถนำเอาผลประโยชน์ไปแปรสภาพจากเงินได้ ซึ่งมีที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาใช้ในการขยายองค์กร เพื่อขยายอิทธิพลขององค์กรโดยวิธีการต่างๆ
ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม
วันหลังผมจะนำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาเล่าให้ฟังต่อครับ
ที่มา : http://www.soccersuck.com/soccer/viewto ... ad97faa3d1
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 67
นักลงทุนควรฟังครับ
เรื่อง "คุยครบเครื่องฯ ก.ล.ต. รู้จักไซฟ่อน"
ที่ http://www.youtube.com/watch?v=NDYcNtLm ... ture=share
เรื่อง "คุยครบเครื่องฯ ก.ล.ต. รู้จักไซฟ่อน"
ที่ http://www.youtube.com/watch?v=NDYcNtLm ... ture=share
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 69
ที่สุดจากกระทู้ "เล่นหุ้นให้รวยทำอย่างไร?"
จาก Taladhoon.com
1.
จุดสำคัญของการเล่นหุ้น นอกจากจะหาจุดซื้อจุดขายเป็นแล้ว
ที่สำคัญที่สุดอีกอันก็คือ การบริหารพอร์ท การฝึกใจให้นิ่ง
อดทนรอคอยเป็น
จะเล่นหุ้นเก่งยังไง ก็ต้องมีช่วงติดหุ้นอยู่ดี
คนที่เก่งจริง ก็คือคนที่สามารถฝึกใจ บริหารพอร์ทแก้ไขพอร์ทเป็น
การแพนิคเทขายหุ้นตามคนอื่นด้วยอารมณ์หวาดวิตก
ไม่ใช่วิธีการที่ดีเลย
ควรจะมองให้ออก คาดการให้ออกว่าถ้าขายหุ้นไปแล้ว
จะไปรับกลับตรงไหน แล้วถ้ารับกลับไม่ได้ จะทำยังไงต่อไป
หรือถ้ารับกลับได้แล้ว จะบริหารพอร์ทที่เหลือต่อยังไง
การบริหารพอร์ท ก็คือการรู้จักวางแผน ทั้งทางรุกทางรับ
จะแบ่งขายหุ้นกี่ส่วน จะรับซื้อหุ้นกี่ส่วน
จังหวะไหนคือจังหวะซื้อ จังหวะไหนคือจังหวะขาย
จังหวะไหนควรอดทนรอคอย
และจังหวะไหนควรขายทิ้งให้หมด
การฝึกใจ ก็คือ การสามารถทำตามที่เราวางแผนไว้
ไม่คล้อยไปตามอารมณ์ตลาดนั่นเอง
Credit : K.แมงน้อย
=============================================
2.
ลองมาทบทวนเรื่องซื้อถูกขายแพงกันนะ
ซื้อถูกคือซื้อตรงไหน..ขายแพงคือขายตรงไหน
ไม่ใช่ดูจากยอด..ไม่ใช่ดูจากฐาน
แต่ให้ดูจากเส้นสี่สีเป็นหลักจ้ะ
ใครจะเล่นระยะไหน..ก็ให้ซื้อหุ้นให้ถูกกว่าเส้นสี่สีระยะนั้น
เช่นเล่นระยะ10-25วัน..ก็ให้ซื้อตอนต่ำกว่าเส้นขาวฟ้า
เล่นระยะสองเดือน..ก็ซื้อต่ำกว่าเส้นม่วง
เล่นระยะเป็นปี..ก็ซื้อต่ำกว่าเส้นแสด
(จะยิ่งถูกมากถ้าซื้อได้ต่ำกว่าทุกเส้น)
การที่ต้องซื้อต่ำกว่าเพราะเส้นสี่สีคือค่าเฉลี่ยของต้นทุนหุ้นที่ถือกันอยู่
ในระยะเวลานั้นๆ
ถ้าเราซื้อได้ต่ำกว่า..ก็แปลว่าต้นทุนเราจะต่ำกว่าคนอื่น
ส่วนขายให้แพง..ก็ในทางกลับกัน
ขายให้สูงกว่าเส้นสี่สีตามระยะเวลาที่เล่น
(ยิ่งขายได้แพงมากถ้าขายเหนือเส้นสี่สีทุกเส้น)
ฟังเหมือนง่ายนิ
แต่เวลาปฏิบัติจริง..เรามักจะต่อราคาตัวเองกันเอาน่า..แค่นี้ก็ถูกแล้วล่ะ..ใกล้ๆจะต่ำกว่าเส้นขาวแล้ว
หรือเอาน่า..รออีกนิดนึงให้มันถูกกว่านี้..ทั้งที่มันต่ำกว่าเส้นขาวมาน้านนาน
จนเส้นขาวจะวกขึ้นอยู่แล้ว :D
พยายามเล่นง่ายๆคิดง่ายๆ..อย่าคิดจนทำให้ตัดสินใจยุ่งยาก
คิดแผน1..แล้ววางแผน2..แผน3..รองรับ
แล้วไม่ต้องไปกังวลอะไรอีก
ซื้อถูกแล้วยังมีถูกอีก..ก็ทำตามแผน2
จะชอทหรือจะซื้อเพิ่ม
ถ้าทำตามแผน2แล้ว..ยังมีของถูกลงไปอีก
ก็ทำตามแผน3..
แผน3คือให้นิ่งๆ..ใจเย็นๆ..รอจนตลาดกลับตัวจริงๆแล้วค่อยเข้าใหม่หาจังหวะใหม่
ความจริงเล่นหุ้นมันมีแค่นี้เอง
ซื้อให้ถูกขายให้แพง
ซื้อถูกแล้วยังมีถูกอีก..ก็แก้ไขพอร์ทโดยการชอทหุ้นหรือซื้อเพิ่ม
มีกำไรแล้ว..อยากขายก็ขายไปเลย..ไม่ต้องกลัวขายหมู
ตลาดมีโอกาสให้เราซื้อของถูกอยู่เรื่อยๆจ้ะ
เล่นให้ง่าย..ทำใจให้ง่ายๆสบายๆไม่เครียด
ก็จะเล่นหุ้นอย่างมีสติและได้กำไรเข้ากระเป๋า :D
Credit : K.แมงน้อย
=============================================
3.
ตอนนี้ติดหุ้นแต่ก็รู้ล่วงหน้า จึงเตรียมใจกันไว้ก่อน เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย เป็นวิกฤติที่ควบคุมไม่ได้
บางคนก็เตรียมใช้เงินที่สำรองส่วนที่ 3 คอยช้อนซื้อ
ที่ถามมา ถ้า ตอบแบบกำปั้นทุบดิน เมื่อมีคนขายก็มีคนซื้อ จะพอดีกัน
ถ้าจะหาเหตุผล ต่างชาติมีทั้งหัวดำหัวแดงและตัวจริงตัวปลอม
ต่างชาติเวลานี้เขามีหุ้นในมือประมาณแสนล้านบาท ราคาตรงดัชนีแถวๆ 676 จุด
ถ้าหุ้นตกมากกว่านี้เขาขาดทุน มูลค่าของเขาหายไป
ฉะนั้นเขาจำเป็นต้องใส่เงินก้อนเล็กๆน้อยๆเข้าไปอีกจากจำนวนเงินมหาศาล
เขามองตลาดหุ้นเรายังดีอยู่ การปฏิรูปครั้งนี้ เรื่องที่อึมครึมคงกระจ่างขึ้นและคลี่คลายเร็ว
แต่รายย่อยบางพวกตกใจก็ขาย แล้วอีกไม่ช้าก็ไปซื้อของแพง พวกนี้เขาเล่นสั้น
คนรุ่นใหม่เก่งขึ้น ทำกำไรระยะสั้น แต่ก็มีทั้งพวกได้และเสีย
Credit : K.ครูเฒ่าเกาะช้าง
=============================================
4.
น้องๆครับ หุ้นทุกตัวมีเจ้ามือ มีเจ้าของ ประมาณ 500 คน คอยกินลูกค้าแมลงเม่าอย่างพวกเราประมาณ 200,000 กว่าคน ( สองแสนกว่าคน)
ติดยอดดอยหรือขาดทุนไปแล้วประมาณสองแสนคน ที่เหลือเวลานี้ซื้อๆขายๆ มีน้องต๋อย น้องเปิล เบิ้ม ฯลฯ รวมอยู่ด้วย
หุ้นทุกตัวเจ้ามือเขาจะนับไว้ ถ้าต้องการเก็บหุ้นดีๆราคาถูกๆ ให้ทยอยรอรับอย่าโฉ่งฉ่าง
อย่าบอกใครแม้หุ้นในพอร์ทของเราเองอันตรายมากๆ
เขารู้เรา แต่เราไม่รู้เขา เขาอยู่ในที่มืด เราอยู่ในที่แจ้ง
ถ้าหุ้นมีคนเก็บมากๆหายไป เขาอาจจะทุบลงไปต่ำกว่าเหว 3 เป็นเหว 4
(ถ้าเรารู้เขา เราก็เอาเงินก้อนที่ 3 มา ทยอยซื้อครับ)
การโพสท์กระทู้พยายามหลีกเลี่ยงชื่อหุ้นโดยตรง แต่พยายามเรียนรู้หุ้นตามดัชนีหรือสวนดัชนี
ซึ่งมีแค่ 2 ประเภท โดยเอาดัชนีหรือ SET เป็นตัวอย่าง (case study)
แต่ถ้าหากจะเอาบางตัวที่ผ่านมาในอดีตเป็นตัวอย่างก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าหากได้เรียนวิชาจากหนังสือเล่นหุ้นให้รวยทำอย่างไร? เล่ม1 ถึง 10 เล่ม อย่างเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ก็ช่วยตนเองได้อย่างคุณธวัชว่าไว้ ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ดังที่ท่านครูเฒ่าฯพยายามให้วิชา ตั้งคำถามให้ตอบ ฯลฯ
เบิ้ม ตัดสินใจ เมื่อวันที่ 14/6/2549 SET ปิด 646 จุด เขาทุบหุ้นกันแดงเถือกไม่มีเหตุผลอันควร เบิ้มก็ทยอยซื้อด้วยเงิน 1 ใน 3 ของทั้งหมด หรือ 3 ใน 9 ของทั้งหมด ก้าวก่อนเขา 1 ก้าว เพราะเกิดความคิดรวบยอด มั่นใจ เชื่อมั่นใน“ทฤษฎี 3 เขา 3 เหว” ไง แต่เบิ้มไม่เคยบอกว่าเป็นตัวไหน เพียงแต่ใบ้ว่าอยู่ในกลุ่มการเงิน แล้วเก็บเต็มพอร์ทไว้เงียบในช่องฟลีท ตอนนี้ยังเขียวสดกำไรประมาณ 10 % เขาซึมขึ้นครับผม หากลงมาเบิ้มก็เอาเงินอีก 1 ใน 3 ซื้อครับ
ส่วนหุ้นเก็งกำไรที่มืพื้นฐานดีตัวหนึ่งในกลุ่มก่อสร้าง ขึ้นไปบวกกำไร 10 % ตอนนี้ถูกทุบอ้วกเลยครับ กลับมาเป็นขาดทุน 8 % ก็หุ้นเก็งกำไรนี่ครับ ขนาดพื้นฐานดีนะครับ เขาทุบๆมาลบประมาณ 10 % เบิ้มรอรับเลยครับ เขานับ…หุ้นหายไป เขาต้องควักเนื้อให้เรา ที่สุดไม่กล้าลงต่ำกว่านั้น ต้องทำขึ้น เบิ้มก็ตามตอดนิดๆตอดหน่อยที่ละช่อง จนขึ้นไป 4 ช่อง เบิ้มกำไร …เพราะฐานข้างล่างโตเป็นเจดีย์ ส่วนนี้รอแคะขายทำกำไรครับผม
Credit : K.ศิษย์ครูเฒ่าฯ
=============================================
5.
ฝากน้อง ๆ ดูนะครับว่า อย่าคิดว่าเราวิเคราะห์หุ้นพื้นฐานได้ถูกต้องแล้วจะมีกำไรนะครับ
ถ้าเจ้ามือเขายังเก็บของไม่ได้ แล้วเราเข้าไปซื้อก็อาจเจ็บตัวแบบที่คุณเบิ้มบอกไว้
Credit : K.thawat
=============================================
6.
จำหุ้น atc กันได้มั้ย ตอนที่ถูกทุบลงมาจาก 60 บาท
ลงมาถึง 50 บาท แล้วก็ถูกฟอร์ซเซลจนเหลือ 40 บาท
แล้วก็ยังไม่หยุดไหล ลงไปอีกจนถึง 35 บาท
ซึ่งตอนนั้นมันเป็นราคาที่นิวโลว ราคาต่ำมาก
แล้วก็มีการกระตุก รีบาวขึ้นไปที่ 42 บาทได้อีก
แต่ก็ขึ้นต่อไม่ไหว ราคาไหลลงอีก 35 ก็เอาไม่อยู่
หลุดลงไปที่ละเสต็ปๆ 32 31 30
จนในทีสุดหลุด 30 บาท ไปถึงราคาที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น
คือแถว 25 บาท!!!!
หุ้นพื้นฐานดี พีอีต่ำ แต่ตอนนั้นผลประกอบการมีปัญหา
ราคาก็เลยถูกทุบ บวกกับฟอร์ซเซล บวกกับแรงขายเพราะความตกใจกลัว
เหมือนกับหุ้นหลายๆตัวตอนนี้ ราคาที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น ก็ได้เห็น
ตกใจ เบื่อหน่าย ท้อแท้ สิ้นหวังกัน
ทนไม่ไหว ยอมตัดใจขายขาดทุนกันไป
แต่ตัดสินใจช้าไป มาขายตรงจุดที่ไม่ใช่จุดขายเลย
แล้วในที่สุด เจ้ามือก็เก็บของครบ เริ่มมีข่าวในทางดีออกมาเรื่อยๆ
ตอนนี้หุ้นฟื้นกลับขึ้นมา ก่อนการปฏิรูป ขึ้นมาถึง 37 บาท
ซึ่งถ้าไม่มีเหตุการณ์ปฏิรูป ก็คงจะยังขึ้นต่อไป
แต่ตอนนี้สะดุดหยุดหัวทิ่มลงมาตามตลาด แต่ก็ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอยู่
เล่ามาให้ฟัง เพราะอยากจะให้เห็นว่าหุ้นที่พื้นฐานไม่ได้เลวร้าย
ถึงจะถูกทุบยังไง มันก็มีโอกาสที่จะหวนกลับขึ้นไปได้
อยู่ที่ว่าเราจะอดทนรอคอยเป็นมั้ย
อดทนรอคอยด้วยการชอทหุ้น ปรับพอร์ทไปเรื่อยๆ
มองให้ออก มองให้ทะลุ ว่าราคาหุ้นมันสะท้อนราคาปัจจัยพื้นฐานมันรึเปล่า
หุ้นกำลังถูก หรือกำลังแพง
ถ้ามองออกว่าหุ้นกำลังถูก ถูกมากเกินไป เราจะไปกลัวทำไม ใช่มั้ย
บ้านเมืองยังไม่ได้เลวร้ายจนขนาดที่ตลาดหุ้นจะวอดวาย
มันเป็นโอกาสของคนที่เล่นเกมการเงิน ที่จะได้ของถูก
เล่นกับความกลัวสุดขีดของคน ได้ของถูกอย่างเหลือเชื่อทุกที!!
เป็นกำลังใจให้เพื่อนทุกๆคนที่กำลังตกใจ ท้อแท้อยู่นะคะ
ดูน้องเปิลเป็นตัวอย่าง จากวันแรกที่น้องเปิลตกใจมากๆ
ตอนนี้น้องเปิลยังยิ้มได้ หัวเราะได้ ทำใจได้ ยังกินหนมอร่อยอยู่ :D
เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองชัดเจนขึ้น
ตลาดหุ้นก็จะกลับมาดีแน่นอนจ้ะ
Credit : K.แมงน้อย
=============================================
ที่มา : http://www.taladhoon.com/taladhoon/boar ... .2215;wap2
จาก Taladhoon.com
1.
จุดสำคัญของการเล่นหุ้น นอกจากจะหาจุดซื้อจุดขายเป็นแล้ว
ที่สำคัญที่สุดอีกอันก็คือ การบริหารพอร์ท การฝึกใจให้นิ่ง
อดทนรอคอยเป็น
จะเล่นหุ้นเก่งยังไง ก็ต้องมีช่วงติดหุ้นอยู่ดี
คนที่เก่งจริง ก็คือคนที่สามารถฝึกใจ บริหารพอร์ทแก้ไขพอร์ทเป็น
การแพนิคเทขายหุ้นตามคนอื่นด้วยอารมณ์หวาดวิตก
ไม่ใช่วิธีการที่ดีเลย
ควรจะมองให้ออก คาดการให้ออกว่าถ้าขายหุ้นไปแล้ว
จะไปรับกลับตรงไหน แล้วถ้ารับกลับไม่ได้ จะทำยังไงต่อไป
หรือถ้ารับกลับได้แล้ว จะบริหารพอร์ทที่เหลือต่อยังไง
การบริหารพอร์ท ก็คือการรู้จักวางแผน ทั้งทางรุกทางรับ
จะแบ่งขายหุ้นกี่ส่วน จะรับซื้อหุ้นกี่ส่วน
จังหวะไหนคือจังหวะซื้อ จังหวะไหนคือจังหวะขาย
จังหวะไหนควรอดทนรอคอย
และจังหวะไหนควรขายทิ้งให้หมด
การฝึกใจ ก็คือ การสามารถทำตามที่เราวางแผนไว้
ไม่คล้อยไปตามอารมณ์ตลาดนั่นเอง
Credit : K.แมงน้อย
=============================================
2.
ลองมาทบทวนเรื่องซื้อถูกขายแพงกันนะ
ซื้อถูกคือซื้อตรงไหน..ขายแพงคือขายตรงไหน
ไม่ใช่ดูจากยอด..ไม่ใช่ดูจากฐาน
แต่ให้ดูจากเส้นสี่สีเป็นหลักจ้ะ
ใครจะเล่นระยะไหน..ก็ให้ซื้อหุ้นให้ถูกกว่าเส้นสี่สีระยะนั้น
เช่นเล่นระยะ10-25วัน..ก็ให้ซื้อตอนต่ำกว่าเส้นขาวฟ้า
เล่นระยะสองเดือน..ก็ซื้อต่ำกว่าเส้นม่วง
เล่นระยะเป็นปี..ก็ซื้อต่ำกว่าเส้นแสด
(จะยิ่งถูกมากถ้าซื้อได้ต่ำกว่าทุกเส้น)
การที่ต้องซื้อต่ำกว่าเพราะเส้นสี่สีคือค่าเฉลี่ยของต้นทุนหุ้นที่ถือกันอยู่
ในระยะเวลานั้นๆ
ถ้าเราซื้อได้ต่ำกว่า..ก็แปลว่าต้นทุนเราจะต่ำกว่าคนอื่น
ส่วนขายให้แพง..ก็ในทางกลับกัน
ขายให้สูงกว่าเส้นสี่สีตามระยะเวลาที่เล่น
(ยิ่งขายได้แพงมากถ้าขายเหนือเส้นสี่สีทุกเส้น)
ฟังเหมือนง่ายนิ
แต่เวลาปฏิบัติจริง..เรามักจะต่อราคาตัวเองกันเอาน่า..แค่นี้ก็ถูกแล้วล่ะ..ใกล้ๆจะต่ำกว่าเส้นขาวแล้ว
หรือเอาน่า..รออีกนิดนึงให้มันถูกกว่านี้..ทั้งที่มันต่ำกว่าเส้นขาวมาน้านนาน
จนเส้นขาวจะวกขึ้นอยู่แล้ว :D
พยายามเล่นง่ายๆคิดง่ายๆ..อย่าคิดจนทำให้ตัดสินใจยุ่งยาก
คิดแผน1..แล้ววางแผน2..แผน3..รองรับ
แล้วไม่ต้องไปกังวลอะไรอีก
ซื้อถูกแล้วยังมีถูกอีก..ก็ทำตามแผน2
จะชอทหรือจะซื้อเพิ่ม
ถ้าทำตามแผน2แล้ว..ยังมีของถูกลงไปอีก
ก็ทำตามแผน3..
แผน3คือให้นิ่งๆ..ใจเย็นๆ..รอจนตลาดกลับตัวจริงๆแล้วค่อยเข้าใหม่หาจังหวะใหม่
ความจริงเล่นหุ้นมันมีแค่นี้เอง
ซื้อให้ถูกขายให้แพง
ซื้อถูกแล้วยังมีถูกอีก..ก็แก้ไขพอร์ทโดยการชอทหุ้นหรือซื้อเพิ่ม
มีกำไรแล้ว..อยากขายก็ขายไปเลย..ไม่ต้องกลัวขายหมู
ตลาดมีโอกาสให้เราซื้อของถูกอยู่เรื่อยๆจ้ะ
เล่นให้ง่าย..ทำใจให้ง่ายๆสบายๆไม่เครียด
ก็จะเล่นหุ้นอย่างมีสติและได้กำไรเข้ากระเป๋า :D
Credit : K.แมงน้อย
=============================================
3.
ตอนนี้ติดหุ้นแต่ก็รู้ล่วงหน้า จึงเตรียมใจกันไว้ก่อน เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย เป็นวิกฤติที่ควบคุมไม่ได้
บางคนก็เตรียมใช้เงินที่สำรองส่วนที่ 3 คอยช้อนซื้อ
ที่ถามมา ถ้า ตอบแบบกำปั้นทุบดิน เมื่อมีคนขายก็มีคนซื้อ จะพอดีกัน
ถ้าจะหาเหตุผล ต่างชาติมีทั้งหัวดำหัวแดงและตัวจริงตัวปลอม
ต่างชาติเวลานี้เขามีหุ้นในมือประมาณแสนล้านบาท ราคาตรงดัชนีแถวๆ 676 จุด
ถ้าหุ้นตกมากกว่านี้เขาขาดทุน มูลค่าของเขาหายไป
ฉะนั้นเขาจำเป็นต้องใส่เงินก้อนเล็กๆน้อยๆเข้าไปอีกจากจำนวนเงินมหาศาล
เขามองตลาดหุ้นเรายังดีอยู่ การปฏิรูปครั้งนี้ เรื่องที่อึมครึมคงกระจ่างขึ้นและคลี่คลายเร็ว
แต่รายย่อยบางพวกตกใจก็ขาย แล้วอีกไม่ช้าก็ไปซื้อของแพง พวกนี้เขาเล่นสั้น
คนรุ่นใหม่เก่งขึ้น ทำกำไรระยะสั้น แต่ก็มีทั้งพวกได้และเสีย
Credit : K.ครูเฒ่าเกาะช้าง
=============================================
4.
น้องๆครับ หุ้นทุกตัวมีเจ้ามือ มีเจ้าของ ประมาณ 500 คน คอยกินลูกค้าแมลงเม่าอย่างพวกเราประมาณ 200,000 กว่าคน ( สองแสนกว่าคน)
ติดยอดดอยหรือขาดทุนไปแล้วประมาณสองแสนคน ที่เหลือเวลานี้ซื้อๆขายๆ มีน้องต๋อย น้องเปิล เบิ้ม ฯลฯ รวมอยู่ด้วย
หุ้นทุกตัวเจ้ามือเขาจะนับไว้ ถ้าต้องการเก็บหุ้นดีๆราคาถูกๆ ให้ทยอยรอรับอย่าโฉ่งฉ่าง
อย่าบอกใครแม้หุ้นในพอร์ทของเราเองอันตรายมากๆ
เขารู้เรา แต่เราไม่รู้เขา เขาอยู่ในที่มืด เราอยู่ในที่แจ้ง
ถ้าหุ้นมีคนเก็บมากๆหายไป เขาอาจจะทุบลงไปต่ำกว่าเหว 3 เป็นเหว 4
(ถ้าเรารู้เขา เราก็เอาเงินก้อนที่ 3 มา ทยอยซื้อครับ)
การโพสท์กระทู้พยายามหลีกเลี่ยงชื่อหุ้นโดยตรง แต่พยายามเรียนรู้หุ้นตามดัชนีหรือสวนดัชนี
ซึ่งมีแค่ 2 ประเภท โดยเอาดัชนีหรือ SET เป็นตัวอย่าง (case study)
แต่ถ้าหากจะเอาบางตัวที่ผ่านมาในอดีตเป็นตัวอย่างก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าหากได้เรียนวิชาจากหนังสือเล่นหุ้นให้รวยทำอย่างไร? เล่ม1 ถึง 10 เล่ม อย่างเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ก็ช่วยตนเองได้อย่างคุณธวัชว่าไว้ ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ดังที่ท่านครูเฒ่าฯพยายามให้วิชา ตั้งคำถามให้ตอบ ฯลฯ
เบิ้ม ตัดสินใจ เมื่อวันที่ 14/6/2549 SET ปิด 646 จุด เขาทุบหุ้นกันแดงเถือกไม่มีเหตุผลอันควร เบิ้มก็ทยอยซื้อด้วยเงิน 1 ใน 3 ของทั้งหมด หรือ 3 ใน 9 ของทั้งหมด ก้าวก่อนเขา 1 ก้าว เพราะเกิดความคิดรวบยอด มั่นใจ เชื่อมั่นใน“ทฤษฎี 3 เขา 3 เหว” ไง แต่เบิ้มไม่เคยบอกว่าเป็นตัวไหน เพียงแต่ใบ้ว่าอยู่ในกลุ่มการเงิน แล้วเก็บเต็มพอร์ทไว้เงียบในช่องฟลีท ตอนนี้ยังเขียวสดกำไรประมาณ 10 % เขาซึมขึ้นครับผม หากลงมาเบิ้มก็เอาเงินอีก 1 ใน 3 ซื้อครับ
ส่วนหุ้นเก็งกำไรที่มืพื้นฐานดีตัวหนึ่งในกลุ่มก่อสร้าง ขึ้นไปบวกกำไร 10 % ตอนนี้ถูกทุบอ้วกเลยครับ กลับมาเป็นขาดทุน 8 % ก็หุ้นเก็งกำไรนี่ครับ ขนาดพื้นฐานดีนะครับ เขาทุบๆมาลบประมาณ 10 % เบิ้มรอรับเลยครับ เขานับ…หุ้นหายไป เขาต้องควักเนื้อให้เรา ที่สุดไม่กล้าลงต่ำกว่านั้น ต้องทำขึ้น เบิ้มก็ตามตอดนิดๆตอดหน่อยที่ละช่อง จนขึ้นไป 4 ช่อง เบิ้มกำไร …เพราะฐานข้างล่างโตเป็นเจดีย์ ส่วนนี้รอแคะขายทำกำไรครับผม
Credit : K.ศิษย์ครูเฒ่าฯ
=============================================
5.
ฝากน้อง ๆ ดูนะครับว่า อย่าคิดว่าเราวิเคราะห์หุ้นพื้นฐานได้ถูกต้องแล้วจะมีกำไรนะครับ
ถ้าเจ้ามือเขายังเก็บของไม่ได้ แล้วเราเข้าไปซื้อก็อาจเจ็บตัวแบบที่คุณเบิ้มบอกไว้
Credit : K.thawat
=============================================
6.
จำหุ้น atc กันได้มั้ย ตอนที่ถูกทุบลงมาจาก 60 บาท
ลงมาถึง 50 บาท แล้วก็ถูกฟอร์ซเซลจนเหลือ 40 บาท
แล้วก็ยังไม่หยุดไหล ลงไปอีกจนถึง 35 บาท
ซึ่งตอนนั้นมันเป็นราคาที่นิวโลว ราคาต่ำมาก
แล้วก็มีการกระตุก รีบาวขึ้นไปที่ 42 บาทได้อีก
แต่ก็ขึ้นต่อไม่ไหว ราคาไหลลงอีก 35 ก็เอาไม่อยู่
หลุดลงไปที่ละเสต็ปๆ 32 31 30
จนในทีสุดหลุด 30 บาท ไปถึงราคาที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น
คือแถว 25 บาท!!!!
หุ้นพื้นฐานดี พีอีต่ำ แต่ตอนนั้นผลประกอบการมีปัญหา
ราคาก็เลยถูกทุบ บวกกับฟอร์ซเซล บวกกับแรงขายเพราะความตกใจกลัว
เหมือนกับหุ้นหลายๆตัวตอนนี้ ราคาที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น ก็ได้เห็น
ตกใจ เบื่อหน่าย ท้อแท้ สิ้นหวังกัน
ทนไม่ไหว ยอมตัดใจขายขาดทุนกันไป
แต่ตัดสินใจช้าไป มาขายตรงจุดที่ไม่ใช่จุดขายเลย
แล้วในที่สุด เจ้ามือก็เก็บของครบ เริ่มมีข่าวในทางดีออกมาเรื่อยๆ
ตอนนี้หุ้นฟื้นกลับขึ้นมา ก่อนการปฏิรูป ขึ้นมาถึง 37 บาท
ซึ่งถ้าไม่มีเหตุการณ์ปฏิรูป ก็คงจะยังขึ้นต่อไป
แต่ตอนนี้สะดุดหยุดหัวทิ่มลงมาตามตลาด แต่ก็ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอยู่
เล่ามาให้ฟัง เพราะอยากจะให้เห็นว่าหุ้นที่พื้นฐานไม่ได้เลวร้าย
ถึงจะถูกทุบยังไง มันก็มีโอกาสที่จะหวนกลับขึ้นไปได้
อยู่ที่ว่าเราจะอดทนรอคอยเป็นมั้ย
อดทนรอคอยด้วยการชอทหุ้น ปรับพอร์ทไปเรื่อยๆ
มองให้ออก มองให้ทะลุ ว่าราคาหุ้นมันสะท้อนราคาปัจจัยพื้นฐานมันรึเปล่า
หุ้นกำลังถูก หรือกำลังแพง
ถ้ามองออกว่าหุ้นกำลังถูก ถูกมากเกินไป เราจะไปกลัวทำไม ใช่มั้ย
บ้านเมืองยังไม่ได้เลวร้ายจนขนาดที่ตลาดหุ้นจะวอดวาย
มันเป็นโอกาสของคนที่เล่นเกมการเงิน ที่จะได้ของถูก
เล่นกับความกลัวสุดขีดของคน ได้ของถูกอย่างเหลือเชื่อทุกที!!
เป็นกำลังใจให้เพื่อนทุกๆคนที่กำลังตกใจ ท้อแท้อยู่นะคะ
ดูน้องเปิลเป็นตัวอย่าง จากวันแรกที่น้องเปิลตกใจมากๆ
ตอนนี้น้องเปิลยังยิ้มได้ หัวเราะได้ ทำใจได้ ยังกินหนมอร่อยอยู่ :D
เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองชัดเจนขึ้น
ตลาดหุ้นก็จะกลับมาดีแน่นอนจ้ะ
Credit : K.แมงน้อย
=============================================
ที่มา : http://www.taladhoon.com/taladhoon/boar ... .2215;wap2
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 71
เปิดเส้นทาง "รีเทิร์น" ตลาดหุ้น! "สอง วัชรศรีโรจน์" สู่ "โทนี่"
กรุงเทพธุรกิจ วันพุธที่ 02 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
ชื่อของ "เสี่ยสอง" หรือ "สอง วัชรศรีโรจน์" หากเป็นคนในวงการตลาดหุ้นไทยแล้วไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้..."เสี่ยสอง" ถือเป็นบุคคลในตำนานของตลาดหุ้นไทย โดยเป็นบุคคลคนแรกที่ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษในข้อหาร่วมกันปั่นหุ้น ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การหรือ "บีบีซี" เมื่อปี 2535 (ซึ่งต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งยืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้อง) หลังจากคดีหุ้น บีบีซี เป็นต้นมา "เสี่ยงสอง" ก็เป็นที่จับตาของทุกคนในวงการ กระทั่งมาถูกสำนักงาน ก.ล.ต.กล่าวโทษเพิ่มอีกในข้อหาร่วมกันปั่นหุ้น บริษัทเงินทุน(บง.) เฟิสท์ซิตี้ อินเวสเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ "เอฟซีไอ" และบริษัท รัตนการเคหะ จำกัด (มหาชน) หรือ "อาร์อาร์" เพียงแต่ทั้ง 2 กรณีนี้ อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ทำให้ "เสี่ยสอง" พ้นบ่วงจากคดีนี้ไป
แต่คดีที่ทำให้ "เสี่ยสอง" ต้องหนักใจมากสุด คือ การถูกกล่าวโทษโดยสำนักงาน ก.ล.ต.เมื่อปี 2536 ในข้อหาร่วมกันปั่นหุ้น บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ "เคเอ็มซี" ซึ่งคดีนี้อัยการมีคำสั่งฟ้อง "เสี่ยสอง" เนื่องจากคดีมีมูล ทำให้ "เสี่ยสอง" ต้องลี้ภัยหายหน้าไปจากวงการหุ้นไทยอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งคดีหมดอายุความลงเมื่อปี 2545
ระหว่างที่คดีปั่นหุ้น "เคเอ็มซี" ยังไม่หมดอายุความนั้น ไม่มีกระแสข่าวใดบ่งบอกแน่ชัดว่า "เสี่ยสอง" ทำอะไรอยู่ที่ไหน แต่ที่ชัดเจนคือ เมื่อคดีหมดอายุความลงในปี 2545 อีก 1 ปีถัดมา… ชื่อของ "เสี่ยสอง" ก็เริ่มกลับโด่งดังในวงการตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง เพียงแต่รอบนี้เขามาในนาม "เสี่ยโทนี่!"
การรีเทิร์นสู่ตลาดหุ้นไทยอีกครั้งของ "เสี่ยสอง" นั้น กระแสข่าวเล่าว่าเป็นการกลับมาตามคำเชิญของ"เสี่ย พ." นักลงทุนรายใหญ่ทางภาคเหนือ โดยหุ้นตัวแรกที่โดดเข้าเก็งกำไรนั้น คือ หุ้นบริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็มีวีรกรรมร่วมกันในหุ้นเก็งกำไรที่ตลาดหลักทรัพย์จับตาอีกหลายตัว เช่น หุ้นบริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) หรือ "อีเอ็มซี" บริษัท อีสเทิร์นไวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ "อีดับเบิลยูซี" บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิล เอ็นจิเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ " ไออีซี" บริษัท ดราก้อนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ "ดีวัน" บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ "เอเวอร์" และ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ "เอเอสแอล" เป็นต้น
ส่วนสาเหตุที่ "เสี่ยสอง" ต้องใช้ชื่อ "โทนี่" ในการเข้ามาลงทุนรอบนี้ แหล่งข่าววงการตลาดหุ้นบอกว่า เพื่อต้องการปกปิดชื่อเสียงและตัวตนที่แท้จริงของเขา โดยช่วงแรกที่เขากลับมาคนในวงการตลาดหุ้นแทบไม่มีใครรู้เลยว่าเขากลับมาแล้ว จนกระทั่งรอบปี 2549 ที่ผ่านมา เริ่มมีคนกล่าวถึงชื่อ "เสี่ยสอง" กันมากขึ้น
พฤติกรรมการลงทุนของ " เสี่ยสอง" นั้น แหล่งข่าวเล่าว่า การกลับมารอบนี้ สไตล์การลงทุนเปลี่ยนไปบ้างโดยครั้งนี้ "เสี่ยสอง" นิยมเล่นเก็งกำไรเป็นรอบ หากพบว่าราคาหุ้นที่ลงทุนขึ้นไปมาก จะเทขายทำกำไร จนเมื่อราคาหุ้นนั้น ปักหัวต่ำลง เขาก็จะเริ่มเข้าไปเก็บสะสมใหม่อีกรอบ
นอกจากนี้ บริษัทใดมี "ศักยภาพ" เพียงพอ หรือหุ้นตัวใด ที่เขาไม่สามารถระบายหุ้นที่มีในมือออกไปได้ เขาจะใช้วิธีส่งตัวแทนเข้าไปร่วมเป็นกรรมการ เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของบริษัทดังกล่าว โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะนั่งบริหารงานในบริษัทนั้นอย่างแท้จริง เพราะเมื่อมีจังหวะ หรือโอกาสในการทำกำไรจากหุ้นตัวนั้น เขาก็จะเทขายออกมาทันที
เครื่องยืนยันที่ดีสุดและบ่งบอกถึง สไตล์การลงทุนของ "เสี่ยสอง" อย่างชัดเจน คือ กรณีการเข้าไปลงทุนในหุ้น บล.แอ๊ดคินซัน ซึ่ง "เสี่ยสอง" เล็งเห็นถึงกระแสเงินสดของบริษัทที่มีจำนวนมาก จึงร่วมมือกับกลุ่ม "สดาวุธ เตชะอุบล" หรือ "เสี่ยไมค์" เข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน บล.แอ๊ดคินซัน
ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวว่า "เสี่ยสอง" กับ "เสี่ยไมค์" เกิดแตกคอกันเรื่องการบริหารงานในบล.แอ๊ดคินซัน รวมทั้งเรื่องหุ้น จนเกิดเป็นข่าวลือหนาหูว่า "เสี่ยสอง" เตรียมรวบรวมหุ้นที่มีในมือทั้งหมด เพื่อโหวตเปลี่ยนตัวกรรมการที่เป็นตัวแทนจากฝั่ง "เสี่ยไมค์" ออกจากการเป็นกรรมการของ บล.แอ๊ดคินซัน
กระทั่งในวันประชุมจริง "เสี่ยไมค์" แก้เกมด้วยการจับมือกับกลุ่ม" อาภา คิ้วคชา" ผู้ถือหุ้นใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งใน บล.แอ๊ดคินซัน โดยรวบรวมหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมด โหวตให้ตัวแทนจากกลุ่ม "เสี่ยสอง" ออกจากการเป็นกรรมการแทน และหนึ่งในกรรมการที่ถูก "เสี่ยไมค์" โหวตให้ออกในครั้งนี้ด้วยก็คือ "นางสัณห์จุฑา วิชาวุธ" ซึ่งมีสายสัมพันธ์โดยตรงคือ การเป็นน้องสาวแท้ๆ ของ "เสี่ยสอง"
อีกกรณีที่น่าจับตาคือ ข่าวการโหวตล้มมติเพิ่มทุนของ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งข่าวดังกล่าวคนในวงการตลาดหุ้นมีการกล่าวหาว่า "เสี่ยสอง" น่าจะเป็นบุคคลที่อยู่ฉากหลังของบรรดากลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อย และรายใหญ่ที่รวมตัวกันโหวตล้มมติการเพิ่มทุนที่สูงเป็นเท่าตัวจากทุนเดิมจาก 300 ล้านบาท เป็น 600 ล้านบาท
จากบรรยากาศการประชุมผู้ถือหุ้นของเอเวอร์แลนด์เป็นไปอย่างตึงเครียด เพราะกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้ง 3 พี่น้องตระกูลโลจายะ สรวิจักข์ -ขุมทรัพย์ -จอมทรัพย์ พอรู้ตัวบ้างแล้วเกี่ยวกับแผนการล้มมติเพิ่มทุน เพราะมีอาการนั่งไม่ติดตั้งแต่เริ่มประชุมผู้ถือหุ้น ในระหว่างที่ประชุม นายขุมทรัพย์ โลจายะ ผู้ถือหุ้นใหญ่ แสดงอาการ ไม่พอใจก่อนที่จะถูกล้มมติเพิ่มทุน พร้อมประกาศขู่กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ว่ามีข้อมูลที่จะเอาผิดได้ และจะส่งให้ทางการดำเนินการในทันที
ขณะเดียวกันบุคคลที่เป็นแกนนำคัดค้านการเพิ่มทุน คือ นายชนะชัย ลีนะบรรจง กับนางสีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา ที่รู้จักกันดี "มามาบูล" ซึ่งนั่งคอยคุมดูแลสถานการณ์อย่างเงียบๆ
ภายใต้การสนับสนุนของนักลงทุนสถาบัน 2 ราย คือ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยถือหุ้น 3.63% และบริษัท เมืองไทยประกันภัย ถือหุ้น 1.36% ไม่เพียงแต่การล้มมติเพิ่มทุนเท่านั้น กลุ่มนอมินีได้เสนอชื่อ นายชนะชัย ลีนะบรรจง ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในกรรมการของบริษัท เอเวอร์แลนด์
กลุ่มนายชนะชัย ไม่ได้หยุดแค่บริษัท เอเวอร์แลนด์ รุกขยายไปที่บริษัท อีเอ็มซี (EMC)ทันที โดยส่งกลุ่มตัวแทนได้ทยอยซื้อหุ้นจนกระทั่งติดอันดับ 1 ในผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวบริษัท อีเอ็มซี ไม่ทันตั้งตัว และไม่ต้องการให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเกิดขึ้น เพราะเกรงว่ากลุ่มตัวแทนจะส่งคนไปป่วนในงานประชุมผู้ถือหุ้น ทำให้ต้องมีการเจรจากันนอกรอบระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมกับกลุ่มใหม่ ในที่สุด บริษัท อีเอ็มซี ประกาศเลื่อนประชุมผู้ถือหุ้นออกไปอีก 2 สัปดาห์
ล่าสุด บริษัท อีเอ็มซี ได้ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่ 4 ราย ได้แก่ นายชนะชัย ลีนะบรรจง นายเคนชิโระซุเกะ โอชิสิ นายไพบูลย์ ทองระอา และนายพิษณุ เกิดลาภผล ซึ่งกลุ่มผู้บริหารเดิมยอมรับว่าเป็นตัวแทนกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ ดังนั้นการแต่งตั้งกรรมการครั้งเดียว จำนวน 4 คน จากกรรมการ ทั้งหมดของบริษัท 12 คน แสดงให้เห็นว่ากลุ่มนายชนะชัย ลีนะบรรจง จะมีอำนาจในการบริหารงานของ บริษัทอีเอ็มซีได้เต็มที่
แหล่งข่าวเล่าให้ฟังว่า การที่กลุ่มนายชนะชัย ต้องการอำนาจบริหารงานในบริษัท อีเอ็มซี เพราะเป็นบริษัทที่มีกระแสเงินสดมาก และสามารถนำมาต่อยอดธุรกิจได้อีก โดยมีกระแสข่าวว่านายชนะชัย จะเทคโอเวอร์บริษัท เอเวอร์แลนด์ โดยใช้บริษัทอีเอ็มซีเป็นฐานทุนใหญ่
สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง คือ รายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท อีเอ็มซี พบว่าจะพัวพันกับกลุ่มผู้ถือหุ้นบริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริง(IEC) บล.แอ๊ดคินซัน (ASL) บริษัท เอเวอร์แลนด์(EVER) และบริษัทไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น(LIVE) หากเป็นไปอย่างที่หลายคนมองว่าเป็นฝีมือของเสี่ยโทนี่ คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า การหวนคืนสู่สังเวียนตลาดหุ้นในครั้งนี้ จะเป็นการย่ำรอยประวัติศาสตร์ที่เคยถูกบันทึกไว้โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงาน ก.ล.ต. หรือไม่!!?!
กรุงเทพธุรกิจ วันพุธที่ 02 พฤษภาคม พ.ศ. 2550
ชื่อของ "เสี่ยสอง" หรือ "สอง วัชรศรีโรจน์" หากเป็นคนในวงการตลาดหุ้นไทยแล้วไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้..."เสี่ยสอง" ถือเป็นบุคคลในตำนานของตลาดหุ้นไทย โดยเป็นบุคคลคนแรกที่ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษในข้อหาร่วมกันปั่นหุ้น ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การหรือ "บีบีซี" เมื่อปี 2535 (ซึ่งต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งยืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้อง) หลังจากคดีหุ้น บีบีซี เป็นต้นมา "เสี่ยงสอง" ก็เป็นที่จับตาของทุกคนในวงการ กระทั่งมาถูกสำนักงาน ก.ล.ต.กล่าวโทษเพิ่มอีกในข้อหาร่วมกันปั่นหุ้น บริษัทเงินทุน(บง.) เฟิสท์ซิตี้ อินเวสเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ "เอฟซีไอ" และบริษัท รัตนการเคหะ จำกัด (มหาชน) หรือ "อาร์อาร์" เพียงแต่ทั้ง 2 กรณีนี้ อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ทำให้ "เสี่ยสอง" พ้นบ่วงจากคดีนี้ไป
แต่คดีที่ทำให้ "เสี่ยสอง" ต้องหนักใจมากสุด คือ การถูกกล่าวโทษโดยสำนักงาน ก.ล.ต.เมื่อปี 2536 ในข้อหาร่วมกันปั่นหุ้น บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ "เคเอ็มซี" ซึ่งคดีนี้อัยการมีคำสั่งฟ้อง "เสี่ยสอง" เนื่องจากคดีมีมูล ทำให้ "เสี่ยสอง" ต้องลี้ภัยหายหน้าไปจากวงการหุ้นไทยอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งคดีหมดอายุความลงเมื่อปี 2545
ระหว่างที่คดีปั่นหุ้น "เคเอ็มซี" ยังไม่หมดอายุความนั้น ไม่มีกระแสข่าวใดบ่งบอกแน่ชัดว่า "เสี่ยสอง" ทำอะไรอยู่ที่ไหน แต่ที่ชัดเจนคือ เมื่อคดีหมดอายุความลงในปี 2545 อีก 1 ปีถัดมา… ชื่อของ "เสี่ยสอง" ก็เริ่มกลับโด่งดังในวงการตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง เพียงแต่รอบนี้เขามาในนาม "เสี่ยโทนี่!"
