มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 276
- ผู้ติดตาม: 0
มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 1
ผมเพิ่งเข้ามาลงทุนในหุ้นเมื่อประมาณปี54 ช่วงเดือนเมษายนครับ
หุ้นที่เข้าลงทุนครั้งแรกคือ t-a (หมวดขนส่งครับ) ตอนนั้นจำได้ว่าน่าจะซื้อช่วงsetประมาณ1000ต้นๆน่ะครับ ถ้าจำไม่ผิด โดยลงทุนตัวนี้ไปประมาณ 1ล้านบาทเศษๆ น่าจะซื้อราคาแถวๆ22กว่าได้ๆ พอผ่านไปไม่กี่เดือนหุ้นตัวนี้มีข่าวว่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งจะเข้ามาเทคโอเวอร์ หุ้นตัวนี้วิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ้าผมขายมันไปผมจะได้กำไรประมาณ70,000-80,000บาท
แต่....
ผมก้อไม่ได้ขายมันเพราะคิดว่าจะถือยาวสักหน่อย(ไม่น่าเลยตู)
สุดท้าย....
เริ่มมีเหตการณ์ในยุโรป วิตกกังวลกันเรื่องกรีกประกอบกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ set ตกลงมาจนเหลือดัชนี800กว่าจุด...
คิดดูครับ หุ้นที่ผมถือเจ้าt-a (ซึ่งมีตัวเดียวในพอร์ทด้วย)มันจะเล่ะขนาดไหน
สุดท้าย...............
ผมตัดสินใจและทนกับมันไม่ไหว
ผมขายมัน!!!!!
วันนั้นโดนไปทันที 330,000 บาทหรือประมาณ 33% ตอนนั้นรู้สึกยังไง.....
บอกได้เลยครับ. หน้ามืดอย่างแรงคล้ายจะเป็นลม อะไรฟ่ะตูเพิ่งเข้าตลาดมา โดนต้อนรับน้องใหม่แบบนี้เลยเหรอฟ่ะเนี้ย บ่ายนั้นกินข้าวแทบไม่ลง ถ้าจำไม่ผิด วันที่ผมขายหุ้นเป็นวันที่ดัชนีลงแรงที่สุดด้วย(วันนั้นที่ตลาดปลั๊กหลุดอ่ะครับ setติดลบเกือบ10%)
ตู คือ พญาเม่าตัวจริงเสียงจริง ขายได้เกือบต่ำสุดของsetรอบนั้น
เชื่อมั้ยครับ.... บ่ายนั้นกินข้าวแทบไม่ลง เงินที่เม่าน้องใหม่อย่างผม หามาด้วยความยากลำบาก
มันหายไปในตลาด ลักทรัพย์ ใครเอาไปก้อไม่รู้
ยอมรับว่าหน้ามืดจริงๆ ช่วงนั้นใบหน้าดูชาๆๆไปหมด เวียนหัวเหมือนโลกหมุน
แต่
แต่
แต่....มันมีจุดเปลี่ยนครับ!!!!
ผมกลับมาคิดว่า อ้าวเฮ้ย... ทีเวลาหุ้นลง มันดันมีเรา แล้วเด๋ยวมันขึ้นหล่ะ ถ้าไม่มีเรา ตูก้อซวยอ่ะดิ
อย่างงั้น ผมเลยตัดสินใจ ซื้อเข้าไปใหม่ ในวันนั้นเลย
แต่
แต่
เปลี่ยนตัวครับ โดยเปลี่ยนเป็นหุ้นc-f (หมวดอาหาร) โดยได้ราคามาประมาณ 26-27บาท โดยตัวนี้ตั้งใจไว้ว่า จะต้องถือมันให้นานเท่าที่จะนานได้เพราะคิดว่าตัวธุรกิจยังน่าจะเติบโตได้เรื่อยๆ โดยปัจจุบันหุ้นตัวนี้ก้อยังคงถืออยู่ครับและคงมีตัวเดียวในพอร์ทด้วย
และที่สำคัญตั้งใจว่าที่เสียไป จะต้องเอาคืนทบต้นทบดอกให้ได้!!
