หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- little wing
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 187
- ผู้ติดตาม: 0
หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 26 พฤษภาคม 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้นที่ผมมักถือรวมอยู่ในพอร์ตแบบหนึ่งโดยเฉพาะในยามที่หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดมีราคาไม่ถูกแล้วก็คือ หุ้นที่ผมเรียกว่า “หุ้นพันธบัตร” นี่คือหุ้นที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กับพันธบัตรนั่นก็คือมันให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้าง “มั่นคง” และผลตอบแทนที่ได้ต่อปีอยู่ในระดับที่ “พอใช้ได้” วัดจากอัตราเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาที่ซื้อ ซึ่งในภาวะปัจจุบันก็ไม่ควรต่ำกว่า 4-5% ต่อปี นอกจากนั้น เงินปันผลนี้จะต้องไม่ลดลงในอนาคตและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ในอัตราที่ไม่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อของระบบเศรษฐกิจ ส่วนผลตอบแทนที่เกิดจากราคาหุ้นหรือ Capital Gain นั้น ผมจะไม่นำมาคิดในช่วงที่ซื้อหุ้น เป็นไปได้ว่าราคาหุ้นอาจจะเพิ่มขึ้นทำให้ผลตอบแทนรวมสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม หุ้นอาจจะปรับตัวลงทำให้ผลตอบแทนรวมลดลงหรือแม้แต่ขาดทุนได้ อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าราคาหุ้นไม่น่าจะปรับตัวลงมาแรงนักเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มอื่น ๆ เหตุผลก็เพราะเงินปันผลของบริษัทน่าจะยังดีเหมือนเดิม ซึ่งจะทำให้ Yield หรือผลตอบแทนเงินปันผลสูงขึ้นถ้าราคาหุ้นลดลง และนั่นทำให้นักลงทุนบางกลุ่มสนใจที่จะเข้ามาลงทุนซื้อหุ้น และด้วยเหตุผลเดียวกัน คนที่ถือหุ้นอยู่ก็จะไม่อยากขาย ดังนั้น ราคาหุ้นก็อาจจะไม่ลงมามากนัก
ฟังอย่างผิวเผินบางคนอาจจะบอกว่านี่คือหุ้น Defensive หรือหุ้นที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ดี เวลาเราพูดถึงหุ้น Defensive เรามักนึกถึงหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ยอดขายไม่ใคร่ถูกกระทบมากนักโดยภาวะเศรษฐกิจไม่ว่าจะทางดีหรือร้าย เช่น อุตสาหกรรมอาหารหรือกลุ่มสาธารณูปโภค เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หุ้น Defensive นั้น ยังต้องประสบกับการแข่งขันที่เข้มข้น ต้องต่อสู้กับคู่แข่งในตลาดเสรี เช่นเดียวกับที่ต้องควบคุมหรือประสบกับปัญหาด้านต้นทุนของสินค้าที่ผลิต ดังนั้น แม้ว่ายอดขายโดยรวมของอุตสาหกรรมจะมั่นคงสม่ำเสมอ แต่ยอดขายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกำไรของแต่ละบริษัทอาจจะผันผวนได้ไม่น้อยขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัท แต่หุ้นพันธบัตรในความหมายของผมนั้น จะต้องมีความสม่ำเสมอและมั่นคงมากกว่านั้น และการที่บริษัทจะมีผลประกอบการแบบนั้นได้ มันควรจะต้องมีคุณสมบัติต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ข้อแรกก็คือ มันควรอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ Defensive ซึ่งยอดขายโดยรวมไม่ผันผวนมากนักตามภาวะเศรษฐกิจ สินค้าหรือบริการเป็นสิ่ง “จำเป็น” ในชีวิตของผู้คน ถ้ายอดขายมีความผันผวนหรือมีความไวต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจหรือปัจจัยแวดล้อมมาก ๆ ก็เป็นเรื่องยากที่กิจการจะมีผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอได้