การรีเทิร์นสู่ตลาดหุ้นไทยอีกครั้งของ "เสี่ยสอง" นั้น กระแสข่าวเล่าว่าเป็นการกลับมาตามคำเชิญของ"เสี่ย พ." นักลงทุนรายใหญ่ทางภาคเหนือ โดยหุ้นตัวแรกที่โดดเข้าเก็งกำไรนั้น คือ หุ้นบริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็มีวีรกรรมร่วมกันในหุ้นเก็งกำไรที่ตลาดหลักทรัพย์จับตาอีกหลายตัว เช่น หุ้นบริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) หรือ "อีเอ็มซี" บริษัท อีสเทิร์นไวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ "อีดับเบิลยูซี" บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิล เอ็นจิเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ " ไออีซี" บริษัท ดราก้อนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ "ดีวัน" บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ "เอเวอร์" และ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ "เอเอสแอล" เป็นต้น
ส่วนสาเหตุที่ "เสี่ยสอง" ต้องใช้ชื่อ "โทนี่" ในการเข้ามาลงทุนรอบนี้ แหล่งข่าววงการตลาดหุ้นบอกว่า เพื่อต้องการปกปิดชื่อเสียงและตัวตนที่แท้จริงของเขา โดยช่วงแรกที่เขากลับมาคนในวงการตลาดหุ้นแทบไม่มีใครรู้เลยว่าเขากลับมาแล้ว จนกระทั่งรอบปี 2549 ที่ผ่านมา เริ่มมีคนกล่าวถึงชื่อ "เสี่ยสอง" กันมากขึ้น
พฤติกรรมการลงทุนของ " เสี่ยสอง" นั้น แหล่งข่าวเล่าว่า การกลับมารอบนี้ สไตล์การลงทุนเปลี่ยนไปบ้างโดยครั้งนี้ "เสี่ยสอง" นิยมเล่นเก็งกำไรเป็นรอบ หากพบว่าราคาหุ้นที่ลงทุนขึ้นไปมาก จะเทขายทำกำไร จนเมื่อราคาหุ้นนั้น ปักหัวต่ำลง เขาก็จะเริ่มเข้าไปเก็บสะสมใหม่อีกรอบ
นอกจากนี้ บริษัทใดมี "ศักยภาพ" เพียงพอ หรือหุ้นตัวใด ที่เขาไม่สามารถระบายหุ้นที่มีในมือออกไปได้ เขาจะใช้วิธีส่งตัวแทนเข้าไปร่วมเป็นกรรมการ เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของบริษัทดังกล่าว โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะนั่งบริหารงานในบริษัทนั้นอย่างแท้จริง เพราะเมื่อมีจังหวะ หรือโอกาสในการทำกำไรจากหุ้นตัวนั้น เขาก็จะเทขายออกมาทันที
เครื่องยืนยันที่ดีสุดและบ่งบอกถึง สไตล์การลงทุนของ "เสี่ยสอง" อย่างชัดเจน คือ กรณีการเข้าไปลงทุนในหุ้น บล.แอ๊ดคินซัน ซึ่ง "เสี่ยสอง" เล็งเห็นถึงกระแสเงินสดของบริษัทที่มีจำนวนมาก จึงร่วมมือกับกลุ่ม "สดาวุธ เตชะอุบล" หรือ "เสี่ยไมค์" เข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน บล.แอ๊ดคินซัน
ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวว่า "เสี่ยสอง" กับ "เสี่ยไมค์" เกิดแตกคอกันเรื่องการบริหารงานในบล.แอ๊ดคินซัน รวมทั้งเรื่องหุ้น จนเกิดเป็นข่าวลือหนาหูว่า "เสี่ยสอง" เตรียมรวบรวมหุ้นที่มีในมือทั้งหมด เพื่อโหวตเปลี่ยนตัวกรรมการที่เป็นตัวแทนจากฝั่ง "เสี่ยไมค์" ออกจากการเป็นกรรมการของ บล.แอ๊ดคินซัน
กระทั่งในวันประชุมจริง "เสี่ยไมค์" แก้เกมด้วยการจับมือกับกลุ่ม" อาภา คิ้วคชา" ผู้ถือหุ้นใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งใน บล.แอ๊ดคินซัน โดยรวบรวมหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมด โหวตให้ตัวแทนจากกลุ่ม "เสี่ยสอง" ออกจากการเป็นกรรมการแทน และหนึ่งในกรรมการที่ถูก "เสี่ยไมค์" โหวตให้ออกในครั้งนี้ด้วยก็คือ "นางสัณห์จุฑา วิชาวุธ" ซึ่งมีสายสัมพันธ์โดยตรงคือ การเป็นน้องสาวแท้ๆ ของ "เสี่ยสอง"
อีกกรณีที่น่าจับตาคือ ข่าวการโหวตล้มมติเพิ่มทุนของ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งข่าวดังกล่าวคนในวงการตลาดหุ้นมีการกล่าวหาว่า "เสี่ยสอง" น่าจะเป็นบุคคลที่อยู่ฉากหลังของบรรดากลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อย และรายใหญ่ที่รวมตัวกันโหวตล้มมติการเพิ่มทุนที่สูงเป็นเท่าตัวจากทุนเดิมจาก 300 ล้านบาท เป็น 600 ล้านบาท
จากบรรยากาศการประชุมผู้ถือหุ้นของเอเวอร์แลนด์เป็นไปอย่างตึงเครียด เพราะกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้ง 3 พี่น้องตระกูลโลจายะ สรวิจักข์ -ขุมทรัพย์ -จอมทรัพย์ พอรู้ตัวบ้างแล้วเกี่ยวกับแผนการล้มมติเพิ่มทุน เพราะมีอาการนั่งไม่ติดตั้งแต่เริ่มประชุมผู้ถือหุ้น ในระหว่างที่ประชุม นายขุมทรัพย์ โลจายะ ผู้ถือหุ้นใหญ่ แสดงอาการ ไม่พอใจก่อนที่จะถูกล้มมติเพิ่มทุน พร้อมประกาศขู่กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ว่ามีข้อมูลที่จะเอาผิดได้ และจะส่งให้ทางการดำเนินการในทันที
ขณะเดียวกันบุคคลที่เป็นแกนนำคัดค้านการเพิ่มทุน คือ นายชนะชัย ลีนะบรรจง กับนางสีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา ที่รู้จักกันดี "มามาบูล" ซึ่งนั่งคอยคุมดูแลสถานการณ์อย่างเงียบๆ
ภายใต้การสนับสนุนของนักลงทุนสถาบัน 2 ราย คือ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยถือหุ้น 3.63% และบริษัท เมืองไทยประกันภัย ถือหุ้น 1.36% ไม่เพียงแต่การล้มมติเพิ่มทุนเท่านั้น กลุ่มนอมินีได้เสนอชื่อ นายชนะชัย ลีนะบรรจง ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในกรรมการของบริษัท เอเวอร์แลนด์
กลุ่มนายชนะชัย ไม่ได้หยุดแค่บริษัท เอเวอร์แลนด์ รุกขยายไปที่บริษัท อีเอ็มซี (EMC)ทันที โดยส่งกลุ่มตัวแทนได้ทยอยซื้อหุ้นจนกระทั่งติดอันดับ 1 ในผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวบริษัท อีเอ็มซี ไม่ทันตั้งตัว และไม่ต้องการให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเกิดขึ้น เพราะเกรงว่ากลุ่มตัวแทนจะส่งคนไปป่วนในงานประชุมผู้ถือหุ้น ทำให้ต้องมีการเจรจากันนอกรอบระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมกับกลุ่มใหม่ ในที่สุด บริษัท อีเอ็มซี ประกาศเลื่อนประชุมผู้ถือหุ้นออกไปอีก 2 สัปดาห์
ล่าสุด บริษัท อีเอ็มซี ได้ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่ 4 ราย ได้แก่ นายชนะชัย ลีนะบรรจง นายเคนชิโระซุเกะ โอชิสิ นายไพบูลย์ ทองระอา และนายพิษณุ เกิดลาภผล ซึ่งกลุ่มผู้บริหารเดิมยอมรับว่าเป็นตัวแทนกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ ดังนั้นการแต่งตั้งกรรมการครั้งเดียว จำนวน 4 คน จากกรรมการ ทั้งหมดของบริษัท 12 คน แสดงให้เห็นว่ากลุ่มนายชนะชัย ลีนะบรรจง จะมีอำนาจในการบริหารงานของ บริษัทอีเอ็มซีได้เต็มที่
แหล่งข่าวเล่าให้ฟังว่า การที่กลุ่มนายชนะชัย ต้องการอำนาจบริหารงานในบริษัท อีเอ็มซี เพราะเป็นบริษัทที่มีกระแสเงินสดมาก และสามารถนำมาต่อยอดธุรกิจได้อีก โดยมีกระแสข่าวว่านายชนะชัย จะเทคโอเวอร์บริษัท เอเวอร์แลนด์ โดยใช้บริษัทอีเอ็มซีเป็นฐานทุนใหญ่
สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง คือ รายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท อีเอ็มซี พบว่าจะพัวพันกับกลุ่มผู้ถือหุ้นบริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริง(IEC) บล.แอ๊ดคินซัน (ASL) บริษัท เอเวอร์แลนด์(EVER) และบริษัทไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น(LIVE) หากเป็นไปอย่างที่หลายคนมองว่าเป็นฝีมือของเสี่ยโทนี่ คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า การหวนคืนสู่สังเวียนตลาดหุ้นในครั้งนี้ จะเป็นการย่ำรอยประวัติศาสตร์ที่เคยถูกบันทึกไว้โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงาน ก.ล.ต. หรือไม่!!?!
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 72
หัวข้อ: สีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา (มาม่าบลู)
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 05/03/08 15:08:16
--------------------------------------------------------------------------------
มาม่าบลู เป็นฉายาของนางสีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา ในวงการตลาดหุ้นใช้เรียกชื่อเธอ หรือ บางคนจะเรียกเธอว่า เจ๊สีฟ้า ให้สัมภาษณ์ “กระแสหุ้น” รายวันว่า ส่วนตัวชอบหุ้นตัวเล็ก เลือกบริษัทที่กำลังฟื้นกิจการ เช่น ไลฟ์ จึงเป็นเหตุผลที่เลือกลงทุนหุ้นตัวนี้ ซื้อตั้งแต่ราคาต่ำ ซื้อเข้า ขายออกตลอด ไม่ใช่เพิ่งเข้ามาเล่น และยังไม่เคยขาดทุนกับหุ้นตัวนี้
“มาม่าบลู” เปิดใจทำไมชอบเล่นหุ้นเล็ก เผยซื้อแล้วรวย แจงดวงไม่ถูกฉโลกกับหุ้นใหญ่ ซื้อทีไรขาดทุนทุกครั้ง เผยซื้อ LIVE – EMC มองมีอนาคต โดยเฉพาะ ไลฟ์ มีโอกาสป๊อกทำรายได้ก้อนโต ถ้าหนังที่สร้างออกมาฉาย ติดตลาดคนแห่ดู แต่ละเรื่องอาจทำเงินไม่ต่ำกว่า 100 ล้าน ยันไม่คิดล้างพอร์ต ขายแค่ทำกำไร และซื้อกลับมาอีก 5% ส่วนอีเอ็มซี แจงดีสุดในกลุ่มก่อสร้าง ราคาถูก
นอกจากนั้นมาม่าบลูมองว่า ไลฟ์ เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มอนาคตรายได้ดี ดูจากแผนการสร้างภาพยนตร์ ถ้าหนังลงโรงแล้วติดตลาด บริษัทมีโอกาสป๊อกทำรายได้กว่า 100 ล้านบาท ถ้าไปเทียบกับธุรกิจอื่น เช่น โรงงาน จะเห็นได้ว่า คืนทุนช้ารายได้ก็ไม่ดีเท่าทำหนัง แต่ต้องทำให้คนดูชอบ ด้วยเหตุผลนี้ทำให้เธอกล้าเสี่ยงที่ลงทุนในหุ้นไลฟ์
เธอเล่าให้ฟังต่อ ปัจจุบันหุ้นเล็กตัวอื่นที่ซื้ออีกก็มี EMC หลายคนมองว่าเป็นหุ้นปั่ น ไม่กล้าเข้ามาเสี่ยงแต่ในทรรศนะของมาม่าบลู คิดว่า หุ้นที่วิ่งคึกคึกทุกตัวในกระดาน ปั่ นกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ขึ้นอยู่กับคนทำจะเป็นฝรั่งหัวทอง หรือ ผมดำ ถ้าเป็นหุ้นเล็ก ผมดำเล่น ทางการจะจับตามอง และลงโทษ แต่ถ้าเป็นหุ้นใหญ่ ราคาจาก 200 บาทขึ้นไป 400 กว่าบาท ทุกคนจะมองด้วยสายตาชื่นชม ปัจจัยพื้นฐานดี ราคาวิ่งอย่างมีเหตุมีผล
ดังนั้นมาม่าบลูจึงอยากถามกลับถึงคนที่คิดเช่นนี้ว่า ถ้าหุ้นตัวใหญ่พื้นฐานดี มีอนาคตเวลาตลาดหุ้นปรับตัวลง คนที่มีอยู่ ขายหุ้นออกมาทำไม ถ้าลงทุนหุ้นเพราะพื้นฐานดี โดยไม่หวังกำไร ก็ต้องถือต่อไป อย่าขายประเด็นนี้จึงชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าต่างชาติ กองทุน หรือ คนไทย ต่างเข้ามาตลาดหุ้น เพื่อหวังกำไรทั้งนั้น ใครที่คิดว่า หุ้นใหญ่ไม่ปั่ น แสดงว่า ไม่รู้จริง
เหตุผลที่มาม่าบลูเลือกลงทุนหุ้น EMC เพราะ เป็นบริษัทก่อสร้างรายเล็ก ที่ราคาในกระดานยังไม่ขานรับกับปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้น และเมื่อเทียบกับบริษัทก่อสร้างใหญ่รายอื่นที่อยู่ในตลาดฯ จะเห็นว่า EMC งบบัญชีคลีนกว่ามาก มีหนี้น้อย ศักยภาพทำกำไรสูง และไม่มีปัญหาอย่างอื่น เช่น ITD มีปัญหากับรัฐบาลเรื่องสุวรรณภูมิ CK ก็ยังติดเรื่องค่าโง่ทางด่วน PLE เรื่องงบการเงิน
ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบดู จึงเห็นว่า EMC น่าลงทุนมากสุด ราคาในกระดานยังขยับขึ้นได้อีก นอกจากนั้นเธอระบุว่า ไม่ชอบลงทุนหุ้นใหญ่ ดวงไม่ถูกโฉลกกัน ซื้อทีไร ขาดทุนแทบทุกครั้ง เคยซื้อ ปตท.ช่วงราคา 30 กว่าบาท ถือไว้นานหุ้นไม่ขยับ ก็ขายออกไป ตามเล่นมาตลอดทุกระดับราคา โอกาสทำกำไรน้อยมาก เคยเข้าไปช่วง 400 กว่าบาทแล้วหุ้นก็หล่นลงมา ตัดขายขาดทุนทันที ไม่ถือต่อ เช่นกันกับ PTTEP ซื้อที่ 170 บาท ก็ขาดทุนอีก
“ พี่อาจมีหลักการลงทุนไม่เหมือนคนอื่น ซื้อช่วงตลาดบวก ขายตอนลง บางคนซื้อเวลาหุ้นลบ แล้วขายจังหวะที่ดัชนีปรับตัวขึ้น ส่วนตัวพี่ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะถ้าหุ้นลงจะถือไปทำไม ขายทำกำไรดีกว่า” เจ๊สีฟ้าพูดอย่างคนอารมณ์ดี
อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่า อย่ายึดเธอเป็นรูปแบบการลงทุน เรื่องเช่นนี้เป็นความสามารถส่วนตัว นักลงทุนรายให ญ่แต่ละคนมีวิธีการลงทุนที่ไม่เหมือนกัน “สไตล์ใคร สไตล์มัน”
ดังนั้นเจ๊สีฟ้า จึงให้สัมภาษณ์กับเว็บไซด์กับ e-financeThai.com เพิ่มเติมถึงกรณีการแจ้งขายหุ้น บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (LIVE) 1.04% เป็นเพียงการนำหุ้นออกมาเก็งกำไรตามปกติ ซึ่งยืนยันว่าจะไม่ทิ้งหุ้นล้างพอร์ตแน่นอน โดยล่าสุดได้กลับเข้าไปซื้อหุ้นจนมีสัดส่วนเกินกว่า 5% อีกครั้ง และเตรียมแจ้งต่อสำนักงาน ก.ล.ต.
'
หุ้น LIVE เป็นหุ้นที่ถือมานานแล้ว และมีการแบ่งออกมาเทรดดิ้งนิดหน่อย ที่แจ้งขายไปก็แค่ 1% กว่า และก็กลับไปซื้อเพิ่มเป็น 5% แล้ว ส่วนที่หนังสือพิมพ์ไปลงว่าจะล้างพอร์ตนั้น ไม่เป็นความจริง' นางสีฟ้ากล่าว
เจ๊สีฟ้า ยังกล่าวยืนยันว่าตัวเองเป็นนักเก็งกำไร โดยจะซื้อขายหุ้นในลักษณะการเก็งกำไรเป็นหลัก ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ 'ซื้อตัวเขียว-ขาย ตัวแดง' และพิจารณาสัญญาณเทคนิคของหุ้นแต่ละตัว ปัจจุบันมีการซื้อขายหุ้นเก็งกำไรหลายตัวในพอร์ต แต่ไม่ต้องการเปิดเผยว่ามีหุ้นตัวใดบ้าง
ทั้งนี้แม้ว่าจะซื้อขายหุ้นแบบเก็งกำไร แต่ปกติแล้วจะเป็นคนที่ถือหุ้นในระยะกลาง ไม่ได้เล่นสั้นแบบวันต่อวัน และในพอร์ตหุ้นที่ถืออยู่มีการแบ่งออกมาเทรดดิ้งบ้างเล็กน้อย อย่างเช่นหุ้น LIVE ที่นำออกมาเก็งกำไรประมาณ 1% กว่าๆ แต่ในพอร์ตยังถืออยู่ประมาณ 5%
สำหรับหุ้นเก็งกำไรหลายตัวที่ถูกตลาดหลักทรัพย์ออกมาตรการห้ามซื้อขายแบบเน็ทเซ็ทเทิลเม้นท์และมาร์จิ้น รวมทั้งหุ้น LIVE ด้วยนั้น ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว และไม่ได้ขายหุ้นออกมา และอยากแนะนำนักเก็งกำไรให้หนักแน่น หากดูเทรนด์แล้วยังเป็นขาขึ้น อย่ารีบร้อนขายหุ้น ซึ่งโดยส่วนตัวถึงแม้จะเป็นนักเก็งกำไรแต่ไม่เคยถูกตลาดหลักทรัพย์ขอข้อมูลแต่อย่างใด เพราะการเล่นเก็งกำไรในตลาดหุ้นไม่ได้ถือเป็นเรื่องผิด
'หุ้นทุกตัวก็เก็งกำไรกันทั้งนั้น PTT เองก็มีการเก็งกำไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องผิด และตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่เคยเรียกคุย ส่วนกลยุทธ์การเก็งกำไรก็ง่ายๆ และคิดว่าทุกคนทำได้คือซื้อตัวเขียว แล้วขาย ตัวแดง'
..................................เจ๊ จ๋า เจ๊ นานาขอบอกว่า เจ๋งจริงๆ...................................................
เริ่มหัวข้อโดย: nana ที่ 05/03/08 15:08:16
--------------------------------------------------------------------------------
มาม่าบลู เป็นฉายาของนางสีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา ในวงการตลาดหุ้นใช้เรียกชื่อเธอ หรือ บางคนจะเรียกเธอว่า เจ๊สีฟ้า ให้สัมภาษณ์ “กระแสหุ้น” รายวันว่า ส่วนตัวชอบหุ้นตัวเล็ก เลือกบริษัทที่กำลังฟื้นกิจการ เช่น ไลฟ์ จึงเป็นเหตุผลที่เลือกลงทุนหุ้นตัวนี้ ซื้อตั้งแต่ราคาต่ำ ซื้อเข้า ขายออกตลอด ไม่ใช่เพิ่งเข้ามาเล่น และยังไม่เคยขาดทุนกับหุ้นตัวนี้
“มาม่าบลู” เปิดใจทำไมชอบเล่นหุ้นเล็ก เผยซื้อแล้วรวย แจงดวงไม่ถูกฉโลกกับหุ้นใหญ่ ซื้อทีไรขาดทุนทุกครั้ง เผยซื้อ LIVE – EMC มองมีอนาคต โดยเฉพาะ ไลฟ์ มีโอกาสป๊อกทำรายได้ก้อนโต ถ้าหนังที่สร้างออกมาฉาย ติดตลาดคนแห่ดู แต่ละเรื่องอาจทำเงินไม่ต่ำกว่า 100 ล้าน ยันไม่คิดล้างพอร์ต ขายแค่ทำกำไร และซื้อกลับมาอีก 5% ส่วนอีเอ็มซี แจงดีสุดในกลุ่มก่อสร้าง ราคาถูก
นอกจากนั้นมาม่าบลูมองว่า ไลฟ์ เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มอนาคตรายได้ดี ดูจากแผนการสร้างภาพยนตร์ ถ้าหนังลงโรงแล้วติดตลาด บริษัทมีโอกาสป๊อกทำรายได้กว่า 100 ล้านบาท ถ้าไปเทียบกับธุรกิจอื่น เช่น โรงงาน จะเห็นได้ว่า คืนทุนช้ารายได้ก็ไม่ดีเท่าทำหนัง แต่ต้องทำให้คนดูชอบ ด้วยเหตุผลนี้ทำให้เธอกล้าเสี่ยงที่ลงทุนในหุ้นไลฟ์
เธอเล่าให้ฟังต่อ ปัจจุบันหุ้นเล็กตัวอื่นที่ซื้ออีกก็มี EMC หลายคนมองว่าเป็นหุ้นปั่ น ไม่กล้าเข้ามาเสี่ยงแต่ในทรรศนะของมาม่าบลู คิดว่า หุ้นที่วิ่งคึกคึกทุกตัวในกระดาน ปั่ นกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ขึ้นอยู่กับคนทำจะเป็นฝรั่งหัวทอง หรือ ผมดำ ถ้าเป็นหุ้นเล็ก ผมดำเล่น ทางการจะจับตามอง และลงโทษ แต่ถ้าเป็นหุ้นใหญ่ ราคาจาก 200 บาทขึ้นไป 400 กว่าบาท ทุกคนจะมองด้วยสายตาชื่นชม ปัจจัยพื้นฐานดี ราคาวิ่งอย่างมีเหตุมีผล
ดังนั้นมาม่าบลูจึงอยากถามกลับถึงคนที่คิดเช่นนี้ว่า ถ้าหุ้นตัวใหญ่พื้นฐานดี มีอนาคตเวลาตลาดหุ้นปรับตัวลง คนที่มีอยู่ ขายหุ้นออกมาทำไม ถ้าลงทุนหุ้นเพราะพื้นฐานดี โดยไม่หวังกำไร ก็ต้องถือต่อไป อย่าขายประเด็นนี้จึงชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าต่างชาติ กองทุน หรือ คนไทย ต่างเข้ามาตลาดหุ้น เพื่อหวังกำไรทั้งนั้น ใครที่คิดว่า หุ้นใหญ่ไม่ปั่ น แสดงว่า ไม่รู้จริง
เหตุผลที่มาม่าบลูเลือกลงทุนหุ้น EMC เพราะ เป็นบริษัทก่อสร้างรายเล็ก ที่ราคาในกระดานยังไม่ขานรับกับปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้น และเมื่อเทียบกับบริษัทก่อสร้างใหญ่รายอื่นที่อยู่ในตลาดฯ จะเห็นว่า EMC งบบัญชีคลีนกว่ามาก มีหนี้น้อย ศักยภาพทำกำไรสูง และไม่มีปัญหาอย่างอื่น เช่น ITD มีปัญหากับรัฐบาลเรื่องสุวรรณภูมิ CK ก็ยังติดเรื่องค่าโง่ทางด่วน PLE เรื่องงบการเงิน
ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบดู จึงเห็นว่า EMC น่าลงทุนมากสุด ราคาในกระดานยังขยับขึ้นได้อีก นอกจากนั้นเธอระบุว่า ไม่ชอบลงทุนหุ้นใหญ่ ดวงไม่ถูกโฉลกกัน ซื้อทีไร ขาดทุนแทบทุกครั้ง เคยซื้อ ปตท.ช่วงราคา 30 กว่าบาท ถือไว้นานหุ้นไม่ขยับ ก็ขายออกไป ตามเล่นมาตลอดทุกระดับราคา โอกาสทำกำไรน้อยมาก เคยเข้าไปช่วง 400 กว่าบาทแล้วหุ้นก็หล่นลงมา ตัดขายขาดทุนทันที ไม่ถือต่อ เช่นกันกับ PTTEP ซื้อที่ 170 บาท ก็ขาดทุนอีก
“ พี่อาจมีหลักการลงทุนไม่เหมือนคนอื่น ซื้อช่วงตลาดบวก ขายตอนลง บางคนซื้อเวลาหุ้นลบ แล้วขายจังหวะที่ดัชนีปรับตัวขึ้น ส่วนตัวพี่ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะถ้าหุ้นลงจะถือไปทำไม ขายทำกำไรดีกว่า” เจ๊สีฟ้าพูดอย่างคนอารมณ์ดี
อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่า อย่ายึดเธอเป็นรูปแบบการลงทุน เรื่องเช่นนี้เป็นความสามารถส่วนตัว นักลงทุนรายให ญ่แต่ละคนมีวิธีการลงทุนที่ไม่เหมือนกัน “สไตล์ใคร สไตล์มัน”
ดังนั้นเจ๊สีฟ้า จึงให้สัมภาษณ์กับเว็บไซด์กับ e-financeThai.com เพิ่มเติมถึงกรณีการแจ้งขายหุ้น บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (LIVE) 1.04% เป็นเพียงการนำหุ้นออกมาเก็งกำไรตามปกติ ซึ่งยืนยันว่าจะไม่ทิ้งหุ้นล้างพอร์ตแน่นอน โดยล่าสุดได้กลับเข้าไปซื้อหุ้นจนมีสัดส่วนเกินกว่า 5% อีกครั้ง และเตรียมแจ้งต่อสำนักงาน ก.ล.ต.
'
หุ้น LIVE เป็นหุ้นที่ถือมานานแล้ว และมีการแบ่งออกมาเทรดดิ้งนิดหน่อย ที่แจ้งขายไปก็แค่ 1% กว่า และก็กลับไปซื้อเพิ่มเป็น 5% แล้ว ส่วนที่หนังสือพิมพ์ไปลงว่าจะล้างพอร์ตนั้น ไม่เป็นความจริง' นางสีฟ้ากล่าว
เจ๊สีฟ้า ยังกล่าวยืนยันว่าตัวเองเป็นนักเก็งกำไร โดยจะซื้อขายหุ้นในลักษณะการเก็งกำไรเป็นหลัก ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ 'ซื้อตัวเขียว-ขาย ตัวแดง' และพิจารณาสัญญาณเทคนิคของหุ้นแต่ละตัว ปัจจุบันมีการซื้อขายหุ้นเก็งกำไรหลายตัวในพอร์ต แต่ไม่ต้องการเปิดเผยว่ามีหุ้นตัวใดบ้าง
ทั้งนี้แม้ว่าจะซื้อขายหุ้นแบบเก็งกำไร แต่ปกติแล้วจะเป็นคนที่ถือหุ้นในระยะกลาง ไม่ได้เล่นสั้นแบบวันต่อวัน และในพอร์ตหุ้นที่ถืออยู่มีการแบ่งออกมาเทรดดิ้งบ้างเล็กน้อย อย่างเช่นหุ้น LIVE ที่นำออกมาเก็งกำไรประมาณ 1% กว่าๆ แต่ในพอร์ตยังถืออยู่ประมาณ 5%
สำหรับหุ้นเก็งกำไรหลายตัวที่ถูกตลาดหลักทรัพย์ออกมาตรการห้ามซื้อขายแบบเน็ทเซ็ทเทิลเม้นท์และมาร์จิ้น รวมทั้งหุ้น LIVE ด้วยนั้น ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว และไม่ได้ขายหุ้นออกมา และอยากแนะนำนักเก็งกำไรให้หนักแน่น หากดูเทรนด์แล้วยังเป็นขาขึ้น อย่ารีบร้อนขายหุ้น ซึ่งโดยส่วนตัวถึงแม้จะเป็นนักเก็งกำไรแต่ไม่เคยถูกตลาดหลักทรัพย์ขอข้อมูลแต่อย่างใด เพราะการเล่นเก็งกำไรในตลาดหุ้นไม่ได้ถือเป็นเรื่องผิด
'หุ้นทุกตัวก็เก็งกำไรกันทั้งนั้น PTT เองก็มีการเก็งกำไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องผิด และตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่เคยเรียกคุย ส่วนกลยุทธ์การเก็งกำไรก็ง่ายๆ และคิดว่าทุกคนทำได้คือซื้อตัวเขียว แล้วขาย ตัวแดง'
..................................เจ๊ จ๋า เจ๊ นานาขอบอกว่า เจ๋งจริงๆ...................................................
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 73
8 สิ่งที่ควรรู้ในตลาดหุ้น
ที่มา : แม่หมอสาว (Post by K.Fon)
เพื่อนๆที่รักจะเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น หรือตอนแรกตั้งใจจะเป็นนักเก็งกำไรแต่กลับกลายเป็นนักลงทุนแบบตกบันไดพลอยโจน จะเป็นแบบไหนก็แล้วแต่นะคะ ..... แต่ถ้า 2มือล้วงกระเป๋า 2เท้าก้าวเข้ามาในตลาดหุ้นแล้ว ...... ขอบอกเลยค่ะว่า บรรยากาศจะคล้ายๆ เดินอยู่ในสวนสัตว์เปิด เสือ สิงห์ กระทิง แรด เพียบค่ะ ..... อันหมายถึง เราต้องเล่น money game โดยมีคู่ต่อสู้มากมาย ทั้งผู้จัดการกองทุนที่บริหารพอร์ตเป็นพันเป็นหมื่นล้าน เฮดจ์ฟันด์ที่แก่กล้าประสบการณ์ลงทุนมาแล้วทั่วโลก โบรกเกอร์ที่บริหารพอร์ตของบริษัท รายใหญ่ที่เล่นหุ้นเป็นอาชีพหลักมาหลายสิบปี ..... เมื่อมองคู่แข่งเราแล้ว ก็ลองมาถามตัวเองดูนะคะว่า Who am I .... How to win this game .........
หลักการเล่นหุ้นอย่างแรกนะคะ ..... อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลค่ะ ไม่ว่าจะอารมณ์โลภ อารมณ์กลัว อารมณ์เสียดาย อารมณ์เสียใจ ตลาดหุ้นมักสร้างสรรค์อารมณ์ให้นักลงทุนได้สารพัดหละค่ะและเป็นอุปสรรคหลักที่ทำให้แพ้เกมส์นี้นะคะ ขอบอก ........ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ เวลาหุ้นลงมาราคาถูกๆคนมักไม่อยากซือ้ (กลัวรวย) ตลาดเลยวายซะงั้น แต่พอหุ้นราคาแพงๆ นักลงทุนหน้าใหม่มักเข้าตลาดกันคึกคัก แล้วก็ติดหุ้นราคาสูงกันเป็นประจำค่ะ ...... ว่าแล้วเรามารู้ในสิ่งที่ควรรู้ในตลาดหุ้นกันดีกว่านะคะ
1. ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดไม่ใช่เราคิดคนเดียว เป็นจิตวิทยามวลชน .... รู้เขา รู้เรา เป็นกลยุทธที่ใช้ได้เสมอนะคะ การอ่านบทวิเคราะห์ให้มากๆทั้งของโบรกเกอร์ไทยและโบรกเกอร์ต่างประเทศ(ซึ่งหาอ่านได้ยาก) รวมถึงติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด จะช่วยเปิดมุมมองของเรา ให้Vision (วิสัยทัศน์) กว้างขึ้นค่ะ .... ยิ่งยุคนี้เป็นยุค Globalization นะคะ ข้อมูลเปลี่ยนแปลงเร็ว(มาก) ต้องตามกระแสให้ทันนะคะ .... การเล่นหุ้นที่ดี ต้องเริ่มจากการหาข้อมูล ให้มากๆแล้วมาวิเคราะห์ประมวลผล ไม่ใช่เริ่มจากคิดเองมีธงในใจ ถ้าไม่เก่งจริงอย่างหลังนี่โอกาสแพ้สูงค่ะ .....
2.การซือ้หุ้นเป็นการซื้ออนาคต ไม่ใช่ซื้อปัจจุบัน ...... หลักการคือ ให้มองไปข้างหน้าเสมอ มองว่าหุ้นตัวนั้นมีอนาคตที่ดี(มาก)รออยู่หรือไม่ ถ้ามองแล้วไม่เห็นอะไรที่ดีขึ้น ซือ้หุ้นตัวนั้นไปก็ไม่ขึ้นหรอกค่ะ ..... การศึกษาอดีตที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ดีทำให้เรารู้ประวัติ แต่อย่ายึดติดกับการวิเคราะห์อดีตนะคะ หลงทางได้ง่ายๆค่ะ ......
3.การเลือกตัวหุ้นต้องเทียบความน่าสนใจกับราคาที่จะซื้อเสมอ ..... หุ้นตัวเดียวกัน วันนี้ดี พรุ่งนี้อาจไม่ดีก็เป็นได้ค่ะ ถ้าราคาแพงเกินไป ..... แล้วจะรู้อย่างไรว่าตัวไหนแพงไป ตัวไหนถูกไป ...... ก็อ่านบทวิเคราะห์แหละค่ะ serchใน net ก็ได้ อ่านเหตุผลนะคะ ไม่ใช่อ่านแค่ชื่อหุ้นแล้วบอกตัวเองแค่ว่าค่ายนั้นเชียร์ตัวนี้ ค่ายนี้เชียร์ตัวนั้น นั่นเป็นวิธีโบ(ราณ)สุดฤทธิ์ เลยค่ะ .... การดูราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ประกอบเหตุผล(ที่ส่วนใหญ่ราคาไม่ค่อยไปถึงเป้าหรอกค่ะ ) เป็นสิ่งที่ควรทำนะคะ ถ้าราคาห่างจากปัจจุบันมากมาย อย่างนี้เค้าเรียก upside gain สูงอย่างนี้ก็น่าสนนะคะ .....อีกอย่างก็คือควรดูประวัติ ฝีไม้ลายมือของของโบรกเกอร์ที่วิเคราะห์ด้วยว่าเคยวิเคราะห์แล้วแม่นยำมามากน้อยแค่ไหนด้วยนะคะ .... อย่าลืมนะคะ ย้ำ สิ่งที่สำคัญที่สุดในบทวิเคราะห์หุ้นคือเหตุผลค่ะ ..... เราอ่านเหตุผลแล้วก็มาประมวลเองว่าเห็นจริงด้วยหรือไม่อีกครั้งค่ะ..... การเช็คราคาในอดีตก็สำคัญค่ะ กดกราฟที่ห้องค้าดู หรือเข้าwebบางwebเค้าก็มีกราฟหุ้นรายตัวให้ดูค่ะ ถ้าราคาเพิ่งเริ่มขึ้นขณะที่เป้าหมายสูงน่าสนใจค่ะ แต่ถ้าราคาขึ้นมามากแล้วความเสี่ยงก็จะสูงตามนะคะ .....
4. ราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นเพราะหุ้นพื้นฐานดี กำไรดี อนาคตดี .... หุ้นขึ้นเพราะมีคนซื้อต่างหากค่ะ เมื่อแรงซือ้มากกว่าแรงขาย แย่งกันซือ้ราคาก็ขึ้น ..... เพราะฉะนั้น ก็ต้องกลับมาที่รู้เขารู้เราอีกครั้งแล้วค่ะ หุ้นบางตัวมีจ้าว(เจ้าของดูแล) ..... บางตัวเป็นหุ้นพิมพ์นิยมสุดฮิตผู้เล่นมากไปหมดไม่รู้ใครเป็นใคร ..... ถ้าเรารู้ได้ว่าใครซือ้ใครขายอยู่ก็จะได้เปรียบค่ะ
5. หุ้นที่ได้รับความนิยมจะเปลี่ยนไปตามกระแสและสถานการณ์เสมอ ...... ต้องจับจังหวะให้ถูกนะคะ บางช่วงหุ้น Big Cap (หุ้นใหญ่) ... บางช่วงเป็นหุ้นComodities(โภคภัณฑ์) ... บางช่วงเป็นหุ้นDomestic plays (กลุ่มอิงกำลังซือ้ภายในประเทศ) .... บางช่วงเป็นหุ้น Small Cap ที่ turnaround (หุ้นเล็กที่ฟื้นตัว)..... ซึ่งบางครั้งก็ตามเทรนด์ตลาดโลก บางครั้งก็ไม่ตามอะค่ะ ....... แต่จะตามหรือไม่ตามสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความนิยมคือสตอรี่ในการเล่นมักจะโดดเด่น มองเห็นภาพของอนาคตที่ดีรออยู่ค่ะ
6.ภาวะตลาดรวมไม่มีสูตรตายตัวเช่นกัน......... SET บางครั้งก็ดูเหมือนจะอิงตลาดต่างประเทศ แต่บางครั้งก็ไม่ใช่ มีเหมือนกันที่SET เป็นตัวของตัวเอง แดงทั่วภูมิภาค SET เขียวสวนซะงั้น แต่ทั้งนี้ต้องมีที่มาและที่ไปนะคะ ทุกอย่างต้องมีเหตุผลเสมอค่ะ Macro Economics น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดค่ะ .... และสมัยนี้ต้องดูตลาดตปท.ล่วงหน้าประกอบด้วย ถ้าราคาหุ้นรับรู้จากคลาดล่วงหน้าไปแล้ว พอเกิดจริงอาจไม่มีผลอีกค่ะ....... อีกอย่างหนึ่งคือfundflow หรือ ยอดฝรั่ง-กองทุน ซื้อขาย ซึ่งเดี๋ยวนี้มีบางค่ายเช็คคร่าวๆระหว่างการเทรดด้วยนะคะ สมัยก่อนกองทุนต่างประเทศมีอิทธิพลสูงมากในตลาดไทย ซื้อเป็นขึ้น ขายเป็นลง และไม่ค่อยแตกแถวคือหลายๆโบรกเกอร์ฝรั่งมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ....... แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปนะคะ สัดส่วนกองทุนต่างประเทศบางช่วงซือ้ขายน้อยเมื่อเทียบปริมาณการซือ้ขายรวม หรือบางครั้งแต่ละโบรกเกอร์คิดแตกต่างกันก็มีค่ะ ..........เพราะฉะนั้นการดูเทรนด์ตลาดต่างประเทศและ fundflow อาจเป็นปัจจัยทางจิตวิทยาได้แต่ไม่เสมอไปนะคะ
7. ผลประกอบการบริษัทต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ เป็นภาพสะท้อนของเศรษฐกิจมหภาคฝั่งเอกชน อันหมายถึง ถ้าผลประกอบการของบริษัทต่างๆดี แนวโน้มยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ก็จะเป็นตัวสะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศได้คร่าวๆนั่นเองค่ะ ....หรือในทางตรงกันข้ามถ้าอัตราการเจริญเติบโตประเทศหรือจีดีพีสูงย่อมสะท้อนภาพรวมของเอกชนหรือผลการดำเนินการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดที่ดีนั่นเองค่ะ ......
8 การปรับตัวลงของตลาดหุ้นหากเกิดจากปัจจัยทางการเมือง เมื่อจบลงตลาดจะสามารถตีกลับได้ในลักษณะV shape ขณะที่หากการปรับตัวลงเกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวต้องใช้เวลา...... อันนี้confirmเลยค่ะ ไม่ว่าจะตั้งแต่การยุบสภา สมัยรสช. ปฏิวัติทุกยุคทุกสมัย ม๊อบเล็ก ม๊อบใหญ่ เผากันกลางเมืองเมื่อจบ ตลาดจะตอบสนองเสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ก็จะว่ากันตามปัจจัยเศรษฐกิจที่เป็นอยู่อะค่ะ.... เพราะฉะนั้นหากหุ้นตกแรงจากปัจจัยการเมือง เพื่อนๆเตรียมพร้อมช้อนซือ้ได้เลยค่ะ
ก็เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แม่หมอแอบสังเกตุจากตลาดมาหลายยุคหลายสมัย แล้วมาเล่าให้เพื่อนๆฟังอะค่ะ หากเพื่อนๆคนไหนอยากแชร์ไอเดียร์ก็เชิญได้เเลยนะคะ .... เพราะตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดไม่ใช่เราคิดคนเดียวค่ะ
ที่มา : แม่หมอสาว
ที่มา : แม่หมอสาว (Post by K.Fon)
เพื่อนๆที่รักจะเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น หรือตอนแรกตั้งใจจะเป็นนักเก็งกำไรแต่กลับกลายเป็นนักลงทุนแบบตกบันไดพลอยโจน จะเป็นแบบไหนก็แล้วแต่นะคะ ..... แต่ถ้า 2มือล้วงกระเป๋า 2เท้าก้าวเข้ามาในตลาดหุ้นแล้ว ...... ขอบอกเลยค่ะว่า บรรยากาศจะคล้ายๆ เดินอยู่ในสวนสัตว์เปิด เสือ สิงห์ กระทิง แรด เพียบค่ะ ..... อันหมายถึง เราต้องเล่น money game โดยมีคู่ต่อสู้มากมาย ทั้งผู้จัดการกองทุนที่บริหารพอร์ตเป็นพันเป็นหมื่นล้าน เฮดจ์ฟันด์ที่แก่กล้าประสบการณ์ลงทุนมาแล้วทั่วโลก โบรกเกอร์ที่บริหารพอร์ตของบริษัท รายใหญ่ที่เล่นหุ้นเป็นอาชีพหลักมาหลายสิบปี ..... เมื่อมองคู่แข่งเราแล้ว ก็ลองมาถามตัวเองดูนะคะว่า Who am I .... How to win this game .........
หลักการเล่นหุ้นอย่างแรกนะคะ ..... อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลค่ะ ไม่ว่าจะอารมณ์โลภ อารมณ์กลัว อารมณ์เสียดาย อารมณ์เสียใจ ตลาดหุ้นมักสร้างสรรค์อารมณ์ให้นักลงทุนได้สารพัดหละค่ะและเป็นอุปสรรคหลักที่ทำให้แพ้เกมส์นี้นะคะ ขอบอก ........ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ เวลาหุ้นลงมาราคาถูกๆคนมักไม่อยากซือ้ (กลัวรวย) ตลาดเลยวายซะงั้น แต่พอหุ้นราคาแพงๆ นักลงทุนหน้าใหม่มักเข้าตลาดกันคึกคัก แล้วก็ติดหุ้นราคาสูงกันเป็นประจำค่ะ ...... ว่าแล้วเรามารู้ในสิ่งที่ควรรู้ในตลาดหุ้นกันดีกว่านะคะ
1. ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดไม่ใช่เราคิดคนเดียว เป็นจิตวิทยามวลชน .... รู้เขา รู้เรา เป็นกลยุทธที่ใช้ได้เสมอนะคะ การอ่านบทวิเคราะห์ให้มากๆทั้งของโบรกเกอร์ไทยและโบรกเกอร์ต่างประเทศ(ซึ่งหาอ่านได้ยาก) รวมถึงติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด จะช่วยเปิดมุมมองของเรา ให้Vision (วิสัยทัศน์) กว้างขึ้นค่ะ .... ยิ่งยุคนี้เป็นยุค Globalization นะคะ ข้อมูลเปลี่ยนแปลงเร็ว(มาก) ต้องตามกระแสให้ทันนะคะ .... การเล่นหุ้นที่ดี ต้องเริ่มจากการหาข้อมูล ให้มากๆแล้วมาวิเคราะห์ประมวลผล ไม่ใช่เริ่มจากคิดเองมีธงในใจ ถ้าไม่เก่งจริงอย่างหลังนี่โอกาสแพ้สูงค่ะ .....
2.การซือ้หุ้นเป็นการซื้ออนาคต ไม่ใช่ซื้อปัจจุบัน ...... หลักการคือ ให้มองไปข้างหน้าเสมอ มองว่าหุ้นตัวนั้นมีอนาคตที่ดี(มาก)รออยู่หรือไม่ ถ้ามองแล้วไม่เห็นอะไรที่ดีขึ้น ซือ้หุ้นตัวนั้นไปก็ไม่ขึ้นหรอกค่ะ ..... การศึกษาอดีตที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ดีทำให้เรารู้ประวัติ แต่อย่ายึดติดกับการวิเคราะห์อดีตนะคะ หลงทางได้ง่ายๆค่ะ ......
3.การเลือกตัวหุ้นต้องเทียบความน่าสนใจกับราคาที่จะซื้อเสมอ ..... หุ้นตัวเดียวกัน วันนี้ดี พรุ่งนี้อาจไม่ดีก็เป็นได้ค่ะ ถ้าราคาแพงเกินไป ..... แล้วจะรู้อย่างไรว่าตัวไหนแพงไป ตัวไหนถูกไป ...... ก็อ่านบทวิเคราะห์แหละค่ะ serchใน net ก็ได้ อ่านเหตุผลนะคะ ไม่ใช่อ่านแค่ชื่อหุ้นแล้วบอกตัวเองแค่ว่าค่ายนั้นเชียร์ตัวนี้ ค่ายนี้เชียร์ตัวนั้น นั่นเป็นวิธีโบ(ราณ)สุดฤทธิ์ เลยค่ะ .... การดูราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ประกอบเหตุผล(ที่ส่วนใหญ่ราคาไม่ค่อยไปถึงเป้าหรอกค่ะ ) เป็นสิ่งที่ควรทำนะคะ ถ้าราคาห่างจากปัจจุบันมากมาย อย่างนี้เค้าเรียก upside gain สูงอย่างนี้ก็น่าสนนะคะ .....อีกอย่างก็คือควรดูประวัติ ฝีไม้ลายมือของของโบรกเกอร์ที่วิเคราะห์ด้วยว่าเคยวิเคราะห์แล้วแม่นยำมามากน้อยแค่ไหนด้วยนะคะ .... อย่าลืมนะคะ ย้ำ สิ่งที่สำคัญที่สุดในบทวิเคราะห์หุ้นคือเหตุผลค่ะ ..... เราอ่านเหตุผลแล้วก็มาประมวลเองว่าเห็นจริงด้วยหรือไม่อีกครั้งค่ะ..... การเช็คราคาในอดีตก็สำคัญค่ะ กดกราฟที่ห้องค้าดู หรือเข้าwebบางwebเค้าก็มีกราฟหุ้นรายตัวให้ดูค่ะ ถ้าราคาเพิ่งเริ่มขึ้นขณะที่เป้าหมายสูงน่าสนใจค่ะ แต่ถ้าราคาขึ้นมามากแล้วความเสี่ยงก็จะสูงตามนะคะ .....
4. ราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นเพราะหุ้นพื้นฐานดี กำไรดี อนาคตดี .... หุ้นขึ้นเพราะมีคนซื้อต่างหากค่ะ เมื่อแรงซือ้มากกว่าแรงขาย แย่งกันซือ้ราคาก็ขึ้น ..... เพราะฉะนั้น ก็ต้องกลับมาที่รู้เขารู้เราอีกครั้งแล้วค่ะ หุ้นบางตัวมีจ้าว(เจ้าของดูแล) ..... บางตัวเป็นหุ้นพิมพ์นิยมสุดฮิตผู้เล่นมากไปหมดไม่รู้ใครเป็นใคร ..... ถ้าเรารู้ได้ว่าใครซือ้ใครขายอยู่ก็จะได้เปรียบค่ะ
5. หุ้นที่ได้รับความนิยมจะเปลี่ยนไปตามกระแสและสถานการณ์เสมอ ...... ต้องจับจังหวะให้ถูกนะคะ บางช่วงหุ้น Big Cap (หุ้นใหญ่) ... บางช่วงเป็นหุ้นComodities(โภคภัณฑ์) ... บางช่วงเป็นหุ้นDomestic plays (กลุ่มอิงกำลังซือ้ภายในประเทศ) .... บางช่วงเป็นหุ้น Small Cap ที่ turnaround (หุ้นเล็กที่ฟื้นตัว)..... ซึ่งบางครั้งก็ตามเทรนด์ตลาดโลก บางครั้งก็ไม่ตามอะค่ะ ....... แต่จะตามหรือไม่ตามสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความนิยมคือสตอรี่ในการเล่นมักจะโดดเด่น มองเห็นภาพของอนาคตที่ดีรออยู่ค่ะ
6.ภาวะตลาดรวมไม่มีสูตรตายตัวเช่นกัน......... SET บางครั้งก็ดูเหมือนจะอิงตลาดต่างประเทศ แต่บางครั้งก็ไม่ใช่ มีเหมือนกันที่SET เป็นตัวของตัวเอง แดงทั่วภูมิภาค SET เขียวสวนซะงั้น แต่ทั้งนี้ต้องมีที่มาและที่ไปนะคะ ทุกอย่างต้องมีเหตุผลเสมอค่ะ Macro Economics น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดค่ะ .... และสมัยนี้ต้องดูตลาดตปท.ล่วงหน้าประกอบด้วย ถ้าราคาหุ้นรับรู้จากคลาดล่วงหน้าไปแล้ว พอเกิดจริงอาจไม่มีผลอีกค่ะ....... อีกอย่างหนึ่งคือfundflow หรือ ยอดฝรั่ง-กองทุน ซื้อขาย ซึ่งเดี๋ยวนี้มีบางค่ายเช็คคร่าวๆระหว่างการเทรดด้วยนะคะ สมัยก่อนกองทุนต่างประเทศมีอิทธิพลสูงมากในตลาดไทย ซื้อเป็นขึ้น ขายเป็นลง และไม่ค่อยแตกแถวคือหลายๆโบรกเกอร์ฝรั่งมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ....... แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปนะคะ สัดส่วนกองทุนต่างประเทศบางช่วงซือ้ขายน้อยเมื่อเทียบปริมาณการซือ้ขายรวม หรือบางครั้งแต่ละโบรกเกอร์คิดแตกต่างกันก็มีค่ะ ..........เพราะฉะนั้นการดูเทรนด์ตลาดต่างประเทศและ fundflow อาจเป็นปัจจัยทางจิตวิทยาได้แต่ไม่เสมอไปนะคะ
7. ผลประกอบการบริษัทต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ เป็นภาพสะท้อนของเศรษฐกิจมหภาคฝั่งเอกชน อันหมายถึง ถ้าผลประกอบการของบริษัทต่างๆดี แนวโน้มยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ก็จะเป็นตัวสะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศได้คร่าวๆนั่นเองค่ะ ....หรือในทางตรงกันข้ามถ้าอัตราการเจริญเติบโตประเทศหรือจีดีพีสูงย่อมสะท้อนภาพรวมของเอกชนหรือผลการดำเนินการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดที่ดีนั่นเองค่ะ ......