แต่ปัจจุบันราคาต้นทุนก้อเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆเหมือนกันครับตอนนี้ต้นทุนน่าจะแถวๆ29.50บาทแล้วครับ เพราะผมจะเอาเงินที่เหลือจากเงินเดือนมาซื้อทุกๆเดือน
นี่คือ ประสบการณ์การเสีย "ค่ายกครู" ของผมครั้งแรกครับ
บางที ***วิกฤตที่เกิดขึ้นกับเรา อาจจะเปลี่ยนเป็นโอกาสได้เหมือนกันน่ะครับ***
ปล. ก่อนที่ผมซื้อหุ้นตัว t-a นั้นผมก้อได้ศึกษาแนว vi มาพอสมควรน่ะครับ (ตอนนั้นที่มันขึ้นมากำไร ผมจึงยังไม่ได้ขายมัน ก้อได้แต่หวังมามันคงเป็นหุ้นเทินอะราวน์ได้) แต่ผมคิดไปคิดมาแล้วหุ้นลักษณะนี้คงไม่เหมาะกับตัวผม เพราะเป็นการที่คาดการณ์กับบริษัทได้ยากมากเหมือนกันว่าผลประกอบการของมันจะกลับมาได้อย่างที่เราคาดการณ์มันจริงๆรึปล่าว วันนั้นเลยตัดสินใจเปลี่ยนตัวมาเข้าหุ้นที่มีลักษณะเติบโตดีกว่า คงกับเหมาะกับผมมากกว่าอ่ะครับ
โดยคิดว่าตัว c-f นั้นผมคงจะถือไปเรื่อยๆ ถ้าผมจะขายปัจจัยราคาคงไม่ใช่เหตุสำคัญที่จะทำให้ผมขาย ผมคงจะขายต่อเมื่อกิจการของบริษัทนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเท่านั้นครับ
แล้วเพื่อนๆ มีเสีย"ค่ายกครู"กันมั้งไหมครับ มาแชร์ประสบการณ์กันได้น่ะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้แก่นักลงทุนรุ่นหลังๆครับ
หุ้นที่เข้าลงทุนครั้งแรกคือ t-a (หมวดขนส่งครับ) ตอนนั้นจำได้ว่าน่าจะซื้อช่วงsetประมาณ1000ต้นๆน่ะครับ ถ้าจำไม่ผิด โดยลงทุนตัวนี้ไปประมาณ 1ล้านบาทเศษๆ น่าจะซื้อราคาแถวๆ22กว่าได้ๆ พอผ่านไปไม่กี่เดือนหุ้นตัวนี้มีข่าวว่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งจะเข้ามาเทคโอเวอร์ หุ้นตัวนี้วิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ้าผมขายมันไปผมจะได้กำไรประมาณ70,000-80,000บาท
แต่....
ผมก้อไม่ได้ขายมันเพราะคิดว่าจะถือยาวสักหน่อย(ไม่น่าเลยตู)
สุดท้าย....
เริ่มมีเหตการณ์ในยุโรป วิตกกังวลกันเรื่องกรีกประกอบกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ set ตกลงมาจนเหลือดัชนี800กว่าจุด...
คิดดูครับ หุ้นที่ผมถือเจ้าt-a (ซึ่งมีตัวเดียวในพอร์ทด้วย)มันจะเล่ะขนาดไหน
สุดท้าย...............
ผมตัดสินใจและทนกับมันไม่ไหว
ผมขายมัน!!!!!
วันนั้นโดนไปทันที 330,000 บาทหรือประมาณ 33% ตอนนั้นรู้สึกยังไง.....
บอกได้เลยครับ. หน้ามืดอย่างแรงคล้ายจะเป็นลม อะไรฟ่ะตูเพิ่งเข้าตลาดมา โดนต้อนรับน้องใหม่แบบนี้เลยเหรอฟ่ะเนี้ย บ่ายนั้นกินข้าวแทบไม่ลง ถ้าจำไม่ผิด วันที่ผมขายหุ้นเป็นวันที่ดัชนีลงแรงที่สุดด้วย(วันนั้นที่ตลาดปลั๊กหลุดอ่ะครับ setติดลบเกือบ10%)
ตู คือ พญาเม่าตัวจริงเสียงจริง ขายได้เกือบต่ำสุดของsetรอบนั้น
เชื่อมั้ยครับ.... บ่ายนั้นกินข้าวแทบไม่ลง เงินที่เม่าน้องใหม่อย่างผม หามาด้วยความยากลำบาก
มันหายไปในตลาด ลักทรัพย์ ใครเอาไปก้อไม่รู้
ยอมรับว่าหน้ามืดจริงๆ ช่วงนั้นใบหน้าดูชาๆๆไปหมด เวียนหัวเหมือนโลกหมุน
แต่
แต่
แต่....มันมีจุดเปลี่ยนครับ!!!!
ผมกลับมาคิดว่า อ้าวเฮ้ย... ทีเวลาหุ้นลง มันดันมีเรา แล้วเด๋ยวมันขึ้นหล่ะ ถ้าไม่มีเรา ตูก้อซวยอ่ะดิ
อย่างงั้น ผมเลยตัดสินใจ ซื้อเข้าไปใหม่ ในวันนั้นเลย
แต่
แต่
เปลี่ยนตัวครับ โดยเปลี่ยนเป็นหุ้นc-f (หมวดอาหาร) โดยได้ราคามาประมาณ 26-27บาท โดยตัวนี้ตั้งใจไว้ว่า จะต้องถือมันให้นานเท่าที่จะนานได้เพราะคิดว่าตัวธุรกิจยังน่าจะเติบโตได้เรื่อยๆ โดยปัจจุบันหุ้นตัวนี้ก้อยังคงถืออยู่ครับและคงมีตัวเดียวในพอร์ทด้วย
และที่สำคัญตั้งใจว่าที่เสียไป จะต้องเอาคืนทบต้นทบดอกให้ได้!!