ข้อสองก็คือ ผลประกอบการของบริษัทไม่ควรที่จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหรือปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้มากนัก เช่น ไม่ควรขึ้นอยู่กับความต้องการหรือ Demand ของสินค้า หรือไม่ควรขึ้นอยู่กับเรื่องคู่แข่งหรือผู้ให้บริการรายใหม่ ๆ ที่จะเข้ามา หรือถ้าจะพูดไปก็คือ บริษัทอาจจะไม่ได้อยู่ในตลาดของการแข่งขันเสรีเนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ ซึ่งอาจจะรวมถึงเรื่องของกฎระเบียบ สัมปทาน สัญญาหรือข้อตกลงที่มีการลงนามและผูกพันในระยะยาว หรือแม้แต่เรื่องที่เป็นการผูกขาดตามธรรมชาติของธุรกิจ เป็นต้น นอกจากนั้น ผลประกอบการของบริษัทก็ไม่ควรที่จะต้องขึ้นอยู่กับต้นทุนสำคัญที่ไม่อยู่ในการควบคุมของกิจการด้วย เพราะนี่อาจจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทถูกกระทบได้มาก ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าราคาสินค้าหรือบริการของบริษัทสามารถปรับตามต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไปได้
ข้อสามซึ่งผมคิดว่ามีความสำคัญมากที่สุดข้อหนึ่งที่จะบอกว่ามันเป็นหุ้นพันธบัตรหรือไม่ ก็คือ ความสำเร็จหรือผลประกอบการของบริษัทน่าจะขึ้นอยู่กับ Operation หรือการดำเนินงานบางอย่างเท่านั้น เช่น ถ้าบริษัทสามารถผลิตหรือให้บริการตามที่ตกลงหรือตามที่กำหนดเป็นภารกิจของบริษัทได้แล้ว บริษัทก็จะสามารถทำกำไรได้ในระดับที่น่าพอใจ และกิจกรรมหรืองานที่บริษัททำนั้นไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ที่ทำได้ยาก แต่เป็นการทำงานตามปกติของบริษัท โอกาสที่บริษัทจะทำไม่ได้หรือเกิดการผิดพลาดมีน้อย และนี่ทำให้บริษัทมีกำไรและจ่ายปันผลได้ในอัตราที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ
ข้อสุดท้ายที่ผมจะต้องกล่าวถึงก็คือ ในขณะที่หุ้นพันธบัตรนั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอมั่นคงมาก แต่มันก็มีข้อเสียเช่นเดียวกันในแง่ที่ว่า กำไรที่ดีผิดปกติก็มักจะไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน เหตุผลก็เพราะว่าบริษัทที่มีคุณสมบัติแบบนี้มักจะ “ถูกล็อก” ไม่ให้ทำกำไรเกินควรจากรัฐบาลหรือหน่วยงานควบคุมเนื่องจากมันอาจจะมีอำนาจในการผูกขาด หรือมันเป็นเรื่องของสัญญาที่ผู้ให้สัญญาต้องเป็นผู้จ่ายเงิน ดังนั้น หุ้นพันธบัตรจึงมีลักษณะคล้าย ๆ พันธบัตรนั่นคือ ความเสี่ยงต่ำในแง่ของผลประกอบการ แต่ผลตอบแทนก็มักจะไม่สูงโดยเฉพาะถ้ามองจากมุมของตัวกิจการเอง
เงื่อนไขในการลงทุนในหุ้นพันธบัตรของผมเองก็คือ ผลตอบแทนที่ผมคาดว่าจะได้จากหุ้นพันธบัตรนั้น จะต้องดีกว่าการถือพันธบัตร นั่นก็คือ ผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีของหุ้นจะต้องดีกว่าหรืออย่างน้อยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่ผมจะได้จากการถือพันธบัตรรัฐบาลซึ่งปัจจุบันก็อยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี และบริษัทควรที่จะมีการเติบโตของยอดขายและกำไรอย่างน้อยเท่ากับอัตราเงินเฟ้อที่ประมาณ 3% ต่อปี ดังนั้น โดยรวมแล้ว อย่างต่ำผมควรจะได้ผลตอบแทนประมาณไม่น้อยกว่า 8% ต่อปี โดยวิธีหาหุ้นที่จะเข้าข่ายก็ทำได้อย่างง่าย