8 การปรับตัวลงของตลาดหุ้นหากเกิดจากปัจจัยทางการเมือง เมื่อจบลงตลาดจะสามารถตีกลับได้ในลักษณะV shape ขณะที่หากการปรับตัวลงเกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวต้องใช้เวลา...... อันนี้confirmเลยค่ะ ไม่ว่าจะตั้งแต่การยุบสภา สมัยรสช. ปฏิวัติทุกยุคทุกสมัย ม๊อบเล็ก ม๊อบใหญ่ เผากันกลางเมืองเมื่อจบ ตลาดจะตอบสนองเสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ก็จะว่ากันตามปัจจัยเศรษฐกิจที่เป็นอยู่อะค่ะ.... เพราะฉะนั้นหากหุ้นตกแรงจากปัจจัยการเมือง เพื่อนๆเตรียมพร้อมช้อนซือ้ได้เลยค่ะ
ก็เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แม่หมอแอบสังเกตุจากตลาดมาหลายยุคหลายสมัย แล้วมาเล่าให้เพื่อนๆฟังอะค่ะ หากเพื่อนๆคนไหนอยากแชร์ไอเดียร์ก็เชิญได้เเลยนะคะ .... เพราะตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดไม่ใช่เราคิดคนเดียวค่ะ
ที่มา : แม่หมอสาว
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 74
ความผิดพลาด 19 ประการที่นักลงทุนส่วนมากกระทำ
ที่มา : แม่หมอสาว
สวัสดีวันที่2ของปีกระต่ายค่ะเพื่อนๆ .... อ่านหมากตลาดหุ้นเปิดปีใหม่มาเลยจะชวนเพื่อนๆมาสำรวจการลงทุนในตลาดหุ้นของเราซักนิดดีมั๊ยคะ ว่ามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า ..... พอดีไปอ่านเจอตำราว่าด้วยความผิดพลาด 19 ประการที่นักลงทุนส่วนมากกระทำ เลยขอนำมาฝากเพื่อนๆ เผือจะใช้เป้นแนวทางปรับกลยุทธการลงทุนในปี54กันอะค่ะ
ความผิดพลาด 19 ประการที่นักลงทุนส่วนมากกระทำ (Nineteem common )
1.รั้นที่จะถือขาดทุนไว้เมื่อเป็นจำนวนเล็กน้อยและสมเหตุสมผล (Stubbornly holding onto losses when they are amall and reasonabla ) ข้อนี้เป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมากเป็นอันดับที่หนึ่ง ( นาย O Neil มีกฏให้ทำ Cut loss ทันทีเมื่อขาดทุนไป 7-8 % )
2.ซื้อตอนหุ้นตก นั่นคือการตอกย้ำความสำคัญ ( Buying on the way down in price , thus ensuring miserabla results ) หุ้นที่กำลังตกลงมา ถูกกว่าเมือ่สัปดาห์ก่อนดูท่าว่าถูกดี - แต่จะจ้องรับกริชที่กำลังหล่นไปใย
3.ซื้อเฉลี่ยตอนลงมากว่าตอนขึ้น ( Averaging down in price rather than up when buying ) นี่คือการเอาเงินดีไปปนเงินเลว เป็นกลยุทธ์แบบมือสมัครเล่นที่จะนำไปสู่การขาดทุนหนักๆ
4.ซื้อหุ้นราคาต่ำจำนวนมาก แทนที่จะซื้อหุ้นราคาสูงจำนวนน้อย ( Buying large amounts of low priced stocks rather than amaller amounts of higher priced stocks. ) หุ้นคุณภาพดีราคาไม่มีต่ำ ควรซื้อหุ้นที่ดีที่สุด ( ไม่ใช่ถูกที่สุด )
5.อยากรวยเร็วไม่อยากออกแรง ( Wanting to make a quick and easy buck ) โลภมากใจร้อนจี๋ มีโอกาสใจด่วนโดดเข้ากองไฟแล้วเสียดายไม่อยาก Cut loss เมื่อพลาด
6.ซื้อตามเขาว่า ( buying on tips , rumors ,split announcements , and other news hear from supposed market experts on Tv ) หรืออีกนัยหนึ่ง เอาเงินที่ตนสะสมมาอย่างยากเย็นไปเชื่อตามคนอื่น แทนที่จะใช้เวลาฝึกศึกษาให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร
7.เลือกหุ้นชั้นรองเพราะได้ปันผลหรือ P/E ต่ำ ( Selecting second -rate stocks because of dividends or low price-earnings ratios ) มีปัจจัยข้อมูลอื่น ๆ อีกมากที่สำคัญกว่า เงินปันผล หรือ P/ E ( เช่นอัตราการเจริญโต )
8.ไม่ยอมถอยแม้จะเลือกผิดและไม่รู้จริงในการหาบริษัทที่พบความสำเร็จ (Never getting out of the starting gate properly due to poor selection criteria and not knowing exactly what to lok for in a successful company.) หลายคนหลงอยู่กับหุ้นปลายแถวที่มีข้อมูลคลุมเครือ
9.ซื้อหุ้นที่คุณคุ้นชื่อ (Buying old names you're familiar with.) แค่ที่คุณเคยทำงานการบินไทยไม่จำเป็นต้องเป็นเหตุให้เป็นหุ้นดีที่คุณควรซื้อ มีหุ้นดีๆ เกิดใหม่ขึ้นมาได้เสมอ
10.ไม่มีปัญญาจดจำทำตามข้อมูลคำแนะนำที่ดี (Not being able to recognize (and follow) good information and advice.) ญาติ มิตร โบรกเกอร์ และการบริการให้คำแนะนำต่างๆ อาจเป็นต้นตอ - ของคำแนะนำที่เลว มีนักกีฬามืออาชีพเพียงน้อยนิดที่โด่งดังโดดเด่นจริงๆ
11.ดูกราฟไม่เป็นและไม่กล้าซื้อเมื่อเป็น "new high" (Not using charts and being afraid to buy stocks that are going into new high ground in price.) คนมากกว่า 98% คิดว่าราคาที่ new high แพงไป..แล้วก็ตกรถ
12.ชอบขายหมูแต่ชอบกอดของเน่า (Cashing in small, easy-to-take profits while holding the losers.) อีกนัยหนึ่ง ควรทำตรงกันข้าม คือ ให้โอกาสเวลา เพื่อทำกำไรและรู้จัก cut loss
13.เป็นกังวลเกินไปกับค่าภาษีและค่าคอม (Worrying too much about taxes and commissions.) (บ้านเราคงไม่เป็นนักเพราะไม่แพงอย่างเขา)
14.จดจ้องรู้แต่ตอนซื้อแต่ไม่รู้ตอนขาย (Concentrating your time on what to buy and once the buy decision is made, not undetrstanding when or under what conditions the stock must be sold.) ส่วนมากทำการบ้านแค่ครึ่งเดียว
15.ไม่เข้าใจความสำคัญของการซื้อหุ้นคุณภาพและการดูทางเท็คนิคเพื่อปรับปรุงการเลือกของตน (Failing to understand the importance of buying quality companies with good institutional sponsorship and the importance of learning how to use charts to significantly improve selection and timing.)
16.ชอบเก็งกำไรหนักๆ พวก W/C เพราะเชื่อว่าเป็นทางลัดรวยเร็ว (Speculating too heavily in options or futures because they're thought to be a way to get rich quick.) (คนที่ชนะคงค้าน-แต่มีกี่คนไม่รู้)
17.ไม่ค่อยทำตามตลาดแต่ชอบเคาะเพดาน (Rarely transacting "at the market" and preferring to put price limits on their buy and sell orders.) (เลยชวดขายชวดซื้อ)
18.ละล้าละลังไม่รู้เวลาลงมือ (Not being able to make up your mind when a decision needs to be made.) (หลายคนไม่รู้เวลาจะซื้อ จะขาย จะถือ ดูกระทู้ในสินธรก็ท่วมไปหมด)
19.ซื้อหุ้นอย่างไม่มีเป้าหมาย (Not looking at stocks objectively.) ชอบซื้อตัวที่ชอบแล้วนั่งภาวนา แทนที่จะศึกษาสนใจทั้งตลาดไม่รู้ใครถูกใครผิดแค่ไหนเพียงไร
เนื่องในศักราชใหม่นี้ แม่หมอก็ขออวยพรให้เพื่อนร่วมทางสายการลงทุนทุกๆคนประสบแต่ความสุข ความสำเร็จในการลงทุน ร่ำรวยแบบมีสติกันทุกๆคนเลยนะคะ .... รักนะ จุ๊บๆ
ที่มา : แม่หมอสาว
ที่มา : แม่หมอสาว
สวัสดีวันที่2ของปีกระต่ายค่ะเพื่อนๆ .... อ่านหมากตลาดหุ้นเปิดปีใหม่มาเลยจะชวนเพื่อนๆมาสำรวจการลงทุนในตลาดหุ้นของเราซักนิดดีมั๊ยคะ ว่ามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า ..... พอดีไปอ่านเจอตำราว่าด้วยความผิดพลาด 19 ประการที่นักลงทุนส่วนมากกระทำ เลยขอนำมาฝากเพื่อนๆ เผือจะใช้เป้นแนวทางปรับกลยุทธการลงทุนในปี54กันอะค่ะ
ความผิดพลาด 19 ประการที่นักลงทุนส่วนมากกระทำ (Nineteem common )
1.รั้นที่จะถือขาดทุนไว้เมื่อเป็นจำนวนเล็กน้อยและสมเหตุสมผล (Stubbornly holding onto losses when they are amall and reasonabla ) ข้อนี้เป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมากเป็นอันดับที่หนึ่ง ( นาย O Neil มีกฏให้ทำ Cut loss ทันทีเมื่อขาดทุนไป 7-8 % )
2.ซื้อตอนหุ้นตก นั่นคือการตอกย้ำความสำคัญ ( Buying on the way down in price , thus ensuring miserabla results ) หุ้นที่กำลังตกลงมา ถูกกว่าเมือ่สัปดาห์ก่อนดูท่าว่าถูกดี - แต่จะจ้องรับกริชที่กำลังหล่นไปใย
3.ซื้อเฉลี่ยตอนลงมากว่าตอนขึ้น ( Averaging down in price rather than up when buying ) นี่คือการเอาเงินดีไปปนเงินเลว เป็นกลยุทธ์แบบมือสมัครเล่นที่จะนำไปสู่การขาดทุนหนักๆ
4.ซื้อหุ้นราคาต่ำจำนวนมาก แทนที่จะซื้อหุ้นราคาสูงจำนวนน้อย ( Buying large amounts of low priced stocks rather than amaller amounts of higher priced stocks. ) หุ้นคุณภาพดีราคาไม่มีต่ำ ควรซื้อหุ้นที่ดีที่สุด ( ไม่ใช่ถูกที่สุด )
5.อยากรวยเร็วไม่อยากออกแรง ( Wanting to make a quick and easy buck ) โลภมากใจร้อนจี๋ มีโอกาสใจด่วนโดดเข้ากองไฟแล้วเสียดายไม่อยาก Cut loss เมื่อพลาด
6.ซื้อตามเขาว่า ( buying on tips , rumors ,split announcements , and other news hear from supposed market experts on Tv ) หรืออีกนัยหนึ่ง เอาเงินที่ตนสะสมมาอย่างยากเย็นไปเชื่อตามคนอื่น แทนที่จะใช้เวลาฝึกศึกษาให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร
7.เลือกหุ้นชั้นรองเพราะได้ปันผลหรือ P/E ต่ำ ( Selecting second -rate stocks because of dividends or low price-earnings ratios ) มีปัจจัยข้อมูลอื่น ๆ อีกมากที่สำคัญกว่า เงินปันผล หรือ P/ E ( เช่นอัตราการเจริญโต )
8.ไม่ยอมถอยแม้จะเลือกผิดและไม่รู้จริงในการหาบริษัทที่พบความสำเร็จ (Never getting out of the starting gate properly due to poor selection criteria and not knowing exactly what to lok for in a successful company.) หลายคนหลงอยู่กับหุ้นปลายแถวที่มีข้อมูลคลุมเครือ
9.ซื้อหุ้นที่คุณคุ้นชื่อ (Buying old names you're familiar with.) แค่ที่คุณเคยทำงานการบินไทยไม่จำเป็นต้องเป็นเหตุให้เป็นหุ้นดีที่คุณควรซื้อ มีหุ้นดีๆ เกิดใหม่ขึ้นมาได้เสมอ
10.ไม่มีปัญญาจดจำทำตามข้อมูลคำแนะนำที่ดี (Not being able to recognize (and follow) good information and advice.) ญาติ มิตร โบรกเกอร์ และการบริการให้คำแนะนำต่างๆ อาจเป็นต้นตอ - ของคำแนะนำที่เลว มีนักกีฬามืออาชีพเพียงน้อยนิดที่โด่งดังโดดเด่นจริงๆ
11.ดูกราฟไม่เป็นและไม่กล้าซื้อเมื่อเป็น "new high" (Not using charts and being afraid to buy stocks that are going into new high ground in price.) คนมากกว่า 98% คิดว่าราคาที่ new high แพงไป..แล้วก็ตกรถ
12.ชอบขายหมูแต่ชอบกอดของเน่า (Cashing in small, easy-to-take profits while holding the losers.) อีกนัยหนึ่ง ควรทำตรงกันข้าม คือ ให้โอกาสเวลา เพื่อทำกำไรและรู้จัก cut loss
13.เป็นกังวลเกินไปกับค่าภาษีและค่าคอม (Worrying too much about taxes and commissions.) (บ้านเราคงไม่เป็นนักเพราะไม่แพงอย่างเขา)
14.จดจ้องรู้แต่ตอนซื้อแต่ไม่รู้ตอนขาย (Concentrating your time on what to buy and once the buy decision is made, not undetrstanding when or under what conditions the stock must be sold.) ส่วนมากทำการบ้านแค่ครึ่งเดียว
15.ไม่เข้าใจความสำคัญของการซื้อหุ้นคุณภาพและการดูทางเท็คนิคเพื่อปรับปรุงการเลือกของตน (Failing to understand the importance of buying quality companies with good institutional sponsorship and the importance of learning how to use charts to significantly improve selection and timing.)
16.ชอบเก็งกำไรหนักๆ พวก W/C เพราะเชื่อว่าเป็นทางลัดรวยเร็ว (Speculating too heavily in options or futures because they're thought to be a way to get rich quick.) (คนที่ชนะคงค้าน-แต่มีกี่คนไม่รู้)
17.ไม่ค่อยทำตามตลาดแต่ชอบเคาะเพดาน (Rarely transacting "at the market" and preferring to put price limits on their buy and sell orders.) (เลยชวดขายชวดซื้อ)
18.ละล้าละลังไม่รู้เวลาลงมือ (Not being able to make up your mind when a decision needs to be made.) (หลายคนไม่รู้เวลาจะซื้อ จะขาย จะถือ ดูกระทู้ในสินธรก็ท่วมไปหมด)
19.ซื้อหุ้นอย่างไม่มีเป้าหมาย (Not looking at stocks objectively.) ชอบซื้อตัวที่ชอบแล้วนั่งภาวนา แทนที่จะศึกษาสนใจทั้งตลาดไม่รู้ใครถูกใครผิดแค่ไหนเพียงไร
เนื่องในศักราชใหม่นี้ แม่หมอก็ขออวยพรให้เพื่อนร่วมทางสายการลงทุนทุกๆคนประสบแต่ความสุข ความสำเร็จในการลงทุน ร่ำรวยแบบมีสติกันทุกๆคนเลยนะคะ .... รักนะ จุ๊บๆ
ที่มา : แม่หมอสาว
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 75
กูรูหุ้นพันล้าน : บทอวสาน “สุดยอด…วิชัย วชิรพงศ์”
ความเป็น “สุดยอด” ของนักเล่นหุ้นธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ลงทุนจากเงินทุน 2 ล้านบาท แล้วประสบความสำเร็จจนมีเงินนับ “พันล้านบาท” จาก “ต้นกล้า” ฝ่าแดด…ต้านฝน จนเป็น “ไม้ใหญ่”
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : การนำเสนอ Story ชีวิต และความสำเร็จของ “เสี่ยยักษ์” วิชัย วชิรพงศ์ ก็เดินทางมาถึง “ปลายทาง” ตามวาระแห่งความพอดี (ฉบับสุดท้าย วันที่ 19 ตุลาคม 2550 วันครบรอบ 20 ปีเต็ม ของเหตุการณ์ Black Monday) ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา รวมทั้งสิ้น 27 ตอน กับอีก 1 บทสรุปของ “สุดยอดวิชา”
ความเป็น “สุดยอด” ของนักเล่นหุ้นธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ลงทุนจากเงินทุน 2 ล้านบาท แล้วประสบความสำเร็จจนมีเงินนับ “พันล้านบาท” จาก “ต้นกล้า” ฝ่าแดด…ต้านฝน จนเป็น “ไม้ใหญ่” ขอคารวะด้วยจิตศรัทธาว่า “ไม่ธรรมดา”
ก่อนจากลา “ถนนนักลงทุน” ขอรวบรวมคำพูดและวลีเด็ดๆ จากกูรูหุ้นระดับประเทศท่านนี้ ถ่ายทอดเป็น “ยอดวิชา” หวังให้ไป “ผลิบาน” ในความคิดของนักลงทุน เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ สืบสานสร้างความมั่งคั่งเรื่อยไป
ตั้งแต่ตอนที่ 1 ถึง ตอนที่ 27 มี วลีเด็ดๆ ที่น่าสนใจดังนี้
ตอนที่ 1 เงินนี่มันแปลก เงิน 1 ล้านบาท คุณจะเพิ่มให้เป็น 2 ล้านบาท ช่วงนี้จะยากมาก แต่จาก 2 เพิ่มเป็น 4 เริ่มง่าย จาก 4 เพิ่มเป็น 8 ยิ่งง่ายกว่า…นี่เรื่องจริง
ตอนที่ 2 ถ้าในโลกนี้ใครได้อะไรมาง่ายๆ ก็ยากที่จะรักษาให้มันอยู่กับเราได้อย่างยั่งยืน
ตอนที่ 3 หุ้นจะเป็นขาขึ้น “ราคา” และ “ปริมาณ” จะต้องเคลื่อนไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน
ตอนที่ 4 ถ้าเราเลือกหุ้นพี/อี ต่ำ พื้นฐานดี แต่ซื้อแล้วราคาไม่ขึ้น…มีแต่ลง แสดงว่าความคิดของเรา “ผิด” คุณต้องเปลี่ยน “อย่าดันทุรัง”
ตอนที่ 5 สมัยที่ยังเล่นหุ้นไม่เก่ง วิธีที่ผมใช้…จะลอกข้อสอบคนเก่ง แต่ระหว่างที่เราลอกข้อสอบเขา เราก็ต้องพัฒนาตัวเองตามให้ทัน
ตอนที่ 6 ในการเล่นหุ้นให้ชนะตลาด เราต้องพายเรือตามน้ำ อย่าพายเรือทวนน้ำ เพราะการ “ฝืนกระแส” จะทำให้เรา “เสี่ยงสูง” ที่จะขาดทุน
ตอนที่ 7 จากประสบการณ์ 20 ปี จะซื้อหุ้นให้ได้กำไร เราต้องกล้าไปจ่ายตลาด “ตอนประมาณ ตี 5″ หรือ อีก 1 ชั่วโมงฟ้าจะสว่าง…ผีไม่มี
ตอนที่ 8 วิธีการเอาตัวรอดในช่วงที่ต้องเผชิญกับ “วิกฤตการณ์” ทางเดียวที่จะทำให้เรา “รอด” คือ การตัดนิ้ว (Cut Loss) ยอมขาดทุนรักษาชีวิต
ตอนที่ 9 ความลับของเงินจะเติบโตก็เฉพาะกับคนที่รู้จักใช้มันเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม
ตอนที่ 10 การเล่นหุ้นเพื่อหวังกำไร 3-5% เป็นการลงทุนที่มีโอกาส “ร่ำรวย” ได้ยาก!!! เพราะการตัดสินใจซื้อ-ขายบ่อยโอกาสผิดพลาดจะสูง
ตอนที่ 11 คำศัพท์ของนักเล่นหุ้น เขาบอกว่า “ลูกยังเล็กอยู่” เราจะพลาดไม่ได้ หมายความว่าหุ้นตัวนี้ “อันตราย” เราต้อง Cut Loss ทิ้ง
ตอนที่ 12 ในจังหวะที่หุ้นเป็นขาขึ้น เราต้อง Let the Profit Run ปล่อยให้กำไรวิ่งเต็มสตีม เมื่อไรที่ราคาเริ่มปรับฐานลงมาพร้อมวอลุ่ม เราต้องรีบล้างพอร์ตออกไป
ตอนที่ 13 ท่องเอาไว้เลย “วอลุ่มพีค” คือ “ราคาพีค” และ ถ้าหุ้นปรับฐานแล้ว “รีบาวด์” แต่ไม่ทำ “นิวไฮ” ใหม่…”มันต้องลง”
ตอนที่ 14 ถ้าหุ้นเป็น “ขาลง” แล้ว “วอลุ่มหาย” นี่เป็นตามธรรมชาติ แต่ถ้าหุ้นเป็น “ขาขึ้น” แล้ว “วอลุ่มหาย” นี่มันผิดกฎธรรมชาติ ให้สงสัยไว้ก่อนว่า “มันกำลังจะวิ่ง”
ตอนที่ 15 นิสัยผมถ้าอะไรที่ไม่แน่ใจเต็มร้อย ผมจะเข้าไปลงทุนด้วยเงินก้อนน้อยๆ ก่อน ยิ่งถ้าเป็นหุ้นเก็งกำไร จะเล่นเป็นรอบ จะไม่ทุ่มสุดตัว และไม่ถือยาว
ตอนที่ 16 คำว่า “ข่าวลือ” คุณต้องแอบพูดในที่ “ลับ” ถ้ามากระจายให้มหาชนรับรู้…มาบอกนักข่าว แสดงว่า “จบรอบ” แล้ว…คุณต้องทิ้ง
ตอนที่ 17 ถ้าจะเล่น “หุ้นปั่น” เราต้องซื้อน้อยๆ เกาะตู้เย็น หาค่ากับข้าวได้ แต่อย่าไปเล่นแรง อย่าไปทุ่ม เดี๋ยวเจ้ามือมันจะโยนหุ้นใส่เรา
ตอนที่ 18 กรณีที่หุ้นจะปรับตัว “ลงแรง” วอลุ่มมักจะทำ “พีค” ก่อน ให้สังเกตว่ารายย่อยจะแห่เข้าใส่ แบบไม่ลืมหูลืมตา เวลาที่หุ้นปรับตัวมันจะ “ลงลึก”
ตอนที่ 19 ในช่วงของการสะสมหุ้น ถ้าเป็น “หุ้นดี” ให้สังเกตฝั่ง Bid จะน้อย แต่ฝั่ง Offer จะเยอะ ภาวะอย่างนี้คือ ช่วงที่ดัชนี SET ประมาณ ตี 4 ตี 5 คนยังเล่นหุ้นไม่เต็มตัว เขาจะรอรับ แต่ไม่ไล่ราคา
ตอนที่ 20 “เฮียประธาน” เขาเป็นเจ้าของคอร์ทแบดมินตัน อยู่แถวถนนบางรัก ฉายาเขา คือ “พญาอินทรี” ถ้าวันไหนที่พวกเรา “เละ” หรือ “เจ๊ง” กันหมด เขาจะบินมาเลย…เขาจะมาซื้อหุ้น
ตอนที่ 21 การอ่านอารมณ์ตลาด ถ้า “รายย่อย” สงบเสงี่ยมเจียมตัว “ฝรั่ง” ไม่เข้า บอกได้เลยว่าเล่นหุ้นไม่ได้ตังค์ ถ้าจะเล่นหุ้นได้กำไร รายย่อยต้องมีจุดมั่นใจ นักเก็งกำไรแห่กันเข้ามาเล่นตามน้ำ ตลาดแบบนี้ “ได้ตังค์”
ตอนที่ 22 ถ้าเราเทรดหุ้นทุกวัน สมองมันไม่มีจุดคิด การตัดสินใจบ่อยมันพลาดได้ง่าย คุณต้องรอจังหวะ รอให้เครื่องมือทางเทคนิคยืนยัน แล้วทุกคนเริ่มกลัวกันหมด ตรงนั้นคือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด ซื้อเสร็จก็ใส่ปี๊บเอาไว้
ตอนที่ 23 ถ้าคิดจะ “สร้างราคาหุ้น” แล้วไม่ให้วงแตก มือทำหุ้นที่เป็นมืออาชีพ เขาจะบอกเจ้าของหุ้นว่า คุณต้องโอนหุ้นมาให้ก่อน แล้วต้องเอาเงินมาให้ด้วย…ล้านเปอร์เซ็นต์เลย ถึงจะสำเร็จ !!!
ตอนที่ 24 พูดตรงๆ ผมเคยเล่นหุ้นปั่น วันที่ผมขายหมด บางคนไม่ได้ขาย ผมเสียเพื่อนไปก็หลายคน เสียน้องไปก็หลายคน สุดท้ายมันไม่ได้อะไรขึ้นมา มันไม่คุ้มหรอก…เชื่อผมสิ!!!
ตอนที่ 25 วิธีการลงทุนแบบ “แวลู อินเวสเตอร์” ส่วนตัวมองว่า “มันเสี่ยง” บางทีหุ้นลงก็ต้องถือ เพราะคุณคิดว่าพื้นฐานมันไม่เปลี่ยน เดี๋ยวมันก็ต้องกลับมา แต่เมื่อไรล่ะ!! ถ้าคุณไม่ Cut Loss ตอนหุ้นลง มันเสียโอกาส
ตอนที่ 26 ลักษณะตลาดหุ้นที่แกว่งตัวออกด้านข้าง และไม่มีข่าวดีอะไรใหม่ๆ เข้ามาในตลาด คนที่เล่นหุ้นแล้วได้ตังค์ ต้อง “เล่นรอบ” คือ เล่นหุ้นแบบ “ปิงปอง” จะได้เปรียบ แต่อย่าไปทุ่มเทอะไรกับมันมาก
ตอนที่ 27 วอร์แรนท์ที่ราคาแปลงสภาพ “ต่ำกว่าหุ้นแม่” ยิ่งเหลืออายุน้อย เจ้ามือยิ่งกดรายย่อยให้ปล่อยหุ้นออกมา เพราะเขารู้ว่าไม่มีเงินไปแปลงสภาพแน่ เขาก็บีบซื้อราคาถูกเอาไปแปลงสภาพเอง
นอกจากนี้ “เสี่ยยักษ์” ยังมีเคล็ดไม่ลับ ที่อยากฝากแฟนๆ “ถนนนักลงทุน” อีก 5 ข้อ
“คำพูดที่ผมอยากจะฝากไว้ จำเอาไว้เลยนะ…”
1.อย่าตามหลังมวลชน
2.จุดที่มั่นใจที่สุด คือ จุดที่อันตรายที่สุด
3.จุดที่อันตรายที่สุด คือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด นั่นคือ ประมาณ “ตี 5″ ถึง “ตี 5 ครึ่ง” (ก่อนฟ้าสาง)
4.อย่าคิดคนเดียว อย่าตอบคำถามคนเดียว อย่าเล่นหุ้นคนเดียว
และ 5.คนเล่นหุ้นให้ชนะ ต้องเลิกนิสัย “ถามเอง-ตอบเอง-เออเอง” สุดท้าย “เจ๊งลูกเดียว”
ที่มา : Bangkok Biz Week
ความเป็น “สุดยอด” ของนักเล่นหุ้นธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ลงทุนจากเงินทุน 2 ล้านบาท แล้วประสบความสำเร็จจนมีเงินนับ “พันล้านบาท” จาก “ต้นกล้า” ฝ่าแดด…ต้านฝน จนเป็น “ไม้ใหญ่”
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : การนำเสนอ Story ชีวิต และความสำเร็จของ “เสี่ยยักษ์” วิชัย วชิรพงศ์ ก็เดินทางมาถึง “ปลายทาง” ตามวาระแห่งความพอดี (ฉบับสุดท้าย วันที่ 19 ตุลาคม 2550 วันครบรอบ 20 ปีเต็ม ของเหตุการณ์ Black Monday) ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา รวมทั้งสิ้น 27 ตอน กับอีก 1 บทสรุปของ “สุดยอดวิชา”
ความเป็น “สุดยอด” ของนักเล่นหุ้นธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ลงทุนจากเงินทุน 2 ล้านบาท แล้วประสบความสำเร็จจนมีเงินนับ “พันล้านบาท” จาก “ต้นกล้า” ฝ่าแดด…ต้านฝน จนเป็น “ไม้ใหญ่” ขอคารวะด้วยจิตศรัทธาว่า “ไม่ธรรมดา”
ก่อนจากลา “ถนนนักลงทุน” ขอรวบรวมคำพูดและวลีเด็ดๆ จากกูรูหุ้นระดับประเทศท่านนี้ ถ่ายทอดเป็น “ยอดวิชา” หวังให้ไป “ผลิบาน” ในความคิดของนักลงทุน เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ สืบสานสร้างความมั่งคั่งเรื่อยไป
ตั้งแต่ตอนที่ 1 ถึง ตอนที่ 27 มี วลีเด็ดๆ ที่น่าสนใจดังนี้
ตอนที่ 1 เงินนี่มันแปลก เงิน 1 ล้านบาท คุณจะเพิ่มให้เป็น 2 ล้านบาท ช่วงนี้จะยากมาก แต่จาก 2 เพิ่มเป็น 4 เริ่มง่าย จาก 4 เพิ่มเป็น 8 ยิ่งง่ายกว่า…นี่เรื่องจริง
ตอนที่ 2 ถ้าในโลกนี้ใครได้อะไรมาง่ายๆ ก็ยากที่จะรักษาให้มันอยู่กับเราได้อย่างยั่งยืน
ตอนที่ 3 หุ้นจะเป็นขาขึ้น “ราคา” และ “ปริมาณ” จะต้องเคลื่อนไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน
ตอนที่ 4 ถ้าเราเลือกหุ้นพี/อี ต่ำ พื้นฐานดี แต่ซื้อแล้วราคาไม่ขึ้น…มีแต่ลง แสดงว่าความคิดของเรา “ผิด” คุณต้องเปลี่ยน “อย่าดันทุรัง”
ตอนที่ 5 สมัยที่ยังเล่นหุ้นไม่เก่ง วิธีที่ผมใช้…จะลอกข้อสอบคนเก่ง แต่ระหว่างที่เราลอกข้อสอบเขา เราก็ต้องพัฒนาตัวเองตามให้ทัน
ตอนที่ 6 ในการเล่นหุ้นให้ชนะตลาด เราต้องพายเรือตามน้ำ อย่าพายเรือทวนน้ำ เพราะการ “ฝืนกระแส” จะทำให้เรา “เสี่ยงสูง” ที่จะขาดทุน
ตอนที่ 7 จากประสบการณ์ 20 ปี จะซื้อหุ้นให้ได้กำไร เราต้องกล้าไปจ่ายตลาด “ตอนประมาณ ตี 5″ หรือ อีก 1 ชั่วโมงฟ้าจะสว่าง…ผีไม่มี
ตอนที่ 8 วิธีการเอาตัวรอดในช่วงที่ต้องเผชิญกับ “วิกฤตการณ์” ทางเดียวที่จะทำให้เรา “รอด” คือ การตัดนิ้ว (Cut Loss) ยอมขาดทุนรักษาชีวิต
ตอนที่ 9 ความลับของเงินจะเติบโตก็เฉพาะกับคนที่รู้จักใช้มันเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม
ตอนที่ 10 การเล่นหุ้นเพื่อหวังกำไร 3-5% เป็นการลงทุนที่มีโอกาส “ร่ำรวย” ได้ยาก!!! เพราะการตัดสินใจซื้อ-ขายบ่อยโอกาสผิดพลาดจะสูง
ตอนที่ 11 คำศัพท์ของนักเล่นหุ้น เขาบอกว่า “ลูกยังเล็กอยู่” เราจะพลาดไม่ได้ หมายความว่าหุ้นตัวนี้ “อันตราย” เราต้อง Cut Loss ทิ้ง
ตอนที่ 12 ในจังหวะที่หุ้นเป็นขาขึ้น เราต้อง Let the Profit Run ปล่อยให้กำไรวิ่งเต็มสตีม เมื่อไรที่ราคาเริ่มปรับฐานลงมาพร้อมวอลุ่ม เราต้องรีบล้างพอร์ตออกไป
ตอนที่ 13 ท่องเอาไว้เลย “วอลุ่มพีค” คือ “ราคาพีค” และ ถ้าหุ้นปรับฐานแล้ว “รีบาวด์” แต่ไม่ทำ “นิวไฮ” ใหม่…”มันต้องลง”
ตอนที่ 14 ถ้าหุ้นเป็น “ขาลง” แล้ว “วอลุ่มหาย” นี่เป็นตามธรรมชาติ แต่ถ้าหุ้นเป็น “ขาขึ้น” แล้ว “วอลุ่มหาย” นี่มันผิดกฎธรรมชาติ ให้สงสัยไว้ก่อนว่า “มันกำลังจะวิ่ง”
ตอนที่ 15 นิสัยผมถ้าอะไรที่ไม่แน่ใจเต็มร้อย ผมจะเข้าไปลงทุนด้วยเงินก้อนน้อยๆ ก่อน ยิ่งถ้าเป็นหุ้นเก็งกำไร จะเล่นเป็นรอบ จะไม่ทุ่มสุดตัว และไม่ถือยาว
ตอนที่ 16 คำว่า “ข่าวลือ” คุณต้องแอบพูดในที่ “ลับ” ถ้ามากระจายให้มหาชนรับรู้…มาบอกนักข่าว แสดงว่า “จบรอบ” แล้ว…คุณต้องทิ้ง
ตอนที่ 17 ถ้าจะเล่น “หุ้นปั่น” เราต้องซื้อน้อยๆ เกาะตู้เย็น หาค่ากับข้าวได้ แต่อย่าไปเล่นแรง อย่าไปทุ่ม เดี๋ยวเจ้ามือมันจะโยนหุ้นใส่เรา
ตอนที่ 18 กรณีที่หุ้นจะปรับตัว “ลงแรง” วอลุ่มมักจะทำ “พีค” ก่อน ให้สังเกตว่ารายย่อยจะแห่เข้าใส่ แบบไม่ลืมหูลืมตา เวลาที่หุ้นปรับตัวมันจะ “ลงลึก”
ตอนที่ 19 ในช่วงของการสะสมหุ้น ถ้าเป็น “หุ้นดี” ให้สังเกตฝั่ง Bid จะน้อย แต่ฝั่ง Offer จะเยอะ ภาวะอย่างนี้คือ ช่วงที่ดัชนี SET ประมาณ ตี 4 ตี 5 คนยังเล่นหุ้นไม่เต็มตัว เขาจะรอรับ แต่ไม่ไล่ราคา
ตอนที่ 20 “เฮียประธาน” เขาเป็นเจ้าของคอร์ทแบดมินตัน อยู่แถวถนนบางรัก ฉายาเขา คือ “พญาอินทรี” ถ้าวันไหนที่พวกเรา “เละ” หรือ “เจ๊ง” กันหมด เขาจะบินมาเลย…เขาจะมาซื้อหุ้น
ตอนที่ 21 การอ่านอารมณ์ตลาด ถ้า “รายย่อย” สงบเสงี่ยมเจียมตัว “ฝรั่ง” ไม่เข้า บอกได้เลยว่าเล่นหุ้นไม่ได้ตังค์ ถ้าจะเล่นหุ้นได้กำไร รายย่อยต้องมีจุดมั่นใจ นักเก็งกำไรแห่กันเข้ามาเล่นตามน้ำ ตลาดแบบนี้ “ได้ตังค์”
ตอนที่ 22 ถ้าเราเทรดหุ้นทุกวัน สมองมันไม่มีจุดคิด การตัดสินใจบ่อยมันพลาดได้ง่าย คุณต้องรอจังหวะ รอให้เครื่องมือทางเทคนิคยืนยัน แล้วทุกคนเริ่มกลัวกันหมด ตรงนั้นคือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด ซื้อเสร็จก็ใส่ปี๊บเอาไว้
ตอนที่ 23 ถ้าคิดจะ “สร้างราคาหุ้น” แล้วไม่ให้วงแตก มือทำหุ้นที่เป็นมืออาชีพ เขาจะบอกเจ้าของหุ้นว่า คุณต้องโอนหุ้นมาให้ก่อน แล้วต้องเอาเงินมาให้ด้วย…ล้านเปอร์เซ็นต์เลย ถึงจะสำเร็จ !!!
ตอนที่ 24 พูดตรงๆ ผมเคยเล่นหุ้นปั่น วันที่ผมขายหมด บางคนไม่ได้ขาย ผมเสียเพื่อนไปก็หลายคน เสียน้องไปก็หลายคน สุดท้ายมันไม่ได้อะไรขึ้นมา มันไม่คุ้มหรอก…เชื่อผมสิ!!!