แต่ปัจจุบันราคาต้นทุนก้อเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆเหมือนกันครับตอนนี้ต้นทุนน่าจะแถวๆ29.50บาทแล้วครับ เพราะผมจะเอาเงินที่เหลือจากเงินเดือนมาซื้อทุกๆเดือน
นี่คือ ประสบการณ์การเสีย "ค่ายกครู" ของผมครั้งแรกครับ
บางที ***วิกฤตที่เกิดขึ้นกับเรา อาจจะเปลี่ยนเป็นโอกาสได้เหมือนกันน่ะครับ***
ปล. ก่อนที่ผมซื้อหุ้นตัว t-a นั้นผมก้อได้ศึกษาแนว vi มาพอสมควรน่ะครับ (ตอนนั้นที่มันขึ้นมากำไร ผมจึงยังไม่ได้ขายมัน ก้อได้แต่หวังมามันคงเป็นหุ้นเทินอะราวน์ได้) แต่ผมคิดไปคิดมาแล้วหุ้นลักษณะนี้คงไม่เหมาะกับตัวผม เพราะเป็นการที่คาดการณ์กับบริษัทได้ยากมากเหมือนกันว่าผลประกอบการของมันจะกลับมาได้อย่างที่เราคาดการณ์มันจริงๆรึปล่าว วันนั้นเลยตัดสินใจเปลี่ยนตัวมาเข้าหุ้นที่มีลักษณะเติบโตดีกว่า คงกับเหมาะกับผมมากกว่าอ่ะครับ
โดยคิดว่าตัว c-f นั้นผมคงจะถือไปเรื่อยๆ ถ้าผมจะขายปัจจัยราคาคงไม่ใช่เหตุสำคัญที่จะทำให้ผมขาย ผมคงจะขายต่อเมื่อกิจการของบริษัทนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเท่านั้นครับ
แล้วเพื่อนๆ มีเสีย"ค่ายกครู"กันมั้งไหมครับ มาแชร์ประสบการณ์กันได้น่ะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้แก่นักลงทุนรุ่นหลังๆครับ
ปล่อยให้เงินทำงาน...$$$
- Suysak
- Verified User
- โพสต์: 691
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 2
ค่ายกครูนี่ผมก็เสียเยอะเหมือนกันครับ มีตั้งแต่ขายหมู ติดดอย พรวดพราดเข้าไปซื้อ หวังแก้มือ เชื่อพรายกระซิบ
โอ้ยสารพัดจะเสีย มีแม้กระทั่งขายฟลอร์ ซื้อชิลลิ่ง เอากันเข้าไป
หุ้นบางตัวคิดว่าดูดีแล้ว สุดท้ายเจอหมัดน้อกไปก็มี
สรุปตอนหลัง ตั้งแต่เลิกเชื่อชาวบ้านเขา หัดมาซื้อหุ้นที่สัมผัสได้ เริ่มเข้าท่าหน่อย
ค่ายกครูมันก็มีประโยชน์เหมือนกันนะครับ
โอ้ยสารพัดจะเสีย มีแม้กระทั่งขายฟลอร์ ซื้อชิลลิ่ง เอากันเข้าไป
หุ้นบางตัวคิดว่าดูดีแล้ว สุดท้ายเจอหมัดน้อกไปก็มี
สรุปตอนหลัง ตั้งแต่เลิกเชื่อชาวบ้านเขา หัดมาซื้อหุ้นที่สัมผัสได้ เริ่มเข้าท่าหน่อย
ค่ายกครูมันก็มีประโยชน์เหมือนกันนะครับ
โอ้ละหนอดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง
โอ้ดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นหวงรักเจ้าดวงเดือนเอย
โอ้ดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นหวงรักเจ้าดวงเดือนเอย
-
- Verified User
- โพสต์: 2141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 3
ไม่ใช่ของผมนะครับ ไปอ่านเจอตะกี้ ฮาดี แต่คนโดนคงไม่ฮา
China’s cut causes confusion in London
June 7, 2012, 12:27 PM
.
Andrew Wilkinson, Chief Economic Strategist at Miller Tabak & Co. LLC., tells the tale of some painful moments Thursday morning in London.
While traders there were staring at their screens waiting for the Bank of England decision, someone hollered “They’ve cut!”
The trouble was, it was China that had cut, not the Bank of England.