ๆ โดยดูที่กำไรปีล่าสุดว่าเป็นเท่าไรและปันผลเป็นเท่าไร ต่อมาก็ดูว่ากำไรและปันผลนั้นบริษัทน่าจะรักษาระดับอยู่ได้รวมถึงสามารถเติบโตได้อย่างน้อย 3-4% ขึ้นไป ยกตัวอย่างเช่น บริษัทมีกำไรปีละ 5 บาทต่อหุ้น ในกรณีแบบนี้ ผมก็จะยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อหุ้นที่ราคาไม่เกิน 100 บาทซึ่งจะทำให้ผมได้เงินปันผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี ซึ่งดีกว่าการถือพันธบัตรเนื่องจากการถือหุ้นผมน่าจะได้กำไรจากราคาหุ้นด้วย เพราะหุ้นตัวนั้นจะมีการเติบโตจากกำไรและปันผลที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
การถือหุ้นพันธบัตรนั้น ผมจะไม่ถือจำนวนมากในพอร์ต ผมจะถือไว้เพื่อเป็นการ “ถ่วง” ไม่ให้พอร์ตหวือหวาเกินไป เช่นเดียวกัน ในยามที่หาหุ้นที่ดีและราคาถูกยากแต่ก็ไม่ใช่เวลาขายหุ้นอย่างในช่วงนี้ ผมก็ไม่อยากเก็บเป็นเงินสดหรือลงทุนในพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนน้อย ดังนั้น หุ้นพันธบัตรก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เหนือสิ่งอื่นใด ทุกครั้งที่จะลงทุนในหุ้นพันธบัตร ผมก็หวังที่จะ “โชคดี” ในแง่ที่ว่าบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นในช่วงระยะเวลาไม่นาน ที่จะทำให้กำไรและปันผลสูงขึ้นมากกว่าปกติมาก ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าที่คาด แต่ไม่ว่าในกรณีใด ผมจะต้องมั่นใจพอสมควรว่าในระยะเวลา 2-3 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนที่ผมจะได้จากหุ้นพันธบัตรจะต้องไม่แพ้พันธบัตรอย่างแน่นอน
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้นที่ผมมักถือรวมอยู่ในพอร์ตแบบหนึ่งโดยเฉพาะในยามที่หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดมีราคาไม่ถูกแล้วก็คือ หุ้นที่ผมเรียกว่า “หุ้นพันธบัตร” นี่คือหุ้นที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กับพันธบัตรนั่นก็คือมันให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้าง “มั่นคง” และผลตอบแทนที่ได้ต่อปีอยู่ในระดับที่ “พอใช้ได้” วัดจากอัตราเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาที่ซื้อ ซึ่งในภาวะปัจจุบันก็ไม่ควรต่ำกว่า 4-5% ต่อปี นอกจากนั้น เงินปันผลนี้จะต้องไม่ลดลงในอนาคตและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ในอัตราที่ไม่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อของระบบเศรษฐกิจ ส่วนผลตอบแทนที่เกิดจากราคาหุ้นหรือ Capital Gain นั้น ผมจะไม่นำมาคิดในช่วงที่ซื้อหุ้น เป็นไปได้ว่าราคาหุ้นอาจจะเพิ่มขึ้นทำให้ผลตอบแทนรวมสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม หุ้นอาจจะปรับตัวลงทำให้ผลตอบแทนรวมลดลงหรือแม้แต่ขาดทุนได้ อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าราคาหุ้นไม่น่าจะปรับตัวลงมาแรงนักเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มอื่น ๆ เหตุผลก็เพราะเงินปันผลของบริษัทน่าจะยังดีเหมือนเดิม ซึ่งจะทำให้ Yield หรือผลตอบแทนเงินปันผลสูงขึ้นถ้าราคาหุ้นลดลง และนั่นทำให้นักลงทุนบางกลุ่มสนใจที่จะเข้ามาลงทุนซื้อหุ้น และด้วยเหตุผลเดียวกัน คนที่ถือหุ้นอยู่ก็จะไม่อยากขาย ดังนั้น ราคาหุ้นก็อาจจะไม่ลงมามากนัก