ตอนที่ 25 วิธีการลงทุนแบบ “แวลู อินเวสเตอร์” ส่วนตัวมองว่า “มันเสี่ยง” บางทีหุ้นลงก็ต้องถือ เพราะคุณคิดว่าพื้นฐานมันไม่เปลี่ยน เดี๋ยวมันก็ต้องกลับมา แต่เมื่อไรล่ะ!! ถ้าคุณไม่ Cut Loss ตอนหุ้นลง มันเสียโอกาส
ตอนที่ 26 ลักษณะตลาดหุ้นที่แกว่งตัวออกด้านข้าง และไม่มีข่าวดีอะไรใหม่ๆ เข้ามาในตลาด คนที่เล่นหุ้นแล้วได้ตังค์ ต้อง “เล่นรอบ” คือ เล่นหุ้นแบบ “ปิงปอง” จะได้เปรียบ แต่อย่าไปทุ่มเทอะไรกับมันมาก
ตอนที่ 27 วอร์แรนท์ที่ราคาแปลงสภาพ “ต่ำกว่าหุ้นแม่” ยิ่งเหลืออายุน้อย เจ้ามือยิ่งกดรายย่อยให้ปล่อยหุ้นออกมา เพราะเขารู้ว่าไม่มีเงินไปแปลงสภาพแน่ เขาก็บีบซื้อราคาถูกเอาไปแปลงสภาพเอง
นอกจากนี้ “เสี่ยยักษ์” ยังมีเคล็ดไม่ลับ ที่อยากฝากแฟนๆ “ถนนนักลงทุน” อีก 5 ข้อ
“คำพูดที่ผมอยากจะฝากไว้ จำเอาไว้เลยนะ…”
1.อย่าตามหลังมวลชน
2.จุดที่มั่นใจที่สุด คือ จุดที่อันตรายที่สุด
3.จุดที่อันตรายที่สุด คือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด นั่นคือ ประมาณ “ตี 5″ ถึง “ตี 5 ครึ่ง” (ก่อนฟ้าสาง)
4.อย่าคิดคนเดียว อย่าตอบคำถามคนเดียว อย่าเล่นหุ้นคนเดียว
และ 5.คนเล่นหุ้นให้ชนะ ต้องเลิกนิสัย “ถามเอง-ตอบเอง-เออเอง” สุดท้าย “เจ๊งลูกเดียว”
ที่มา : Bangkok Biz Week
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 76
แนวทางการขายหุ้น
1. การซื้อหุ้นได้ถูกตัว (ได้จากผลการวิเคราะห์) รวมถึงซื้อได้ถูกจังหวะ จะช่วยให้ขายหุ้นได้ไม่ยาก
2. ระวังการขายหุ้น Big Lot เพราะนั่นไม่ได้สะท้อนภาพโดยรวมของตลาด
3. การที่หุ้นมีราคาสูงขึ้นจากฐานเดิมไปมากอย่างรวดเร็ว ก็ต้องระวัง เพราะนั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า จุขายนั้นอยู่ไม่ไกลออกไปนัก
4. ดัชนีหุ้นจะสูงอย่างต่อเนื่องขึ้นไปได้ ก็ต่อเมื่อมีมูลค่าการซื้อขายที่สูงคอยสนับสนุน
5. ขายออกไปก่อน หากหุ้นขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะ 8-12 วัน
6. ควรขายหากหุ้นขึ้นไปอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยขึ้นไปจากเดิม 25-30%
7. นักลงทุนรายใหญ่จะขายเมื่อมีแรงรับมารับหุ้นไว้ได้เท่านั้น
8. ราคาหุ้นที่สูงขึ้น โดยไม่มีมูลค่าการซื้อขายเข้ามารองรับ ย่อมหมายถึงการเกิดอุปสงค์เพียงชั่วคราว ควรรีบขาย
9. มูลค่าการซื้อขายสูง แต่ราคาหุ้นไม่ไปไหน จะมีสัญญาณว่าจะมีการกระจายตัวเล่นมากขึ้น
10. หุ้นที่ปิดต่ำ ควรต้องระวังและรีบขาย
11. เมื่อทุกคนรู้สึกว่า หุ้นสูงขึ้น ก็ให้รีบขาย เพราะคนส่วนใหญ่ความรู้สึกก็จะคล้ายๆ กัน เพราะหาไม่แล้วก็จะสายเกินไป ตามที่ แจ็ค เครฟัส กล่าวว่า “ขายเมื่อมีข่าวดีล้นตลาด และซื้อเมื่อรู้สึกว่ากลัวสุดขีด กลัวตาย และคนอื่นๆ ไม่มั่นใจ”
12. ถ้าหุ้นเปิดสูง แต่ปิดต่ำกว่าราคาเปิด แสดงสัญญาณใกล้จุดสูงสุดรอบนั้นแล้ว
13. ขายออกไปดีกว่า ถ้าราคาหุ้นไม่วิ่งเลยหลายวัน
14. พิจารณาขายหากหุ้นขึ้นไปหลายสัปดาห์ และเริ่มย้อนกลับที่เดิม
15. หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ลดลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน ขอแนะนำว่าขายออกไปดีกว่า
16. ขายเมื่อเห็นว่า ราคาหุ้นในกลุ่มที่เราเล่นอยู่เริ่มไปไม่ไหว
17. อย่าขายหุ้นตามข่าวร้าย ข่าวลือ เพราะนั่นเป็นเพียงกระแสชั่วคราว
18. พยายามขายหุ้นออกไปเมื่อราคาอยู่ต่ำกว่าแนวรับหลักของราคาช่วงนั้น
19. ถ้าขายหุ้นช่วงขาขึ้นไม่ทัน ก็ต้องรีบขายตอนขาลง หลังจากถึงจุดสูงสุดรอบนั้นแล้ว
20. หลังจากที่หุ้นขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแล้วลดลง 8% ในบางกรณีก็จำเป็นต้องดูประวัติการขึ้นลงของหุ้นแต่เดิมว่า มีรูปแบบอย่างไร และดูว่าการขึ้นของราคางวดนี้จะจบลงตรงจุดใด หรือเพียงแค่ปรับตัวในช่วงระหว่าง 8-12% และในบางครั้งคุณอาจต้องขายหุ้นออกไป เมื่อราคาลดต่ำลงกว่า 12-15%
21. หากหุ้นมีการขึ้นไปโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง แล้วหล่นลงมาทันทีเป็นสัญญาณเตือนการขาย
22. ถ้ามีการขายอย่างรุนแรงในขณะที่หุ้นขึ้นไปสูงเกือบสุด และถัดมาด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ลดลง และราคาเริ่มถอย ก็ขอให้รีบขายในวันที่ 2 หรือ 3 หลังจากที่ไม่สามารถดันต่อไปได้
23. ให้พิจารณาขาย หากราคาหุ้นปิดปลายสัปดาห์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว หรือต่ำกว่าราคาในแนวหนุน
24. จำนวนวันในช่วงขาขึ้นกับขาลง จะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อหุ้นเริ่มลง
25. รอสัญญาณยืนยันการซื้อก่อน และอย่าซื้อหุ้นที่ขายออกไป เพียงเพราะว่าคุณซื้อมาได้ในราคาถูกกว่าเก่าเท่านั้น
26. ต้องเรียนรู้การซื้อขายที่ผิดพลาดของตัวคุณเองในอดีต วิเคราะห์ด้วยตนเอง โดยอาจเขียนลงในแผนผังการซื้อขายให้ชัดเจน
27. การขายต้องขายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่รอจนเกิดความชัดเจน และต้องขายเมื่อหลุดแนวหนุนที่เคยเป็น
28. ควรมีการคาดการณ์การทำกำไรในแต่ละสัปดาห์
29. ขายเมื่อหุ้นแตะแนวต้าน หรือขายเมื่อทะลุแนวต้านขึ้นไปแล้ว
30. ขายเมื่อหุ้นขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่
31. ขายเมื่อหุ้นขึ้นไปสูง โดยไม่มีฐานพอ
32. ขายหุ้นเมื่อฐานการขึ้นไปอย่างหละหลวม และต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน
33. ในบางกรณีให้ขายหุ้น เมื่อราคาทะลุขึ้น โดยมูลค่าการซื้อขายในช่วงสัปดาห์มากกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
34. หุ้นบางตัวให้ขายออกไปเมื่อราคาสูงขึ้น 70-100% สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน
35. ในช่วงหุ้นขาขึ้น หากเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน เริ่มมีแนวโน้มลดลง นับว่าเป็นสัญญาณขาย
36. หากราคาสัมพัทธ์กับตลาด (RSI) ลดต่ำกว่า 70% เป็นเหตุผลที่ต้องขาย
1. การซื้อหุ้นได้ถูกตัว (ได้จากผลการวิเคราะห์) รวมถึงซื้อได้ถูกจังหวะ จะช่วยให้ขายหุ้นได้ไม่ยาก
2. ระวังการขายหุ้น Big Lot เพราะนั่นไม่ได้สะท้อนภาพโดยรวมของตลาด
3. การที่หุ้นมีราคาสูงขึ้นจากฐานเดิมไปมากอย่างรวดเร็ว ก็ต้องระวัง เพราะนั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า จุขายนั้นอยู่ไม่ไกลออกไปนัก
4. ดัชนีหุ้นจะสูงอย่างต่อเนื่องขึ้นไปได้ ก็ต่อเมื่อมีมูลค่าการซื้อขายที่สูงคอยสนับสนุน
5. ขายออกไปก่อน หากหุ้นขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะ 8-12 วัน
6. ควรขายหากหุ้นขึ้นไปอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยขึ้นไปจากเดิม 25-30%
7. นักลงทุนรายใหญ่จะขายเมื่อมีแรงรับมารับหุ้นไว้ได้เท่านั้น
8. ราคาหุ้นที่สูงขึ้น โดยไม่มีมูลค่าการซื้อขายเข้ามารองรับ ย่อมหมายถึงการเกิดอุปสงค์เพียงชั่วคราว ควรรีบขาย
9. มูลค่าการซื้อขายสูง แต่ราคาหุ้นไม่ไปไหน จะมีสัญญาณว่าจะมีการกระจายตัวเล่นมากขึ้น
10. หุ้นที่ปิดต่ำ ควรต้องระวังและรีบขาย
11. เมื่อทุกคนรู้สึกว่า หุ้นสูงขึ้น ก็ให้รีบขาย เพราะคนส่วนใหญ่ความรู้สึกก็จะคล้ายๆ กัน เพราะหาไม่แล้วก็จะสายเกินไป ตามที่ แจ็ค เครฟัส กล่าวว่า “ขายเมื่อมีข่าวดีล้นตลาด และซื้อเมื่อรู้สึกว่ากลัวสุดขีด กลัวตาย และคนอื่นๆ ไม่มั่นใจ”
12. ถ้าหุ้นเปิดสูง แต่ปิดต่ำกว่าราคาเปิด แสดงสัญญาณใกล้จุดสูงสุดรอบนั้นแล้ว
13. ขายออกไปดีกว่า ถ้าราคาหุ้นไม่วิ่งเลยหลายวัน
14. พิจารณาขายหากหุ้นขึ้นไปหลายสัปดาห์ และเริ่มย้อนกลับที่เดิม
15. หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ลดลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน ขอแนะนำว่าขายออกไปดีกว่า
16. ขายเมื่อเห็นว่า ราคาหุ้นในกลุ่มที่เราเล่นอยู่เริ่มไปไม่ไหว
17. อย่าขายหุ้นตามข่าวร้าย ข่าวลือ เพราะนั่นเป็นเพียงกระแสชั่วคราว
18. พยายามขายหุ้นออกไปเมื่อราคาอยู่ต่ำกว่าแนวรับหลักของราคาช่วงนั้น
19. ถ้าขายหุ้นช่วงขาขึ้นไม่ทัน ก็ต้องรีบขายตอนขาลง หลังจากถึงจุดสูงสุดรอบนั้นแล้ว
20. หลังจากที่หุ้นขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแล้วลดลง 8% ในบางกรณีก็จำเป็นต้องดูประวัติการขึ้นลงของหุ้นแต่เดิมว่า มีรูปแบบอย่างไร และดูว่าการขึ้นของราคางวดนี้จะจบลงตรงจุดใด หรือเพียงแค่ปรับตัวในช่วงระหว่าง 8-12% และในบางครั้งคุณอาจต้องขายหุ้นออกไป เมื่อราคาลดต่ำลงกว่า 12-15%
21. หากหุ้นมีการขึ้นไปโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง แล้วหล่นลงมาทันทีเป็นสัญญาณเตือนการขาย
22. ถ้ามีการขายอย่างรุนแรงในขณะที่หุ้นขึ้นไปสูงเกือบสุด และถัดมาด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ลดลง และราคาเริ่มถอย ก็ขอให้รีบขายในวันที่ 2 หรือ 3 หลังจากที่ไม่สามารถดันต่อไปได้
23. ให้พิจารณาขาย หากราคาหุ้นปิดปลายสัปดาห์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว หรือต่ำกว่าราคาในแนวหนุน
24. จำนวนวันในช่วงขาขึ้นกับขาลง จะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อหุ้นเริ่มลง
25. รอสัญญาณยืนยันการซื้อก่อน และอย่าซื้อหุ้นที่ขายออกไป เพียงเพราะว่าคุณซื้อมาได้ในราคาถูกกว่าเก่าเท่านั้น
26. ต้องเรียนรู้การซื้อขายที่ผิดพลาดของตัวคุณเองในอดีต วิเคราะห์ด้วยตนเอง โดยอาจเขียนลงในแผนผังการซื้อขายให้ชัดเจน
27. การขายต้องขายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่รอจนเกิดความชัดเจน และต้องขายเมื่อหลุดแนวหนุนที่เคยเป็น
28. ควรมีการคาดการณ์การทำกำไรในแต่ละสัปดาห์
29. ขายเมื่อหุ้นแตะแนวต้าน หรือขายเมื่อทะลุแนวต้านขึ้นไปแล้ว
30. ขายเมื่อหุ้นขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่
31. ขายเมื่อหุ้นขึ้นไปสูง โดยไม่มีฐานพอ
32. ขายหุ้นเมื่อฐานการขึ้นไปอย่างหละหลวม และต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน
33. ในบางกรณีให้ขายหุ้น เมื่อราคาทะลุขึ้น โดยมูลค่าการซื้อขายในช่วงสัปดาห์มากกว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
34. หุ้นบางตัวให้ขายออกไปเมื่อราคาสูงขึ้น 70-100% สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน
35. ในช่วงหุ้นขาขึ้น หากเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน เริ่มมีแนวโน้มลดลง นับว่าเป็นสัญญาณขาย
36. หากราคาสัมพัทธ์กับตลาด (RSI) ลดต่ำกว่า 70% เป็นเหตุผลที่ต้องขาย
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 77
คัมภีร์ ไตรยุทธ์
1. เล็งแล้วซื้อ (เกิดขึ้น)
เลือกหุ้นยอดนิยม / หุ้น Lead / หุ้นติด Most Active รอจังหวะราคาหุ้นถูกทุบลงมาแล้วเริ่มยืนได้ โดยสังเกตุราคาหุ้นไม่ทำ New Low และวันต่อมาทำจุดต่ำยกสูงขึ้น ราคาหุ้นทะลุเส้นแนวโน้มลงระยะสั้น กลาง [ ใช้เครื่องมือทางเทคนิคเคิล กราฟราย 30 นาที รอจังหวะราคาหุ้นตกลงมาแรงๆ และเริ่มยืนได้คือ ราคาไม่สร้างจุดต่ำใหม่ แต่แกว่งตัวออกด้านข้าง กรอบ Bollinger Bands แคบลงเคลื่อนตัวแนวนอน RSI อยู่ต่ำกว่า 40 (จังหวะนี้เฝ้าดูไว้ เริ่มน่าสนใจแล้ว) รอจนราคาเริ่มขยับขึ้น จน RSIเคลื่อนตัวมาอยู่ที่ระดับ 40 - 50 (เท่าที่สังเกตุมา ราคาหุ้นจะทรงตัวอยู่ระดับนี้ก่อนทะยานขึ้น 1-3 วัน)
** ให้เข้าซื้อบริเวณนี้ แล้วอย่าลืมกำหนดจุด Stop Loss ไว้ด้วย (ความไม่แน่นอน คือความแน่นอน)**
2. ถือแล้วรอ (ตั้งอยู่)
หลังจากเข้าซื้อแล้ว ก็อดทนรอ (ขันติ) หากราคาหุ้นยังทำ New Highราคายืนเหนือเส้นเฉลี่ย 5 วัน 10 วัน 25 วัน และทำจุดต่ำยกสูงขึ้น ก็ถือต่อไป (Let Profit Run) ช่วงนี้ให้สังเกตุนิสัยหุ้นว่ารอบนี้ว่ามันยืนอยู่เหนือเส้นเฉลี่ยเส้นไหน (5 วัน 10 วัน หรือ 25 วัน)
3. งาบแล้วชิ่ง (ดับไป)
เมื่อราคาหุ้นเริ่มอ่อนแรงไปต่อไม่ไหว ราคาหุ้นจะไม่ทำ New Highและแกว่งตัวออกด้านข้างจากเดิมกราฟแท่งเทียนที่ปรากฏแท่งเขียวมากกว่าแท่งแดงจะเปลี่ยนเป็นแท่งแดงมากกว่าและแท่งแดงยาวกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นเริ่มโค้งลงตัดเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวสุดท้ายราคาหุ้นหลุดเส้นแนวโน้มขึ้น (สังเกตุได้จากเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน 10 วัน 25 วัน)
**ถึงจังหวะนี้ ให้รีบขายทำกำไรได้แล้ว ความโลภ ไม่เคยปรานีใคร **
Credit Post : Fon
1. เล็งแล้วซื้อ (เกิดขึ้น)
เลือกหุ้นยอดนิยม / หุ้น Lead / หุ้นติด Most Active รอจังหวะราคาหุ้นถูกทุบลงมาแล้วเริ่มยืนได้ โดยสังเกตุราคาหุ้นไม่ทำ New Low และวันต่อมาทำจุดต่ำยกสูงขึ้น ราคาหุ้นทะลุเส้นแนวโน้มลงระยะสั้น กลาง [ ใช้เครื่องมือทางเทคนิคเคิล กราฟราย 30 นาที รอจังหวะราคาหุ้นตกลงมาแรงๆ และเริ่มยืนได้คือ ราคาไม่สร้างจุดต่ำใหม่ แต่แกว่งตัวออกด้านข้าง กรอบ Bollinger Bands แคบลงเคลื่อนตัวแนวนอน RSI อยู่ต่ำกว่า 40 (จังหวะนี้เฝ้าดูไว้ เริ่มน่าสนใจแล้ว) รอจนราคาเริ่มขยับขึ้น จน RSIเคลื่อนตัวมาอยู่ที่ระดับ 40 - 50 (เท่าที่สังเกตุมา ราคาหุ้นจะทรงตัวอยู่ระดับนี้ก่อนทะยานขึ้น 1-3 วัน)
** ให้เข้าซื้อบริเวณนี้ แล้วอย่าลืมกำหนดจุด Stop Loss ไว้ด้วย (ความไม่แน่นอน คือความแน่นอน)**
2. ถือแล้วรอ (ตั้งอยู่)
หลังจากเข้าซื้อแล้ว ก็อดทนรอ (ขันติ) หากราคาหุ้นยังทำ New Highราคายืนเหนือเส้นเฉลี่ย 5 วัน 10 วัน 25 วัน และทำจุดต่ำยกสูงขึ้น ก็ถือต่อไป (Let Profit Run) ช่วงนี้ให้สังเกตุนิสัยหุ้นว่ารอบนี้ว่ามันยืนอยู่เหนือเส้นเฉลี่ยเส้นไหน (5 วัน 10 วัน หรือ 25 วัน)
3. งาบแล้วชิ่ง (ดับไป)
เมื่อราคาหุ้นเริ่มอ่อนแรงไปต่อไม่ไหว ราคาหุ้นจะไม่ทำ New Highและแกว่งตัวออกด้านข้างจากเดิมกราฟแท่งเทียนที่ปรากฏแท่งเขียวมากกว่าแท่งแดงจะเปลี่ยนเป็นแท่งแดงมากกว่าและแท่งแดงยาวกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นเริ่มโค้งลงตัดเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวสุดท้ายราคาหุ้นหลุดเส้นแนวโน้มขึ้น (สังเกตุได้จากเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน 10 วัน 25 วัน)
**ถึงจังหวะนี้ ให้รีบขายทำกำไรได้แล้ว ความโลภ ไม่เคยปรานีใคร **
Credit Post : Fon
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 78
คุณสมบัติเซียน ....โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
~hosthit~02
การที่จะเป็นนักลงทุนที่ยอดเยี่ยมได้นั้น เราควรจะต้องศึกษาดูว่านักลงทุนระดับโลกหรือนักลงทุนใน “ตำนาน” ส่วนใหญ่เขามีคุณสมบัติ
หรือแนวความคิดอย่างไรต่อการลงทุน เพื่อที่ว่าเราจะได้เอาอย่างเขาบ้าง และต่อไปนี้ คือ คุณสมบัติหรือมุมมอง “ร่วม” ที่นักลงทุนเอกของโลกมี
ข้อแรกที่เป็นพื้นฐานจริงๆ ก็คือ ทุกคนวิเคราะห์หรือมองตัวธุรกิจเป็นหลัก ไม่ได้ “วิเคราะห์หลักทรัพย์หรือหุ้น” ความแตกต่างของสองเรื่องนี้ ก็คือ เซียนนั้น จะวิเคราะห์ว่าธุรกิจมีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร แข่งขันกันอย่างไร ทำกำไรอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร ความเสี่ยงของธุรกิจอยู่ที่ไหน ในขณะที่การวิเคราะห์หุ้นหรือหลักทรัพย์นั้น อาจจะเน้นไปที่เรื่องของความเป็นไปได้ของเหตุการณ์บางอย่าง โอกาส ผลประกอบการระยะสั้น ถ้าจะพูดถึงความเสี่ยงก็อาจจะเน้นไปที่เรื่องของความผันผวนของกิจการหรือตัวหุ้นมากกว่า
ข้อสอง เซียนนั้นมักมีวิธีการหรือแนวทางการลงทุนของตนเองที่มั่นคงแน่นอน เรียกว่ามี “สไตล์” เป็นของตนเอง พวกเขาไม่เปลี่ยนไปมา กลยุทธ์หรือแนวทางการลงทุนของพวกเขานั้นมักจะเหมือนเดิมยาวนานเป็นทศวรรษหรือบางคนก็ตลอดชีวิต ในบางช่วงบางตอนกลยุทธ์หรือแนวทางการลงทุนของเขาอาจจะไม่ประสบความสำเร็จนักอาจจะเนื่องด้วยภาวะของตลาดหุ้นที่ไม่เอื้ออำนวยต่อกลยุทธ์นั้น แต่พวกเขาก็มักไม่เปลี่ยนวิธีการเพื่อที่จะให้ “สอดคล้อง” กับสถานการณ์ พวกเขายึดมั่นกับสิ่งที่เขารู้และเข้าใจดีที่สุด เพราะเขาคิดว่า ในระยะยาวแล้ว นั่นคือวิธีการที่ให้ผลดีที่สุดกับการลงทุนของเขา ตัวอย่างก็เช่นในยุคที่หุ้นดอทคอมและหุ้นไฮเทครุ่งเรืองมากนั้น แนวทางและผลการลงทุนของบัฟเฟตต์ดูด้อยลงไปเมื่อเทียบกับเซียนที่เน้นแนวการลงทุนที่หวือหวา อย่างไรก็ตาม หลังจาก “ฟองสบู่” หุ้นไฮเทคแตก แนวทางของบัฟเฟตต์ก็กลับมาได้รับการยอมรับเช่นเดิม
ข้อสาม เซียนนั้นมักมีหลักการลงทุนที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย พวกเขาไม่มีสูตรหรือสมการหรือชื่อเรียกที่ต้องใช้แทนด้วยอักษรภาษากรีก ว่าที่จริงหลายคนอาจจะไม่ทำประมาณการกำไรหรือคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทในอนาคตด้วยซ้ำ ความซับซ้อนของตัวเลขถ้าจะมีก็คงเป็นแค่การบวก ลบ คูณ หาร ถ้าจะสรุป ก็คือ หลักการลงทุนของเหล่าเซียนนั้น มักจะสามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดไม่เกินหนึ่งหน้ากระดาษ และการทำงานก็อาจจะใช้แค่เครื่องคิดเลขธรรมดาหรือไม่ก็ “คิดในใจ” ได้
ข้อสี่ การควบคุมอารมณ์ การมีวินัยในการลงทุน และความกล้าหาญหรือความกลัวในเวลาที่ถูกต้อง เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่เซียนหุ้นทุกคนมี เซียนหุ้นมักไม่ตื่นเต้นหรือกลัวเกินกว่าเหตุเวลาประสบกับสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นหรือหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มร้อนแรงมาก หรือประสบกับภาวะวิกฤติที่ผู้คนต่างพยายาม “หนีตาย” จากเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ได้มีผลกระทบรุนแรงอย่างที่ถูก “สื่อ” ออกมาในโลกของการสื่อสารเช่นในปัจจุบัน พูดง่ายๆ เซียนนั้นมีจิตใจที่สงบและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ความอดทนและอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุนั้นเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากที่ทำให้เซียนไม่ออกนอกแนว หรือกรอบความเชี่ยวชาญของตน
ข้อห้า เซียนนั้น มักเป็น Loner หรือเป็นคนที่ชอบอยู่สันโดษคนเดียวในแง่ของการลงทุน นี่ไม่ได้หมายความว่าเซียนจะไม่คุยกับนักลงทุนคนอื่นหรือไม่ปรึกษาว่าหุ้นตัวไหนน่าลงทุน แต่เซียนมักเป็นคนที่มีความเป็นอิสระสูงในการคิดและตัดสินใจลงทุน พวกเขามีเหตุผลและความเชื่อของตนเองที่มักจะไม่ถูกชี้นำหรือชักจูงโดยคนอื่น ว่าที่จริงเซียนบางคนอย่าง จอห์น เนฟฟ์ นั้นชอบ “ทะเลาะ” ว่ากันว่า ในตอนที่เป็นเด็กนั้น เขาแทบจะ “ทะเลาะกับเสาไฟฟ้า” พอโตขึ้นก็ “ทะเลาะกับตลาดหุ้น” แต่สาเหตุที่ทำให้พวกเขาสามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยตนเองนั้น เป็นเพราะพวกเขาได้ศึกษาและผ่านประสบการณ์มามาก
ข้อหก เซียนนั้นเรียนรู้ความผิดพลาดของตนเองอยู่เสมอ เช่นเดียวกัน พวกเขาเรียนรู้ความผิดพลาดจากคนอื่นด้วย ซึ่งทำให้เขา “เจ็บตัว” น้อยลง การเรียนรู้ความผิดพลาดจากคนอื่นนั้น แน่นอน ต้องศึกษาจากประวัติศาสตร์ ดังนั้น พวกเขาจึงมักเป็นนักอ่านตัวยง โดยเฉพาะด้านประวัติศาสตร์หลายๆ แขนง เช่น ประวัติศาสตร์บุคคล เศรษฐกิจ ตลาดหุ้นและอื่นๆ
ข้อเจ็ด เซียนบางคนนั้น หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นคนที่กล้าอย่างบ้าบิ่น หรืออย่างน้อยก็ต้องกล้ากว่าปกติในการรับความเสี่ยง แต่ข้อเท็จจริง ก็คือ เซียนตัวจริงทั้งหลายนั้นมักจะกล้าเสี่ยงอย่างมีเหตุผลและไม่ว่าในกรณีใด จะไม่เสี่ยงเกินไปแม้ว่าโอกาสในการที่จะชนะจะสูงกว่ามาก พวกเขารู้ว่า ความผิดพลาดและโชคร้ายนั้นสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น การเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ คือ สิ่งที่จะรับประกันว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ คำว่ากล้าเสี่ยงอย่างมีเหตุผลนั้น ถ้ามองในภาพกว้าง ก็คือ เขาจะเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ เช่น ต้องมีการกระจายการถือหุ้นในระดับหนึ่งไม่ใช่ลงทุนหุ้นเพียงตัวหรือสองตัวหรือตัวเดียวเกินกว่า 50% ของพอร์ต แต่พวกเขาก็จะไม่กระจายความเสี่ยงมากเกินไป เพราะการทำแบบนั้นถึงแม้จะดูว่าความเสี่ยงลดลงแต่ผลการลงทุนก็จะแย่ไปด้วย
ข้อแปด เซียนนั้น “ทำงานหนัก” เซียนทุกคนต่างก็ทำงานมากโดยเฉพาะในการอ่านและคิด และสิ่งที่อ่านและคิดของพวกเขานั้น สุดท้ายก็อาจจะเชื่อมโยงไปสู่การลงทุน เซียนที่เป็นนักบริหารกองทุนรวมนั้น แน่นอน พวกเขายุ่งมากกับงานการลงทุน เวลาว่างของพวกเขาน้อยมากและคนทั่วไปก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นเซียนที่ทำงานหนักมาก อย่างไรก็ตาม เซียนที่บริหารเงินของตนเองอย่างบัฟเฟตต์นั้น หลายคนก็จะมองว่าเขาไม่ได้ทำงานหนักอะไรนักหนา เลิกงานห้าหกโมงเย็นก็กลับบ้านแล้ว ไม่มีการขนงานกลับไปทำที่บ้าน เวลาของเขานั้นมีเหลือเฟือตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่นั่นคือ สิ่งที่ปรากฏจากการมองภายนอก ข้อเท็จจริง ก็คือ เขาใช้เวลาอ่านมากมาย และคนที่อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนได้เท่าเขานั้นผมคิดว่ามีน้อยมาก ว่าที่จริง แม้แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการลงทุนโดยตรง เช่น เรื่องของสังคมและการใช้ชีวิต เขาก็มีความรอบรู้ไม่น้อยทีเดียว เพียงแต่ว่าเขาอาจจะไม่ได้แสดงออกมามากนัก
ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงบางส่วนของคุณสมบัติที่เซียนส่วนใหญ่หรือเกือบทุกคนมี และผมเชื่อว่าคนที่อยากจะเป็นเซียนหรืออยากจะประสบความสำเร็จในการลงทุนจำเป็นต้องมี ดีกรีหรือระดับความเข้มข้นของแต่ละคุณสมบัติของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างรวมถึงจิตวิทยาหรือนิสัยส่วนตัวและสภาพแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่ายิ่งเราปรับตัวเข้าหานิสัยเซียนได้มากขึ้น เราก็น่าจะลงทุนได้ดีขึ้น
ที่มา : http://hoonyai.com/index.php?topic=1808.5;wap2
~hosthit~02
การที่จะเป็นนักลงทุนที่ยอดเยี่ยมได้นั้น เราควรจะต้องศึกษาดูว่านักลงทุนระดับโลกหรือนักลงทุนใน “ตำนาน” ส่วนใหญ่เขามีคุณสมบัติ
หรือแนวความคิดอย่างไรต่อการลงทุน เพื่อที่ว่าเราจะได้เอาอย่างเขาบ้าง และต่อไปนี้ คือ คุณสมบัติหรือมุมมอง “ร่วม” ที่นักลงทุนเอกของโลกมี
ข้อแรกที่เป็นพื้นฐานจริงๆ ก็คือ ทุกคนวิเคราะห์หรือมองตัวธุรกิจเป็นหลัก ไม่ได้ “วิเคราะห์หลักทรัพย์หรือหุ้น” ความแตกต่างของสองเรื่องนี้ ก็คือ เซียนนั้น จะวิเคราะห์ว่าธุรกิจมีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร แข่งขันกันอย่างไร ทำกำไรอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร ความเสี่ยงของธุรกิจอยู่ที่ไหน ในขณะที่การวิเคราะห์หุ้นหรือหลักทรัพย์นั้น อาจจะเน้นไปที่เรื่องของความเป็นไปได้ของเหตุการณ์บางอย่าง โอกาส ผลประกอบการระยะสั้น ถ้าจะพูดถึงความเสี่ยงก็อาจจะเน้นไปที่เรื่องของความผันผวนของกิจการหรือตัวหุ้นมากกว่า
ข้อสอง เซียนนั้นมักมีวิธีการหรือแนวทางการลงทุนของตนเองที่มั่นคงแน่นอน เรียกว่ามี “สไตล์” เป็นของตนเอง พวกเขาไม่เปลี่ยนไปมา กลยุทธ์หรือแนวทางการลงทุนของพวกเขานั้นมักจะเหมือนเดิมยาวนานเป็นทศวรรษหรือบางคนก็ตลอดชีวิต ในบางช่วงบางตอนกลยุทธ์หรือแนวทางการลงทุนของเขาอาจจะไม่ประสบความสำเร็จนักอาจจะเนื่องด้วยภาวะของตลาดหุ้นที่ไม่เอื้ออำนวยต่อกลยุทธ์นั้น แต่พวกเขาก็มักไม่เปลี่ยนวิธีการเพื่อที่จะให้ “สอดคล้อง” กับสถานการณ์ พวกเขายึดมั่นกับสิ่งที่เขารู้และเข้าใจดีที่สุด เพราะเขาคิดว่า ในระยะยาวแล้ว นั่นคือวิธีการที่ให้ผลดีที่สุดกับการลงทุนของเขา ตัวอย่างก็เช่นในยุคที่หุ้นดอทคอมและหุ้นไฮเทครุ่งเรืองมากนั้น แนวทางและผลการลงทุนของบัฟเฟตต์ดูด้อยลงไปเมื่อเทียบกับเซียนที่เน้นแนวการลงทุนที่หวือหวา อย่างไรก็ตาม หลังจาก “ฟองสบู่” หุ้นไฮเทคแตก แนวทางของบัฟเฟตต์ก็กลับมาได้รับการยอมรับเช่นเดิม
ข้อสาม เซียนนั้นมักมีหลักการลงทุนที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย พวกเขาไม่มีสูตรหรือสมการหรือชื่อเรียกที่ต้องใช้แทนด้วยอักษรภาษากรีก ว่าที่จริงหลายคนอาจจะไม่ทำประมาณการกำไรหรือคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทในอนาคตด้วยซ้ำ ความซับซ้อนของตัวเลขถ้าจะมีก็คงเป็นแค่การบวก ลบ คูณ หาร ถ้าจะสรุป ก็คือ หลักการลงทุนของเหล่าเซียนนั้น มักจะสามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดไม่เกินหนึ่งหน้ากระดาษ และการทำงานก็อาจจะใช้แค่เครื่องคิดเลขธรรมดาหรือไม่ก็ “คิดในใจ” ได้
ข้อสี่ การควบคุมอารมณ์ การมีวินัยในการลงทุน และความกล้าหาญหรือความกลัวในเวลาที่ถูกต้อง เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่เซียนหุ้นทุกคนมี เซียนหุ้นมักไม่ตื่นเต้นหรือกลัวเกินกว่าเหตุเวลาประสบกับสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นหรือหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มร้อนแรงมาก หรือประสบกับภาวะวิกฤติที่ผู้คนต่างพยายาม “หนีตาย” จากเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ได้มีผลกระทบรุนแรงอย่างที่ถูก “สื่อ” ออกมาในโลกของการสื่อสารเช่นในปัจจุบัน พูดง่ายๆ เซียนนั้นมีจิตใจที่สงบและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ความอดทนและอดกลั้นต่อสิ่งยั่วยุนั้นเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากที่ทำให้เซียนไม่ออกนอกแนว หรือกรอบความเชี่ยวชาญของตน
ข้อห้า เซียนนั้น มักเป็น Loner หรือเป็นคนที่ชอบอยู่สันโดษคนเดียวในแง่ของการลงทุน นี่ไม่ได้หมายความว่าเซียนจะไม่คุยกับนักลงทุนคนอื่นหรือไม่ปรึกษาว่าหุ้นตัวไหนน่าลงทุน แต่เซียนมักเป็นคนที่มีความเป็นอิสระสูงในการคิดและตัดสินใจลงทุน พวกเขามีเหตุผลและความเชื่อของตนเองที่มักจะไม่ถูกชี้นำหรือชักจูงโดยคนอื่น ว่าที่จริงเซียนบางคนอย่าง จอห์น เนฟฟ์ นั้นชอบ “ทะเลาะ” ว่ากันว่า ในตอนที่เป็นเด็กนั้น เขาแทบจะ “ทะเลาะกับเสาไฟฟ้า” พอโตขึ้นก็ “ทะเลาะกับตลาดหุ้น” แต่สาเหตุที่ทำให้พวกเขาสามารถคิดและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยตนเองนั้น เป็นเพราะพวกเขาได้ศึกษาและผ่านประสบการณ์มามาก
ข้อหก เซียนนั้นเรียนรู้ความผิดพลาดของตนเองอยู่เสมอ เช่นเดียวกัน พวกเขาเรียนรู้ความผิดพลาดจากคนอื่นด้วย ซึ่งทำให้เขา “เจ็บตัว” น้อยลง การเรียนรู้ความผิดพลาดจากคนอื่นนั้น แน่นอน ต้องศึกษาจากประวัติศาสตร์ ดังนั้น พวกเขาจึงมักเป็นนักอ่านตัวยง โดยเฉพาะด้านประวัติศาสตร์หลายๆ แขนง เช่น ประวัติศาสตร์บุคคล เศรษฐกิจ ตลาดหุ้นและอื่นๆ
ข้อเจ็ด เซียนบางคนนั้น หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นคนที่กล้าอย่างบ้าบิ่น หรืออย่างน้อยก็ต้องกล้ากว่าปกติในการรับความเสี่ยง แต่ข้อเท็จจริง ก็คือ เซียนตัวจริงทั้งหลายนั้นมักจะกล้าเสี่ยงอย่างมีเหตุผลและไม่ว่าในกรณีใด จะไม่เสี่ยงเกินไปแม้ว่าโอกาสในการที่จะชนะจะสูงกว่ามาก พวกเขารู้ว่า ความผิดพลาดและโชคร้ายนั้นสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น การเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ คือ สิ่งที่จะรับประกันว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ คำว่ากล้าเสี่ยงอย่างมีเหตุผลนั้น ถ้ามองในภาพกว้าง ก็คือ เขาจะเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ เช่น ต้องมีการกระจายการถือหุ้นในระดับหนึ่งไม่ใช่ลงทุนหุ้นเพียงตัวหรือสองตัวหรือตัวเดียวเกินกว่า 50% ของพอร์ต แต่พวกเขาก็จะไม่กระจายความเสี่ยงมากเกินไป เพราะการทำแบบนั้นถึงแม้จะดูว่าความเสี่ยงลดลงแต่ผลการลงทุนก็จะแย่ไปด้วย
ข้อแปด เซียนนั้น “ทำงานหนัก” เซียนทุกคนต่างก็ทำงานมากโดยเฉพาะในการอ่านและคิด และสิ่งที่อ่านและคิดของพวกเขานั้น สุดท้ายก็อาจจะเชื่อมโยงไปสู่การลงทุน เซียนที่เป็นนักบริหารกองทุนรวมนั้น แน่นอน พวกเขายุ่งมากกับงานการลงทุน เวลาว่างของพวกเขาน้อยมากและคนทั่วไปก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นเซียนที่ทำงานหนักมาก อย่างไรก็ตาม เซียนที่บริหารเงินของตนเองอย่างบัฟเฟตต์นั้น หลายคนก็จะมองว่าเขาไม่ได้ทำงานหนักอะไรนักหนา เลิกงานห้าหกโมงเย็นก็กลับบ้านแล้ว ไม่มีการขนงานกลับไปทำที่บ้าน เวลาของเขานั้นมีเหลือเฟือตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่นั่นคือ สิ่งที่ปรากฏจากการมองภายนอก ข้อเท็จจริง ก็คือ เขาใช้เวลาอ่านมากมาย และคนที่อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนได้เท่าเขานั้นผมคิดว่ามีน้อยมาก ว่าที่จริง แม้แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการลงทุนโดยตรง เช่น เรื่องของสังคมและการใช้ชีวิต เขาก็มีความรอบรู้ไม่น้อยทีเดียว เพียงแต่ว่าเขาอาจจะไม่ได้แสดงออกมามากนัก
ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงบางส่วนของคุณสมบัติที่เซียนส่วนใหญ่หรือเกือบทุกคนมี และผมเชื่อว่าคนที่อยากจะเป็นเซียนหรืออยากจะประสบความสำเร็จในการลงทุนจำเป็นต้องมี ดีกรีหรือระดับความเข้มข้นของแต่ละคุณสมบัติของแต่ละคนอาจจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่างรวมถึงจิตวิทยาหรือนิสัยส่วนตัวและสภาพแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่ายิ่งเราปรับตัวเข้าหานิสัยเซียนได้มากขึ้น เราก็น่าจะลงทุนได้ดีขึ้น
ที่มา : http://hoonyai.com/index.php?topic=1808.5;wap2
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 79
นิสัยการลงทุน นิสัยคุณ (Investing Tools)
posted on 16 Feb 2011 23:23 by jimair13 in Investing-Tools
หนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับการลงทุน ผู้แต่งมักมีการจำแนกประเภทของนักลงทุน ซึ่งค่อนข้างมีความสำคัญทีเดียวในความคิดของผม เพื่อนคนนึงที่ผมรู้จักมีประสบการณ์เกี่ยวกับหุ้นมากกว่า 10 ปี มีความรู้และมีมุมมองต่อปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาหุ้น อ่านงบการเงินเป็น เข้าใจธรรมชาติของหุ้นแต่ตัวค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่รวย!!! ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ผมเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่เป็นปกติของนักเล่นหุ้นในระดับทั่วไป คือการ Cut Loss ในระยะเวลาที่รวดเร็ว เมื่อหุ้นตก เน้นการเก็งกำไรในระยะสั้น เล่นหุ้นตามเว็บบอร์ด นำผลกำไรที่ได้จากการลงทุนไปใช้จ่าย และมีนิสัยอย่างลูกจ้างมืออาชีพ… ทำให้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของนักพนันขึ้นมาทันที
หากพูดถึงหุ้น… การตระหนักถึงวลีที่สำคัญของเกรแฮมที่ว่า -- อย่างไรก็แล้วแต่ สังเกตข้อเท็จจริงอันมีความสำคัญยิ่งนี้ให้ดี ข้อเท็จจริงที่ว่าก็คือ นักลงทุนพันธุ์แท้แทบไม่เคยถูกบังคับให้ขายหุ้นเลยและสามารถจะละเลยราคาหุ้นในปัจจุบันได้ พวกเขาจำเป็นต้องใส่ใจต่อราคาหุ้นและลงมือทำอะไรบางอย่างก็ต่อเมื่อราคาหุ้นอยู่ในระดับสูงพอจนทำให้พวกเขาอยากจะขายหุ้นออกไปเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนผู้ปล่อยให้ตัวเองกังวลต่อการลดลงของมูลค่าหุ้นในพอร์ต จะเปลี่ยนข้อได้เปรียบของพวกเขาให้กลายเป็นข้อเสียเปรียบ นักลงทุนทั่วๆไปจะได้ประโยชน์มากกว่า หากหุ้นของพวกเขาไม่มีราคาตลาด เนื่องจากพวกเขาจะไม่ต้องรู้สึกกังวลกับวิจารณญาณที่ผิดพลาดของคนอื่นๆ --
คิโยซากิก็ยังเคยกล่าวถึงประเภทของนักลงทุนในระดับต่างๆ (แบ่งเป็น 7 ระดับ) ยกตัวอย่างเช่น
ระดับ 0 คือ นักลงทุนที่ “ใช้เงิน” ทุกบาททุกสตางค์ที่หาได้ คนรวยหลายคนเข้าข่ายในข้อนี้ แม้จะทำเงินได้มาก แต่ก็มีรายจ่ายมากด้วยเช่นกัน
ระดับ 1 คือ นักลงทุนที่แก้ปัญหาด้วยการ “ยืมเงิน” ดาวน์ต่ำ ผ่อนสบาย ดอกเบี้ยถูก เป็นที่ชื่นชอบของคนกลุ่มนี้ ในมุมมองเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ พวกเขามีความเชื่อว่าราคาบ้านมีแต่ขึ้น ไม่มีลง…
ระดับ 2 คือ นักลงทุนที่เน้น “ออมเงิน” เราสังเกตได้ว่าคนกลุ่มนี้จะกันเงินจำนวนเล็กๆจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นเงินออม และเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด ผลตอบแทนน้อยที่สุด เช่น บัญชีออมทรัพย์ เงินฝากประจำ หรืออาจใช้บริการของธนาคารหรือกองทุนรวม เหตุผลในการออมเงินไม่ใช่เพื่อการลงทุน แต่เพื่อเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น
ระดับ 3 คือ นักลงทุนที่ฉลาด (สมอง) (ความจริงคิโยซากิยังแบ่งกลุ่มนี้อีกเป็น 3 ระดับ) ข้อสังเกตของคนกลุ่มนี้ จะเป็นกลุ่มคนที่ฉลาด มีการศึกษาสูง มีรายได้ค่อนข้างมาก แต่หากจะพูดถึงการลงทุนโดยนัยที่แท้จริงนั้น ยัง “อ่อนหัด” เราจึงเห็นคนกลุ่มนี้มักแบ่งเงินลงทุนในประเภทของกองทุนรวม หุ้น พันธบัตร โดยทั่วไปเขาจะไม่ชอบอ่านงบการเงิน ขาดความรู้ทางการเงิน แม้จะมีการศึกษาสูง เช่น หมอ หรือนักบัญชี แต่น้อยคนนักที่ได้ผ่านการฝึกอบรมให้รู้จักกับเกมส์การลงทุน
ระดับ 4 คือ นักลงทุนระยะยาว หากใครต้องการทราบว่าวอร์เร็น บัฟเฟทท์ และปีเตอร์ ลินซ์ ถูกคิดโยซากิจับไปอยู่ในกลุ่มนักลงทุนในระดับไหน โปรดจงเข้าใจว่ามหาเศรษฐีในอเมริกาส่วนมาก ก็อยู่ในระดับ 4 นี่แหละ การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตร การลงทุนที่น่าตื่นเต้นอย่างเช่นธุรกิจไฮเทค หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ไม่อยู่ในความสนใจของคนกลุ่มนี้ เพราะพวกเขาจะสนใจเฉพาะการลงทุนในระยะยาวเท่านั้น
ระดับ 5 คือ นักลงทุนมืออาชีพ คนกลุ่มนี้แสวงหาเกมการลงทุนที่เสี่ยงขึ้นแรงขึ้น เพราะมีนิสัยการใช้เงินที่ดีและมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุน ไม่ใช่ “มือใหม่ หัดขับ” คนกลุ่มนี้ลงทุนแบบมุ่งเน้นที่จุดใดจุดหนึ่ง ไม่นิยมกระจายพอร์ต มีประสบการณ์ทั้งแพ้และชนะมาแล้ว แต่สามารถนำประสบการณ์ผิดพลาดดังกล่าวมาเป็นบทเรียนในการแก้เกมส์ ทำให้พวกเขามักพบชัยชนะได้เสมอๆ
ระดับ 6 คือ นายทุน (นิยม) คนกลุ่มนี้มีเพียง 1% ในอเมริกา พวกเขาคือ “เจ้าของกิจการ” ฝีมือเยี่ยม และเป็น “นักลงทุน” ชั้นยอด เพราะเขาสามารถสร้างธุรกิจและลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง โดยจุดมุ่งหมายของ “นายทุน” คือการนำเงิน ความสามารถ และเวลาของคนอื่นมารวมพลังเพื่อสร้างรายได้จำนวนมหาศาล คนกลุ่มนี้มักเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อการเงินของประเทศ เช่นตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์, ฟอร์ด, เคนเนดี้, เจ. พอลเก็ตตี้ และรอส เปโรต์ ซึ่งเป็นนายทุนที่สร้างเงิน สร้างงาน สร้างธุรกิจ และสินค้า หากพูดถึงคนไทย คนกลุ่มนี้คือบรรดาเศรษฐีที่ถูกขนานนามว่า “เจ้าสัว” ทั้งหลายนั่นเอง
ต้องรู้จักเหยื่อ ก่อนตะครุบเหยื่อ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง หรือการรู้ว่าตนเองไม่รู้อะไร ดีกว่าการไม่รู้ว่าตนเองรู้ และการไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้คือสิ่งที่แย่ที่สุด ซึ่งคำเตือนทั้งหลายเหล่านี้ จะทำให้คุณหันมามองดูตัวเอง ว่าที่แท้จริงคุณมีนิสัยการลงทุนประเภทไหน สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้น มันช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายสูงสุดของคุณได้หรือไม่ เพราะถ้าหากคำตอบคือ “ไม่” ก็อาจหมายถึงเวลาที่เสียเปล่า และเงินที่สูญเสียไปกับความล้มเหลวทางการลงทุนครับ
posted on 16 Feb 2011 23:23 by jimair13 in Investing-Tools
หนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับการลงทุน ผู้แต่งมักมีการจำแนกประเภทของนักลงทุน ซึ่งค่อนข้างมีความสำคัญทีเดียวในความคิดของผม เพื่อนคนนึงที่ผมรู้จักมีประสบการณ์เกี่ยวกับหุ้นมากกว่า 10 ปี มีความรู้และมีมุมมองต่อปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาหุ้น อ่านงบการเงินเป็น เข้าใจธรรมชาติของหุ้นแต่ตัวค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่รวย!!! ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ผมเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่เป็นปกติของนักเล่นหุ้นในระดับทั่วไป คือการ Cut Loss ในระยะเวลาที่รวดเร็ว เมื่อหุ้นตก เน้นการเก็งกำไรในระยะสั้น เล่นหุ้นตามเว็บบอร์ด นำผลกำไรที่ได้จากการลงทุนไปใช้จ่าย และมีนิสัยอย่างลูกจ้างมืออาชีพ… ทำให้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของนักพนันขึ้นมาทันที
หากพูดถึงหุ้น… การตระหนักถึงวลีที่สำคัญของเกรแฮมที่ว่า -- อย่างไรก็แล้วแต่ สังเกตข้อเท็จจริงอันมีความสำคัญยิ่งนี้ให้ดี ข้อเท็จจริงที่ว่าก็คือ นักลงทุนพันธุ์แท้แทบไม่เคยถูกบังคับให้ขายหุ้นเลยและสามารถจะละเลยราคาหุ้นในปัจจุบันได้ พวกเขาจำเป็นต้องใส่ใจต่อราคาหุ้นและลงมือทำอะไรบางอย่างก็ต่อเมื่อราคาหุ้นอยู่ในระดับสูงพอจนทำให้พวกเขาอยากจะขายหุ้นออกไปเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนผู้ปล่อยให้ตัวเองกังวลต่อการลดลงของมูลค่าหุ้นในพอร์ต จะเปลี่ยนข้อได้เปรียบของพวกเขาให้กลายเป็นข้อเสียเปรียบ นักลงทุนทั่วๆไปจะได้ประโยชน์มากกว่า หากหุ้นของพวกเขาไม่มีราคาตลาด เนื่องจากพวกเขาจะไม่ต้องรู้สึกกังวลกับวิจารณญาณที่ผิดพลาดของคนอื่นๆ --
คิโยซากิก็ยังเคยกล่าวถึงประเภทของนักลงทุนในระดับต่างๆ (แบ่งเป็น 7 ระดับ) ยกตัวอย่างเช่น
ระดับ 0 คือ นักลงทุนที่ “ใช้เงิน” ทุกบาททุกสตางค์ที่หาได้ คนรวยหลายคนเข้าข่ายในข้อนี้ แม้จะทำเงินได้มาก แต่ก็มีรายจ่ายมากด้วยเช่นกัน
ระดับ 1 คือ นักลงทุนที่แก้ปัญหาด้วยการ “ยืมเงิน” ดาวน์ต่ำ ผ่อนสบาย ดอกเบี้ยถูก เป็นที่ชื่นชอบของคนกลุ่มนี้ ในมุมมองเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ พวกเขามีความเชื่อว่าราคาบ้านมีแต่ขึ้น ไม่มีลง…
ระดับ 2 คือ นักลงทุนที่เน้น “ออมเงิน” เราสังเกตได้ว่าคนกลุ่มนี้จะกันเงินจำนวนเล็กๆจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นเงินออม และเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด ผลตอบแทนน้อยที่สุด เช่น บัญชีออมทรัพย์ เงินฝากประจำ หรืออาจใช้บริการของธนาคารหรือกองทุนรวม เหตุผลในการออมเงินไม่ใช่เพื่อการลงทุน แต่เพื่อเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น
ระดับ 3 คือ นักลงทุนที่ฉลาด (สมอง) (ความจริงคิโยซากิยังแบ่งกลุ่มนี้อีกเป็น 3 ระดับ) ข้อสังเกตของคนกลุ่มนี้ จะเป็นกลุ่มคนที่ฉลาด มีการศึกษาสูง มีรายได้ค่อนข้างมาก แต่หากจะพูดถึงการลงทุนโดยนัยที่แท้จริงนั้น ยัง “อ่อนหัด” เราจึงเห็นคนกลุ่มนี้มักแบ่งเงินลงทุนในประเภทของกองทุนรวม หุ้น พันธบัตร โดยทั่วไปเขาจะไม่ชอบอ่านงบการเงิน ขาดความรู้ทางการเงิน แม้จะมีการศึกษาสูง เช่น หมอ หรือนักบัญชี แต่น้อยคนนักที่ได้ผ่านการฝึกอบรมให้รู้จักกับเกมส์การลงทุน
ระดับ 4 คือ นักลงทุนระยะยาว หากใครต้องการทราบว่าวอร์เร็น บัฟเฟทท์ และปีเตอร์ ลินซ์ ถูกคิดโยซากิจับไปอยู่ในกลุ่มนักลงทุนในระดับไหน โปรดจงเข้าใจว่ามหาเศรษฐีในอเมริกาส่วนมาก ก็อยู่ในระดับ 4 นี่แหละ การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตร การลงทุนที่น่าตื่นเต้นอย่างเช่นธุรกิจไฮเทค หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ไม่อยู่ในความสนใจของคนกลุ่มนี้ เพราะพวกเขาจะสนใจเฉพาะการลงทุนในระยะยาวเท่านั้น
ระดับ 5 คือ นักลงทุนมืออาชีพ คนกลุ่มนี้แสวงหาเกมการลงทุนที่เสี่ยงขึ้นแรงขึ้น เพราะมีนิสัยการใช้เงินที่ดีและมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุน ไม่ใช่ “มือใหม่ หัดขับ” คนกลุ่มนี้ลงทุนแบบมุ่งเน้นที่จุดใดจุดหนึ่ง ไม่นิยมกระจายพอร์ต มีประสบการณ์ทั้งแพ้และชนะมาแล้ว แต่สามารถนำประสบการณ์ผิดพลาดดังกล่าวมาเป็นบทเรียนในการแก้เกมส์ ทำให้พวกเขามักพบชัยชนะได้เสมอๆ
ระดับ 6 คือ นายทุน (นิยม) คนกลุ่มนี้มีเพียง 1% ในอเมริกา พวกเขาคือ “เจ้าของกิจการ” ฝีมือเยี่ยม และเป็น “นักลงทุน” ชั้นยอด เพราะเขาสามารถสร้างธุรกิจและลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง โดยจุดมุ่งหมายของ “นายทุน” คือการนำเงิน ความสามารถ และเวลาของคนอื่นมารวมพลังเพื่อสร้างรายได้จำนวนมหาศาล คนกลุ่มนี้มักเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อการเงินของประเทศ เช่นตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์, ฟอร์ด, เคนเนดี้, เจ. พอลเก็ตตี้ และรอส เปโรต์ ซึ่งเป็นนายทุนที่สร้างเงิน สร้างงาน สร้างธุรกิจ และสินค้า หากพูดถึงคนไทย คนกลุ่มนี้คือบรรดาเศรษฐีที่ถูกขนานนามว่า “เจ้าสัว” ทั้งหลายนั่นเอง
ต้องรู้จักเหยื่อ ก่อนตะครุบเหยื่อ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง หรือการรู้ว่าตนเองไม่รู้อะไร ดีกว่าการไม่รู้ว่าตนเองรู้ และการไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้คือสิ่งที่แย่ที่สุด ซึ่งคำเตือนทั้งหลายเหล่านี้ จะทำให้คุณหันมามองดูตัวเอง ว่าที่แท้จริงคุณมีนิสัยการลงทุนประเภทไหน สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้น มันช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายสูงสุดของคุณได้หรือไม่ เพราะถ้าหากคำตอบคือ “ไม่” ก็อาจหมายถึงเวลาที่เสียเปล่า และเงินที่สูญเสียไปกับความล้มเหลวทางการลงทุนครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 80
ในวิชาการทางด้านการพนัน มีศัพท์เทคนิคอยู่คำหนึ่งคือคำว่า Parimutuel
การพนันบางอย่างเป็นการพนันแบบ Parimutuel หมายความว่า คุณ จะได้ผลตอบแทนเท่าไรไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณแทงถูกหรือไม่อย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่ามีคนอื่นที่แทงถูกเหมือนคุณมากน้อยแค่ไหนด้วย ถ้าคุณแทงถูก แต่คนส่วนใหญ่ก็แทงเหมือนกับคุณ อัตราต่อรองจะถูก bid ขึ้นไปสูงเสียจนคนที่แทงถูกแทบจะไม่ได้ค่าตอบแทนอะไรเลย ตัวอย่างของการพนันแบบ Perimutuel ก็คือ ม้าแข่ง รวมถึงการพนันฟุตบอลแบบที่อัตราต่อรองไหลไปเรื่อยๆด้วย
ที่พูดถึงคำๆนี้ ก็เพราะอยากจะบอกคุณว่า ตลาดหุ้น ก็มีลักษณะเป็น Parimutuel ด้วย การ เลือกหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีที่สุด ยังไม่สามารถทำให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ เพราะถ้าหากนักลงทุนคนอื่นๆในตลาดรู้เหมือนกับคุณ ราคาหุ้นจะ bid ขึ้นไปจนเกินพื้นฐานเสมอ การซื้อหุ้นเหล่านั้นที่ราคาเกินพื้นฐานจึงทำให้ขาดทุนมากกว่าที่จะกำไร ทั้งที่หุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นพื้นฐานดี
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเปรียบกับคณิตศาสตร์ก็เหมือนเป็นสมการสองชั้น นอกจากกิจการที่ลงทุนจะเป็นกิจการที่พื้นฐานดีแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดจะต้องยังไม่เห็นความดีนั้นด้วย มิฉะนั้นลงทุนไปก็ไม่ได้อะไร เพราะราคาหุ้นที่ลงทุนจะไม่ถูกเมื่อเทียบกับพื้นฐานที่ดีของมัน
ในตลาดหุ้น หุ้นที่เป็นหลุมพรางของนักลงทุนจึงได้แก่หุ้นของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับกัน เป็นการทั่วไปในตลาดว่า กิจการของหุ้นดีมากเสียจนหาข้อเสียใดๆไม่ได้เลย ปกติแล้วหุ้นทุกตัวในตลาดจะมีข้อเสียบางอย่างอยู่ ข้อเสียคือสิ่งที่ช่วยทำให้ราคาหุ้นมีแนวต้าน เมื่อใดก็ตามที่หุ้นตัวใดก็ตามในตลาด สามารถสร้างสตอรี่เพื่อแก้ต่างจุดอ่อนที่อยู่ในความรู้สึกของนักลงทุนทั่วไป ในตลาดได้หมดทุกจุด ราคาของหุ้นตัวนั้นก็จะทะยานขึ้นทันทีอย่างกับติดเทอร์โบ เนื่องจากหุ้นตัวนั้นจะไม่มีอะไรเป็นแนวต้านอีกต่อไป โดยที่ในความเป็นจริงแล้ว พื้นฐานของหุ้นจะไร้ที่ติขนาดนั้นจริงหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แค่ไร้ที่ติในความคิดของนักลงทุนทั่วไปในตลาด ราคาหุ้นก็จะไร้แนวต้านทันที
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้พบเห็น “หุ้นจรวด” เหล่านี้อยู่เป็นระยะๆ โดยมากแล้วมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดกำลังวิตกกังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มากๆ หุ้นบางตัวจะถูกมองและเชียร์กันบ่อยๆ ว่าเป็นหุ้นเพียงไม่กี่ตัวในตลาดที่ธุรกิจของมันจะไม่ได้ผลกระทบใดๆ จากเรื่องที่ทุกคนกำลังกังวลอยู่นั้น เมื่อกระแสจุดติด ราคาของหุ้นเหล่านี้จะวิ่งเร็วยิ่งกว่าติดเทอร์โบกลายเป็นว่าวที่ติดลมบน ยิ่งเรื่องที่ตลาดกังวลทำให้ดัชนีปรับตัวลงมากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้หุ้นตัวนั้นมีราคาเพิ่มขึ้นสวนตลาดมากขึ้นไปอีก
เมื่อราคาหุ้นแข็งมาก นักลงทุนส่วนหนึ่งจะเข้ามาหลบภัยในหุ้นตัวนั้นเพื่อให้พอร์ตของตัวเองชนะ ตลาด ทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นยิ่งแข็งขึ้นไปอีกเป็นปฏิกิริยาย้อนกลับในเชิงบวก ความที่ราคาหุ้นไม่ลงเลย ทำให้ยิ่งมีนักลงทุนที่อยากเป็นเจ้าของหุ้นตัวนั้นเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นหุ้นแต่ถือแล้วสบายใจยิ่งกว่าพันธบัตร เวลานี้ฟองสบู่ได้ก่อตัวขึ้นมาแล้ว…
การซื้อหุ้นเหล่านั้นในช่วงเวลาแบบนั้นเป็นเรื่องอันตรายที่สุด ราคาหุ้นอาจแข็งแกร่งอยู่อย่างนั้นได้เป็นปีๆ แต่ในวันที่ทุกอย่างปรากฏขึ้นมาว่ากิจการของหุ้นนั้นดีจริง แต่ไม่ดีมากขนาดที่จะ justify ราคาหุ้นที่สูงลิ่วขนาดนั้นได้ หุ้นมักจะปรับตัวลงอย่างรุนแรงม้วนเดียวจบจนตั้งตัวไม่ทัน พูดง่ายก็คือตัวใครตัวมันล่ะครับ (the party is over)
ในตลาดหุ้น หุ้นที่ห้ามซื้อเด็ดขาดจึงได้แก่ หุ้น ที่ไม่มีข้อเสียใดๆเลย เหมือนการแทงม้าตัวที่ทุกคนเชื่อว่าจะเข้าวินจะไม่ได้ประโยชน์อะไร วิธีการเล่นหุ้นแบบหนึ่งที่จะล้มเหลวเสมอคือ ซื้อหุ้นที่นักวิเคราะห์ทุกสำนักแนะนำให้ “ซื้อ” เพราะเมื่อใดก็ตามที่ทุกคนในตลาดเห็นด้วยว่าดีแล้ว ย่อมไม่เหลือใครในตลาดอีกที่อยากได้หุ้นตัวนั้นแต่ยังไม่ได้ซื้อ หุ้นจึงแทบไม่เหลือแรงส่งขึ้นไปได้อีกแล้ว นอกจากรอเวลาที่จะร่วงลงมาเมื่อใครสักคนที่มีหุ้นนั้นเริ่มอยากขายทำกำไรออก มา
นักลงทุนที่ดีต้องทำตัวเหมือนคนที่ยึดอาชีพเป็น “แมวมอง” แมวมองเลือกที่จะทุ่มให้กับคนที่ยังไม่ดังแต่มีแววว่าจะดังเท่านั้น เมื่อคนนั้นกลายเป็นคนดังขึ้นมาชั่วข้ามคืน แมวมองก็จะได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาลจากความ “ตาถึง” ของเขา ในขณะที่ “คนดู” สนใจกันแต่ดาราที่ดังแล้ว ยิ่งดังเท่าไรยิ่งชอบ คนดูจึงต้องเป็นฝ่ายเสียเงินตลอด (ค่าบัตรคอนเสิร์ต ค่าตั๋วหนัง ฯลฯ)
หุ้นที่น่าลงทุนกว่าคือหุ้นที่ยังมีอะไรบางอย่างที่ ไม่ดีอยู่ แต่เราเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ในอนาคต ถ้าเราเลือกซื้อแต่ดอกไม้ที่มีคนคัดมาให้เราแล้ว เราจะได้ดอกไม้ที่ดีก็จริง แต่เราจะต้องเป็นฝ่ายเสียเงินให้คนคัดดอกไม้เสมอ สู้ทำตัวเป็นคนคัดดอกไม้ในตลาดหุ้นไม่ดีกว่าหรือครับ
ที่มา : http://www.chiangmaithailand.tht.in/aticle315.html
การพนันบางอย่างเป็นการพนันแบบ Parimutuel หมายความว่า คุณ จะได้ผลตอบแทนเท่าไรไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณแทงถูกหรือไม่อย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่ามีคนอื่นที่แทงถูกเหมือนคุณมากน้อยแค่ไหนด้วย ถ้าคุณแทงถูก แต่คนส่วนใหญ่ก็แทงเหมือนกับคุณ อัตราต่อรองจะถูก bid ขึ้นไปสูงเสียจนคนที่แทงถูกแทบจะไม่ได้ค่าตอบแทนอะไรเลย ตัวอย่างของการพนันแบบ Perimutuel ก็คือ ม้าแข่ง รวมถึงการพนันฟุตบอลแบบที่อัตราต่อรองไหลไปเรื่อยๆด้วย
ที่พูดถึงคำๆนี้ ก็เพราะอยากจะบอกคุณว่า ตลาดหุ้น ก็มีลักษณะเป็น Parimutuel ด้วย การ เลือกหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีที่สุด ยังไม่สามารถทำให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ เพราะถ้าหากนักลงทุนคนอื่นๆในตลาดรู้เหมือนกับคุณ ราคาหุ้นจะ bid ขึ้นไปจนเกินพื้นฐานเสมอ การซื้อหุ้นเหล่านั้นที่ราคาเกินพื้นฐานจึงทำให้ขาดทุนมากกว่าที่จะกำไร ทั้งที่หุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นพื้นฐานดี
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเปรียบกับคณิตศาสตร์ก็เหมือนเป็นสมการสองชั้น นอกจากกิจการที่ลงทุนจะเป็นกิจการที่พื้นฐานดีแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดจะต้องยังไม่เห็นความดีนั้นด้วย มิฉะนั้นลงทุนไปก็ไม่ได้อะไร เพราะราคาหุ้นที่ลงทุนจะไม่ถูกเมื่อเทียบกับพื้นฐานที่ดีของมัน
ในตลาดหุ้น หุ้นที่เป็นหลุมพรางของนักลงทุนจึงได้แก่หุ้นของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับกัน เป็นการทั่วไปในตลาดว่า กิจการของหุ้นดีมากเสียจนหาข้อเสียใดๆไม่ได้เลย ปกติแล้วหุ้นทุกตัวในตลาดจะมีข้อเสียบางอย่างอยู่ ข้อเสียคือสิ่งที่ช่วยทำให้ราคาหุ้นมีแนวต้าน เมื่อใดก็ตามที่หุ้นตัวใดก็ตามในตลาด สามารถสร้างสตอรี่เพื่อแก้ต่างจุดอ่อนที่อยู่ในความรู้สึกของนักลงทุนทั่วไป ในตลาดได้หมดทุกจุด ราคาของหุ้นตัวนั้นก็จะทะยานขึ้นทันทีอย่างกับติดเทอร์โบ เนื่องจากหุ้นตัวนั้นจะไม่มีอะไรเป็นแนวต้านอีกต่อไป โดยที่ในความเป็นจริงแล้ว พื้นฐานของหุ้นจะไร้ที่ติขนาดนั้นจริงหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แค่ไร้ที่ติในความคิดของนักลงทุนทั่วไปในตลาด ราคาหุ้นก็จะไร้แนวต้านทันที
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้พบเห็น “หุ้นจรวด” เหล่านี้อยู่เป็นระยะๆ โดยมากแล้วมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดกำลังวิตกกังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มากๆ หุ้นบางตัวจะถูกมองและเชียร์กันบ่อยๆ ว่าเป็นหุ้นเพียงไม่กี่ตัวในตลาดที่ธุรกิจของมันจะไม่ได้ผลกระทบใดๆ จากเรื่องที่ทุกคนกำลังกังวลอยู่นั้น เมื่อกระแสจุดติด ราคาของหุ้นเหล่านี้จะวิ่งเร็วยิ่งกว่าติดเทอร์โบกลายเป็นว่าวที่ติดลมบน ยิ่งเรื่องที่ตลาดกังวลทำให้ดัชนีปรับตัวลงมากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้หุ้นตัวนั้นมีราคาเพิ่มขึ้นสวนตลาดมากขึ้นไปอีก
เมื่อราคาหุ้นแข็งมาก นักลงทุนส่วนหนึ่งจะเข้ามาหลบภัยในหุ้นตัวนั้นเพื่อให้พอร์ตของตัวเองชนะ ตลาด ทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นยิ่งแข็งขึ้นไปอีกเป็นปฏิกิริยาย้อนกลับในเชิงบวก ความที่ราคาหุ้นไม่ลงเลย ทำให้ยิ่งมีนักลงทุนที่อยากเป็นเจ้าของหุ้นตัวนั้นเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นหุ้นแต่ถือแล้วสบายใจยิ่งกว่าพันธบัตร เวลานี้ฟองสบู่ได้ก่อตัวขึ้นมาแล้ว…
การซื้อหุ้นเหล่านั้นในช่วงเวลาแบบนั้นเป็นเรื่องอันตรายที่สุด ราคาหุ้นอาจแข็งแกร่งอยู่อย่างนั้นได้เป็นปีๆ แต่ในวันที่ทุกอย่างปรากฏขึ้นมาว่ากิจการของหุ้นนั้นดีจริง แต่ไม่ดีมากขนาดที่จะ justify ราคาหุ้นที่สูงลิ่วขนาดนั้นได้ หุ้นมักจะปรับตัวลงอย่างรุนแรงม้วนเดียวจบจนตั้งตัวไม่ทัน พูดง่ายก็คือตัวใครตัวมันล่ะครับ (the party is over)
ในตลาดหุ้น หุ้นที่ห้ามซื้อเด็ดขาดจึงได้แก่ หุ้น ที่ไม่มีข้อเสียใดๆเลย เหมือนการแทงม้าตัวที่ทุกคนเชื่อว่าจะเข้าวินจะไม่ได้ประโยชน์อะไร วิธีการเล่นหุ้นแบบหนึ่งที่จะล้มเหลวเสมอคือ ซื้อหุ้นที่นักวิเคราะห์ทุกสำนักแนะนำให้ “ซื้อ” เพราะเมื่อใดก็ตามที่ทุกคนในตลาดเห็นด้วยว่าดีแล้ว ย่อมไม่เหลือใครในตลาดอีกที่อยากได้หุ้นตัวนั้นแต่ยังไม่ได้ซื้อ หุ้นจึงแทบไม่เหลือแรงส่งขึ้นไปได้อีกแล้ว นอกจากรอเวลาที่จะร่วงลงมาเมื่อใครสักคนที่มีหุ้นนั้นเริ่มอยากขายทำกำไรออก มา
นักลงทุนที่ดีต้องทำตัวเหมือนคนที่ยึดอาชีพเป็น “แมวมอง” แมวมองเลือกที่จะทุ่มให้กับคนที่ยังไม่ดังแต่มีแววว่าจะดังเท่านั้น เมื่อคนนั้นกลายเป็นคนดังขึ้นมาชั่วข้ามคืน แมวมองก็จะได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาลจากความ “ตาถึง” ของเขา ในขณะที่ “คนดู” สนใจกันแต่ดาราที่ดังแล้ว ยิ่งดังเท่าไรยิ่งชอบ คนดูจึงต้องเป็นฝ่ายเสียเงินตลอด (ค่าบัตรคอนเสิร์ต ค่าตั๋วหนัง ฯลฯ)
หุ้นที่น่าลงทุนกว่าคือหุ้นที่ยังมีอะไรบางอย่างที่ ไม่ดีอยู่ แต่เราเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ในอนาคต ถ้าเราเลือกซื้อแต่ดอกไม้ที่มีคนคัดมาให้เราแล้ว เราจะได้ดอกไม้ที่ดีก็จริง แต่เราจะต้องเป็นฝ่ายเสียเงินให้คนคัดดอกไม้เสมอ สู้ทำตัวเป็นคนคัดดอกไม้ในตลาดหุ้นไม่ดีกว่าหรือครับ
ที่มา : http://www.chiangmaithailand.tht.in/aticle315.html
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 81
อ่านแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจครับ
v
v
========================================================================
ออกตัวก่อนเลยว่า ผมกล่าวถึงพฤติกรรมของหุ้น 3 ตัว หากอ่านแล้วใครใคร่ซื้อซื้อ ใครใคร่ถือถือ ใช้วิจารณญาณกันเองนะครับ ผมเป็นแค่คนนำเสนอตามความคิดเห็นส่วนตัวและความรู้เท่าที่จะพอมีเท่านั้น และก็ไม่ได้ใช้ชื่อจริงของหุ้นด้วย
เครดิต http://www.monkeyfreetime.com/2012/02/blog-post_26.html
--------------------------------------------------
>>> การเล่นแร่แปรธาตุทางการเงิน <<<
นักลงทุนที่มีความรู้รอบตัวมากอาจจะเคยได้ยินหนังสือเล่มพระเอกของ จอร์จ โซรอส ที่ชื่อว่า The Alchemy of Finance หรือ "การเล่นแร่แปรธาตุทางการเงิน" ซึ่งเขาว่ากันว่ามันเป็นหนังสือดี แต่อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง และหนึ่งใน "เขา" ที่ว่านั้นก็คือ ดร.นิเวศน์ ปรมาจารย์วีไอของเมืองไทยเสียด้วย
เล่ามาเป็นคุ้งเป็นแคว แต่ผมเพียงจะบอกว่าผมไม่ได้เขียนเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้น (แป่ว...) เรื่องที่ผมจะเล่าใกล้ตัวกว่านั้นมาก เพราะมันเป็นเรื่องในตลาดหุ้นนี่เอง
นักลงทุนหลายท่านคงมีโอกาสได้เห็นพฤติกรรมแปลกๆ หลายอย่างในตลาดหุ้นไทยไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่การประกาศจ่ายเงินปันผลพิเศษแบบบ้าระห่ำของบริษัทโทรคมนาคมแห่งหนึ่ง การที่บริษัทเกษตรและอาหารรายใหญ่ของประเทศประกาศเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นของเจ้าสัวผู้ถือหุ้นใหญ่นั่นเอง รวมทั้งการประกาศจ่ายปันผลเป็นหุ้นของบริษัทค้าปลีกชั้นนำ รวมทั้งอีกหลายบริษัท จนเรียกว่ากลายเป็นเทรนด์ใหม่ของปีนี้ไปเสียแล้ว
ผมเองยอมรับว่างงกับพฤติกรรมเหล่านี้ และที่งงยิ่งกว่าก็คือเสียงตอบรับจากเหล่าผู้ถือหุ้นซึ่งสะท้อนออกมาเป็นราคาหุ้น เรามาว่ากันทีละกรณีเลยก็แล้วกัน ...เพื่อความเหมาะสม ผมขออนุญาตยกตัวอย่างบริษัทสมมติก็แล้วกันนะครับ
>>> บริษัทไวกิ้งเทเลคอม - การจ่ายเงินปันผลพิเศษ <<<
แม้นักวิเคราะห์คาดการณ์กันมาก่อนว่าบริษัทไวกิ้งเทเลคอมซึ่งมีเงินสดล้นเหลือจะประกาศจ่ายเงินปันผลพิเศษ แต่ครั้นบริษัทประกาศจ่ายขึ้นมาจริงๆ ถึง 16 บาท ก็ทำให้สาวน้อยสาวใหญ่พากันกรี๊ดกร๊าดแย่งกันซื้อหุ้นจนพุ่งขึ้นจาก 80 บาทไป 90 บาท ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมันก็ขึ้นล่วงหน้ามาก่อนนานแล้ว
ความจริงเงินปันผลที่บริษัทไวกิ้งเทเลคอมจ่ายไม่ได้มาจากเงินสดที่ตัวเองมีเท่านั้น แต่ส่วนหนึ่งมาจากการกู้ยืมจากธนาคาร แม้ว่าบริษัทจะระบุว่า "พ้มเอามาจากกำไรสะสม!" แต่ความเป็นจริงก็คือ เงินสดมันไม่ได้มีป้ายแปะไว้ว่ามันเอามาจากตรงไหน พอชักเอาเงินสดออกมาแล้วต้องไปกู้เพิ่มก็กระทบกับโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การที่บริษัทกู้ยืมเงินมากขึ้นแม้จะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง แต่ต้องแลกกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของบริษัท โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าในอนาคตอันใกล้บริษัทจะต้องเตรียมเงินไว้ประมูลคลื่นความถึ่ 3G ก็ยิ่งน่าสงสัยว่าการกระทำนี้จะส่งผลดีต่อ "บริษัท" หรือ "ผู้ถือหุ้น" กันแน่
หรือมันเป็นแค่การดึงเงินสดกลับบ้านแบบเนียนๆ ของใครบางคน?! และผู้ถือหุ้นที่เหลือก็ "สมรู้ร่วมคิด" อวยให้แบบเต็มใจเพราะเราได้ประโยชน์ร่วมกัน
ที่น่าตลกคือ มีหลายคนไล่ซื้อหุ้นในราคาแพง เพียงเพื่อจะได้เงินสดกลับมาในรูปของเงินปันผล ทั้งที่เจ้าเงินสดนี้มันอยู่ในกระเป๋าของเราตั้งแต่แรก แทนที่จะควัก 90 บาทซื้อตอนที่มันแพงแล้ว สู้เอาเงิน 80 บาทไปมองหาหุ้นตัวอื่นที่ยังถูกอยู่จะดีกว่า และก็เก็บ 10 บาทที่เหลือเอาไว้อุ่นใจ
>>> บริษัทเวิลด์ฟู้ดส์ - การซื้อกิจการของผู้ถือหุ้นใหญ่ <<<
บริษัทเวิลด์ฟู้ดส์อ้างว่าการเข้าซื้อกิจการจะทำให้บริษัทสามารถเข้าสู่ตลาดใหญ่ในจีนและเวียดนามได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นที่สงสัยว่าราคาที่เจ้าสัวขายยัดให้กับบริษัทนั้นแพงเกินไปหรือไม่ แล้วถ้าบริษัทมันดีจริง เขาจะขายทำไม ทำไมไม่เก็บไว้เอง
ความจริง 2-3 ปีก่อนหน้านี้บริษัทเวิลด์ฟู้ดส์เคยซื้อหุ้นคืนและมี treasury stock ค้างอยู่ในกระเป๋า บริษัทอาจจะเลือกจดทะเบียนลดทุนเพื่อทำให้จำนวนหุ้นของบริษัทลดลงและมีกำไรต่อหุ้นสูงขึ้นก็ได้ การทำเช่นนั้นจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นอย่างแท้จริง ...ทว่าบริษัทก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น
หลายคนสงสัยว่ากิจการที่เจ้าสัวเอามาขายให้กับบริษัทเวิลด์ฟู้ดส์เป็นกิจการที่มีความผันผวนของผลกำไรและมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด นอกจากนี้การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวแม้จะทำให้บริษัทสามารถบุกตลาดจีนและเวียดนามได้ แต่ก็ทำให้สัดส่วนผลิตภัณฑ์ margin สูงลดลง พวกเขาไม่แน่ใจว่าอนาคตของบริษัทจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ที่แน่ๆ บริษัทเวิลด์ฟู้ดส์ต้องกู้ยืมเพิ่มขึ้น ทำให้มีฐานะทางการเงินแย่ลง ผู้ถือหุ้นอดผลดีที่จะได้จากการลดทุน แต่เจ้าสัวได้เงินสดเข้ากระเป๋าเรียบร้อย และเผลอๆ จะได้ในราคาที่ดีเสียด้วย
>>> บริษัทซื้อสะดวก - การจ่ายปันผลเป็นหุ้น <<<
ในบรรดาหุ้นเติบโต ผมรับรองว่าจะต้องมีหุ้นของบริษัทซื้อสะดวกเป็นหนึ่งในใจของนักลงทุน ความจริงผมเองก็ชอบบริษัทนี้ตลอดมา จนกระทั่งได้ยินว่าเขาจะจ่ายปันผลเป็นหุ้น และไม่ใช่จ่ายธรรมดาเสียด้วย เพราะเขาจ่ายในอัตรา 1:1
นั่นหมายความว่าผู้ถือหุ้นเดิม 1 หุ้น จะได้หุ้นใหม่ 1 หุ้น ซึ่งทำให้จำนวนหุ้นในตลาดเพิ่มเป็นหนึ่งเท่าตัวในทันที การทำเช่นนั้นจะทำให้มีหุ้น 4,500 ล้านหุ้นโผล่เข้ามาในตลาดและเป็นเงินที่ต้องเสียภาษีคิดเป็นเงินถึง 450 ล้านบาท ผมมองยังไงก็ไม่เห็นว่าอยู่ๆ บริษัทจะมีเหตุผลอะไรที่จะจ่ายภาษีจำนวนนี้ (ความจริงผู้ถือหุ้นต้องเป็นคนจ่าย แต่ว่าบริษัทก็จ่ายปันผลเป็นเงินสดด้วย จึงเท่ากับว่าบริษัทจ่ายแทนให้) บริษัทอาจเลือกที่จะแตกพาร์ก็ได้ เพียงแต่ว่ามันไม่ให้อารมณ์ของการ "แจก" เหมือนกับได้หุ้นปันผล
การจ่ายปันผลเป็นหุ้นไม่ได้ทำให้มีเงินสดเข้าสู่บริษัท และไม่ได้ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน ถ้าไปถาม ดร.นิเวศน์ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าท่านจะส่ายหัวอย่างแน่นอน ที่จริงมีบางบริษัทเหมือนกันที่พยายามสงวนเงินสดเอาไว้และจ่ายปันผลออกมาเป็นหุ้นแทน ผู้ถือหุ้นบางคนอาจไม่รู้สึกอะไรเพราะเห็นว่าได้จำนวนหุ้นมากขึ้น แต่ที่จริงแล้วมันก็เป็นเพียงการเพิ่ม "ตัวหาร" และกดดันให้กำไรต่อหุ้นลดลงจากการ dilution และเป็นการเล่นแร่แปรธาตุทางการเงินล้วนๆ
จากมุมนี้ผมมองได้เพียงอย่างเดียวว่านี่คือการ "เล่นหุ้น" โดยตัวบริษัทเอง บริษัทซื้อสะดวกอาจจะคิดว่าตลาดจะตอบรับเงินปันผลสูงๆ + หุ้นปันผล ด้วยการผลักราคาหุ้นให้สูงขึ้น ครั้นพอเกิด dilution effect จนราคาลดลงมาราวครึ่งหนึ่ง จากนั้นพอคนเริ่มชินก็จะไล่ราคากันขึ้นมาเองตามความคุ้นชิน จนในที่สุดราคาหุ้นก็จะกลับมาแถวๆ ราคาเดิมได้ ซึ่งนั้นก็จะเท่ากับว่าทุกคน "รวยขึ้น" กันหมด
ฟังดูดีนะครับ ยกเว้นข้อเท็จจริงที่ว่าถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นจริงราคาหุ้นวิ่งเร็วกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปมาก และเมื่อพื้นฐานมันรองรับราคาหุ้นไม่ไหว เราก็คงทราบดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบผู้บริหารที่พยายามดูแลราคาหุ้นมากเกินไป ผมอยากให้ไปจดจ่อกับการบริหารตัวธุรกิจจริงๆ มากกว่า และอยากให้มูลค่าหุ้นเติบโตไปพร้อมกับราคาอย่างยั่งยืน แทนที่จะจงใจดันราคาราวกับว่ามันเป็นหุ้นปั่น
อย่าลืมนะครับว่า บริษัทที่ดีกับหุ้นที่ดีมันแตกต่างกัน
>>> ส่งท้าย <<<
มาถึงตรงนี้ผมได้ทำหน้าที่ของผมอย่างดีที่สุดแล้ว และคงบอกได้เพียงว่าหากคิดจะเกาะไปกับ "การเล่นแร่แปรธาตุทางการเงิน" เหล่านี้แล้ว โปรดใช้ความระมัดระวังให้มากด้วยครับ ด้วยความปรารถนาดี
จากคุณ : Antonio at MonkeyFreeTime
ที่มา : http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 59948.html
v
v
========================================================================
ออกตัวก่อนเลยว่า ผมกล่าวถึงพฤติกรรมของหุ้น 3 ตัว หากอ่านแล้วใครใคร่ซื้อซื้อ ใครใคร่ถือถือ ใช้วิจารณญาณกันเองนะครับ ผมเป็นแค่คนนำเสนอตามความคิดเห็นส่วนตัวและความรู้เท่าที่จะพอมีเท่านั้น และก็ไม่ได้ใช้ชื่อจริงของหุ้นด้วย
เครดิต http://www.monkeyfreetime.com/2012/02/blog-post_26.html
--------------------------------------------------
>>> การเล่นแร่แปรธาตุทางการเงิน <<<
นักลงทุนที่มีความรู้รอบตัวมากอาจจะเคยได้ยินหนังสือเล่มพระเอกของ จอร์จ โซรอส ที่ชื่อว่า The Alchemy of Finance หรือ "การเล่นแร่แปรธาตุทางการเงิน" ซึ่งเขาว่ากันว่ามันเป็นหนังสือดี แต่อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง และหนึ่งใน "เขา" ที่ว่านั้นก็คือ ดร.นิเวศน์ ปรมาจารย์วีไอของเมืองไทยเสียด้วย
เล่ามาเป็นคุ้งเป็นแคว แต่ผมเพียงจะบอกว่าผมไม่ได้เขียนเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้น (แป่ว...) เรื่องที่ผมจะเล่าใกล้ตัวกว่านั้นมาก เพราะมันเป็นเรื่องในตลาดหุ้นนี่เอง
นักลงทุนหลายท่านคงมีโอกาสได้เห็นพฤติกรรมแปลกๆ หลายอย่างในตลาดหุ้นไทยไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่การประกาศจ่ายเงินปันผลพิเศษแบบบ้าระห่ำของบริษัทโทรคมนาคมแห่งหนึ่ง การที่บริษัทเกษตรและอาหารรายใหญ่ของประเทศประกาศเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นของเจ้าสัวผู้ถือหุ้นใหญ่นั่นเอง รวมทั้งการประกาศจ่ายปันผลเป็นหุ้นของบริษัทค้าปลีกชั้นนำ รวมทั้งอีกหลายบริษัท จนเรียกว่ากลายเป็นเทรนด์ใหม่ของปีนี้ไปเสียแล้ว
ผมเองยอมรับว่างงกับพฤติกรรมเหล่านี้ และที่งงยิ่งกว่าก็คือเสียงตอบรับจากเหล่าผู้ถือหุ้นซึ่งสะท้อนออกมาเป็นราคาหุ้น เรามาว่ากันทีละกรณีเลยก็แล้วกัน ...เพื่อความเหมาะสม ผมขออนุญาตยกตัวอย่างบริษัทสมมติก็แล้วกันนะครับ
>>> บริษัทไวกิ้งเทเลคอม - การจ่ายเงินปันผลพิเศษ <<<
แม้นักวิเคราะห์คาดการณ์กันมาก่อนว่าบริษัทไวกิ้งเทเลคอมซึ่งมีเงินสดล้นเหลือจะประกาศจ่ายเงินปันผลพิเศษ แต่ครั้นบริษัทประกาศจ่ายขึ้นมาจริงๆ ถึง 16 บาท ก็ทำให้สาวน้อยสาวใหญ่พากันกรี๊ดกร๊าดแย่งกันซื้อหุ้นจนพุ่งขึ้นจาก 80 บาทไป 90 บาท ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมันก็ขึ้นล่วงหน้ามาก่อนนานแล้ว
ความจริงเงินปันผลที่บริษัทไวกิ้งเทเลคอมจ่ายไม่ได้มาจากเงินสดที่ตัวเองมีเท่านั้น แต่ส่วนหนึ่งมาจากการกู้ยืมจากธนาคาร แม้ว่าบริษัทจะระบุว่า "พ้มเอามาจากกำไรสะสม!" แต่ความเป็นจริงก็คือ เงินสดมันไม่ได้มีป้ายแปะไว้ว่ามันเอามาจากตรงไหน พอชักเอาเงินสดออกมาแล้วต้องไปกู้เพิ่มก็กระทบกับโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การที่บริษัทกู้ยืมเงินมากขึ้นแม้จะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง แต่ต้องแลกกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของบริษัท โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าในอนาคตอันใกล้บริษัทจะต้องเตรียมเงินไว้ประมูลคลื่นความถึ่ 3G ก็ยิ่งน่าสงสัยว่าการกระทำนี้จะส่งผลดีต่อ "บริษัท" หรือ "ผู้ถือหุ้น" กันแน่
หรือมันเป็นแค่การดึงเงินสดกลับบ้านแบบเนียนๆ ของใครบางคน?! และผู้ถือหุ้นที่เหลือก็ "สมรู้ร่วมคิด" อวยให้แบบเต็มใจเพราะเราได้ประโยชน์ร่วมกัน
ที่น่าตลกคือ มีหลายคนไล่ซื้อหุ้นในราคาแพง เพียงเพื่อจะได้เงินสดกลับมาในรูปของเงินปันผล ทั้งที่เจ้าเงินสดนี้มันอยู่ในกระเป๋าของเราตั้งแต่แรก แทนที่จะควัก 90 บาทซื้อตอนที่มันแพงแล้ว สู้เอาเงิน 80 บาทไปมองหาหุ้นตัวอื่นที่ยังถูกอยู่จะดีกว่า และก็เก็บ 10 บาทที่เหลือเอาไว้อุ่นใจ
>>> บริษัทเวิลด์ฟู้ดส์ - การซื้อกิจการของผู้ถือหุ้นใหญ่ <<<
บริษัทเวิลด์ฟู้ดส์อ้างว่าการเข้าซื้อกิจการจะทำให้บริษัทสามารถเข้าสู่ตลาดใหญ่ในจีนและเวียดนามได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นที่สงสัยว่าราคาที่เจ้าสัวขายยัดให้กับบริษัทนั้นแพงเกินไปหรือไม่ แล้วถ้าบริษัทมันดีจริง เขาจะขายทำไม ทำไมไม่เก็บไว้เอง
ความจริง 2-3 ปีก่อนหน้านี้บริษัทเวิลด์ฟู้ดส์เคยซื้อหุ้นคืนและมี treasury stock ค้างอยู่ในกระเป๋า บริษัทอาจจะเลือกจดทะเบียนลดทุนเพื่อทำให้จำนวนหุ้นของบริษัทลดลงและมีกำไรต่อหุ้นสูงขึ้นก็ได้ การทำเช่นนั้นจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นอย่างแท้จริง ...ทว่าบริษัทก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น
หลายคนสงสัยว่ากิจการที่เจ้าสัวเอามาขายให้กับบริษัทเวิลด์ฟู้ดส์เป็นกิจการที่มีความผันผวนของผลกำไรและมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด นอกจากนี้การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวแม้จะทำให้บริษัทสามารถบุกตลาดจีนและเวียดนามได้ แต่ก็ทำให้สัดส่วนผลิตภัณฑ์ margin สูงลดลง พวกเขาไม่แน่ใจว่าอนาคตของบริษัทจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ที่แน่ๆ บริษัทเวิลด์ฟู้ดส์ต้องกู้ยืมเพิ่มขึ้น ทำให้มีฐานะทางการเงินแย่ลง ผู้ถือหุ้นอดผลดีที่จะได้จากการลดทุน แต่เจ้าสัวได้เงินสดเข้ากระเป๋าเรียบร้อย และเผลอๆ จะได้ในราคาที่ดีเสียด้วย
>>> บริษัทซื้อสะดวก - การจ่ายปันผลเป็นหุ้น <<<
ในบรรดาหุ้นเติบโต ผมรับรองว่าจะต้องมีหุ้นของบริษัทซื้อสะดวกเป็นหนึ่งในใจของนักลงทุน ความจริงผมเองก็ชอบบริษัทนี้ตลอดมา จนกระทั่งได้ยินว่าเขาจะจ่ายปันผลเป็นหุ้น และไม่ใช่จ่ายธรรมดาเสียด้วย เพราะเขาจ่ายในอัตรา 1:1
นั่นหมายความว่าผู้ถือหุ้นเดิม 1 หุ้น จะได้หุ้นใหม่ 1 หุ้น ซึ่งทำให้จำนวนหุ้นในตลาดเพิ่มเป็นหนึ่งเท่าตัวในทันที การทำเช่นนั้นจะทำให้มีหุ้น 4,500 ล้านหุ้นโผล่เข้ามาในตลาดและเป็นเงินที่ต้องเสียภาษีคิดเป็นเงินถึง 450 ล้านบาท ผมมองยังไงก็ไม่เห็นว่าอยู่ๆ บริษัทจะมีเหตุผลอะไรที่จะจ่ายภาษีจำนวนนี้ (ความจริงผู้ถือหุ้นต้องเป็นคนจ่าย แต่ว่าบริษัทก็จ่ายปันผลเป็นเงินสดด้วย จึงเท่ากับว่าบริษัทจ่ายแทนให้) บริษัทอาจเลือกที่จะแตกพาร์ก็ได้ เพียงแต่ว่ามันไม่ให้อารมณ์ของการ "แจก" เหมือนกับได้หุ้นปันผล
การจ่ายปันผลเป็นหุ้นไม่ได้ทำให้มีเงินสดเข้าสู่บริษัท และไม่ได้ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน ถ้าไปถาม ดร.นิเวศน์ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าท่านจะส่ายหัวอย่างแน่นอน ที่จริงมีบางบริษัทเหมือนกันที่พยายามสงวนเงินสดเอาไว้และจ่ายปันผลออกมาเป็นหุ้นแทน ผู้ถือหุ้นบางคนอาจไม่รู้สึกอะไรเพราะเห็นว่าได้จำนวนหุ้นมากขึ้น แต่ที่จริงแล้วมันก็เป็นเพียงการเพิ่ม "ตัวหาร" และกดดันให้กำไรต่อหุ้นลดลงจากการ dilution และเป็นการเล่นแร่แปรธาตุทางการเงินล้วนๆ
จากมุมนี้ผมมองได้เพียงอย่างเดียวว่านี่คือการ "เล่นหุ้น" โดยตัวบริษัทเอง บริษัทซื้อสะดวกอาจจะคิดว่าตลาดจะตอบรับเงินปันผลสูงๆ + หุ้นปันผล ด้วยการผลักราคาหุ้นให้สูงขึ้น ครั้นพอเกิด dilution effect จนราคาลดลงมาราวครึ่งหนึ่ง จากนั้นพอคนเริ่มชินก็จะไล่ราคากันขึ้นมาเองตามความคุ้นชิน จนในที่สุดราคาหุ้นก็จะกลับมาแถวๆ ราคาเดิมได้ ซึ่งนั้นก็จะเท่ากับว่าทุกคน "รวยขึ้น" กันหมด
ฟังดูดีนะครับ ยกเว้นข้อเท็จจริงที่ว่าถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นจริงราคาหุ้นวิ่งเร็วกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปมาก และเมื่อพื้นฐานมันรองรับราคาหุ้นไม่ไหว เราก็คงทราบดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบผู้บริหารที่พยายามดูแลราคาหุ้นมากเกินไป ผมอยากให้ไปจดจ่อกับการบริหารตัวธุรกิจจริงๆ มากกว่า และอยากให้มูลค่าหุ้นเติบโตไปพร้อมกับราคาอย่างยั่งยืน แทนที่จะจงใจดันราคาราวกับว่ามันเป็นหุ้นปั่น
อย่าลืมนะครับว่า บริษัทที่ดีกับหุ้นที่ดีมันแตกต่างกัน
>>> ส่งท้าย <<<
มาถึงตรงนี้ผมได้ทำหน้าที่ของผมอย่างดีที่สุดแล้ว และคงบอกได้เพียงว่าหากคิดจะเกาะไปกับ "การเล่นแร่แปรธาตุทางการเงิน" เหล่านี้แล้ว โปรดใช้ความระมัดระวังให้มากด้วยครับ ด้วยความปรารถนาดี
จากคุณ : Antonio at MonkeyFreeTime
ที่มา : http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 59948.html
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 82
การตกแต่งบัญชี ที่ผู้บริหารชอบใช้
วิธีการที่ผู้บริหารสามารถใช้ในการตกแต่งบัญชี หรือตัวเลขกำไรสุทธิอาจแบ่งได้เป็น 6 วิธี
1. การใช้ประโยชน์จากการที่มีหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปหลายหลักการ สำหรับรายการบัญชีหนึ่งๆ ตัวอย่างเช่น การคิดค่าเสื่อมราคา ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งวิธีเส้นตรง วิธีผลรวมจำนวนปี วิธียอดคงเหลือลดลง ฯลฯ ซึ่งการเลือกใช้หลักการบัญชีที่แตกต่างกันก็จะให้ตัวเลขในงบการเงินที่ต่างกัน ทำให้กิจการสองกิจการที่ประกอบธุรกิจเหมือนกันแต่ใช้หลักการบัญชีที่แตกต่างกัน แสดงผลการดำเนินงานและฐานะการเงินแตกต่างกัน
2. เนื่องจากรายการบางรายการจะต้องใช้ดุลยพินิจของฝ่ายบริหารในการกำหนดว่าจะบันทึกรายการนั้นอย่างไร เมื่อไหร่ หรือจำนวนเท่าใด เช่น ค่าซ่อมแซมเครื่องจักร ผู้บริหารเป็นผู้ตัดสินใจว่าค่าซ่อมแซมเครื่องจักรที่จ่ายไปนั้นควรจะบันทึกเป็นสินทรัพย์ของกิจการ หรือ ควรจะถือเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับงวดที่จ่าย ซึ่งการตัดสินใจเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อกำไรสุทธิ
ผู้บริหารสามารถใช้ดุลพินิจในการกำหนดกำไรโดยการกำหนดอายุการใช้งานของสินทรัพย์ที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน การเปลี่ยนแปลงอัตราค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ เพื่อให้กำไรเป็นไปในลักษณะที่ต้องการ เช่น กำไรสม่ำเสมอ หรือกำไรมากในบางปี หรือ กำไรน้อยในบางปี ดังนั้นผู้วิเคราะห์ควรเปรียบเทียบการบัญชีที่กิจการนั้นใช้กับวิธีการที่กิจการอื่นใช้ และหลักการบัญชีที่ใช้ในแต่ละปี
3. ถ้าผู้บริหารเลือกใช้วิธีการบัญชีที่ทำให้กำไรสูงโดยการคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ต่ำ หรือกำหนดหนี้สงสัยจะสูญต่ำทำให้สินทรัพย์แสดงไว้สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ในภายหลังผู้บริหารอาจะปรับปรุงเพื่อให้สินทรัพย์แสดงมูลค่าที่แท้จริงซึ่งจะทำให้มีขาดทุน หรือกำไรน้อยในปีที่ทำการปรับปรุง แต่จะทำให้อัตราการเพิ่มของกำไรในปีต่อๆ มาสูง
4. ผู้บริหารอาจกำหนดกำไร โดยการเลื่อนเวลาการขายหรือการจ่ายค่าใช้จ่ายหรือแม้แต่การไม่จ่ายค่าใช้จ่ายที่ควรจะจ่ายในเวลาอันควร ถ้าผู้บริหารต้องการให้งบการเงินแสดงกำไรสุทธิสูง อาจทำการตกลงกับลูกค้าให้ทำการสั่งสินค้าให้เร็วขึ้นในตอบปลายปี เพื่อบันทึกรายได้แต่จะยืดเวลาการชำระเงินให้แก่ลูกค้า ส่วนในด้านค่าใช้จ่าย ถ้าต้องการให้กำไรในปัจจุบันสูงอาจจะเลื่อเวลาในการจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวออกไป หรือไม่ยอมจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านั้น และเมื่อมีการนำกำไรนี้ไปเปรียบเทียบกับกำไรของปีก่อน ก็จะทำให้ดูเหมือนว่ากิจการมีการเติบโตสูง เนื่องจากมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูง การเลื่อนเวลาการจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้ออกไป หรือการไม่ยอมจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะกระทบต่อการเติบโตของกิจการในอนาคตอย่างมาก กินการอาจสูญเสียรายได้ หรือมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเกิดขึ้น หรือมีศักยภาพไม่เพียงพอที่จะแข่งขันกับกิจการอื่นได้ เช่นเดียวกันการพัฒนาบุคลากรของกิจการก็เป็นหัวใจของการเติบโตของกิจการ กล่าวคือ ถึงแม้ว่ากิจการจะมีเครื่องจักร เครื่องมือที่ดี แต่บุคลากรไม่มีความรู้ความสามารถในการใช้เครื่องจักรนั้นก็ย่อมไม่เกิดประสิทธิภาพในการทำงานหรืออาจทำให้เกิดการผิดพลาดจากการใช้งานไม่ถูกวิธีได้
นักลงทุนอาจสังเกตการเลื่อนเวลาหรือไม่จ่ายเงินลงทุนเหล่านี้ได้โดยวิเคราะห์แนวโน้ม หรือจำนวนเงินเปรียบเทียบกับในอดีต หรือเปรียบเทียบกิจการอื่นที่อยู่ในธุรกิจประเภทเดียวกัน หรือเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมนั้นว่ามีจำนวนที่ควรจะเป็นเท่าใด การเลื่อนการจ่ายค่าใช้จ่ายนี้เป็นการเลื่อนชั่วคราว หรือเป็นการถาวร ผู้บริหารอาจจะเลื่อนเวลาการจ่ายเงินออกไปเนื่องจากขาดสภาพคล่อง บางครั้งผู้บริหารอาจต้องการกำไรต่ำเพื่อต้องการประหยัดภาษี หรืออาจะเกิดจากนโยบายการจ่ายเงินโบนัสให้แก่ผู้บริหาร
ที่มา : http://www.toro.in.th/page/3/
วิธีการที่ผู้บริหารสามารถใช้ในการตกแต่งบัญชี หรือตัวเลขกำไรสุทธิอาจแบ่งได้เป็น 6 วิธี
1. การใช้ประโยชน์จากการที่มีหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปหลายหลักการ สำหรับรายการบัญชีหนึ่งๆ ตัวอย่างเช่น การคิดค่าเสื่อมราคา ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งวิธีเส้นตรง วิธีผลรวมจำนวนปี วิธียอดคงเหลือลดลง ฯลฯ ซึ่งการเลือกใช้หลักการบัญชีที่แตกต่างกันก็จะให้ตัวเลขในงบการเงินที่ต่างกัน ทำให้กิจการสองกิจการที่ประกอบธุรกิจเหมือนกันแต่ใช้หลักการบัญชีที่แตกต่างกัน แสดงผลการดำเนินงานและฐานะการเงินแตกต่างกัน
2. เนื่องจากรายการบางรายการจะต้องใช้ดุลยพินิจของฝ่ายบริหารในการกำหนดว่าจะบันทึกรายการนั้นอย่างไร เมื่อไหร่ หรือจำนวนเท่าใด เช่น ค่าซ่อมแซมเครื่องจักร ผู้บริหารเป็นผู้ตัดสินใจว่าค่าซ่อมแซมเครื่องจักรที่จ่ายไปนั้นควรจะบันทึกเป็นสินทรัพย์ของกิจการ หรือ ควรจะถือเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับงวดที่จ่าย ซึ่งการตัดสินใจเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อกำไรสุทธิ
ผู้บริหารสามารถใช้ดุลพินิจในการกำหนดกำไรโดยการกำหนดอายุการใช้งานของสินทรัพย์ที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน การเปลี่ยนแปลงอัตราค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ เพื่อให้กำไรเป็นไปในลักษณะที่ต้องการ เช่น กำไรสม่ำเสมอ หรือกำไรมากในบางปี หรือ กำไรน้อยในบางปี ดังนั้นผู้วิเคราะห์ควรเปรียบเทียบการบัญชีที่กิจการนั้นใช้กับวิธีการที่กิจการอื่นใช้ และหลักการบัญชีที่ใช้ในแต่ละปี
3. ถ้าผู้บริหารเลือกใช้วิธีการบัญชีที่ทำให้กำไรสูงโดยการคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ต่ำ หรือกำหนดหนี้สงสัยจะสูญต่ำทำให้สินทรัพย์แสดงไว้สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง ในภายหลังผู้บริหารอาจะปรับปรุงเพื่อให้สินทรัพย์แสดงมูลค่าที่แท้จริงซึ่งจะทำให้มีขาดทุน หรือกำไรน้อยในปีที่ทำการปรับปรุง แต่จะทำให้อัตราการเพิ่มของกำไรในปีต่อๆ มาสูง
4. ผู้บริหารอาจกำหนดกำไร โดยการเลื่อนเวลาการขายหรือการจ่ายค่าใช้จ่ายหรือแม้แต่การไม่จ่ายค่าใช้จ่ายที่ควรจะจ่ายในเวลาอันควร ถ้าผู้บริหารต้องการให้งบการเงินแสดงกำไรสุทธิสูง อาจทำการตกลงกับลูกค้าให้ทำการสั่งสินค้าให้เร็วขึ้นในตอบปลายปี เพื่อบันทึกรายได้แต่จะยืดเวลาการชำระเงินให้แก่ลูกค้า ส่วนในด้านค่าใช้จ่าย ถ้าต้องการให้กำไรในปัจจุบันสูงอาจจะเลื่อเวลาในการจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวออกไป หรือไม่ยอมจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านั้น และเมื่อมีการนำกำไรนี้ไปเปรียบเทียบกับกำไรของปีก่อน ก็จะทำให้ดูเหมือนว่ากิจการมีการเติบโตสูง เนื่องจากมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูง การเลื่อนเวลาการจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้ออกไป หรือการไม่ยอมจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะกระทบต่อการเติบโตของกิจการในอนาคตอย่างมาก กินการอาจสูญเสียรายได้ หรือมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเกิดขึ้น หรือมีศักยภาพไม่เพียงพอที่จะแข่งขันกับกิจการอื่นได้ เช่นเดียวกันการพัฒนาบุคลากรของกิจการก็เป็นหัวใจของการเติบโตของกิจการ กล่าวคือ ถึงแม้ว่ากิจการจะมีเครื่องจักร เครื่องมือที่ดี แต่บุคลากรไม่มีความรู้ความสามารถในการใช้เครื่องจักรนั้นก็ย่อมไม่เกิดประสิทธิภาพในการทำงานหรืออาจทำให้เกิดการผิดพลาดจากการใช้งานไม่ถูกวิธีได้
นักลงทุนอาจสังเกตการเลื่อนเวลาหรือไม่จ่ายเงินลงทุนเหล่านี้ได้โดยวิเคราะห์แนวโน้ม หรือจำนวนเงินเปรียบเทียบกับในอดีต หรือเปรียบเทียบกิจการอื่นที่อยู่ในธุรกิจประเภทเดียวกัน หรือเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมนั้นว่ามีจำนวนที่ควรจะเป็นเท่าใด การเลื่อนการจ่ายค่าใช้จ่ายนี้เป็นการเลื่อนชั่วคราว หรือเป็นการถาวร ผู้บริหารอาจจะเลื่อนเวลาการจ่ายเงินออกไปเนื่องจากขาดสภาพคล่อง บางครั้งผู้บริหารอาจต้องการกำไรต่ำเพื่อต้องการประหยัดภาษี หรืออาจะเกิดจากนโยบายการจ่ายเงินโบนัสให้แก่ผู้บริหาร
ที่มา : http://www.toro.in.th/page/3/
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 83
รวยง่ายๆ ถ้าคุณรู้จักและเข้าใจ Mr.Market (นายตลาด)
เครดิต : ส่วนหนึ่งจากหนังสือ How Buffett Dies it
อะไรทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่ดี? วอรเรน บัฟเฟตต์ พูดไว้ว่า นักลงทุนที่ดี ก็คือ ใครก็ตามที่สามารถรวมเอาการเลือกธุรกิจที่ดีเข้ากับความสามารถที่จะวางเฉยต่อการแกว่งตัวอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นได้
บัฟเฟตต์ เป็นลูกศิษย์ของ เบนจามิน เกรแฮม ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เขาเป็นนักเรียนคนเดียวที่ได้เกรด A+ ตลอดระยะเวลา 22 ปี ที่เกรแฮมสอนมา เกรแฮมได้สอนให้เขารู้จักกับแนวความคิดที่สำคัญที่สุด ซึ่งบัฟเฟตต์ยังยึดมั่นอยู่ในปัจจุบัน เรื่องแรกก็คือ แนวความคิดในการเปรียบเทียบตลาดหุ้น กับ Mr.Market และเรื่องที่สอง คือ ต้องมี Margin of Safety ในราคาหุ้นที่จะซื้อเสมอ (หุ้นที่ดี แต่มีราคาแพงเกินไป มันก็ไม่ใช่หุ้นที่ควรซื้อ)
บัฟเฟตต์พูดในงานคล้ายวันเกิดครบรอบ 100 ปี ของเกรแฮม ว่า แนวความคิดนี้ใช้ได้ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และจะยังคงเป็นแนวความคิดที่สำคัญต่อไปในอีกศตวรรษข้างหน้า
ใคร คือ Mr.Market (นายตลาด)
บัฟเฟตต์ อธิบายให้ฟังว่า Mr.Market คือหุ้นส่วนทางธุรกิจของคุณ นายตลาดเป็นคนที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์ ซึ่งเขาจะปรากฎตัวขึ้นทุกๆวันโดยไม่เคยขาด และจะเสนอราคาขอซื้อหุ้นในส่วนของคุณ หรือ ขายหุ้นในส่วนของเขาให้กับคุณ
บัฟเฟตต์ เรียกนายตลาดว่า "คนวิกลจริต" หรืออาจเรียกได้ว่าคนที่มี "บุคลิกภาพ 2 ขั้ว" ปัญหาทางด้านจิตใจของนายตลาดนั้น ส่งผลถึงราคาหุ้นที่เขาเสนอขายด้วย ถ้าวันไหนที่เขารู้สึกอิ่มเอมใจ เขาจะมองเห็นแต่สิ่งดีๆ ในธุรกิจ และจะเสนอขายหุ้นในส่วนของเขาในราคาที่สูงมาก ที่จริงแล้ว ถ้าเขาอารมณ์ดีแบบนี้ เขาไม่ได้ต้องการจะขายหุ้นของเขาให้กับคุณหรอก เขาตั้งราคาขายแพงๆเพราะเขากลัวว่าคุณจะยอมรับราคาที่เขาเสนอและซื้อหุ้นของเขา และกลัวว่าคุณจะกวาดเอาผลประโยชน์ทั้งหมดซึ่งเขาคิดว่าควรจะเป็นของเขาไป
ส่วนอามรณ์อีกด้านหนึ่งของเขา คือเมื่อนายตลาดรู้สึกหดหู่ เขาจะมองทุกอย่างเป็นปัญหาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภายในหรือภายนอกธุรกิจ ถ้าเขามีอารมณ์แบบนี้ เขากลัวว่าคุณจะไม่ซื้อหุ้นของเขา และทำให้เขาต้องแบกรับภาระทั้งหมดที่เกิดขึ้นในภาวะขาลงไว้คนเดียว ในอารมณ์แบบนี้เขาจะเสนอขายหุ้นให้คุณในราคาที่ต่ำมาก และหวังว่าคุณจะเหมาเอาหุ้นของเขาไปทั้งหมด
บัฟเฟตต์ยังอธิบายอีกว่า นายตลาดเป็นนักตื้อตัวยงอีกด้วย เขาจะปรากฏตัวขึ้นทุกๆวัน ไม่ว่าเขาจะมีอารมณ์แบบไหน และเขาก็จะไม่ว่าอะไรคุณเลย ถ้าคุณจะไม่สนใจเขา เขาจะกลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้นพร้อมกับราคาใหม่ที่เขาจะเสนอ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ ต้องดูให้ออกว่าวันนี้นายตลาดอยู่ในอารมณ์แบบไหน แล้วตัดสินใจว่าคุณจะสนใจหรือไม่สนใจในสิ่งที่เขาเสนอ โดยนายจะตลาดจะไม่ต่อว่าคุณไม่ว่าคุณจะตัดสินใจอย่างไร
แต่บัฟเฟตต์ บอกว่ากุญแจสำคัญอยู่ที่คำพูดของเกรแฮมที่ว่า "อย่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลขอลนายตลาด" ซึ่งอิทธิพลนั้นทรงพลังมาก ความหดหู่ของเขาสามารถปกคลุมไปได้ทั่ว และความอิ่มเอมใจของเขาก็ทำให้ตลาดหลงระเริงได้เช่นกัน บัฟเฟตต์พูดว่า "อ่านอารมณ์เขาให้ออก และจงพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แต่อย่าตกลงไปอยู่ในหลุมพรางของอารมณ์นั้นซะเอง"
คำเปรียบเทียบของเกรแฮม ในเรื่องของ นายตลาด นั้น นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าควรจะใช้มันเป็นพื้นฐานของการทำความเข้าใจกับกลไกการกำหนดราคาของตลาดหุ้น มันสามารถช่วยให้คุณเข้าใจความบ้าคลั่งของตลาดหุ้นได้ และยังจะช่วยส่งสัญญาณและขีดเส้นใต้คำว่าโอกาสเมื่อมันมาถึง ในฐานะนักลงทุนคุณควรพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากนายตลาดเมื่อเขารู้สึกหดหู่และเสนอขายราคาที่ต่ำมาก เพราะนั่นหมายความว่าธุรกิจที่ดีกำลังถูกกดทับด้วยก้อนหินก้อนโต และนี่คือโอกาสที่เหมาะสมสำหรับนักฉวยโอกาสตัวยงที่จะฉกฉวยเอาไว้เมื่อตลาดหุ้นล้มป่วย และตัดสินใจเดิมพันลงทุนหมดหน้าตักเพราะคุณเชื่อว่ามูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจนั้นสูงกว่าที่นายตลาดเสนอ
หลังจากที่คุณทำความเข้าใจกับแนวความคิดเรื่องนายตลาดแล้ว คุณยังต้องรวมเอาแนวความคิดที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งเข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือ เรื่องของ Margin of Safety ซึ่งหมายถึง คุณจะต้องซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าของธุรกิจนั้นมากๆ คุณคงไม่ต้องการให้ราคาที่คุณจะซื้อกับมูลค่าที่แท้จริงใกล้เคียงกัน คุณคงต้องการช่องว่างมากๆ สำหรับมูลค่าที่แท้จริงกับราคาที่คุณสนใจ ซึ่ง บัฟเฟตต์เรียกว่า "ช่องว่างขนาดใหญ่" กล่าวคือ คุณต้องซื้อแบงค์ 1 ดอลลาร์ ในราคา 40 เซ็นต์ หรืออีกนัยหนึ่ง บัฟเฟตต์บอกว่าเหมือนกับการขับรถบรรทุก 10,000 ปอนด์ ข้ามสะพานที่รับน้ำหนักได้ 30,000 ปอนด์ น้ำหนักที่เหลือก็คือเผื่อไว้สำหรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้่น คุณคงไม่อยากบรรทุกน้ำหนักใกล้เคียงกับน้ำหนักที่สะพานรับไว้หรอกจริงไหม
คุณควรใช้ ความไร้เหตุผลของนายตลาดให้เป็นประโยชน์กับคุณ เมื่อเขาเกิดอารมณ์หดหู่อย่างรุนแรง เขาจะทำให้ตลาดหุ้นดิ่งเหว ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสที่สามารถสร้าง Margin of Safety ให้กับคุณได้ และในท้ายที่สุดตลาดหุ้นจะประเมินมูลค่าหุ้นของคุณใหม่และจะปรับเพิ่มขึ้นไม่ช้าก็เร็ว เพราะ "ของมีค่าย่อมมีราคาเสมอ"
อย่าปล่อยให้นายตลาดดูดคุณเข้าไปภายใต้อารมณ์ของเขา อย่าปล่อยให้เขาเป็นคนกำหนดมูลค่าของธุรกิจแทนคุณ จงหนักแน่นไว้ นายตลาดคือทาสของคุณไม่ใช่ผู้นำทาง ถ้าคุณสามารถพัฒนาระดับของความมีวินัยและรอจนโอกาสที่เหมาะสมมาถึง คุณจะได้รับรางวัลก้อนโตจากความอดทน!!!!