ฟังอย่างผิวเผินบางคนอาจจะบอกว่านี่คือหุ้น Defensive หรือหุ้นที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ดี เวลาเราพูดถึงหุ้น Defensive เรามักนึกถึงหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ยอดขายไม่ใคร่ถูกกระทบมากนักโดยภาวะเศรษฐกิจไม่ว่าจะทางดีหรือร้าย เช่น อุตสาหกรรมอาหารหรือกลุ่มสาธารณูปโภค เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หุ้น Defensive นั้น ยังต้องประสบกับการแข่งขันที่เข้มข้น ต้องต่อสู้กับคู่แข่งในตลาดเสรี เช่นเดียวกับที่ต้องควบคุมหรือประสบกับปัญหาด้านต้นทุนของสินค้าที่ผลิต ดังนั้น แม้ว่ายอดขายโดยรวมของอุตสาหกรรมจะมั่นคงสม่ำเสมอ แต่ยอดขายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกำไรของแต่ละบริษัทอาจจะผันผวนได้ไม่น้อยขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัท แต่หุ้นพันธบัตรในความหมายของผมนั้น จะต้องมีความสม่ำเสมอและมั่นคงมากกว่านั้น และการที่บริษัทจะมีผลประกอบการแบบนั้นได้ มันควรจะต้องมีคุณสมบัติต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ข้อแรกก็คือ มันควรอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ Defensive ซึ่งยอดขายโดยรวมไม่ผันผวนมากนักตามภาวะเศรษฐกิจ สินค้าหรือบริการเป็นสิ่ง “จำเป็น” ในชีวิตของผู้คน ถ้ายอดขายมีความผันผวนหรือมีความไวต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจหรือปัจจัยแวดล้อมมาก ๆ ก็เป็นเรื่องยากที่กิจการจะมีผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอได้
ข้อสองก็คือ ผลประกอบการของบริษัทไม่ควรที่จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหรือปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะในปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้มากนัก เช่น ไม่ควรขึ้นอยู่กับความต้องการหรือ Demand ของสินค้า หรือไม่ควรขึ้นอยู่กับเรื่องคู่แข่งหรือผู้ให้บริการรายใหม่ ๆ ที่จะเข้ามา หรือถ้าจะพูดไปก็คือ บริษัทอาจจะไม่ได้อยู่ในตลาดของการแข่งขันเสรีเนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ ซึ่งอาจจะรวมถึงเรื่องของกฎระเบียบ สัมปทาน สัญญาหรือข้อตกลงที่มีการลงนามและผูกพันในระยะยาว หรือแม้แต่เรื่องที่เป็นการผูกขาดตามธรรมชาติของธุรกิจ เป็นต้น นอกจากนั้น ผลประกอบการของบริษัทก็ไม่ควรที่จะต้องขึ้นอยู่กับต้นทุนสำคัญที่ไม่อยู่ในการควบคุมของกิจการด้วย เพราะนี่อาจจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทถูกกระทบได้มาก ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าราคาสินค้าหรือบริการของบริษัทสามารถปรับตามต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไปได้
ข้อสามซึ่งผมคิดว่ามีความสำคัญมากที่สุดข้อหนึ่งที่จะบอกว่ามันเป็นหุ้นพันธบัตรหรือไม่ ก็คือ ความสำเร็จหรือผลประกอบการของบริษัทน่าจะขึ้นอยู่กับ Operation หรือการดำเนินงานบางอย่างเท่านั้น เช่น ถ้าบริษัทสามารถผลิตหรือให้บริการตามที่ตกลงหรือตามที่กำหนดเป็นภารกิจของบริษัทได้แล้ว บริษัทก็จะสามารถทำกำไรได้ในระดับที่น่าพอใจ และกิจกรรมหรืองานที่บริษัททำนั้นไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ที่ทำได้ยาก แต่เป็นการทำงานตามปกติของบริษัท โอกาสที่บริษัทจะทำไม่ได้หรือเกิดการผิดพลาดมีน้อย และนี่ทำให้บริษัทมีกำไรและจ่ายปันผลได้ในอัตราที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ
ข้อสุดท้ายที่ผมจะต้องกล่าวถึงก็คือ ในขณะที่หุ้นพันธบัตรนั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอมั่นคงมาก แต่มันก็มีข้อเสียเช่นเดียวกันในแง่ที่ว่า กำไรที่ดีผิดปกติก็มักจะไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน เหตุผลก็เพราะว่าบริษัทที่มีคุณสมบัติแบบนี้มักจะ “ถูกล็อก” ไม่ให้ทำกำไรเกินควรจากรัฐบาลหรือหน่วยงานควบคุมเนื่องจากมันอาจจะมีอำนาจในการผูกขาด หรือมันเป็นเรื่องของสัญญาที่ผู้ให้สัญญาต้องเป็นผู้จ่ายเงิน ดังนั้น หุ้นพันธบัตรจึงมีลักษณะคล้าย ๆ พันธบัตรนั่นคือ ความเสี่ยงต่ำในแง่ของผลประกอบการ แต่ผลตอบแทนก็มักจะไม่สูงโดยเฉพาะถ้ามองจากมุมของตัวกิจการเอง
เงื่อนไขในการลงทุนในหุ้นพันธบัตรของผมเองก็คือ ผลตอบแทนที่ผมคาดว่าจะได้จากหุ้นพันธบัตรนั้น จะต้องดีกว่าการถือพันธบัตร นั่นก็คือ ผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีของหุ้นจะต้องดีกว่าหรืออย่างน้อยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่ผมจะได้จากการถือพันธบัตรรัฐบาลซึ่งปัจจุบันก็อยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี และบริษัทควรที่จะมีการเติบโตของยอดขายและกำไรอย่างน้อยเท่ากับอัตราเงินเฟ้อที่ประมาณ 3% ต่อปี ดังนั้น โดยรวมแล้ว อย่างต่ำผมควรจะได้ผลตอบแทนประมาณไม่น้อยกว่า 8% ต่อปี โดยวิธีหาหุ้นที่จะเข้าข่ายก็ทำได้อย่างง่าย ๆ โดยดูที่กำไรปีล่าสุดว่าเป็นเท่าไรและปันผลเป็นเท่าไร ต่อมาก็ดูว่ากำไรและปันผลนั้นบริษัทน่าจะรักษาระดับอยู่ได้รวมถึงสามารถเติบโตได้อย่างน้อย 3-4% ขึ้นไป ยกตัวอย่างเช่น บริษัทมีกำไรปีละ 5 บาทต่อหุ้น ในกรณีแบบนี้ ผมก็จะยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อหุ้นที่ราคาไม่เกิน 100 บาทซึ่งจะทำให้ผมได้เงินปันผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี ซึ่งดีกว่าการถือพันธบัตรเนื่องจากการถือหุ้นผมน่าจะได้กำไรจากราคาหุ้นด้วย เพราะหุ้นตัวนั้นจะมีการเติบโตจากกำไรและปันผลที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
การถือหุ้นพันธบัตรนั้น ผมจะไม่ถือจำนวนมากในพอร์ต ผมจะถือไว้เพื่อเป็นการ “ถ่วง” ไม่ให้พอร์ตหวือหวาเกินไป เช่นเดียวกัน ในยามที่หาหุ้นที่ดีและราคาถูกยากแต่ก็ไม่ใช่เวลาขายหุ้นอย่างในช่วงนี้ ผมก็ไม่อยากเก็บเป็นเงินสดหรือลงทุนในพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนน้อย ดังนั้น หุ้นพันธบัตรก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เหนือสิ่งอื่นใด ทุกครั้งที่จะลงทุนในหุ้นพันธบัตร ผมก็หวังที่จะ “โชคดี” ในแง่ที่ว่าบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นในช่วงระยะเวลาไม่นาน ที่จะทำให้กำไรและปันผลสูงขึ้นมากกว่าปกติมาก ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าที่คาด แต่ไม่ว่าในกรณีใด ผมจะต้องมั่นใจพอสมควรว่าในระยะเวลา 2-3 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนที่ผมจะได้จากหุ้นพันธบัตรจะต้องไม่แพ้พันธบัตรอย่างแน่นอน
-
- Verified User
- โพสต์: 206
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 8
ผมเห้นด้วยครับ แล้ว TTW อีกตัวpornchal เขียน:น่าจะเป็นหุ้นไฟฟ้า หรือน้ำประปา มากว่าครับ
RATCH EGCO น่าจะเข้าข่าย....