บางคนบ่นเกี่ยวกับความแปรปรวนของนายตลาด แต่ไม่ใช่กับบัฟเฟตต์ เพราะเขามองว่าความแปรปรวนของนายตลาดนั้นเป็นเพียงการแกว่งตัวทางอามรณ์ที่น่าทึ่งต่างหาก เพราะว่ามันสามารถสร้างโอกาสให้นักลงทุนที่เข้าใจมัน ให้เราสามารถรอจนกว่าคนอื่นๆจะทำอะไรโง่ๆ แล้วเราค่อยทำอะไรที่ฉลาดๆ และรอรับรางวัลที่เราควรจะได้ ก็แค่นั้นเอง ที่แหละ คือการลงทุนอย่างแท้จริง !!!!!
เครดิต : ส่วนหนึ่งจากหนังสือ How Buffett Dies it
ที่มา : http://2binvestor.blogspot.com/2012/04/mrmarket.html
เครดิต : ส่วนหนึ่งจากหนังสือ How Buffett Dies it
อะไรทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่ดี? วอรเรน บัฟเฟตต์ พูดไว้ว่า นักลงทุนที่ดี ก็คือ ใครก็ตามที่สามารถรวมเอาการเลือกธุรกิจที่ดีเข้ากับความสามารถที่จะวางเฉยต่อการแกว่งตัวอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นได้
บัฟเฟตต์ เป็นลูกศิษย์ของ เบนจามิน เกรแฮม ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เขาเป็นนักเรียนคนเดียวที่ได้เกรด A+ ตลอดระยะเวลา 22 ปี ที่เกรแฮมสอนมา เกรแฮมได้สอนให้เขารู้จักกับแนวความคิดที่สำคัญที่สุด ซึ่งบัฟเฟตต์ยังยึดมั่นอยู่ในปัจจุบัน เรื่องแรกก็คือ แนวความคิดในการเปรียบเทียบตลาดหุ้น กับ Mr.Market และเรื่องที่สอง คือ ต้องมี Margin of Safety ในราคาหุ้นที่จะซื้อเสมอ (หุ้นที่ดี แต่มีราคาแพงเกินไป มันก็ไม่ใช่หุ้นที่ควรซื้อ)
บัฟเฟตต์พูดในงานคล้ายวันเกิดครบรอบ 100 ปี ของเกรแฮม ว่า แนวความคิดนี้ใช้ได้ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และจะยังคงเป็นแนวความคิดที่สำคัญต่อไปในอีกศตวรรษข้างหน้า
ใคร คือ Mr.Market (นายตลาด)
บัฟเฟตต์ อธิบายให้ฟังว่า Mr.Market คือหุ้นส่วนทางธุรกิจของคุณ นายตลาดเป็นคนที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์ ซึ่งเขาจะปรากฎตัวขึ้นทุกๆวันโดยไม่เคยขาด และจะเสนอราคาขอซื้อหุ้นในส่วนของคุณ หรือ ขายหุ้นในส่วนของเขาให้กับคุณ
บัฟเฟตต์ เรียกนายตลาดว่า "คนวิกลจริต" หรืออาจเรียกได้ว่าคนที่มี "บุคลิกภาพ 2 ขั้ว" ปัญหาทางด้านจิตใจของนายตลาดนั้น ส่งผลถึงราคาหุ้นที่เขาเสนอขายด้วย ถ้าวันไหนที่เขารู้สึกอิ่มเอมใจ เขาจะมองเห็นแต่สิ่งดีๆ ในธุรกิจ และจะเสนอขายหุ้นในส่วนของเขาในราคาที่สูงมาก ที่จริงแล้ว ถ้าเขาอารมณ์ดีแบบนี้ เขาไม่ได้ต้องการจะขายหุ้นของเขาให้กับคุณหรอก เขาตั้งราคาขายแพงๆเพราะเขากลัวว่าคุณจะยอมรับราคาที่เขาเสนอและซื้อหุ้นของเขา และกลัวว่าคุณจะกวาดเอาผลประโยชน์ทั้งหมดซึ่งเขาคิดว่าควรจะเป็นของเขาไป
ส่วนอามรณ์อีกด้านหนึ่งของเขา คือเมื่อนายตลาดรู้สึกหดหู่ เขาจะมองทุกอย่างเป็นปัญหาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภายในหรือภายนอกธุรกิจ ถ้าเขามีอารมณ์แบบนี้ เขากลัวว่าคุณจะไม่ซื้อหุ้นของเขา และทำให้เขาต้องแบกรับภาระทั้งหมดที่เกิดขึ้นในภาวะขาลงไว้คนเดียว ในอารมณ์แบบนี้เขาจะเสนอขายหุ้นให้คุณในราคาที่ต่ำมาก และหวังว่าคุณจะเหมาเอาหุ้นของเขาไปทั้งหมด
บัฟเฟตต์ยังอธิบายอีกว่า นายตลาดเป็นนักตื้อตัวยงอีกด้วย เขาจะปรากฏตัวขึ้นทุกๆวัน ไม่ว่าเขาจะมีอารมณ์แบบไหน และเขาก็จะไม่ว่าอะไรคุณเลย ถ้าคุณจะไม่สนใจเขา เขาจะกลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้นพร้อมกับราคาใหม่ที่เขาจะเสนอ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ ต้องดูให้ออกว่าวันนี้นายตลาดอยู่ในอารมณ์แบบไหน แล้วตัดสินใจว่าคุณจะสนใจหรือไม่สนใจในสิ่งที่เขาเสนอ โดยนายจะตลาดจะไม่ต่อว่าคุณไม่ว่าคุณจะตัดสินใจอย่างไร
แต่บัฟเฟตต์ บอกว่ากุญแจสำคัญอยู่ที่คำพูดของเกรแฮมที่ว่า "อย่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลขอลนายตลาด" ซึ่งอิทธิพลนั้นทรงพลังมาก ความหดหู่ของเขาสามารถปกคลุมไปได้ทั่ว และความอิ่มเอมใจของเขาก็ทำให้ตลาดหลงระเริงได้เช่นกัน บัฟเฟตต์พูดว่า "อ่านอารมณ์เขาให้ออก และจงพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แต่อย่าตกลงไปอยู่ในหลุมพรางของอารมณ์นั้นซะเอง"
คำเปรียบเทียบของเกรแฮม ในเรื่องของ นายตลาด นั้น นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าควรจะใช้มันเป็นพื้นฐานของการทำความเข้าใจกับกลไกการกำหนดราคาของตลาดหุ้น มันสามารถช่วยให้คุณเข้าใจความบ้าคลั่งของตลาดหุ้นได้ และยังจะช่วยส่งสัญญาณและขีดเส้นใต้คำว่าโอกาสเมื่อมันมาถึง ในฐานะนักลงทุนคุณควรพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากนายตลาดเมื่อเขารู้สึกหดหู่และเสนอขายราคาที่ต่ำมาก เพราะนั่นหมายความว่าธุรกิจที่ดีกำลังถูกกดทับด้วยก้อนหินก้อนโต และนี่คือโอกาสที่เหมาะสมสำหรับนักฉวยโอกาสตัวยงที่จะฉกฉวยเอาไว้เมื่อตลาดหุ้นล้มป่วย และตัดสินใจเดิมพันลงทุนหมดหน้าตักเพราะคุณเชื่อว่ามูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจนั้นสูงกว่าที่นายตลาดเสนอ
หลังจากที่คุณทำความเข้าใจกับแนวความคิดเรื่องนายตลาดแล้ว คุณยังต้องรวมเอาแนวความคิดที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งเข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือ เรื่องของ Margin of Safety ซึ่งหมายถึง คุณจะต้องซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าของธุรกิจนั้นมากๆ คุณคงไม่ต้องการให้ราคาที่คุณจะซื้อกับมูลค่าที่แท้จริงใกล้เคียงกัน คุณคงต้องการช่องว่างมากๆ สำหรับมูลค่าที่แท้จริงกับราคาที่คุณสนใจ ซึ่ง บัฟเฟตต์เรียกว่า "ช่องว่างขนาดใหญ่" กล่าวคือ คุณต้องซื้อแบงค์ 1 ดอลลาร์ ในราคา 40 เซ็นต์ หรืออีกนัยหนึ่ง บัฟเฟตต์บอกว่าเหมือนกับการขับรถบรรทุก 10,000 ปอนด์ ข้ามสะพานที่รับน้ำหนักได้ 30,000 ปอนด์ น้ำหนักที่เหลือก็คือเผื่อไว้สำหรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้่น คุณคงไม่อยากบรรทุกน้ำหนักใกล้เคียงกับน้ำหนักที่สะพานรับไว้หรอกจริงไหม
คุณควรใช้ ความไร้เหตุผลของนายตลาดให้เป็นประโยชน์กับคุณ เมื่อเขาเกิดอารมณ์หดหู่อย่างรุนแรง เขาจะทำให้ตลาดหุ้นดิ่งเหว ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสที่สามารถสร้าง Margin of Safety ให้กับคุณได้ และในท้ายที่สุดตลาดหุ้นจะประเมินมูลค่าหุ้นของคุณใหม่และจะปรับเพิ่มขึ้นไม่ช้าก็เร็ว เพราะ "ของมีค่าย่อมมีราคาเสมอ"
อย่าปล่อยให้นายตลาดดูดคุณเข้าไปภายใต้อารมณ์ของเขา อย่าปล่อยให้เขาเป็นคนกำหนดมูลค่าของธุรกิจแทนคุณ จงหนักแน่นไว้ นายตลาดคือทาสของคุณไม่ใช่ผู้นำทาง ถ้าคุณสามารถพัฒนาระดับของความมีวินัยและรอจนโอกาสที่เหมาะสมมาถึง คุณจะได้รับรางวัลก้อนโตจากความอดทน!!!!
บางคนบ่นเกี่ยวกับความแปรปรวนของนายตลาด แต่ไม่ใช่กับบัฟเฟตต์ เพราะเขามองว่าความแปรปรวนของนายตลาดนั้นเป็นเพียงการแกว่งตัวทางอามรณ์ที่น่าทึ่งต่างหาก เพราะว่ามันสามารถสร้างโอกาสให้นักลงทุนที่เข้าใจมัน ให้เราสามารถรอจนกว่าคนอื่นๆจะทำอะไรโง่ๆ แล้วเราค่อยทำอะไรที่ฉลาดๆ และรอรับรางวัลที่เราควรจะได้ ก็แค่นั้นเอง ที่แหละ คือการลงทุนอย่างแท้จริง !!!!!
เครดิต : ส่วนหนึ่งจากหนังสือ How Buffett Dies it
ที่มา : http://2binvestor.blogspot.com/2012/04/mrmarket.html
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 84
5พฤติกรรมรู้ทัน'เจ้ามือ'เล่นหุ้นไม่ตกเป็นเหยื่อ!
เอกยุทธ อัญชันบุตร
กระชากหน้ากาก “เจ้ามือ” ในตลาดหุ้น มี 5 พฤติกรรมปั่น หลอกแมงเม่าเข้าปิ้ง เผยวิธีดู Bid-Offer ที่จะได้รู้ทัน “เจ้ามือ” เอกยุทธเตือนรายย่อยเล่นหุ้น อย่าโลภ-อย่าเป็นเสือหวน
นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า อยากแนะนำวิธีในการพิจารณาดู Bid-Offer (ฝั่งซ้าย-ฝั่งขวา) ให้กับนักลงทุนรายย่อยว่า จะมองอย่างไรถึงจะรู้ว่า ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้น-วิ่งลง ซึ่งข้อมูลทั้งหมด ขอยืนยันว่า ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว แต่เป็นเพียงมุมมองหนึ่งที่ศึกษาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่คลุกคลีอยู่ในแวดวง ตลาดหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เห็นภาพอะไรบางอย่างชัดเจนว่า ตลาดหุ้นแต่ละประเทศจะมีรูปแบบการเล่นที่ไม่เหมือนกัน
“โดยเฉพาะกับตลาดหุ้นในเมืองไทย ที่ต้องยอมรับกันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การกำหนดเกมของ “เจ้ามือ” เป็นหลัก จึงจะขอวิเคราะห์จากตลาดเมืองไทยเป็นหลัก และนี่ก็ไม่ใช่ตำราที่จะนำไปใช้อ้างอิงใดๆ เป็นเพียงมุมมองของคนที่อยู่ในแวดวงตลาดหุ้น ที่ไม่อยากให้นักลงทุนรายย่อยทั้งหลายต้องตกเป็น “เหยื่อ” อันโอชะให้ “เจ้ามือ” ทั้งหลายกอบโกย...เฉพาะอย่างยิ่งกับ “เจ้ามือ” ที่อาศัยฐานอำนาจรัฐมาเป็นเกราะป้องกันให้ตัวเอง สร้างความร่ำรวยบนความทุกข์ระทมของคนอื่น”นายเอกยุทธกล่าว
สำหรับ 5 หลักการคร่าวๆ ที่ขอแนะนำให้นักลงทุนรายย่อยได้พึงสังเกตพฤติกรรมและวิธีการเล่นของ “เจ้ามือ” ว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากหุ้นแต่ละตัวนั้น จะมีปัจจัยพื้นฐานและความน่าสนใจที่แตกต่างกัน จึงต้องมีรูปแบบการเล่นที่ไม่เหมือนกัน ดังนี้...คือ
1.พฤติกรรมย่ำราคา โดยสังเกตได้จาก Bid ด้านซ้าย จะหนามากๆ และมีปริมาณการซื้อ-ขายที่มาก ในระดับราคาที่ยืนอยู่นิ่งๆ นานๆ โดยแนะนำให้สังเกตดูเป็นรายชั่วโมง เพราะจะสามารถแยกรูปแบบการเล่นนี้ ออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ
1.1 ย่ำราคาเพื่อเรียกร้องความสนใจ...จะ เป็นการสร้าง Volume แบบหนามากๆ ตลอดเวลา โดยราคาไม่ได้พุ่งขึ้นตามไป ถือว่าเป็นการ “โชว์” ให้นักลงทุนได้เห็นว่า หุ้นตัวนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะ “เล่น” กันในระยะเวลาอันใกล้นี้ เปรียบได้กับเป็นอีกรูปแบบที่ “เจ้ามือ” ทยอยเก็บของ เพราะหาก “เจ้ามือ” ซัดช่องขวาเข้าไปเมื่อไหร่ ราคาจะวิ่งขึ้นทันที
1.2 ย่ำราคาเพื่อทุบลง...เป็นการสร้าง Volume แบบหนาๆ เพื่อหลอกล่อให้นักลงทุนเข้ามาเล่น จากนั้นหากได้จังหวะ ก็จะยก Bid ทิ้งออกไป เพื่อตบราคาให้ร่วงลงมา หากนักลงทุนรายใด “ตกใจ” และ “เทขาย” ของออกมา ก็จะทำให้ “เจ้ามือ” เก็บของในราคาที่ถูกลงได้อีก
“พฤติกรรมย่ำราคานี้ ให้สังเกตดีๆ ว่า จะมี Volume หนาแน่นมาก 2-3 ช่องในด้านซ้าย (Bid) ซึ่งไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก”
2.พฤติกรรมสร้าง Volume มากๆ แบบผิดสังเกต โดยที่ราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก อาจขึ้น-ลง แค่ 1-2 ช่อง...วิธีนี้ให้นักลงทุนรีบย้อนหลังกลับไปดู Volume การซื้อ-ขายอย่างต่ำ 1-2 เดือน เพราะหากดูประวัติย้อนหลังแล้วพบว่า Volume การซื้อ-ขายน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลยนั้น แต่อยู่ๆ กลับมีขึ้นมาอย่างผิดสังเกต ถือว่า “เจ้ามือ” กำลังสร้าง Volume เพื่อเตรียมทำราคา วิธีการนี้หากนักลงทุนรายใด มีหุ้นตัวนั้นๆ อยู่ในมือก็ให้ท่องจำอยู่ในใจว่า “อย่าขาย” เด็ดขาด เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะทำราคากันขึ้นไปเล่นในเร็ววัน
“พฤติกรรมสร้าง Volume หนักๆ เช่นนี้ โดยราคายังนิ่งๆ ทั้งที่แต่เดิม Volume ของหุ้นนั้นแทบจะมีน้อยมาก หรือไม่มีเลย ทำให้นักลงทุนบางคนอาจตื่นตระหนก แล้วรีบเทขายออกมา เพราะเห็นว่า หุ้นที่ตัวเองถืออยู่นี้ ราคาไม่ได้วิ่งมานาน จึงกลัวจะต้องถือยาวกว่านี้ เมื่อเทขายหุ้นออกมา ก็เข้าทาง “เจ้ามือ” ที่วางกลอุบายเอาไว้แล้ว และสามารถเก็บของได้เพิ่มขึ้นอีก”
3.พฤติกรรมลากไปติดดอย มีวิธีสังเกตคือ ฝั่ง Offer จะหนามาก ในขณะที่ Bid จะเบาบาง และมีราคาวิ่งขึ้นตลอด ถือว่าเป็นยุทธวิธีที่ “เจ้ามือ” วางกับดักล่อ โดยจะกินช่องขวา (Offer) ตลอด เมื่อมีคนแห่เข้ามาเล่นตามในช่องขวาเป็นจำนวนมาก ถึงจุดหนึ่งที่ “เจ้ามือ” จะออกของก็จะไล่ราคาร่วงลงมาได้ในทุกระดับ เพราะเจ้ามือสามารถออกของได้ทุกระดับราคาอยู่แล้ว โยนออกมาไม้ไหนก็มีแต่กำไร
“พฤติกรรมนี้ ให้นักลงทุนสังเกตให้ดีๆ ว่า หากมีการไล่ราคาในช่องขวา (Offer) ขึ้นไปกันหลายช่องและวิ่งขึ้นตลอด อย่าเข้าไปซื้อเด็ดขาด เพราะถ้าเข้าไปก็มีสิทธิติดยอดดอยกันได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ รอให้มีการทุบราคาลงมาจนเห็นสีแดงนานๆ ก็อาจเข้าไปซื้อได้ แต่ต้องดูประวัติย้อนหลังของหุ้นตัวนั้นๆ ด้วยว่า น่าเล่นหรือไม่”
4.พฤติกรรมเจ้ามือใหญ่เล่นหุ้นปั่นตลอด ให้สังเกตว่า Volume ทั้งด้านซ้าย (Bid) และด้านขวา (Offer) จะหนามากๆ และตลอดเวลา อีกทั้งราคาจะมีการวิ่งขึ้น-ลง วันละ 10-20 ช่องตลอด ซึ่งรูปแบบการเล่นเช่นนี้ ขึ้นกับนักลงทุนเองว่า จะมีความเร็วในการ “เข้า-ออก” หรือไม่ เพราะราคาจะสวิงขึ้น-ลงตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษคือ หากราคาไปหยุดนิ่งอยู่ที่ระดับไหนนานๆ ให้ตระหนักไว้เลยว่า มีสิทธิที่จะลากขึ้นไปไกล หรือทุบลงมาอย่างแรงได้ทั้งสองทาง จึงขึ้นกับความไวของตัวนักลงทุนเอง
“วิธีนี้ขึ้นกับตัวเจ้ามือแล้วว่า จะทำให้นักลงทุนติดยอดดอยกันในระดับราคาไหน เพราะเขาสามารถออกของได้ทุกระดับราคา จากนั้นเมื่อทุบร่วงลงมาก็จะเข้าไปช้อนซื้อเก็บไว้ จากนั้นก็จะนำกลับมาเล่นกันใหม่ หุ้นลักษณะนี้จะพบว่า มีการเล่นกันตลอดทั้งสัปดาห์ อาจมีหยุดบ้างก็ 1-2 วัน แต่ Volume ก็ยังมีให้เห็นอยู่”
5.พฤติกรรมเจ้ามือใหญ่เล่นหุ้นปั่นเป็นรอบ วิธีนี้จะเล่นกันสัปดาห์ละครั้ง หรือสองครั้ง จึงขอให้นักลงทุนต้องย้อนกลับไปดูประวัติย้อนหลังของหุ้นที่อยู่ในระดับต่ำ สุดที่นิ่งนานๆ บวกกับการดูราคาที่วิ่งขึ้นไปสูงสุดว่าอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วนำมาหารครึ่ง เพื่อดูราคาว่า ระดับไหนถึงจะซื้อได้ ตัวอย่างเช่น หากหุ้นตัวนั้น เคยอยู่ที่ระดับต่ำนิ่งๆ ประมาณ 4 บาท แต่มีการทำราคาไล่ขึ้นไปแตะสูงสุดที่ 12 บาท ดังนั้น ราคาที่เหมาะสมที่น่าจะซื้อได้จึงอยู่ที่ระดับ 8 บาทต่อหุ้น (12-4 = 8)
“พฤติกรรมการเล่นเป็นรอบนี้ นักลงทุนต้องพึงระวังว่า เจ้ามืออาจจะกลับมาเล่น หรือไม่เล่นเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับความน่าสนใจของหุ้นตัวๆ นั้นว่า เป็นที่สนใจของนักลงทุนหรือไม่”
นายเอกยุทธ กล่าวต่อว่า วิธีการทั้งหมดนี้...อยากบอกว่า เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องใช้เวลาในการศึกษาและติดตามอย่างใกล้ชิด ตนไม่สามารถยกตัวอย่างหุ้นเป็นรายตัวออกมาให้เห็นได้ เพราะเกรงจะมีข้อกฎหมายตามมาภายหลัง แต่เชื่อว่า หากนักลงทุนที่เล่นหุ้นกันอยู่ในตลาดหุ้นไทย คงรับทราบดีว่า หุ้นตัวไหน เป็นหุ้นที่เข้าข่ายใด ใน 5 พฤติกรรมข้างต้น เพื่อที่จะได้รู้ว่า ตัวเราเองจะเล่นแบบไหน และจะสังเกตวิธีการที่เจ้ามือเล่นกันได้อย่างไร แต่ที่สำคัญคือ นักลงทุนต้องพึงระลึกว่า “อย่าโลภ” ถ้าอยากเล่นหุ้นปั่น หากได้กำไรแค่ไหน จงนึกเสมอว่า...อย่าเป็น “เสือหวน” เด็ดขาด
“เชื่อว่า หากนักลงทุนเข้าใจในหลักการนี้แล้ว ต่อไป...บรรดา “เจ้ามือ” ทั้งหลายก็คงต้องมีวิวัฒนาการใหม่ๆ ออกมา เพื่อไม่ให้ “รายย่อย” ได้ตามทัน มิเช่นนั้น... “เจ้ามือ” เองก็คงไม่สามารถ “ล่อ” แมงเม่าให้เข้ามาในกองไฟได้อีก โดยเฉพาะกับ “เจ้ามือหน้าเหลี่ยม” และลูกน้องทั้งหลาย!!!”นายเอกยุทธกล่าวทิ้งท้าย
*******************************
5พฤติกรรมรู้ทัน'เจ้ามือ'เล่นหุ้นไม่ตกเป็นเหยื่อ!
คอลัมน์...เอกยุทธอินไซเดอร์
โดย...เอกยุทธ อัญชันบุตร
ที่มา : ข่าวจากทีมงาน ThaiInsider.Com
ขอบคุณแหล่งข้อมูลครับ
เอกยุทธ อัญชันบุตร
กระชากหน้ากาก “เจ้ามือ” ในตลาดหุ้น มี 5 พฤติกรรมปั่น หลอกแมงเม่าเข้าปิ้ง เผยวิธีดู Bid-Offer ที่จะได้รู้ทัน “เจ้ามือ” เอกยุทธเตือนรายย่อยเล่นหุ้น อย่าโลภ-อย่าเป็นเสือหวน
นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า อยากแนะนำวิธีในการพิจารณาดู Bid-Offer (ฝั่งซ้าย-ฝั่งขวา) ให้กับนักลงทุนรายย่อยว่า จะมองอย่างไรถึงจะรู้ว่า ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้น-วิ่งลง ซึ่งข้อมูลทั้งหมด ขอยืนยันว่า ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว แต่เป็นเพียงมุมมองหนึ่งที่ศึกษาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่คลุกคลีอยู่ในแวดวง ตลาดหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เห็นภาพอะไรบางอย่างชัดเจนว่า ตลาดหุ้นแต่ละประเทศจะมีรูปแบบการเล่นที่ไม่เหมือนกัน
“โดยเฉพาะกับตลาดหุ้นในเมืองไทย ที่ต้องยอมรับกันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การกำหนดเกมของ “เจ้ามือ” เป็นหลัก จึงจะขอวิเคราะห์จากตลาดเมืองไทยเป็นหลัก และนี่ก็ไม่ใช่ตำราที่จะนำไปใช้อ้างอิงใดๆ เป็นเพียงมุมมองของคนที่อยู่ในแวดวงตลาดหุ้น ที่ไม่อยากให้นักลงทุนรายย่อยทั้งหลายต้องตกเป็น “เหยื่อ” อันโอชะให้ “เจ้ามือ” ทั้งหลายกอบโกย...เฉพาะอย่างยิ่งกับ “เจ้ามือ” ที่อาศัยฐานอำนาจรัฐมาเป็นเกราะป้องกันให้ตัวเอง สร้างความร่ำรวยบนความทุกข์ระทมของคนอื่น”นายเอกยุทธกล่าว
สำหรับ 5 หลักการคร่าวๆ ที่ขอแนะนำให้นักลงทุนรายย่อยได้พึงสังเกตพฤติกรรมและวิธีการเล่นของ “เจ้ามือ” ว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากหุ้นแต่ละตัวนั้น จะมีปัจจัยพื้นฐานและความน่าสนใจที่แตกต่างกัน จึงต้องมีรูปแบบการเล่นที่ไม่เหมือนกัน ดังนี้...คือ
1.พฤติกรรมย่ำราคา โดยสังเกตได้จาก Bid ด้านซ้าย จะหนามากๆ และมีปริมาณการซื้อ-ขายที่มาก ในระดับราคาที่ยืนอยู่นิ่งๆ นานๆ โดยแนะนำให้สังเกตดูเป็นรายชั่วโมง เพราะจะสามารถแยกรูปแบบการเล่นนี้ ออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ
1.1 ย่ำราคาเพื่อเรียกร้องความสนใจ...จะ เป็นการสร้าง Volume แบบหนามากๆ ตลอดเวลา โดยราคาไม่ได้พุ่งขึ้นตามไป ถือว่าเป็นการ “โชว์” ให้นักลงทุนได้เห็นว่า หุ้นตัวนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะ “เล่น” กันในระยะเวลาอันใกล้นี้ เปรียบได้กับเป็นอีกรูปแบบที่ “เจ้ามือ” ทยอยเก็บของ เพราะหาก “เจ้ามือ” ซัดช่องขวาเข้าไปเมื่อไหร่ ราคาจะวิ่งขึ้นทันที
1.2 ย่ำราคาเพื่อทุบลง...เป็นการสร้าง Volume แบบหนาๆ เพื่อหลอกล่อให้นักลงทุนเข้ามาเล่น จากนั้นหากได้จังหวะ ก็จะยก Bid ทิ้งออกไป เพื่อตบราคาให้ร่วงลงมา หากนักลงทุนรายใด “ตกใจ” และ “เทขาย” ของออกมา ก็จะทำให้ “เจ้ามือ” เก็บของในราคาที่ถูกลงได้อีก
“พฤติกรรมย่ำราคานี้ ให้สังเกตดีๆ ว่า จะมี Volume หนาแน่นมาก 2-3 ช่องในด้านซ้าย (Bid) ซึ่งไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก”
2.พฤติกรรมสร้าง Volume มากๆ แบบผิดสังเกต โดยที่ราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก อาจขึ้น-ลง แค่ 1-2 ช่อง...วิธีนี้ให้นักลงทุนรีบย้อนหลังกลับไปดู Volume การซื้อ-ขายอย่างต่ำ 1-2 เดือน เพราะหากดูประวัติย้อนหลังแล้วพบว่า Volume การซื้อ-ขายน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลยนั้น แต่อยู่ๆ กลับมีขึ้นมาอย่างผิดสังเกต ถือว่า “เจ้ามือ” กำลังสร้าง Volume เพื่อเตรียมทำราคา วิธีการนี้หากนักลงทุนรายใด มีหุ้นตัวนั้นๆ อยู่ในมือก็ให้ท่องจำอยู่ในใจว่า “อย่าขาย” เด็ดขาด เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะทำราคากันขึ้นไปเล่นในเร็ววัน
“พฤติกรรมสร้าง Volume หนักๆ เช่นนี้ โดยราคายังนิ่งๆ ทั้งที่แต่เดิม Volume ของหุ้นนั้นแทบจะมีน้อยมาก หรือไม่มีเลย ทำให้นักลงทุนบางคนอาจตื่นตระหนก แล้วรีบเทขายออกมา เพราะเห็นว่า หุ้นที่ตัวเองถืออยู่นี้ ราคาไม่ได้วิ่งมานาน จึงกลัวจะต้องถือยาวกว่านี้ เมื่อเทขายหุ้นออกมา ก็เข้าทาง “เจ้ามือ” ที่วางกลอุบายเอาไว้แล้ว และสามารถเก็บของได้เพิ่มขึ้นอีก”
3.พฤติกรรมลากไปติดดอย มีวิธีสังเกตคือ ฝั่ง Offer จะหนามาก ในขณะที่ Bid จะเบาบาง และมีราคาวิ่งขึ้นตลอด ถือว่าเป็นยุทธวิธีที่ “เจ้ามือ” วางกับดักล่อ โดยจะกินช่องขวา (Offer) ตลอด เมื่อมีคนแห่เข้ามาเล่นตามในช่องขวาเป็นจำนวนมาก ถึงจุดหนึ่งที่ “เจ้ามือ” จะออกของก็จะไล่ราคาร่วงลงมาได้ในทุกระดับ เพราะเจ้ามือสามารถออกของได้ทุกระดับราคาอยู่แล้ว โยนออกมาไม้ไหนก็มีแต่กำไร
“พฤติกรรมนี้ ให้นักลงทุนสังเกตให้ดีๆ ว่า หากมีการไล่ราคาในช่องขวา (Offer) ขึ้นไปกันหลายช่องและวิ่งขึ้นตลอด อย่าเข้าไปซื้อเด็ดขาด เพราะถ้าเข้าไปก็มีสิทธิติดยอดดอยกันได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ รอให้มีการทุบราคาลงมาจนเห็นสีแดงนานๆ ก็อาจเข้าไปซื้อได้ แต่ต้องดูประวัติย้อนหลังของหุ้นตัวนั้นๆ ด้วยว่า น่าเล่นหรือไม่”
4.พฤติกรรมเจ้ามือใหญ่เล่นหุ้นปั่นตลอด ให้สังเกตว่า Volume ทั้งด้านซ้าย (Bid) และด้านขวา (Offer) จะหนามากๆ และตลอดเวลา อีกทั้งราคาจะมีการวิ่งขึ้น-ลง วันละ 10-20 ช่องตลอด ซึ่งรูปแบบการเล่นเช่นนี้ ขึ้นกับนักลงทุนเองว่า จะมีความเร็วในการ “เข้า-ออก” หรือไม่ เพราะราคาจะสวิงขึ้น-ลงตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษคือ หากราคาไปหยุดนิ่งอยู่ที่ระดับไหนนานๆ ให้ตระหนักไว้เลยว่า มีสิทธิที่จะลากขึ้นไปไกล หรือทุบลงมาอย่างแรงได้ทั้งสองทาง จึงขึ้นกับความไวของตัวนักลงทุนเอง
“วิธีนี้ขึ้นกับตัวเจ้ามือแล้วว่า จะทำให้นักลงทุนติดยอดดอยกันในระดับราคาไหน เพราะเขาสามารถออกของได้ทุกระดับราคา จากนั้นเมื่อทุบร่วงลงมาก็จะเข้าไปช้อนซื้อเก็บไว้ จากนั้นก็จะนำกลับมาเล่นกันใหม่ หุ้นลักษณะนี้จะพบว่า มีการเล่นกันตลอดทั้งสัปดาห์ อาจมีหยุดบ้างก็ 1-2 วัน แต่ Volume ก็ยังมีให้เห็นอยู่”
5.พฤติกรรมเจ้ามือใหญ่เล่นหุ้นปั่นเป็นรอบ วิธีนี้จะเล่นกันสัปดาห์ละครั้ง หรือสองครั้ง จึงขอให้นักลงทุนต้องย้อนกลับไปดูประวัติย้อนหลังของหุ้นที่อยู่ในระดับต่ำ สุดที่นิ่งนานๆ บวกกับการดูราคาที่วิ่งขึ้นไปสูงสุดว่าอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วนำมาหารครึ่ง เพื่อดูราคาว่า ระดับไหนถึงจะซื้อได้ ตัวอย่างเช่น หากหุ้นตัวนั้น เคยอยู่ที่ระดับต่ำนิ่งๆ ประมาณ 4 บาท แต่มีการทำราคาไล่ขึ้นไปแตะสูงสุดที่ 12 บาท ดังนั้น ราคาที่เหมาะสมที่น่าจะซื้อได้จึงอยู่ที่ระดับ 8 บาทต่อหุ้น (12-4 = 8)
“พฤติกรรมการเล่นเป็นรอบนี้ นักลงทุนต้องพึงระวังว่า เจ้ามืออาจจะกลับมาเล่น หรือไม่เล่นเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับความน่าสนใจของหุ้นตัวๆ นั้นว่า เป็นที่สนใจของนักลงทุนหรือไม่”
นายเอกยุทธ กล่าวต่อว่า วิธีการทั้งหมดนี้...อยากบอกว่า เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องใช้เวลาในการศึกษาและติดตามอย่างใกล้ชิด ตนไม่สามารถยกตัวอย่างหุ้นเป็นรายตัวออกมาให้เห็นได้ เพราะเกรงจะมีข้อกฎหมายตามมาภายหลัง แต่เชื่อว่า หากนักลงทุนที่เล่นหุ้นกันอยู่ในตลาดหุ้นไทย คงรับทราบดีว่า หุ้นตัวไหน เป็นหุ้นที่เข้าข่ายใด ใน 5 พฤติกรรมข้างต้น เพื่อที่จะได้รู้ว่า ตัวเราเองจะเล่นแบบไหน และจะสังเกตวิธีการที่เจ้ามือเล่นกันได้อย่างไร แต่ที่สำคัญคือ นักลงทุนต้องพึงระลึกว่า “อย่าโลภ” ถ้าอยากเล่นหุ้นปั่น หากได้กำไรแค่ไหน จงนึกเสมอว่า...อย่าเป็น “เสือหวน” เด็ดขาด
“เชื่อว่า หากนักลงทุนเข้าใจในหลักการนี้แล้ว ต่อไป...บรรดา “เจ้ามือ” ทั้งหลายก็คงต้องมีวิวัฒนาการใหม่ๆ ออกมา เพื่อไม่ให้ “รายย่อย” ได้ตามทัน มิเช่นนั้น... “เจ้ามือ” เองก็คงไม่สามารถ “ล่อ” แมงเม่าให้เข้ามาในกองไฟได้อีก โดยเฉพาะกับ “เจ้ามือหน้าเหลี่ยม” และลูกน้องทั้งหลาย!!!”นายเอกยุทธกล่าวทิ้งท้าย
*******************************
5พฤติกรรมรู้ทัน'เจ้ามือ'เล่นหุ้นไม่ตกเป็นเหยื่อ!
คอลัมน์...เอกยุทธอินไซเดอร์
โดย...เอกยุทธ อัญชันบุตร
ที่มา : ข่าวจากทีมงาน ThaiInsider.Com
ขอบคุณแหล่งข้อมูลครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 85
คลิปเรื่อง "บทที่ 3 : 4 รูปแบบหุ้นปั่นและการทำกำไร"
ที่ http://www.youtube.com/watch?v=UPP2Rb6EjT8
ที่ http://www.youtube.com/watch?v=UPP2Rb6EjT8
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 86
อภิมหาตำนานหนี้สุสานฝัง เซียนหุ้น N-PARK
ธุรกิจ : BizWeek, วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หุ้น N-PARK ไม่ต่างไปจาก "สุสาน" ฝัง "นักเล่นหุ้น" จำนวนนับหมื่นคน
ภายใต้ข้อสังเกตว่า เสริมสิน สมะลาภา อาจเป็นเพียง "หน้ากาก" ให้กับ "อัศวิน" ตัวจริงที่เร้นกาย "ชักใย" อยู่ข้างหลัง เข้ามา "สูบ" ผลประโยชน์จากบริษัทแห่งนี้จน "เจ๊งคามือ"
แต่วันนี้ เสริมสิน กลายเป็นอัศวินตัวจริงเสียงจริง ที่เรียกคะแนนสงสารได้อย่างท่วมท้น ด้วยเสียงโหวตจากผู้ถือหุ้นรายย่อยร่วม 4,800 ล้านหุ้น ยอมจำนนให้เขา "จูง" อีกครั้ง หลังหนุ่มใหญ่ชักแม่น้ำทั้งห้า ขอความเห็นใจและทนให้ผู้ถือหุ้นโขกสับนานหลายชั่วโมง
ในที่สุดผู้ถือหุ้นก็โหวตผ่านมติเพิ่มทุนจำนวนมหึมา 48,344.73 ล้านหุ้น โดยยอมควักกระเป๋าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 1 หุ้นเดิมต่อ 4 หุ้นใหม่ ขณะที่ เสริมสิน ยอมกดราคาขายลงจาก 0.02 บาท เหลือ 0.01 บาท (ลดราคาแต่เพิ่มจำนวนหุ้นขายแทน) โดยมีเป้าหมายระดมทุนครั้งนี้ 483.44 ล้านบาท พร้อมทั้งกล่อมผู้ถือหุ้นจนผ่านมติให้บริษัทขายสินทรัพย์ 5 รายการเป็นผลสำเร็จ
แม้ไม่ใช่นักจิตวิทยา เสริมสิน ก็รู้ว่า ผู้ถือหุ้นทุกคนล้วนตกกระไดพลอยโจนเหมือนกันหมด ในสมองตอนนี้คิดแต่จะ "ถอนทุนคืน" อย่างเดียวเท่านั้น ตัวเลข 1 สตางค์ สำหรับผู้ถือหุ้น ก็คือ การ "วัดดวง" อีกครั้ง
ถ้ายังไม่ลืม เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 ผู้ถือหุ้น N-PARK ก็เพิ่ง "ระบม" มาจากการเพิ่มทุนจาก 8,057 ล้านหุ้น เป็น 12,086 ล้านหุ้น บริษัทออกหุ้นใหม่ 4,028.72 ล้านหุ้น ให้สิทธิซื้อ 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคา 0.05 บาท ได้เงินไป 201 ล้านบาท หลังเพิ่มทุนเสร็จราคาหุ้น N-PARK ก็ดิ่งเหวมาตลอด จนวันนี้ราคาลงมาเหลือ 3 สตางค์
การเดินเกมธุรกิจของ N-PARK เบื้องแรกใครๆ ก็มองว่าป้ายสุดท้ายน่าจะอยู่ที่ "ตลาดหุ้น" แต่นั่นคือมุมมองเพียงมิติเดียว ในช่วงปี 2546-2547 เอ็นพาร์คถลุงงบลงทุนไป 11,630 ล้านบาท (กระแสเงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุน) ภายใต้แนวคิดของทฤษฎี Diamond Model ของปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์ ดร.ไมเคิล อี พอร์ทเตอร์ คอนเซปต์นี้ต้องการให้เกิดการผนึกกำลัง หรือ Synergy ภายในกลุ่ม
ครั้งหนึ่ง เสริมสิน เคยแสดงวิธีคิดไว้อย่างน่าสนใจว่า ถ้าเป็นช่วงที่ธุรกิจสามารถระดมทุนได้เร็วและเศรษฐกิจภาพรวมเป็นขาขึ้น วิธี M&A (Merger and Acquisition) ก็จะเป็นทางลัดที่ธุรกิจจะสามารถโตแบบ "ก้าวกระโดด"
แนวคิดนี้ไม่ผิด แต่วิธีการต่างหากที่น่าเคลือบแคลง เพราะเจตนาของการลงทุนไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความพอดี พอเพียง และโปร่งใสเพียงพอ หลังพบว่าโครงการลงทุนส่วนใหญ่มีต้นทุนที่สูงเกินจริง ตัวอย่างเช่น เงินลงทุนในหุ้น SIRI มูลค่า 2,268 ล้านบาท มีต้นทุนสูงถึงหุ้นละ 6.50 บาท หรือซื้อหุ้น FNS ในราคาต้นทุนเฉียดหุ้นละ 50 บาท เป็นต้น
ข้อมูลจากโครงสร้างผู้ถือหุ้นล่าสุด วันที่ 26 ธันวาคม 2551 มีนักลงทุน "ติดหุ้น" เอ็นพาร์ค สูงถึง 9,241 ราย และค่อนข้างชัดเจนว่าผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมด "เจ๊งหุ้น" อย่างหนัก สังเกตได้จากทิศทางราคาหุ้นที่เป็น "ขาลง-ขาเดียว"
ก่อนจะเพิ่มทุนจำนวนมหาศาลครั้งนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่หลายกลุ่มไหวตัวยอมขายหุ้นขาดทุนออกไปก่อน โดยเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2551 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด ขายหุ้นทั้งหมด 847.15 ล้านหุ้น คิดเป็น 7% ของทุนจดทะเบียนให้กับ ยุพเยาว์ บุญสม และ สิทธินรี ลาภธนานุกูล อดีตผู้ถือหุ้นอันดับที่สี่และห้า โรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) แต่ล่าสุดทั้งสองไม่มีหุ้นแล้ว
แม้แต่ ฉัตรชัย เลียงศรีสุข ซึ่งเดิมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองสัดส่วน 5.38% ก็ได้ขายหุ้นทั้งหมดออกไปก่อนเช่นเดียวกัน เสริมสิน เคยกล่าวกับกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า ได้ดึง ฉัตรชัย ในฐานะเพื่อนมาร่วมถือหุ้น N-PARK โดยได้รับแบ่งหุ้นมาจาก E-Street Properties และให้สัญญาว่าจะลงทุนระยะยาว แต่สุดท้ายก็ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด
ลูกชายอดีตปลัดกรุงเทพมหานคร (ประเสริฐ สมะลาภา) ยังเคยบอกอีกว่า หุ้น N-PARK มีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งหมด “สามฉัตร” คือกลุ่มของ ฉัตรชัย เลียงศรีสุข ฉัตรสุดา เบ็ญจนิรัตน์ ซึ่ง เสริมสิน ชี้เปรี้ยงว่า ฉัตรสุดา เป็น “นอมินี” ของ สอง วัชรศรีโรจน์ ล่าสุดกลุ่มนี้ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมดแล้ว
ส่วนอีก "ฉัตร" นักลงทุนกลุ่ม “จุฬางกูร-จึงรุ่งเรืองกิจ” นำโดย ทวีฉัตร จุฬางกูร ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นจากเดิม 521.94 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.32% แต่ตอนนี้เหลือ 200 หุ้น คิดเป็น 1.65% แม้แต่เจ้าแม่ตัวจริง สว่าง มั่นคงเจริญ เคยมี 720 ล้านหุ้น วันนี้ก็เหลือ 300 ล้านหุ้น ส่วนตัว เสริมสิน เคยมี 460 ล้านหุ้น ล่าสุดเหลือเพียง 50 ล้านหุ้น
เมื่อปี 2546 ช่วงที่หุ้น N-PARK กลับเข้ามาซื้อขายใหม่ๆ มีผู้ถือหุ้นเพียง 886 ราย แต่วันนี้เพิ่มเป็น 9,241 ราย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าตัว ทำให้หุ้นตัวนี้กลายเป็น "หลุมฝัง" เซียนหุ้นมาแล้วนับไม่ถ้วน
ธุรกิจ : BizWeek, วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หุ้น N-PARK ไม่ต่างไปจาก "สุสาน" ฝัง "นักเล่นหุ้น" จำนวนนับหมื่นคน
ภายใต้ข้อสังเกตว่า เสริมสิน สมะลาภา อาจเป็นเพียง "หน้ากาก" ให้กับ "อัศวิน" ตัวจริงที่เร้นกาย "ชักใย" อยู่ข้างหลัง เข้ามา "สูบ" ผลประโยชน์จากบริษัทแห่งนี้จน "เจ๊งคามือ"
แต่วันนี้ เสริมสิน กลายเป็นอัศวินตัวจริงเสียงจริง ที่เรียกคะแนนสงสารได้อย่างท่วมท้น ด้วยเสียงโหวตจากผู้ถือหุ้นรายย่อยร่วม 4,800 ล้านหุ้น ยอมจำนนให้เขา "จูง" อีกครั้ง หลังหนุ่มใหญ่ชักแม่น้ำทั้งห้า ขอความเห็นใจและทนให้ผู้ถือหุ้นโขกสับนานหลายชั่วโมง
ในที่สุดผู้ถือหุ้นก็โหวตผ่านมติเพิ่มทุนจำนวนมหึมา 48,344.73 ล้านหุ้น โดยยอมควักกระเป๋าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 1 หุ้นเดิมต่อ 4 หุ้นใหม่ ขณะที่ เสริมสิน ยอมกดราคาขายลงจาก 0.02 บาท เหลือ 0.01 บาท (ลดราคาแต่เพิ่มจำนวนหุ้นขายแทน) โดยมีเป้าหมายระดมทุนครั้งนี้ 483.44 ล้านบาท พร้อมทั้งกล่อมผู้ถือหุ้นจนผ่านมติให้บริษัทขายสินทรัพย์ 5 รายการเป็นผลสำเร็จ
แม้ไม่ใช่นักจิตวิทยา เสริมสิน ก็รู้ว่า ผู้ถือหุ้นทุกคนล้วนตกกระไดพลอยโจนเหมือนกันหมด ในสมองตอนนี้คิดแต่จะ "ถอนทุนคืน" อย่างเดียวเท่านั้น ตัวเลข 1 สตางค์ สำหรับผู้ถือหุ้น ก็คือ การ "วัดดวง" อีกครั้ง
ถ้ายังไม่ลืม เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 ผู้ถือหุ้น N-PARK ก็เพิ่ง "ระบม" มาจากการเพิ่มทุนจาก 8,057 ล้านหุ้น เป็น 12,086 ล้านหุ้น บริษัทออกหุ้นใหม่ 4,028.72 ล้านหุ้น ให้สิทธิซื้อ 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคา 0.05 บาท ได้เงินไป 201 ล้านบาท หลังเพิ่มทุนเสร็จราคาหุ้น N-PARK ก็ดิ่งเหวมาตลอด จนวันนี้ราคาลงมาเหลือ 3 สตางค์
การเดินเกมธุรกิจของ N-PARK เบื้องแรกใครๆ ก็มองว่าป้ายสุดท้ายน่าจะอยู่ที่ "ตลาดหุ้น" แต่นั่นคือมุมมองเพียงมิติเดียว ในช่วงปี 2546-2547 เอ็นพาร์คถลุงงบลงทุนไป 11,630 ล้านบาท (กระแสเงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุน) ภายใต้แนวคิดของทฤษฎี Diamond Model ของปรมาจารย์ด้านกลยุทธ์ ดร.ไมเคิล อี พอร์ทเตอร์ คอนเซปต์นี้ต้องการให้เกิดการผนึกกำลัง หรือ Synergy ภายในกลุ่ม
ครั้งหนึ่ง เสริมสิน เคยแสดงวิธีคิดไว้อย่างน่าสนใจว่า ถ้าเป็นช่วงที่ธุรกิจสามารถระดมทุนได้เร็วและเศรษฐกิจภาพรวมเป็นขาขึ้น วิธี M&A (Merger and Acquisition) ก็จะเป็นทางลัดที่ธุรกิจจะสามารถโตแบบ "ก้าวกระโดด"
แนวคิดนี้ไม่ผิด แต่วิธีการต่างหากที่น่าเคลือบแคลง เพราะเจตนาของการลงทุนไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความพอดี พอเพียง และโปร่งใสเพียงพอ หลังพบว่าโครงการลงทุนส่วนใหญ่มีต้นทุนที่สูงเกินจริง ตัวอย่างเช่น เงินลงทุนในหุ้น SIRI มูลค่า 2,268 ล้านบาท มีต้นทุนสูงถึงหุ้นละ 6.50 บาท หรือซื้อหุ้น FNS ในราคาต้นทุนเฉียดหุ้นละ 50 บาท เป็นต้น
ข้อมูลจากโครงสร้างผู้ถือหุ้นล่าสุด วันที่ 26 ธันวาคม 2551 มีนักลงทุน "ติดหุ้น" เอ็นพาร์ค สูงถึง 9,241 ราย และค่อนข้างชัดเจนว่าผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมด "เจ๊งหุ้น" อย่างหนัก สังเกตได้จากทิศทางราคาหุ้นที่เป็น "ขาลง-ขาเดียว"
ก่อนจะเพิ่มทุนจำนวนมหาศาลครั้งนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่หลายกลุ่มไหวตัวยอมขายหุ้นขาดทุนออกไปก่อน โดยเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2551 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด ขายหุ้นทั้งหมด 847.15 ล้านหุ้น คิดเป็น 7% ของทุนจดทะเบียนให้กับ ยุพเยาว์ บุญสม และ สิทธินรี ลาภธนานุกูล อดีตผู้ถือหุ้นอันดับที่สี่และห้า โรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) แต่ล่าสุดทั้งสองไม่มีหุ้นแล้ว
แม้แต่ ฉัตรชัย เลียงศรีสุข ซึ่งเดิมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองสัดส่วน 5.38% ก็ได้ขายหุ้นทั้งหมดออกไปก่อนเช่นเดียวกัน เสริมสิน เคยกล่าวกับกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่า ได้ดึง ฉัตรชัย ในฐานะเพื่อนมาร่วมถือหุ้น N-PARK โดยได้รับแบ่งหุ้นมาจาก E-Street Properties และให้สัญญาว่าจะลงทุนระยะยาว แต่สุดท้ายก็ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมด
ลูกชายอดีตปลัดกรุงเทพมหานคร (ประเสริฐ สมะลาภา) ยังเคยบอกอีกว่า หุ้น N-PARK มีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งหมด “สามฉัตร” คือกลุ่มของ ฉัตรชัย เลียงศรีสุข ฉัตรสุดา เบ็ญจนิรัตน์ ซึ่ง เสริมสิน ชี้เปรี้ยงว่า ฉัตรสุดา เป็น “นอมินี” ของ สอง วัชรศรีโรจน์ ล่าสุดกลุ่มนี้ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมดแล้ว
ส่วนอีก "ฉัตร" นักลงทุนกลุ่ม “จุฬางกูร-จึงรุ่งเรืองกิจ” นำโดย ทวีฉัตร จุฬางกูร ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นจากเดิม 521.94 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.32% แต่ตอนนี้เหลือ 200 หุ้น คิดเป็น 1.65% แม้แต่เจ้าแม่ตัวจริง สว่าง มั่นคงเจริญ เคยมี 720 ล้านหุ้น วันนี้ก็เหลือ 300 ล้านหุ้น ส่วนตัว เสริมสิน เคยมี 460 ล้านหุ้น ล่าสุดเหลือเพียง 50 ล้านหุ้น
เมื่อปี 2546 ช่วงที่หุ้น N-PARK กลับเข้ามาซื้อขายใหม่ๆ มีผู้ถือหุ้นเพียง 886 ราย แต่วันนี้เพิ่มเป็น 9,241 ราย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าตัว ทำให้หุ้นตัวนี้กลายเป็น "หลุมฝัง" เซียนหุ้นมาแล้วนับไม่ถ้วน
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 87
นำมาจาก Post ของคุณ srikamneard
v
v
"ตลาดหุ้น" ที่ชาวบ้านซื้อขายหุ้นกันอยู่ทุกวันนี้จัดอยู่ในประเภท ตลาดรอง (Secondary Market) ของตลาดทุน ส่วน ตลาดหลัก (Primary Market) จริงๆ ของตลาดทุนซึ่งเป็นตลาดที่กิจการทั้งหลายใช้ระดมทุนเพื่อขยายกิจการ คือ "ตลาด IPO" หรือที่เรานิยมเรียกกันติดปากว่า "หุ้นจอง"
เมื่อกิจการขายหุ้นจอง เงินที่ได้จะเข้าบริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการ หลังจากนั้นบริษัทก็มักจะนำหุ้นของบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพื่อให้หุ้นของบริษัทกลายเป็นสินค้าตัวหนึ่งที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือในตลาดหุ้นได้ หลังจากนี้แล้ว การซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นจะเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนมือไปมาระหว่างนักลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มีเม็ดเงินเข้าสู่บริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการอีกต่อไป นั่นคือ สิ่งที่ใช้แยกความแตกต่างระหว่างตลาดหลักกับตลาดรองก็คือ เมื่อมีการขายหุ้นแล้ว เงินไปไหน ถ้าเป็นตลาดหลัก เงินจะเข้าสู่บริษัท แต่ถ้าเป็นตลาดรอง เงินจะเข้ากระเป๋าผู้ที่ขายหุ้น
ประเด็นนี้ทำให้มีบางคนกล่าวหาตลาดหุ้นว่า ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคม เพราะเงินไม่ได้เข้าบริษัทเพื่อก่อให้เกิดการลงทุนในระบบเศรษฐกิจจริงๆ เงินเพียงแต่ไหลจากกระเป๋าของนักลงทุนคนหนึ่งไปยังกระเป๋าของนักลงทุนอีกคนหนึ่งไปเรื่อยๆ เท่านั้นและนักลงทุนในตลาดหุ้นก็หากินด้วยการซื้อหุ้นมาในราคาหนึ่งแล้วขายออกไปในราคาที่สูงกว่าแล้วเก็บกำไรเข้ากระเป๋า บางคนถึงกับบอกว่าน่าจะยกเลิกตลาดหุ้นไปเลยเหลือไว้แต่ตลาด IPO ก็พอ
นั้นเป็นความคิดของคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ลองคิดดูว่า ถ้าหากไม่มีตลาดรอง ตลาดหลักจะอยู่ได้หรือไม่ คงแทบไม่เหลือนักลงทุนคนไหนที่จะกล้าซื้อหุ้นจองจากบริษัทอีกต่อไป เพราะนักลงทุนเหล่านั้นย่อมรู้ว่าเมื่อซื้อมาแล้วจะไม่สามารถขายหุ้นนั้นต่อให้ใครได้หรือถ้าขายได้ก็ต้องขายขาดทุนมากๆ เพื่อให้มีใครสักคนยอมซื้อ ดังนั้นเหตุผลที่แท้จริงที่ต้องมีตลาดหุ้นก็เพื่อให้ตลาดหลักสามารถดำรงอยู่ได้นั่นเอง
บางคนคิดว่าการที่รถยนต์มีตลาดมือสองนั้นทำให้ตลาดมือหนึ่งแย่ลง เพราะตลาดมือสองจะแย่งลูกค้าส่วนหนึ่งของตลาดมือหนึ่งไป แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูว่า ถ้าผู้บริโภคซื้อรถยนต์มาแล้ว ห้ามขายต่อโดยเด็ดขาด จะมีผู้บริโภคที่กล้าซื้อรถยนต์มือหนึ่งมากขึ้นหรือน้อยลง ทุกวันนี้มีคนส่วนหนึ่งที่กล้าซื้อรถใหม่บ่อยๆ ก็เพราะเขารู้ว่าเขาสามารถขายต่อในตลาดมือสองเมื่อไรก็ได้ ขาดทุนนิดหน่อยแสนสองแสนถือว่ากำไรใช้ เลยทำให้ตลาดรถใหม่ขายดี ฉันใดก็ฉันนั้น ตลาดรองช่วยส่งเสริมตลาดหลักด้วยการทำให้สินค้าของตลาดหลักกลายเป็นสินค้าที่มีสภาพคล่องสูง คนที่ซื้อหุ้นจองไปแล้วหากวันดีคืนดีเกิดมีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วนขึ้นมาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายต่อให้ใครไม่ได้
มีบางคนอยากเห็นตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนระยะยาวอย่างเดียวไม่มีนักเก็งกำไรระยะสั้นเพราะพวกเขามีทัศนคติในแง่ลบการคำว่า "เก็งกำไร" แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูให้ดี ถ้าในตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนทั้งหมด ไม่มีใครเป็นนักเก็งกำไรเลย สภาพคล่องในตลาดหุ้นคงหายไปมากกว่า 95% ถ้าการขายหุ้นออกในตลาดหุ้นกับการไปเร่ขายหุ้นด้วยตนเองนอกตลาดหุ้นมีความยากลำบากเท่ากันเพราะหาคนซื้อได้ยากก็ไม่รู้ว่าจะมีตลาดหุ้นเอาไว้เพื่ออะไร ดังนั้น ตลาดหุ้นที่มีคุณค่าต้องเป็นตลาดที่มีคนจำนวนหนึ่งในตลาดยินดีที่จะซื้อหรือขายหุ้นบ่อยๆ โดยแลกกับโอกาสทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ ทุกวันเพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับคนที่เป็นนักลงทุน กล่าวคือทำให้คนที่เป็นนักลงทุนระยะยาวสามารถขายหุ้นออกได้เสมอ (โดยไม่ต้องขายขาดทุนมากๆ) เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินแบบเร่งด่วน พูดง่ายๆ ก็คือการซื้อๆ ขายๆ ของนักเก็งกำไรช่วยลด liquidity risk ให้กับคนที่เป็นนักลงทุนนั่นเอง
โดยส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าเป้าหมายของการพัฒนานักลงทุนรายย่อยคือการทำให้นักลงทุนรายย่อยหันมาลงทุนระยะยาวกันให้หมด สิ่งที่ผมอยากเห็นมากกว่าคือทำอย่างไรนักลงทุนรายย่อยจึงจะเป็นนักลงทุนที่มีภูมิต้านทาน กล่าวคือ ตัดสินใจจากข้อมูลที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้เป็นหลัก ไม่ถูกชักจูงไปได้ง่าย ไม่เชื่อข่าวลือข่าวปล่อยต่างๆ ไม่แห่ตามกันโดยขาดวิจารณาณของตนเอง ส่วนจะเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น นักเทคนิค หรือนักลงทุนระยะยาวนั้น ผมกลับคิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ นักลงทุนทุกแบบล้วนแต่มีคุณค่าต่อตลาดทุนทั้งสิ้น หากตั้งใจจะเป็นนักเทคนิคก็ควรศึกษาเทคนิคให้จริงจัง คนที่เล่นสั้นหลายคนที่ผมรู้จักเป็นคนที่ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ผมก็ไม่เคยรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาเลย เพราะผมมั่นใจว่าคนนิสัยแบบนี้จะสามารถเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้อย่างแน่นอน
v
v
"ตลาดหุ้น" ที่ชาวบ้านซื้อขายหุ้นกันอยู่ทุกวันนี้จัดอยู่ในประเภท ตลาดรอง (Secondary Market) ของตลาดทุน ส่วน ตลาดหลัก (Primary Market) จริงๆ ของตลาดทุนซึ่งเป็นตลาดที่กิจการทั้งหลายใช้ระดมทุนเพื่อขยายกิจการ คือ "ตลาด IPO" หรือที่เรานิยมเรียกกันติดปากว่า "หุ้นจอง"
เมื่อกิจการขายหุ้นจอง เงินที่ได้จะเข้าบริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการ หลังจากนั้นบริษัทก็มักจะนำหุ้นของบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพื่อให้หุ้นของบริษัทกลายเป็นสินค้าตัวหนึ่งที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือในตลาดหุ้นได้ หลังจากนี้แล้ว การซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นจะเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนมือไปมาระหว่างนักลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มีเม็ดเงินเข้าสู่บริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการอีกต่อไป นั่นคือ สิ่งที่ใช้แยกความแตกต่างระหว่างตลาดหลักกับตลาดรองก็คือ เมื่อมีการขายหุ้นแล้ว เงินไปไหน ถ้าเป็นตลาดหลัก เงินจะเข้าสู่บริษัท แต่ถ้าเป็นตลาดรอง เงินจะเข้ากระเป๋าผู้ที่ขายหุ้น
ประเด็นนี้ทำให้มีบางคนกล่าวหาตลาดหุ้นว่า ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคม เพราะเงินไม่ได้เข้าบริษัทเพื่อก่อให้เกิดการลงทุนในระบบเศรษฐกิจจริงๆ เงินเพียงแต่ไหลจากกระเป๋าของนักลงทุนคนหนึ่งไปยังกระเป๋าของนักลงทุนอีกคนหนึ่งไปเรื่อยๆ เท่านั้นและนักลงทุนในตลาดหุ้นก็หากินด้วยการซื้อหุ้นมาในราคาหนึ่งแล้วขายออกไปในราคาที่สูงกว่าแล้วเก็บกำไรเข้ากระเป๋า บางคนถึงกับบอกว่าน่าจะยกเลิกตลาดหุ้นไปเลยเหลือไว้แต่ตลาด IPO ก็พอ
นั้นเป็นความคิดของคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ลองคิดดูว่า ถ้าหากไม่มีตลาดรอง ตลาดหลักจะอยู่ได้หรือไม่ คงแทบไม่เหลือนักลงทุนคนไหนที่จะกล้าซื้อหุ้นจองจากบริษัทอีกต่อไป เพราะนักลงทุนเหล่านั้นย่อมรู้ว่าเมื่อซื้อมาแล้วจะไม่สามารถขายหุ้นนั้นต่อให้ใครได้หรือถ้าขายได้ก็ต้องขายขาดทุนมากๆ เพื่อให้มีใครสักคนยอมซื้อ ดังนั้นเหตุผลที่แท้จริงที่ต้องมีตลาดหุ้นก็เพื่อให้ตลาดหลักสามารถดำรงอยู่ได้นั่นเอง
บางคนคิดว่าการที่รถยนต์มีตลาดมือสองนั้นทำให้ตลาดมือหนึ่งแย่ลง เพราะตลาดมือสองจะแย่งลูกค้าส่วนหนึ่งของตลาดมือหนึ่งไป แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูว่า ถ้าผู้บริโภคซื้อรถยนต์มาแล้ว ห้ามขายต่อโดยเด็ดขาด จะมีผู้บริโภคที่กล้าซื้อรถยนต์มือหนึ่งมากขึ้นหรือน้อยลง ทุกวันนี้มีคนส่วนหนึ่งที่กล้าซื้อรถใหม่บ่อยๆ ก็เพราะเขารู้ว่าเขาสามารถขายต่อในตลาดมือสองเมื่อไรก็ได้ ขาดทุนนิดหน่อยแสนสองแสนถือว่ากำไรใช้ เลยทำให้ตลาดรถใหม่ขายดี ฉันใดก็ฉันนั้น ตลาดรองช่วยส่งเสริมตลาดหลักด้วยการทำให้สินค้าของตลาดหลักกลายเป็นสินค้าที่มีสภาพคล่องสูง คนที่ซื้อหุ้นจองไปแล้วหากวันดีคืนดีเกิดมีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วนขึ้นมาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายต่อให้ใครไม่ได้
มีบางคนอยากเห็นตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนระยะยาวอย่างเดียวไม่มีนักเก็งกำไรระยะสั้นเพราะพวกเขามีทัศนคติในแง่ลบการคำว่า "เก็งกำไร" แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูให้ดี ถ้าในตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนทั้งหมด ไม่มีใครเป็นนักเก็งกำไรเลย สภาพคล่องในตลาดหุ้นคงหายไปมากกว่า 95% ถ้าการขายหุ้นออกในตลาดหุ้นกับการไปเร่ขายหุ้นด้วยตนเองนอกตลาดหุ้นมีความยากลำบากเท่ากันเพราะหาคนซื้อได้ยากก็ไม่รู้ว่าจะมีตลาดหุ้นเอาไว้เพื่ออะไร ดังนั้น ตลาดหุ้นที่มีคุณค่าต้องเป็นตลาดที่มีคนจำนวนหนึ่งในตลาดยินดีที่จะซื้อหรือขายหุ้นบ่อยๆ โดยแลกกับโอกาสทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ ทุกวันเพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับคนที่เป็นนักลงทุน กล่าวคือทำให้คนที่เป็นนักลงทุนระยะยาวสามารถขายหุ้นออกได้เสมอ (โดยไม่ต้องขายขาดทุนมากๆ) เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินแบบเร่งด่วน พูดง่ายๆ ก็คือการซื้อๆ ขายๆ ของนักเก็งกำไรช่วยลด liquidity risk ให้กับคนที่เป็นนักลงทุนนั่นเอง
โดยส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าเป้าหมายของการพัฒนานักลงทุนรายย่อยคือการทำให้นักลงทุนรายย่อยหันมาลงทุนระยะยาวกันให้หมด สิ่งที่ผมอยากเห็นมากกว่าคือทำอย่างไรนักลงทุนรายย่อยจึงจะเป็นนักลงทุนที่มีภูมิต้านทาน กล่าวคือ ตัดสินใจจากข้อมูลที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้เป็นหลัก ไม่ถูกชักจูงไปได้ง่าย ไม่เชื่อข่าวลือข่าวปล่อยต่างๆ ไม่แห่ตามกันโดยขาดวิจารณาณของตนเอง ส่วนจะเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น นักเทคนิค หรือนักลงทุนระยะยาวนั้น ผมกลับคิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ นักลงทุนทุกแบบล้วนแต่มีคุณค่าต่อตลาดทุนทั้งสิ้น หากตั้งใจจะเป็นนักเทคนิคก็ควรศึกษาเทคนิคให้จริงจัง คนที่เล่นสั้นหลายคนที่ผมรู้จักเป็นคนที่ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ผมก็ไม่เคยรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาเลย เพราะผมมั่นใจว่าคนนิสัยแบบนี้จะสามารถเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้อย่างแน่นอน
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 88
เปิดกลยุทธ์ขาใหญ่ลงทุนช่วงหุ้นขาลง
เจ๊สีฟ้า -เสี่ยแตงโม-เสี่ยปู่-เสี่ยป๋อง พร้อมใจเปิดกลยุทธ์การลงทุน "เจ๊สีฟ้า" แนะแผนเก็งกำไร 'ซื้อตัวเขียว-ขายตัวแดง' ต้องหนักแน่ไม่หวั่นไหว ขณะที่ "เสี่ยแตงโม" ยังประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีหนูไม่ออก หวังให้จัดตั้งรัฐบาลได้เร็วที่สุด เตือนนลท.อย่าเพิ่งรีบเก็บเพิ่ม ยังไม่ถึงจังหวะช้อนลงทุน แต่ยังเชียร์หุ้น IPO เหตุมีเสน่ห์ ด้าน "เสี่ยปู่' แนะ นลท. รอดูโฉมหน้าครม. ชุดใหม่ แต่ปีนี้จะเลือกเก็บหุ้นเก็งกำไร 30% อีก 70% ลงทุนหุ้นพื้นฐาน หวังโกยกำไรในอนาคต 'เสี่ยป๋อง' ชี้ตลาดแบบนี้เป็นจังหวะเข้าเก็บหุ้นบิ๊กแคป แย้มพลังงานน่าสน หลังน้ำมันยังแพง
ไม่ค่อยสดใสนัก สำหรับตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นไทย กับการเปิดศักราชใหม่ปี 2551 หรือปีหนูทอง ปีชวดของคนไทย เพราะแค่วันแรกของการเริ่มต้นปีใหม่ ตลาดหุ้นไทยก็ปิดร่วงทันที 15.13 จุด ส่งผลให้ดัชนีลงไปอยู่ที่ 842.97 จุด เมื่อวันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา ในขณะที่การซื้อขายเมื่อวานนี้ (3 ม.ค.) ดัชนีก็ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากวันที่ 2 อีกครั้ง ทั้งนี้เป็นผลมาจากตลาดได้รับผลกระทบทางจิตวิทยาการลงทุน จากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ลดลงทั้งดาวโจนส์ รวมไปถึงตลาดฯ ภูมิภาคเอเซีย ขณะที่การจัดตั้งรัฐบาลที่คาดว่าจะดำเนินการได้ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนนี้ ก็ยังไม่สามารถจัดตั้งได้ เนื่องจากพรรคการเมืองทั้ง พรรคพลังประชาชน ที่เป็นแกนนำในการจัดตั้ง พรรคชาคิไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ต่างก็แสดงท่าทีจะเข้าร่วมรัฐบาลแล้วนั้น ต่างงดจัดกิจกรรมทางการเมืองในตอนนี้ จนส่งผลให้การตั้งรัฐบาลต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด โดยคาดว่าอาจจะต้องรอจนกว่าจพ้นกลางเดือนนี้ไปก่อน และปัจจัยภายในดังกล่าวก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่กระทบการลงทุน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนในช่วง 2 วัน ของการเริ่มต้นปีใหม่ด้วยเช่นกัน
วานนี้ ดัชนีฯ ปิดที่ 832.63 จุด ลดลง 10.34 จุด หรือ 1.23% มีมูลค่าการซื้อขาย 18,230.08 ล้านบาท รวม 2 วัน ดัชนีลดลงไปแล้วกว่า 25 จุด ทั้งนี้เพราะหุ้นบิ๊กแคป หรือหุ้นมูลค่าตลาดรวมขนาดใหญ่ต่างโดนเทขายออกมาแทบทั้งหมด โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ รวมไปถึงหุ้นกลุ่มเดินเรือที่ลดลงหลังดัชนีค่าระวางเรือลดลงกว่า 200 จุด หลังจากช่วงปลายปีราคาหุ้นปรับขึ้นไปมาก จึงทำให้เกิดการพักฐานในหุ้นขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วง 2 วันทำการดัชนีฯ จะปรับลดลง และหุ้นบิ๊กแคปถูกแรงเทขายค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นที่สังเกตุได้ว่าหุ้นเก็งกำไร หรือหุ้นขนาดเล็ก กลับมีการซื้อขายอย่างคึกคัก และก็ถือเป็นธรรมชาติของหุ้นกลุ่มนี้อีกครั้ง เพราะทุกครั้งที่หุ้นขนาดใหญ่พักฐาน หรืออ่อนแรงลง ดัชนีฯ ยืนอยู่ในแดนบวก แต่หุ้นกลุ่มดังกล่าวก็มักจะกลับมาปลุกกระแสความคึกคักให้คืนสู่ตลาดฯ ได้ไม่มากก็น้อย เพราะ 2 วันที่ผ่านมานี้ แทบจะเรียกได้ว่าหุ้นตัวเล็กขาประจำทั้งนั้น ที่เข้ามาเป็นตัวชูโรงตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น บมจ. อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) บมจ. ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE) บมจ. อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง (IEC) บมจ. สยามทูยู (S2Y) บมจ. อีเอ็มซี (EMC) บมจ. วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค (WIN) บมจ. ป่องทรัพย์ (PSAP) ฯลฯ
ทั้งนี้นอกเหนือจากประเด็นของหุ้นขนาดเล็ก หุ้นเก็งกำไรที่ซื้อขายกันคล่องมือในช่วงต้นปีใหม่นี้แล้ว อีกประเด็นที่มักจะมาพร้อมกับความคึกคักของหุ้นกลุ่มดังกล่าว ก็คือ การเข้ามาจุดพลุดหรือดันหุ้นกลุ่มนี้ของบรรดาขาใหญ่ หรือนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดฯ ที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักลงทุนด้วย เนื่องจากเมื่อหุ้นร้อนประเภทนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็มักจะมีชื่อของนักลงทุนเหล่านี้ ติดร่างแหไปด้วยเสมอ ไม่ว่าหุ้นจะออกมาแบบขึ้นแรง หรือว่าร่วงแรง เพราะเกิดจากการปรับพอร์ตลงทุน หรือถอนการลงทุนก็ตาม อย่าล่าสุดก็คือกรณีของ"เจ๊สีฟ้า" นักลงทุนอีกคนหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีในตลาดฯ กับการขายหุ้น LIVE ออกไปกว่า 1% จนเกิดกระแสข่าวว่าจะลดการลงทุนในหุ้นดังกล่าว จนทำให้เจ้าตัวต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง
ดังนั้นเพื่อให้นักลงทุนได้รับรู้ถึงความเคลื่อนไหว มุมมองการลงทุน และความเห็นของนักลงทุนรายใหญ่ของตลาดฯ ในขณะนี้ eFinanceThai.com จึงรวบรวมคำสัมภาษณ์นักลงทุนเหล่านี้ มาให้ได้อ่านกัน เพื่อเป็นแนวทางในการลงทุน ว่านักลงทุนกลุ่มนี้มีกลยุทธ์อย่างไรในภาวะที่ตลาดหุ้นช่วงปีใหม่ยังคงซบเซา และอยู่ในระหว่างการรอความชัดเจนหลายด้านทั้งเศรษฐกิจ และการเมือง
* เจ๊สีฟ้า ยันไม่ล้างพอร์ตหุ้นLIVE แนะกลยุทธ์เก็งกำไร 'ซื้อตัวเขียว-ขายตัวแดง'
นางสีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา หรือเจ๊สีฟ้า เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ถึงกรณีการแจ้งขายหุ้น บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (LIVE) 1.04% เป็นเพียงการนำหุ้นออกมาเก็งกำไรตามปกติ ซึ่งยืนยันว่าจะไม่ทิ้งหุ้นล้างพอร์ตแน่นอน โดยล่าสุดได้กลับเข้าไปซื้อหุ้นจนมีสัดส่วนเกินกว่า 5% อีกครั้ง และเตรียมแจ้งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ในวันนี้
'หุ้น LIVE เป็นหุ้นที่ถือมานานแล้ว และมีการแบ่งออกมาเทรดดิ้งนิดหน่อย ที่แจ้งขายไปก๋แค่ 1% กว่า และก็กลับไปซื้อเพิ่มเป็น 5% แล้ว ส่วนที่หนังสือพิมพ์ไปลงว่าจะล้างพอร์ตนั้น ไม่เป็นความจริง' นางสีฟ้ากล่าว
นางสีฟ้า ยังกล่าวยืนยันว่าตัวเองเป็นนักเก็งกำไร โดยจะซื้อขายหุ้นในลักษณะการเก็งกำไรเป็นหลัก ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ 'ซื้อตัวเขียว-ขายตัวแดง' และพิจารณาสัญญาณเทคนิคของหุ้นแต่ละตัว ปัจจุบันมีการซื้อขายหุ้นเก็งกำไรหลายตัวในพอร์ต แต่ไม่ต้องการเปิดเผยว่ามีหุ้นตัวใดบ้าง
ทั้งนี้แม้ว่าจะซื้อขายหุ้นแบบเก็งกำไร แต่ปกติแล้วจะเป็นคนที่ถือหุ้นในระยะกลาง ไม่ได้เล่นสั้นแบบวันต่อวัน และในพอร์ตหุ้นที่ถืออยู่มีการแบ่งอกมาเทรดดิ้งบ้างเล็กน้อย อย่างเช่นหุ้น LIVE ที่นำออกมาเก็งกำไรประมาณ 1% กว่าๆ แต่ในพอร์ตยังถืออยู่ประมาณ 5%
สำหรับหุ้นเก็งกำไรหลายตัวที่ถูกตลาดหลักทรัพย์ออกมาตรการห้ามซื้อขายแบบเน็ทเซ็ทเทิลเม้นท์และมาร์จิ้น รวมทั้งหุ้น LIVE ด้วยนั้น ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว และไม่ได้ขายหุ้นออกมา และอยากแนะนำนักเก็งกำไรให้หนักแน่น หากดูเทรนด์แล้วยังเป็นขาขึ้น อย่ารีบร้อนขายหุ้น ซึ่งโดยส่วนตัวถึงแม้จะเป็นนักเก็งกำไรแต่ไม่เคยถูกตลาดหลักทรัพย์ขอข้อมูลแต่อย่างใด เพราะการเล่นเก็งกำไรในตลาดหุ้นไม่ได้ถือเป็นเรื่องผิด
'หุ้นทุกตัวก็เก็งกำไรกันทั้งนั้น PTT เองก็มีการเก็งกำไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องผิด และตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่เคยเรียกคุย ส่วนกลยุทธ์การเก็งกำไรก็ง่ายๆ และคิดว่าทุกคนทำได้คือซื้อตัวเขียว แล้วขายตัวแดง'นางสีฟ้ากล่าว
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น LIVE ปรับตัวขึ้นยืนแดนบวกทันที หลังเจ๊สีฟ้ายืนยันว่ายังไม่ล้างพอร์ต โดยล่าสุดเวลาประมาณ 11.25 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ 2.28 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท หรือ 3.64% มูลค่าการซื้อขาย 40.26 ล้านบาท จากช่วงเช้าที่ร่วงแตะจุดต่ำสุดที่ 2.06 บาท
* 'เสี่ยแตงโม' เชียร์หุ้นIPO เสน่ห์แรง แต่เตือนนลท.อย่ารีบเก็บหุ้นตอนนี้
นายสมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ หรือ เสี่ยแตงโม ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้อย่างชัดเจนถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 2551 หากเทียบกับปี 2550 ว่า จะแตกต่างกันมากน้อยเพียงใดทั้งในเชิงบวก และเชิงลบ เพราะยังมีปัจจัยด้านการเมืองที่ต้องรอความชัดเจนเรื่องการก่อตั้งรัฐบาลอยู่ ซึ่งนับเป็นประเด็นหลักที่จะมีผลกระทบต่อการลงทุน
นอกจากนี้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน หรืออาจไม่ขยายตัวมากเท่าที่ควร ก็ยังเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ ที่จะสะท้อนผลให้ตลาดหุ้นไทยมีการเคลื่อนไหวตามได้ ทั้งนี้เชื่อว่าหากพรรคพลังประชาชนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างเป็นทางการ จะมีผลดีต่อตลาดหุ้นไทย ดัชนีตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวกปรับขึ้นได้ชัดเจนแต่หากเป็นในทางกลับกันคือ มีความไม่ลงตัว ล่าช้า ในการจัดตั้ง หรือ พรรคประชาธิปัตย์ สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็อาจมีความลังเลที่เข้าลงทุนในตลาดหุ้นเกิดขึ้นได้
'ถึงตอนนี้ก็ยังบอก ยากว่าพลังประชาชนจะจัดตั้งรัฐบาลได้ เมื่อไหร่ แต่ถ้าตั้งได้เร็วตลาดหุ้นก็จะได้รับผลบวกเร็ว' นายสมเกียรติ กล่าว
เขายังกล่าวต่อถึงการที่ช่วงก่อนหน้านี้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของกลุ่มรัฐบาลในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร มีการปรับขึ้นทันทีหลังผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาทราบผลคะแนนว่า เป็นเพราะหลายฝ่ายคาดว่าพรรคพลังประชาชนจะได้เป็นรัฐบาลจึงมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าว ดังนั้นถ้าต่อจากนี้พรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลจริงตามที่คาดไว้ก็ย่อมจะมีแรงซื้อทำให้หุ้นเหล่านี้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนอีกได้
พร้อมกันนี้ได้เแนะนำให้นักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในพอร์ต หรือติดหุ้นอยู่ แม้จะยังสามารถถือหุ้นต่อได้ แต่ก็ไม่ควรซื้อเพิ่ม เพราะตลาดหุ้นไทยขณะนี้ยังไม่ถึงจังหวะช้อนซื้อ และย่อมจะเป็นการเสี่ยงเกินไปถ้าจะซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรในระยะนี้
ส่วนหุ้นที่มีพื้นฐานธุรกิจแม้ตามหลักการ แล้วยังถือว่าน่าสนใจลงทุน แต่ถ้านักลงทุนจะซื้อโดยหวังให้ราคาปรับขึ้นในระยะสั้นก็อาจจะเสี่ยงต่อแรงขาย ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนได้เช่นกัน อีกทั้งประเมินการลงทุนช่วงนี้หุ้นที่ขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ IPO ยังถือว่าน่าลงทุน นักลงทุนมีโอกาสสูงที่จะมีกำไร แต่นักลงทุนต้องจองซื้อหุ้นโดยพิจารณาพื้นฐานทางธุรกิจประกอบด้วย
สำหรับการลงทุนในสินค้าอื่นเช่น ฟิวเจอร์ส อนุพันธ์ หรือ ออปชั่น อาจไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีความเข้าใจ ชำนาญมากพอ เพราะสินค้าเหล่านี้บางตัวมีการขึ้นลงอ้างอิงกับแนวโน้มภาพรวมตลาดหุ้นด้วย ซึ่งการวิเคราะห์เป็นรายตัวจะทำได้ง่ายกว่า
นายสมเกียรติ ยังได้กล่าวถึงการจัดพอร์ตลงทุนของตนเองว่า ได้แบ่งสัดส่วนการลงทุนโดยถือเงินสดไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนหุ้นที่มีอยู่เป็นหุ้นพื้นฐานดีในกลุ่มพลังงานมากกว่า 50% ของหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่
" ส่วนหุ้นประเภทเก็งกำไรที่มีการเคลื่อนไหวของราคารวดเร็ว ปัจจุบันไม่มีอยู่ในพอร์ตมาประมาณ 3 ปีแล้ว อีกทั้งในช่วงนี้ยังไม่ได้ซื้อหรือขายหุ้นใดมากนัก เพราะไม่แน่ใจในภาวะตลาดหุ้นไทย" นายสมเกียรติ กล่าว
* 'เสี่ยปู่' แนะเลือกเก็บหุ้นเก็งกำไร30% อีก 70% ลงทุนหุ้นพื้นฐาน
นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือเสี่ยปู่ ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า ประเมินว่าสาเหตุที่ SET Index มีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 วันทำการ หลังจากที่เปิดศักราชใหม่ปี 2551 เนื่องจากได้รับปัจจัยลบจากปัญหาซัพไพร์มที่ยัง ไม่คลี่คลาย นอกจากนี้นักลงทุนยังรอดูรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะออกมาในลักษณะใด ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลชะลอการลงทุนรวมทั้งยังกดดันบรรยากาศการลงทุนอีกด้วย