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 9
ขอบคุณท่านอาจารย์ครับ
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
ผมว่า ท่านอาจารย์ ดร.นิเวศน์ สอนให้เรารู้จักวิเคราะห์บริษัทด้วยตนเอง เลือกบริษัทที่เราเข้าใจ
มากกว่า จะให้เรามาเดาว่า ท่านพูดถึงหุ้นตัวใดตัวหนึ่งนะครับ
หลักการจะคงอยู่นาน
แต่หุ้นหลายตัวที่ไม่มี DCA หรือ Demand trend ที่ไม่ดี ก็จะไม่ได้คงอยู่ยาวนานครับ
อยากให้มองที่แง่คิดการลงทุน มากกว่า มาเดาหุ้นครับ
มากกว่า จะให้เรามาเดาว่า ท่านพูดถึงหุ้นตัวใดตัวหนึ่งนะครับ
หลักการจะคงอยู่นาน
แต่หุ้นหลายตัวที่ไม่มี DCA หรือ Demand trend ที่ไม่ดี ก็จะไม่ได้คงอยู่ยาวนานครับ
อยากให้มองที่แง่คิดการลงทุน มากกว่า มาเดาหุ้นครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
-
- Verified User
- โพสต์: 42
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 11
ขอบพระคุณมากครับสำหรับแนวทางในการลงทุน
อาจจะเป็นเพราะความโลภ ผมขายหุ้นปันผลออก
คงเหลือไว้เฉพาะหุ้นเติบโตเท่านั้น ต้องระวังและ
รอบคอบมากขึ้น
อาจจะเป็นเพราะความโลภ ผมขายหุ้นปันผลออก
คงเหลือไว้เฉพาะหุ้นเติบโตเท่านั้น ต้องระวังและ
รอบคอบมากขึ้น
- KGYF
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 13
ขอบคุณมากครับ ทั้ง ดร.และคุณ little wing
" สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ = การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง "
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
- xavi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 123
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 14
ผมไม่มีหุ้นพันธบัตรสักตัวเดียวเลยครับ
เพราะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยมี Growth เท่าไร แทบไม่เคยถือเลย
มีใกล้เคียงสุดก็พวก Defensive Stock เท่านั้น แต่บางตัวก็น่าจะกระทบจากวิกฤติ EU ในระยะสั้นๆ
อยากถามความเห็นว่าหลังจากอ่านบทความนี้แล้วจะ Switch ไปหาหุ้นพันธบัตรกันบ้างหรือไม่ครับ? และกะถือกันสักกี่ % ครับ
เพราะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยมี Growth เท่าไร แทบไม่เคยถือเลย
มีใกล้เคียงสุดก็พวก Defensive Stock เท่านั้น แต่บางตัวก็น่าจะกระทบจากวิกฤติ EU ในระยะสั้นๆ
อยากถามความเห็นว่าหลังจากอ่านบทความนี้แล้วจะ Switch ไปหาหุ้นพันธบัตรกันบ้างหรือไม่ครับ? และกะถือกันสักกี่ % ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1980
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 15
ไอ้พวกที่เดาหุ้น รอลอกหุ้น แล้วพอใครเดาไม่ตรงใจก็กดลบ มันยังไงกันนะ
The mother of all evils is speculation, leverage debt. Bottom line, is borrowing to the hilt. And I hate to tell you this, but it's a bankrupt business model. It won't work. It's systemic, malignant, and it's global, like cancer.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 390
- ผู้ติดตาม: 1
Re: หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 16