' ช่วงนี้นักลงทุนคงจะรอดูโฉมหน้ารัฐบาลชุดใหม่อยู่จึงชะลอการลงทุนออกไปทำให้บรรยากาศการลงทุนไม่ค่อยสดใสและมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องซึ่ง บรรยากาศการลงทุนน่าจะเป็นอย่างนี้ไปสักพักจนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ' นายสมพงษ์ กล่าว
ส่วนในปี 2551 ยังคงเน้นกลยุทธ์การลงทุนโดยเลือกลงทุนในหุ้นเก็งกำไรสัดส่วน 30% และ ส่วนที่เหลืออีก 70% เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี นอกจากนี้ยังกระจายการลงทุนในหุ้นหลายๆ กลุ่ม เพื่อป้องกันความเสี่ยง
อย่างไรก็ตามช่วงนี้ได้ทยอยขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงานบ้างแล้วเพราะที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นจังหวะที่ดี แต่หากราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับลดลงอาจจะเข้าไปซื้อกลับเข้าพอร์ตได้ เพราะในอนาคตยังสามารถเติบ โตได้ดีและน่าจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าด้วย
นายสมพงษ์ กล่าวต่อไปว่าต้องการแนะนำนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานหรือปัจจัยบวก ใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนให้ระมัดระวัง เพราะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นๆ ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับอาจจะไม่คุ้มค่า ขณะเดียวกัน อาจจะขาดทุนหรือติดยอดดอยได้
'ถึงแม้หุ้นเก็งกำไรที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นมากๆ แล้วให้ผลตอบแทนดีๆ แต่ไม่ควรเข้าไปลงทุนเพราะความเสี่ยงค่อนข้างสูงอีกอย่างการเข้าไปลงทุนอาจจะไม่คุ้ม ค่าได้ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วจะไม่เลือกลงทุนหุ้นในลักษณะนี้' นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันในพอร์ตมีหุ้นของบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIN ด้วย ซึ่งการ เลือกลงทุนในหุ้นดังกล่าวถือว่ามีความคุ้มค่าและรู้สึกพอใจมาก เนื่องจากให้ผลตอบ แทนที่ดีและในอนาคตยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังคาดว่ามีโอกาสที่จะติด 1 ใน 5 หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโตมากที่สุด จากปัจจุบันที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ในขณะเดียวกันอนาคตไม่มี แผนที่จะขายหุ้นดังกล่าวออกไปด้วยจากเดิมที่ถืออยู่ในสัดส่วน 9.96% เพราะไม่มี ความจำเป็น ส่วนหุ้นของบริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL ที่ขายออกมาจำนวน 2 ล้านหุ้นในอนาคตหากมีโอกาสดีอาจจะเข้าไปซื้อหุ้นดังกล่าว กลับเข้าพอร์ตได้
* 'เสี่ยป๋อง' แนะเป็นจังหวะเข้าเก็บหุ้นบิ๊กแคป แย้มพลังงานน่าสน
นายวัชระ แก้วสว่าง หรือเสี่ยป๋อง ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยฯปรับลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายต้นปีใหม่ ซึ่งมองว่าเป็นไปตามปัจจัภายนอก โดยเฉพาะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับลดลงแรง
ทั้งนี้ มองว่าจังหวะที่ดัชนีฯ และราคาหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ปรับลดลง เป็นโอกาสในการเข้าไปทยอยเก็บหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่น่าสนใจจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูง
'จริงๆหุ้นไทยที่ลง ให้น้ำหนักว่ามาจากปัจจัยต่างประเทศมากกว่า เพราะหุ้นภูมิภาคลงแรงหลายตลาดฯ ส่วนปัจจัยภายในแม้ยังไม่ได้รัฐบาลใหม่ แต่ก็ไม่น่ามีผลเท่าไหร่ เพราะประเทศไทยเองก็ว่างเว้นจากการมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งพอสมควร'นายวัชระ กล่าว
อย่างไรก็ดี ทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยฯช่วงนี้ค่อนข้างผันผวน แต่ทั้งนี้มั่นใจว่าหากได้เห็นโฉมหน้ารัฐบาลชุดใหม่อย่างเป็นทางการ ก็จะกระตุ้นความมั่นใจนักลงทุนกลับมามากขึ้น โดยภายหลังได้รัฐบาลชุดใหม่ ดัชนีฯน่าจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 3 เดือน โดยคาดการณ์ดัชนีฯต่ำสุดของปีไม่น่าหลุด 750 จุด ขณะเดียวกันช่วงปลายปีมีโอกาสได้เห็นดัชนีฯขยับขึ้นมาสูงสุดที่ประมาณ 1 พันจุด
'หวังรอผลจัดตั้งรัฐบาลใหม่ชัดเจน เพราะช่วงนี้ยังมีเรื่องใบแดงที่ ก.ก.ต.อยู่ระหว่างพิจารณาอีก ซึ่งภายหลังได้รัฐบาล ความเชื่อมั่นต่างๆน่าจะกลับมา ซึ่ง 3 เดือนจากนั้นถือเป็นช่วง Honeymoon Period ตลาดหุ้นไทยเลยก็ว่าได้'นายวัชระ กล่าว
นายวัชระ กล่าวด้วยว่า หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างน่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ในช่วงที่รัฐบาลใหม่ออกนโยบายเศรษฐกิจ รวมถึงโครงการเมกะโปรเจ็ก โดยแนะนำนักลงทุนรายย่อยให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีผลต่อการลงทุน
ราคาปิดหุ้นขนาดเล็ก วานนี้
ราคาปิด ลดลง % มูลค่าการซื้อขาย
IEC 1.72 0.02 1.15 414.41
APURE 2.66 0.08 2.92 105.40
WIN 1.27 0.03 2.31 242.13
SINGHA 2.38 0.02 0.83 3.10
MLINK 1.72 0.02 1.15 269.26
TYM 4.96 0.60 13.76 119.64
PSAP 1.53 0.32 26.45 101.67
EMC 5.00 0.42 9.17 191.07
EMC-W1 3.90 0.40 11.43 137.93
WIN-W 0.58 0.05 9.43 0.83
SINGHA-W 1.06 0.05 4.95 54.73
PE 1.23 0.07 6.03 89.79
PT 2.54 0.04 1.60 6.20
SAM 2.06 0.02 0.98 132.87
SAM-W1 1.57 0.05 3.29 108.53
THL 1.45 0.15 11.54 79.04
S2Y 2.26 0.00 0.00 247.34
รวบรวมโดย eFinanceThai.com
เจ๊สีฟ้า -เสี่ยแตงโม-เสี่ยปู่-เสี่ยป๋อง พร้อมใจเปิดกลยุทธ์การลงทุน "เจ๊สีฟ้า" แนะแผนเก็งกำไร 'ซื้อตัวเขียว-ขายตัวแดง' ต้องหนักแน่ไม่หวั่นไหว ขณะที่ "เสี่ยแตงโม" ยังประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีหนูไม่ออก หวังให้จัดตั้งรัฐบาลได้เร็วที่สุด เตือนนลท.อย่าเพิ่งรีบเก็บเพิ่ม ยังไม่ถึงจังหวะช้อนลงทุน แต่ยังเชียร์หุ้น IPO เหตุมีเสน่ห์ ด้าน "เสี่ยปู่' แนะ นลท. รอดูโฉมหน้าครม. ชุดใหม่ แต่ปีนี้จะเลือกเก็บหุ้นเก็งกำไร 30% อีก 70% ลงทุนหุ้นพื้นฐาน หวังโกยกำไรในอนาคต 'เสี่ยป๋อง' ชี้ตลาดแบบนี้เป็นจังหวะเข้าเก็บหุ้นบิ๊กแคป แย้มพลังงานน่าสน หลังน้ำมันยังแพง
ไม่ค่อยสดใสนัก สำหรับตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้นไทย กับการเปิดศักราชใหม่ปี 2551 หรือปีหนูทอง ปีชวดของคนไทย เพราะแค่วันแรกของการเริ่มต้นปีใหม่ ตลาดหุ้นไทยก็ปิดร่วงทันที 15.13 จุด ส่งผลให้ดัชนีลงไปอยู่ที่ 842.97 จุด เมื่อวันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา ในขณะที่การซื้อขายเมื่อวานนี้ (3 ม.ค.) ดัชนีก็ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากวันที่ 2 อีกครั้ง ทั้งนี้เป็นผลมาจากตลาดได้รับผลกระทบทางจิตวิทยาการลงทุน จากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ลดลงทั้งดาวโจนส์ รวมไปถึงตลาดฯ ภูมิภาคเอเซีย ขณะที่การจัดตั้งรัฐบาลที่คาดว่าจะดำเนินการได้ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนนี้ ก็ยังไม่สามารถจัดตั้งได้ เนื่องจากพรรคการเมืองทั้ง พรรคพลังประชาชน ที่เป็นแกนนำในการจัดตั้ง พรรคชาคิไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ต่างก็แสดงท่าทีจะเข้าร่วมรัฐบาลแล้วนั้น ต่างงดจัดกิจกรรมทางการเมืองในตอนนี้ จนส่งผลให้การตั้งรัฐบาลต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด โดยคาดว่าอาจจะต้องรอจนกว่าจพ้นกลางเดือนนี้ไปก่อน และปัจจัยภายในดังกล่าวก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่กระทบการลงทุน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนในช่วง 2 วัน ของการเริ่มต้นปีใหม่ด้วยเช่นกัน
วานนี้ ดัชนีฯ ปิดที่ 832.63 จุด ลดลง 10.34 จุด หรือ 1.23% มีมูลค่าการซื้อขาย 18,230.08 ล้านบาท รวม 2 วัน ดัชนีลดลงไปแล้วกว่า 25 จุด ทั้งนี้เพราะหุ้นบิ๊กแคป หรือหุ้นมูลค่าตลาดรวมขนาดใหญ่ต่างโดนเทขายออกมาแทบทั้งหมด โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ รวมไปถึงหุ้นกลุ่มเดินเรือที่ลดลงหลังดัชนีค่าระวางเรือลดลงกว่า 200 จุด หลังจากช่วงปลายปีราคาหุ้นปรับขึ้นไปมาก จึงทำให้เกิดการพักฐานในหุ้นขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วง 2 วันทำการดัชนีฯ จะปรับลดลง และหุ้นบิ๊กแคปถูกแรงเทขายค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นที่สังเกตุได้ว่าหุ้นเก็งกำไร หรือหุ้นขนาดเล็ก กลับมีการซื้อขายอย่างคึกคัก และก็ถือเป็นธรรมชาติของหุ้นกลุ่มนี้อีกครั้ง เพราะทุกครั้งที่หุ้นขนาดใหญ่พักฐาน หรืออ่อนแรงลง ดัชนีฯ ยืนอยู่ในแดนบวก แต่หุ้นกลุ่มดังกล่าวก็มักจะกลับมาปลุกกระแสความคึกคักให้คืนสู่ตลาดฯ ได้ไม่มากก็น้อย เพราะ 2 วันที่ผ่านมานี้ แทบจะเรียกได้ว่าหุ้นตัวเล็กขาประจำทั้งนั้น ที่เข้ามาเป็นตัวชูโรงตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น บมจ. อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) บมจ. ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE) บมจ. อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง (IEC) บมจ. สยามทูยู (S2Y) บมจ. อีเอ็มซี (EMC) บมจ. วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค (WIN) บมจ. ป่องทรัพย์ (PSAP) ฯลฯ
ทั้งนี้นอกเหนือจากประเด็นของหุ้นขนาดเล็ก หุ้นเก็งกำไรที่ซื้อขายกันคล่องมือในช่วงต้นปีใหม่นี้แล้ว อีกประเด็นที่มักจะมาพร้อมกับความคึกคักของหุ้นกลุ่มดังกล่าว ก็คือ การเข้ามาจุดพลุดหรือดันหุ้นกลุ่มนี้ของบรรดาขาใหญ่ หรือนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดฯ ที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักลงทุนด้วย เนื่องจากเมื่อหุ้นร้อนประเภทนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็มักจะมีชื่อของนักลงทุนเหล่านี้ ติดร่างแหไปด้วยเสมอ ไม่ว่าหุ้นจะออกมาแบบขึ้นแรง หรือว่าร่วงแรง เพราะเกิดจากการปรับพอร์ตลงทุน หรือถอนการลงทุนก็ตาม อย่าล่าสุดก็คือกรณีของ"เจ๊สีฟ้า" นักลงทุนอีกคนหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีในตลาดฯ กับการขายหุ้น LIVE ออกไปกว่า 1% จนเกิดกระแสข่าวว่าจะลดการลงทุนในหุ้นดังกล่าว จนทำให้เจ้าตัวต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง
ดังนั้นเพื่อให้นักลงทุนได้รับรู้ถึงความเคลื่อนไหว มุมมองการลงทุน และความเห็นของนักลงทุนรายใหญ่ของตลาดฯ ในขณะนี้ eFinanceThai.com จึงรวบรวมคำสัมภาษณ์นักลงทุนเหล่านี้ มาให้ได้อ่านกัน เพื่อเป็นแนวทางในการลงทุน ว่านักลงทุนกลุ่มนี้มีกลยุทธ์อย่างไรในภาวะที่ตลาดหุ้นช่วงปีใหม่ยังคงซบเซา และอยู่ในระหว่างการรอความชัดเจนหลายด้านทั้งเศรษฐกิจ และการเมือง
* เจ๊สีฟ้า ยันไม่ล้างพอร์ตหุ้นLIVE แนะกลยุทธ์เก็งกำไร 'ซื้อตัวเขียว-ขายตัวแดง'
นางสีฟ้า แจ่มวุฒิปรีชา หรือเจ๊สีฟ้า เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ถึงกรณีการแจ้งขายหุ้น บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (LIVE) 1.04% เป็นเพียงการนำหุ้นออกมาเก็งกำไรตามปกติ ซึ่งยืนยันว่าจะไม่ทิ้งหุ้นล้างพอร์ตแน่นอน โดยล่าสุดได้กลับเข้าไปซื้อหุ้นจนมีสัดส่วนเกินกว่า 5% อีกครั้ง และเตรียมแจ้งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ในวันนี้
'หุ้น LIVE เป็นหุ้นที่ถือมานานแล้ว และมีการแบ่งออกมาเทรดดิ้งนิดหน่อย ที่แจ้งขายไปก๋แค่ 1% กว่า และก็กลับไปซื้อเพิ่มเป็น 5% แล้ว ส่วนที่หนังสือพิมพ์ไปลงว่าจะล้างพอร์ตนั้น ไม่เป็นความจริง' นางสีฟ้ากล่าว
นางสีฟ้า ยังกล่าวยืนยันว่าตัวเองเป็นนักเก็งกำไร โดยจะซื้อขายหุ้นในลักษณะการเก็งกำไรเป็นหลัก ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ 'ซื้อตัวเขียว-ขายตัวแดง' และพิจารณาสัญญาณเทคนิคของหุ้นแต่ละตัว ปัจจุบันมีการซื้อขายหุ้นเก็งกำไรหลายตัวในพอร์ต แต่ไม่ต้องการเปิดเผยว่ามีหุ้นตัวใดบ้าง
ทั้งนี้แม้ว่าจะซื้อขายหุ้นแบบเก็งกำไร แต่ปกติแล้วจะเป็นคนที่ถือหุ้นในระยะกลาง ไม่ได้เล่นสั้นแบบวันต่อวัน และในพอร์ตหุ้นที่ถืออยู่มีการแบ่งอกมาเทรดดิ้งบ้างเล็กน้อย อย่างเช่นหุ้น LIVE ที่นำออกมาเก็งกำไรประมาณ 1% กว่าๆ แต่ในพอร์ตยังถืออยู่ประมาณ 5%
สำหรับหุ้นเก็งกำไรหลายตัวที่ถูกตลาดหลักทรัพย์ออกมาตรการห้ามซื้อขายแบบเน็ทเซ็ทเทิลเม้นท์และมาร์จิ้น รวมทั้งหุ้น LIVE ด้วยนั้น ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว และไม่ได้ขายหุ้นออกมา และอยากแนะนำนักเก็งกำไรให้หนักแน่น หากดูเทรนด์แล้วยังเป็นขาขึ้น อย่ารีบร้อนขายหุ้น ซึ่งโดยส่วนตัวถึงแม้จะเป็นนักเก็งกำไรแต่ไม่เคยถูกตลาดหลักทรัพย์ขอข้อมูลแต่อย่างใด เพราะการเล่นเก็งกำไรในตลาดหุ้นไม่ได้ถือเป็นเรื่องผิด
'หุ้นทุกตัวก็เก็งกำไรกันทั้งนั้น PTT เองก็มีการเก็งกำไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องผิด และตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่เคยเรียกคุย ส่วนกลยุทธ์การเก็งกำไรก็ง่ายๆ และคิดว่าทุกคนทำได้คือซื้อตัวเขียว แล้วขายตัวแดง'นางสีฟ้ากล่าว
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น LIVE ปรับตัวขึ้นยืนแดนบวกทันที หลังเจ๊สีฟ้ายืนยันว่ายังไม่ล้างพอร์ต โดยล่าสุดเวลาประมาณ 11.25 น. ราคาหุ้นอยู่ที่ 2.28 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท หรือ 3.64% มูลค่าการซื้อขาย 40.26 ล้านบาท จากช่วงเช้าที่ร่วงแตะจุดต่ำสุดที่ 2.06 บาท
* 'เสี่ยแตงโม' เชียร์หุ้นIPO เสน่ห์แรง แต่เตือนนลท.อย่ารีบเก็บหุ้นตอนนี้
นายสมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ หรือ เสี่ยแตงโม ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้อย่างชัดเจนถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 2551 หากเทียบกับปี 2550 ว่า จะแตกต่างกันมากน้อยเพียงใดทั้งในเชิงบวก และเชิงลบ เพราะยังมีปัจจัยด้านการเมืองที่ต้องรอความชัดเจนเรื่องการก่อตั้งรัฐบาลอยู่ ซึ่งนับเป็นประเด็นหลักที่จะมีผลกระทบต่อการลงทุน
นอกจากนี้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน หรืออาจไม่ขยายตัวมากเท่าที่ควร ก็ยังเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ ที่จะสะท้อนผลให้ตลาดหุ้นไทยมีการเคลื่อนไหวตามได้ ทั้งนี้เชื่อว่าหากพรรคพลังประชาชนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างเป็นทางการ จะมีผลดีต่อตลาดหุ้นไทย ดัชนีตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวกปรับขึ้นได้ชัดเจนแต่หากเป็นในทางกลับกันคือ มีความไม่ลงตัว ล่าช้า ในการจัดตั้ง หรือ พรรคประชาธิปัตย์ สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็อาจมีความลังเลที่เข้าลงทุนในตลาดหุ้นเกิดขึ้นได้
'ถึงตอนนี้ก็ยังบอก ยากว่าพลังประชาชนจะจัดตั้งรัฐบาลได้ เมื่อไหร่ แต่ถ้าตั้งได้เร็วตลาดหุ้นก็จะได้รับผลบวกเร็ว' นายสมเกียรติ กล่าว
เขายังกล่าวต่อถึงการที่ช่วงก่อนหน้านี้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของกลุ่มรัฐบาลในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร มีการปรับขึ้นทันทีหลังผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาทราบผลคะแนนว่า เป็นเพราะหลายฝ่ายคาดว่าพรรคพลังประชาชนจะได้เป็นรัฐบาลจึงมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าว ดังนั้นถ้าต่อจากนี้พรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลจริงตามที่คาดไว้ก็ย่อมจะมีแรงซื้อทำให้หุ้นเหล่านี้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนอีกได้
พร้อมกันนี้ได้เแนะนำให้นักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในพอร์ต หรือติดหุ้นอยู่ แม้จะยังสามารถถือหุ้นต่อได้ แต่ก็ไม่ควรซื้อเพิ่ม เพราะตลาดหุ้นไทยขณะนี้ยังไม่ถึงจังหวะช้อนซื้อ และย่อมจะเป็นการเสี่ยงเกินไปถ้าจะซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรในระยะนี้
ส่วนหุ้นที่มีพื้นฐานธุรกิจแม้ตามหลักการ แล้วยังถือว่าน่าสนใจลงทุน แต่ถ้านักลงทุนจะซื้อโดยหวังให้ราคาปรับขึ้นในระยะสั้นก็อาจจะเสี่ยงต่อแรงขาย ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนได้เช่นกัน อีกทั้งประเมินการลงทุนช่วงนี้หุ้นที่ขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ IPO ยังถือว่าน่าลงทุน นักลงทุนมีโอกาสสูงที่จะมีกำไร แต่นักลงทุนต้องจองซื้อหุ้นโดยพิจารณาพื้นฐานทางธุรกิจประกอบด้วย
สำหรับการลงทุนในสินค้าอื่นเช่น ฟิวเจอร์ส อนุพันธ์ หรือ ออปชั่น อาจไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีความเข้าใจ ชำนาญมากพอ เพราะสินค้าเหล่านี้บางตัวมีการขึ้นลงอ้างอิงกับแนวโน้มภาพรวมตลาดหุ้นด้วย ซึ่งการวิเคราะห์เป็นรายตัวจะทำได้ง่ายกว่า
นายสมเกียรติ ยังได้กล่าวถึงการจัดพอร์ตลงทุนของตนเองว่า ได้แบ่งสัดส่วนการลงทุนโดยถือเงินสดไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนหุ้นที่มีอยู่เป็นหุ้นพื้นฐานดีในกลุ่มพลังงานมากกว่า 50% ของหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่
" ส่วนหุ้นประเภทเก็งกำไรที่มีการเคลื่อนไหวของราคารวดเร็ว ปัจจุบันไม่มีอยู่ในพอร์ตมาประมาณ 3 ปีแล้ว อีกทั้งในช่วงนี้ยังไม่ได้ซื้อหรือขายหุ้นใดมากนัก เพราะไม่แน่ใจในภาวะตลาดหุ้นไทย" นายสมเกียรติ กล่าว
* 'เสี่ยปู่' แนะเลือกเก็บหุ้นเก็งกำไร30% อีก 70% ลงทุนหุ้นพื้นฐาน
นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือเสี่ยปู่ ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า ประเมินว่าสาเหตุที่ SET Index มีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 วันทำการ หลังจากที่เปิดศักราชใหม่ปี 2551 เนื่องจากได้รับปัจจัยลบจากปัญหาซัพไพร์มที่ยัง ไม่คลี่คลาย นอกจากนี้นักลงทุนยังรอดูรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะออกมาในลักษณะใด ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลชะลอการลงทุนรวมทั้งยังกดดันบรรยากาศการลงทุนอีกด้วย
' ช่วงนี้นักลงทุนคงจะรอดูโฉมหน้ารัฐบาลชุดใหม่อยู่จึงชะลอการลงทุนออกไปทำให้บรรยากาศการลงทุนไม่ค่อยสดใสและมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องซึ่ง บรรยากาศการลงทุนน่าจะเป็นอย่างนี้ไปสักพักจนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ' นายสมพงษ์ กล่าว
ส่วนในปี 2551 ยังคงเน้นกลยุทธ์การลงทุนโดยเลือกลงทุนในหุ้นเก็งกำไรสัดส่วน 30% และ ส่วนที่เหลืออีก 70% เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี นอกจากนี้ยังกระจายการลงทุนในหุ้นหลายๆ กลุ่ม เพื่อป้องกันความเสี่ยง
อย่างไรก็ตามช่วงนี้ได้ทยอยขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงานบ้างแล้วเพราะที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นจังหวะที่ดี แต่หากราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับลดลงอาจจะเข้าไปซื้อกลับเข้าพอร์ตได้ เพราะในอนาคตยังสามารถเติบ โตได้ดีและน่าจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าด้วย
นายสมพงษ์ กล่าวต่อไปว่าต้องการแนะนำนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานหรือปัจจัยบวก ใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนให้ระมัดระวัง เพราะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นๆ ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับอาจจะไม่คุ้มค่า ขณะเดียวกัน อาจจะขาดทุนหรือติดยอดดอยได้
'ถึงแม้หุ้นเก็งกำไรที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นมากๆ แล้วให้ผลตอบแทนดีๆ แต่ไม่ควรเข้าไปลงทุนเพราะความเสี่ยงค่อนข้างสูงอีกอย่างการเข้าไปลงทุนอาจจะไม่คุ้ม ค่าได้ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วจะไม่เลือกลงทุนหุ้นในลักษณะนี้' นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันในพอร์ตมีหุ้นของบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIN ด้วย ซึ่งการ เลือกลงทุนในหุ้นดังกล่าวถือว่ามีความคุ้มค่าและรู้สึกพอใจมาก เนื่องจากให้ผลตอบ แทนที่ดีและในอนาคตยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังคาดว่ามีโอกาสที่จะติด 1 ใน 5 หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโตมากที่สุด จากปัจจุบันที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ในขณะเดียวกันอนาคตไม่มี แผนที่จะขายหุ้นดังกล่าวออกไปด้วยจากเดิมที่ถืออยู่ในสัดส่วน 9.96% เพราะไม่มี ความจำเป็น ส่วนหุ้นของบริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL ที่ขายออกมาจำนวน 2 ล้านหุ้นในอนาคตหากมีโอกาสดีอาจจะเข้าไปซื้อหุ้นดังกล่าว กลับเข้าพอร์ตได้
* 'เสี่ยป๋อง' แนะเป็นจังหวะเข้าเก็บหุ้นบิ๊กแคป แย้มพลังงานน่าสน
นายวัชระ แก้วสว่าง หรือเสี่ยป๋อง ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยฯปรับลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายต้นปีใหม่ ซึ่งมองว่าเป็นไปตามปัจจัภายนอก โดยเฉพาะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับลดลงแรง
ทั้งนี้ มองว่าจังหวะที่ดัชนีฯ และราคาหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ปรับลดลง เป็นโอกาสในการเข้าไปทยอยเก็บหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่น่าสนใจจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูง
'จริงๆหุ้นไทยที่ลง ให้น้ำหนักว่ามาจากปัจจัยต่างประเทศมากกว่า เพราะหุ้นภูมิภาคลงแรงหลายตลาดฯ ส่วนปัจจัยภายในแม้ยังไม่ได้รัฐบาลใหม่ แต่ก็ไม่น่ามีผลเท่าไหร่ เพราะประเทศไทยเองก็ว่างเว้นจากการมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งพอสมควร'นายวัชระ กล่าว
อย่างไรก็ดี ทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยฯช่วงนี้ค่อนข้างผันผวน แต่ทั้งนี้มั่นใจว่าหากได้เห็นโฉมหน้ารัฐบาลชุดใหม่อย่างเป็นทางการ ก็จะกระตุ้นความมั่นใจนักลงทุนกลับมามากขึ้น โดยภายหลังได้รัฐบาลชุดใหม่ ดัชนีฯน่าจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 3 เดือน โดยคาดการณ์ดัชนีฯต่ำสุดของปีไม่น่าหลุด 750 จุด ขณะเดียวกันช่วงปลายปีมีโอกาสได้เห็นดัชนีฯขยับขึ้นมาสูงสุดที่ประมาณ 1 พันจุด
'หวังรอผลจัดตั้งรัฐบาลใหม่ชัดเจน เพราะช่วงนี้ยังมีเรื่องใบแดงที่ ก.ก.ต.อยู่ระหว่างพิจารณาอีก ซึ่งภายหลังได้รัฐบาล ความเชื่อมั่นต่างๆน่าจะกลับมา ซึ่ง 3 เดือนจากนั้นถือเป็นช่วง Honeymoon Period ตลาดหุ้นไทยเลยก็ว่าได้'นายวัชระ กล่าว
นายวัชระ กล่าวด้วยว่า หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างน่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ในช่วงที่รัฐบาลใหม่ออกนโยบายเศรษฐกิจ รวมถึงโครงการเมกะโปรเจ็ก โดยแนะนำนักลงทุนรายย่อยให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีผลต่อการลงทุน
ราคาปิดหุ้นขนาดเล็ก วานนี้
ราคาปิด ลดลง % มูลค่าการซื้อขาย
IEC 1.72 0.02 1.15 414.41
APURE 2.66 0.08 2.92 105.40
WIN 1.27 0.03 2.31 242.13
SINGHA 2.38 0.02 0.83 3.10
MLINK 1.72 0.02 1.15 269.26
TYM 4.96 0.60 13.76 119.64
PSAP 1.53 0.32 26.45 101.67
EMC 5.00 0.42 9.17 191.07
EMC-W1 3.90 0.40 11.43 137.93
WIN-W 0.58 0.05 9.43 0.83
SINGHA-W 1.06 0.05 4.95 54.73
PE 1.23 0.07 6.03 89.79
PT 2.54 0.04 1.60 6.20
SAM 2.06 0.02 0.98 132.87
SAM-W1 1.57 0.05 3.29 108.53
THL 1.45 0.15 11.54 79.04
S2Y 2.26 0.00 0.00 247.34
รวบรวมโดย eFinanceThai.com
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 89
Credit : K.ปู่ธวัช(thawatt)
ไปค้นเจอข้อเขียนผมในอดีตเมื่อปีที่แล้ว เดือน ธันวาคม 2548 พอดี พบว่าข้อเขียนนี้ อาจจะยังมีประโยชน์อยู่บ้าง ได้นำมาปรับปรุงข้อเขียนให้ดีขึ้น ลองมาอ่านดูกันนะครับ
Segment กลุ่มหุ้นที่นักลงทุนสนใจ
เท่าที่ผมสังเกตุการลงทุนในช่วงนี้ ผมเห็น Segment ของกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจดังนี้
1. กลุ่ม Segment ตลาดที่นักลงทุนกลุ่มสถาบันและกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่สนใจลงทุน กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่อยู่ในกลุ่ม Set 50 นำโดยกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มสื่อสาร เป็นต้น เหตุผลคือนักลงทุนในกลุ่มนี้จะมีเงินลงทุนมหาศาล ดังนั้นต้องเลือกซื้อหุ้นที่มีขนาดใหญ่เหมาะกับการลงทุนจำนวนมาก ๆ ได้ เท่าที่ดูแล้ว กลุ่มนี้มักจะไม่ค่อยผันผวนไปกับจิตวิทยามวลชนมากนัก ราคามักจะค่อย ๆ ขยับไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อนเหมือนหุ้นเก็งกำไร หลาย ๆ ตัวยังมี PE ไม่สูงมากนัก บางตัวก็ต่ำกว่าตลาดอีกด้วย แถมมีกระแสเงินสดที่ดี และจ่ายปันผลหลายปีอย่างสม่ำเสมอ
2. กลุ่มหุ้นที่มีเจ้ามือดูแลเป็นพิเศษ กลุ่มนี้ขึ้นอยู่กับการเล่นของเจ้ามือ ซึ่งมักมีลูกเล่นลูกล่อ ลูกชน เพื่อจะเล่นหลอกล่อรายย่อย หลายตัวมักอาศัยข้อมูลภายในเพื่อสร้างความได้เปรียบในการซื้อขายด้วย เช่น ซื้อก่อนหลายวัน แล้วจึงออกข่าวดีออกมาเพื่อขายของ(ลองสังเกตหุ้นสวนนรกดูครับ) หรือเจ้ามือบางคนก็อาศัยวิธีการเล่น คือ ถ้ายังเก็บของไม่ได้ครบ แต่มีผู้ผสมโรงเก็บตามจำนวนมาก เขาก็จะทุบหุ้นเพื่อให้คายของออก ถ้ายังไม่คาย ก็จะหยุดซื้อไปเฉย ๆ ทิ้งเวลาไปหลายเดือน จนนักลงทุนที่เก็บของต้องยอมคายของออกมา ต่อจากนั้น เจ้ามือก็จะค่อยทะยอยเก็บของจนได้ของครบ (เหมือนหุ้นที่คุณจะเด็จเคยแสดงไว้ ต้องรอเกือบ 4 เดือนครับ ทุบจนแห้งสนิท ๆ เลยครับ) จึงค่อยไล่ราคาขึ้นไปสูง ๆ เพื่อล่อรายย่อยให้เข้าไปซื้อตาม จนกระทั่งขึ้นไปสูงมาก ๆ ก็ถึงคราวอยู่บนยอดดอยเมื่อเจ้ามือเริ่มปล่อยของหมดแล้ว เป็นต้น
3. กลุ่มเล่นเก็งกำไรโดยอาศัย Story ต่าง ๆ มาเล่น ผันผวนค่อนข้างมาก เวลาลงจะลงแรง แต่เวลาขึ้นก็แรงมากเช่นกัน กลุ่มนี้ได้แก่ กลุ่มหลักทรัพย์ (ขึ้นกับ Volumn ซื้อขายเป็นช่วง ๆ ) กลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (เล่นข่าวโครงการเมกะโปรเจ๊กซ์) เป็นต้น กลุ่มนี้ต้องระวังให้ดี บางครั้งก่อนจะไล่ราคา จะมีนักลงทุนบางกลุ่มสร้างข่าวเพื่อทุบหุ้นแล้วเก็บของ หลังจากนั้นก็จะไล่ราคาขึ้นไปแบบเหลือเชื่อ เช่นในอดีต Kest ทุบจนลงไปเหลือ 18.7 บาท แล้วไล่ราคาขึ้นไปสูงสุดประมาณ 24.6 บาทในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ลองคิดดูเล่น ๆ ก็แล้วกันว่ากำไรกี่% (ตอนทุบช่วงนั้น เล่นข่าวออก Warrant ให้พนักงานราคาต่ำกว่าตลาดมาก ) ดังนั้นกลุ่มพวกนี้ต้องดูจังหวะซื้อและขายให้ดีครับ ต้องพิจารณาข่าวให้ดีว่าเป็นข่าวลวง หรือข่าวที่ทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปในระยะยาวหรือไม่ ปกติ กลุ่มหลักทรัพย์เขามักจะรอซื้อในช่วงที่โวลุ่มน้อยๆ และกำลังเปลี่ยน Trend เป็น Volumn มาก ๆ และจะค่อย ๆ ทะยอยขายเมื่อตอนโวลุ่มเริ่มสูงขึ้น ซึ่งคล้ายกับหุ้นวัฏจักร ให้ทะยอยซื้อตอนวัฏจักรขาขึ้น และขายตอนวัฏจักรขาลงครับ กลุ่มเหล่านี้ต้องเล่นรอบให้เป็นจึงจะมีกำไรที่ดีครับ (หลาย ๆ ตัวในปัจจุบันผมไปค้นดู กระแสเงินสดดีมาก หนี้น้อยมาก P/BV ต่ำกว่าตลาด (บางตัว กระแสเงินสดต่อหุ้น พอ ๆ กับราคาตลาด) บางตัว PE ก็ไม่ค่อยสูง Market share มีแนวโน้มสูงขึ้น บางตัวเอากระแสเงินสดไปลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน ซึ่งช่วงไตรมาส 4 จะมีกำไรที่ดี เนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยลดลงทำให้ตราสารหนี้มีมูลค่าสูงขึ้น และไตรมาส 4 ดัชนีเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมไตรมาส 3 ก็จะทำให้ที่เคยขาดทุนในไตรมาส 3 จะพลิกกลับเป็นกำไรไตรมาสนี้เป็นต้น)
4. กลุ่มที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว กลุ่มนี้ตอนลงก็ไม่ค่อยลงกับเขา แต่เวลาตลาดขึ้น ก็ไม่ค่อยขึ้นกับเขา แต่พอจะขึ้นนั้น ก็จะขึ้นแรงทีเดียวเลยตามผลประกอบการที่ดีขึ้นมาก ส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มลงทุนระยะยาว ไม่มีสภาพคล่องครับ เหมาะกับนักลงทุนระยะยาวทั่วไปที่ไม่ต้องการความผันผวนของราคาหุ้นมากนัก แต่ต้องการผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่สูงในอนาคต
ใครสนใจเลือกกลุ่มใดก็พิจารณาเลือกซื้อเลือกขายหุ้นตามการวิเคราะห์ของตัวท่านเองครับ ใครมีความเห็นอื่น ๆช่วยเสนอแนะด้วยนะครับ
ที่มา : http://bbznet.pukpik.com/scripts2/view. ... c=1&order=
ไปค้นเจอข้อเขียนผมในอดีตเมื่อปีที่แล้ว เดือน ธันวาคม 2548 พอดี พบว่าข้อเขียนนี้ อาจจะยังมีประโยชน์อยู่บ้าง ได้นำมาปรับปรุงข้อเขียนให้ดีขึ้น ลองมาอ่านดูกันนะครับ
Segment กลุ่มหุ้นที่นักลงทุนสนใจ
เท่าที่ผมสังเกตุการลงทุนในช่วงนี้ ผมเห็น Segment ของกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจดังนี้
1. กลุ่ม Segment ตลาดที่นักลงทุนกลุ่มสถาบันและกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่สนใจลงทุน กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่อยู่ในกลุ่ม Set 50 นำโดยกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มสื่อสาร เป็นต้น เหตุผลคือนักลงทุนในกลุ่มนี้จะมีเงินลงทุนมหาศาล ดังนั้นต้องเลือกซื้อหุ้นที่มีขนาดใหญ่เหมาะกับการลงทุนจำนวนมาก ๆ ได้ เท่าที่ดูแล้ว กลุ่มนี้มักจะไม่ค่อยผันผวนไปกับจิตวิทยามวลชนมากนัก ราคามักจะค่อย ๆ ขยับไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อนเหมือนหุ้นเก็งกำไร หลาย ๆ ตัวยังมี PE ไม่สูงมากนัก บางตัวก็ต่ำกว่าตลาดอีกด้วย แถมมีกระแสเงินสดที่ดี และจ่ายปันผลหลายปีอย่างสม่ำเสมอ
2. กลุ่มหุ้นที่มีเจ้ามือดูแลเป็นพิเศษ กลุ่มนี้ขึ้นอยู่กับการเล่นของเจ้ามือ ซึ่งมักมีลูกเล่นลูกล่อ ลูกชน เพื่อจะเล่นหลอกล่อรายย่อย หลายตัวมักอาศัยข้อมูลภายในเพื่อสร้างความได้เปรียบในการซื้อขายด้วย เช่น ซื้อก่อนหลายวัน แล้วจึงออกข่าวดีออกมาเพื่อขายของ(ลองสังเกตหุ้นสวนนรกดูครับ) หรือเจ้ามือบางคนก็อาศัยวิธีการเล่น คือ ถ้ายังเก็บของไม่ได้ครบ แต่มีผู้ผสมโรงเก็บตามจำนวนมาก เขาก็จะทุบหุ้นเพื่อให้คายของออก ถ้ายังไม่คาย ก็จะหยุดซื้อไปเฉย ๆ ทิ้งเวลาไปหลายเดือน จนนักลงทุนที่เก็บของต้องยอมคายของออกมา ต่อจากนั้น เจ้ามือก็จะค่อยทะยอยเก็บของจนได้ของครบ (เหมือนหุ้นที่คุณจะเด็จเคยแสดงไว้ ต้องรอเกือบ 4 เดือนครับ ทุบจนแห้งสนิท ๆ เลยครับ) จึงค่อยไล่ราคาขึ้นไปสูง ๆ เพื่อล่อรายย่อยให้เข้าไปซื้อตาม จนกระทั่งขึ้นไปสูงมาก ๆ ก็ถึงคราวอยู่บนยอดดอยเมื่อเจ้ามือเริ่มปล่อยของหมดแล้ว เป็นต้น
3. กลุ่มเล่นเก็งกำไรโดยอาศัย Story ต่าง ๆ มาเล่น ผันผวนค่อนข้างมาก เวลาลงจะลงแรง แต่เวลาขึ้นก็แรงมากเช่นกัน กลุ่มนี้ได้แก่ กลุ่มหลักทรัพย์ (ขึ้นกับ Volumn ซื้อขายเป็นช่วง ๆ ) กลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (เล่นข่าวโครงการเมกะโปรเจ๊กซ์) เป็นต้น กลุ่มนี้ต้องระวังให้ดี บางครั้งก่อนจะไล่ราคา จะมีนักลงทุนบางกลุ่มสร้างข่าวเพื่อทุบหุ้นแล้วเก็บของ หลังจากนั้นก็จะไล่ราคาขึ้นไปแบบเหลือเชื่อ เช่นในอดีต Kest ทุบจนลงไปเหลือ 18.7 บาท แล้วไล่ราคาขึ้นไปสูงสุดประมาณ 24.6 บาทในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ลองคิดดูเล่น ๆ ก็แล้วกันว่ากำไรกี่% (ตอนทุบช่วงนั้น เล่นข่าวออก Warrant ให้พนักงานราคาต่ำกว่าตลาดมาก ) ดังนั้นกลุ่มพวกนี้ต้องดูจังหวะซื้อและขายให้ดีครับ ต้องพิจารณาข่าวให้ดีว่าเป็นข่าวลวง หรือข่าวที่ทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไปในระยะยาวหรือไม่ ปกติ กลุ่มหลักทรัพย์เขามักจะรอซื้อในช่วงที่โวลุ่มน้อยๆ และกำลังเปลี่ยน Trend เป็น Volumn มาก ๆ และจะค่อย ๆ ทะยอยขายเมื่อตอนโวลุ่มเริ่มสูงขึ้น ซึ่งคล้ายกับหุ้นวัฏจักร ให้ทะยอยซื้อตอนวัฏจักรขาขึ้น และขายตอนวัฏจักรขาลงครับ กลุ่มเหล่านี้ต้องเล่นรอบให้เป็นจึงจะมีกำไรที่ดีครับ (หลาย ๆ ตัวในปัจจุบันผมไปค้นดู กระแสเงินสดดีมาก หนี้น้อยมาก P/BV ต่ำกว่าตลาด (บางตัว กระแสเงินสดต่อหุ้น พอ ๆ กับราคาตลาด) บางตัว PE ก็ไม่ค่อยสูง Market share มีแนวโน้มสูงขึ้น บางตัวเอากระแสเงินสดไปลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน ซึ่งช่วงไตรมาส 4 จะมีกำไรที่ดี เนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยลดลงทำให้ตราสารหนี้มีมูลค่าสูงขึ้น และไตรมาส 4 ดัชนีเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมไตรมาส 3 ก็จะทำให้ที่เคยขาดทุนในไตรมาส 3 จะพลิกกลับเป็นกำไรไตรมาสนี้เป็นต้น)
4. กลุ่มที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว กลุ่มนี้ตอนลงก็ไม่ค่อยลงกับเขา แต่เวลาตลาดขึ้น ก็ไม่ค่อยขึ้นกับเขา แต่พอจะขึ้นนั้น ก็จะขึ้นแรงทีเดียวเลยตามผลประกอบการที่ดีขึ้นมาก ส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มลงทุนระยะยาว ไม่มีสภาพคล่องครับ เหมาะกับนักลงทุนระยะยาวทั่วไปที่ไม่ต้องการความผันผวนของราคาหุ้นมากนัก แต่ต้องการผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่สูงในอนาคต
ใครสนใจเลือกกลุ่มใดก็พิจารณาเลือกซื้อเลือกขายหุ้นตามการวิเคราะห์ของตัวท่านเองครับ ใครมีความเห็นอื่น ๆช่วยเสนอแนะด้วยนะครับ
ที่มา : http://bbznet.pukpik.com/scripts2/view. ... c=1&order=
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
โพสต์ที่ 90
Credit เขียนโดย khonthai.tk.
เรื่อง "ระวังการเชียร์หุ้นนะครับ ยิ่งมีคนเชื่อถือมากเท่าไหร่ยิ่งอันตราย มันเป็นดาบสองคม"
เขียนโดย khonthai.tk.
======================================================
ทางนึงก้มีโอกาส ชี้เป้าพาคนไปรุมซื้อจนหุ้นถูกวิ่งไล่ราคาขึ้น
มองในอีกมุม คนแห่ตามเซียนเข้าไปไล่ซื้อเยอะเกินไป เจ้าภาพขายหุ้นได้มากๆ
เค้าก้ถอยลงไปรับราคาต่ำกว่าเดิมได้ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ
โอกาสพากันไปติดดอยได้ทุกตัวครับ ไม่ว่าจะดูราคาต่ำเตี้ยแค่ไหน
....................................................................................
เมื่อไหร่ ที่พื้น มีคนไปอออยู่จำนวนมาก พื้นมันจะทรุด กลายเป็นดอย ได้เสมอๆครับ
หุ้นไม่เคยมีถูกทีสุดครับ ต่ำแค่ไหน ถ้ายังขายหุ้นเปลี่ยนเป็นเงินได้ มันลงไปอีกได้เรื่อยๆ
บางตัว จะเห็นชัดครับ ดีพร้อมทุกอย่าง ราคาต่ำโคค ถูกเชียร และมีคนเชื่อ ผลคือดอย
ถามว่าจริงๆแล้ว หุ้นดีหรือไม่ ตอบได้เลยว่าดี แต่มันจะดอยครับ
เหตุผลตรงๆใช้กับตลาดหุ้นไมได้เสมอไปครับ
จากคุณ : khonthai.tk.
เรื่อง "ระวังการเชียร์หุ้นนะครับ ยิ่งมีคนเชื่อถือมากเท่าไหร่ยิ่งอันตราย มันเป็นดาบสองคม"
เขียนโดย khonthai.tk.
======================================================
ทางนึงก้มีโอกาส ชี้เป้าพาคนไปรุมซื้อจนหุ้นถูกวิ่งไล่ราคาขึ้น
มองในอีกมุม คนแห่ตามเซียนเข้าไปไล่ซื้อเยอะเกินไป เจ้าภาพขายหุ้นได้มากๆ
เค้าก้ถอยลงไปรับราคาต่ำกว่าเดิมได้ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ
โอกาสพากันไปติดดอยได้ทุกตัวครับ ไม่ว่าจะดูราคาต่ำเตี้ยแค่ไหน
....................................................................................
เมื่อไหร่ ที่พื้น มีคนไปอออยู่จำนวนมาก พื้นมันจะทรุด กลายเป็นดอย ได้เสมอๆครับ
หุ้นไม่เคยมีถูกทีสุดครับ ต่ำแค่ไหน ถ้ายังขายหุ้นเปลี่ยนเป็นเงินได้ มันลงไปอีกได้เรื่อยๆ
บางตัว จะเห็นชัดครับ ดีพร้อมทุกอย่าง ราคาต่ำโคค ถูกเชียร และมีคนเชื่อ ผลคือดอย
ถามว่าจริงๆแล้ว หุ้นดีหรือไม่ ตอบได้เลยว่าดี แต่มันจะดอยครับ
เหตุผลตรงๆใช้กับตลาดหุ้นไมได้เสมอไปครับ
จากคุณ : khonthai.tk.