เห็นด้วยครับ บางคนที่เขียนชื่อหุ้น เค้าไม่ได้ทำอะไรให้เสียหายซักหน่อย ก็แค่อยากจะแชร์หรือเดากันสนุก ๆ ไม่ซีเรียสน่ะครับ เกิดประโยชน์เสียอีก ถ้าบางคนสนใจลงทุนหุ้นแนวนี้ อาจจะเอาหุ้นนั้น ๆ ไปศึกษาต่อยอดกันได้อีกนะครับ บางทีการ discuss กันให้ลึกกว่าหลักการ เจาะเข้าไปเป็นตัวหุ้นก็เป็นประโยชน์มากขึ้นนะครับ แต่อย่างว่าแล้วแต่คนจะมองว่าคนที่ post มีจุดประสงค์อย่างไรในการ postchowbe76 เขียน:ไอ้พวกที่เดาหุ้น รอลอกหุ้น แล้วพอใครเดาไม่ตรงใจก็กดลบ มันยังไงกันนะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1837
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 17
อยากถามดร.ว่ามันต่างอะไรกับการซื้อพวกProperty Fund หรืออย่างตอนนี้ผมว่าหุ้นกู้แบบไม่มีอายุของPttepน่าสนใจมาก ไม่ต้องคิดไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลเลย แถมcredit ratingบริษัทเผลอๆจะดีกว่าของประเทศด้วยซ้ำไป
-
- Verified User
- โพสต์: 2690
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 18
ความเสี่ยงของกองทุนอสังหาริมทรัพย์มันต่างอะไรกับการซื้อพวกProperty Fund
Posted on February 8, 2010 by ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor 6 กุมภาพันธ์ 53
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
http://www.thaivi.com/2010/02/450/
..
- yoyoeffect
- Verified User
- โพสต์: 364
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หุ้นพันธบัตร/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 19
ขอบคุณครับอาจารย์...
เหมือนบทความนี้ ไม่ค่อยมีคนpostหรือสนใจน้อยนะครับ เพราะถ้าเป็นเรื่องของหุ้นหลายเด้ง คงจะเป็นที่น่าสนใจมากกว่า..
แต่ผมว่า อาจารย์มักจะเขียนบทความ ตามบรรยากาศการลงทุน ณ ขณะนั้นด้วย
อย่างตอนนี้หาหุ้นลงทุนไม่ง่าย และไม่ใช่เวลาขายหุ้นอย่างที่อาจารย์บอก
และในงานเมื่อคืน อาจารย์ก็ได้กล่าวถึงหุ้นพันธบัตร ตามที่มีผู้กล่าวกระทู้ข้างต้นไปแล้ว
อาจารย์เป็นกันเอง และเป็นผู้ใหญ่ใจดีของน้องๆนักลงทุนมากครับ..
ได้มีโอกาสถ่ายรูปคู่พร้อมลายเซ็นในหนังสือตีแตก รุ่นปกพิมพ์ครั้งแรก(ซื้อไว้มา10ปีพอดี)
หลังจากเป็นแฟนคลับมา 10 ปีเต็มพอดีครับ..
ขอบคุณอีกครั้งครับอาจารย์ สำหรับความรู้การลงทุนที่ดีดี ที่มีให้มาโดยตลอด
เหมือนบทความนี้ ไม่ค่อยมีคนpostหรือสนใจน้อยนะครับ เพราะถ้าเป็นเรื่องของหุ้นหลายเด้ง คงจะเป็นที่น่าสนใจมากกว่า..
แต่ผมว่า อาจารย์มักจะเขียนบทความ ตามบรรยากาศการลงทุน ณ ขณะนั้นด้วย
อย่างตอนนี้หาหุ้นลงทุนไม่ง่าย และไม่ใช่เวลาขายหุ้นอย่างที่อาจารย์บอก
และในงานเมื่อคืน อาจารย์ก็ได้กล่าวถึงหุ้นพันธบัตร ตามที่มีผู้กล่าวกระทู้ข้างต้นไปแล้ว
อาจารย์เป็นกันเอง และเป็นผู้ใหญ่ใจดีของน้องๆนักลงทุนมากครับ..
ได้มีโอกาสถ่ายรูปคู่พร้อมลายเซ็นในหนังสือตีแตก รุ่นปกพิมพ์ครั้งแรก(ซื้อไว้มา10ปีพอดี)
หลังจากเป็นแฟนคลับมา 10 ปีเต็มพอดีครับ..
ขอบคุณอีกครั้งครับอาจารย์ สำหรับความรู้การลงทุนที่ดีดี ที่มีให้มาโดยตลอด