“In those tense moments short sterling interest rate futures went bananas” Wilkinson writes.
“Implied yields on three-month cash slumped by 11 basis when the news broke. The September futures contract saw its
implied yield dip to 0.83% momentarily while the March yield dipped to 0.78%. Both contracts rapidly reversed their gains
and returned to unchanged on the day,” but not before someone got hit with steep losses.
Looks like the time gap in buying the rumor and selling the news keeps getting shorter.
-Tom Bemis
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
A ttitude & Perception
D isclipine
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 4
ถ้าดูจากตัวเลขที่ จขกท เขียน ที่ขาดทุน tta 33%
ดังนั้น จะเหลือเงิน 67%
แต่ กำไร จาก cpf 37.5/26.5=1.415
67x1.415=94.81 ถ้าคิดเฉพาะเงินเดิมก็เกือบคืนทุนแล้ว
แต่ จขกท ก็เพิ่มเงินเข้าไปอีกดังนั้นกำไรจาก cpf มากกว่าขาดทุน ttaแล้ว
ยินดีกับ จขกท ด้วย ที่กล้าตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ยากมากๆ
ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าหุ้นตัวแรก ผมซื้อหุ้นอะไร
แต่ที่แน่ๆขาดทุนแหงๆ
ดังนั้น จะเหลือเงิน 67%
แต่ กำไร จาก cpf 37.5/26.5=1.415
67x1.415=94.81 ถ้าคิดเฉพาะเงินเดิมก็เกือบคืนทุนแล้ว
แต่ จขกท ก็เพิ่มเงินเข้าไปอีกดังนั้นกำไรจาก cpf มากกว่าขาดทุน ttaแล้ว
ยินดีกับ จขกท ด้วย ที่กล้าตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ยากมากๆ
ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าหุ้นตัวแรก ผมซื้อหุ้นอะไร
แต่ที่แน่ๆขาดทุนแหงๆ
Blueplanet
-
- Verified User
- โพสต์: 276
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับคุณ blueplanet พอร์ทตอนนี้ของผมก้อได้ทุนคืนมาแล้วครับ บวกได้กำไรมาพอสมควร แต่ ณ ปัจจุบันนี้เรื่องราคากับตัวผม ผมไม่ค่อยได้ใส่ใจมันมากเท่าไรแล้วครับ เพราะตอนที่ราคาหุ้นขึ้นไปทำไฮที่ 42 กำไรตอนนั้นก้อเกือบ1ล้านบาท แต่ผมก้อคงยังไม่คิดจะขายมันครับ เพราะอย่างที่ได้บอกไปว่า ตราบใดที่กิจการหุ้นตัวนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญไปในทางที่แย่ลง ผมก้อยังคงถือมันต่อไป ส่วนตัวผมคิดว่า ราคาที่ขึ้นๆลงๆในระยะสั้น ในช่วงนี้นั้น ผมจะไม่มาใส่ใจกับมันมากนักครับเพราะผมได้มองผ่านไปยังอนาคตหุ้นตัวนี้ไว้แล้วครับblueplanet เขียน:ถ้าดูจากตัวเลขที่ จขกท เขียน ที่ขาดทุน tta 33%
ดังนั้น จะเหลือเงิน 67%
แต่ กำไร จาก cpf 37.5/26.5=1.415
67x1.415=94.81 ถ้าคิดเฉพาะเงินเดิมก็เกือบคืนทุนแล้ว
แต่ จขกท ก็เพิ่มเงินเข้าไปอีกดังนั้นกำไรจาก cpf มากกว่าขาดทุน ttaแล้ว
ยินดีกับ จขกท ด้วย ที่กล้าตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ยากมากๆ
ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าหุ้นตัวแรก ผมซื้อหุ้นอะไร
แต่ที่แน่ๆขาดทุนแหงๆ
ปล่อยให้เงินทำงาน...$$$
-
- Verified User
- โพสต์: 1904
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 6
มันเยอะจนเขียนไม่หมด นานจนจำไม่ได้แล้วครับ. เอาตัวที่เคยให้กำไรผมมากสุดๆสมัยเล่นใหม่ๆจำได้ว่ามี 3ตัวนะ tisco 160 ขาย 360. Ugp 110 ขาย 310 kmc 110 ขาย 220 ตัวพาเจ๊งก็มีครับ.tyong 180 ขาย 120 ถือหุ้นยาวๆแบบวีไอบางทีมันก็ทำกำไรได้เยอะนะครับ แต่บางทีการยึดหลักสต๊อปลอสมันก็สำคัญมากๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 87
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 8
N-park ประมาณ 8 บาท ขาย 6 บาท สมัยตอนที่ยังเก็งกำไรอยู่
พรรคพวกบางคนที่ซื้อพร้อมกัน ยังถือถึงตอนนี้
พรรคพวกบางคนที่ซื้อพร้อมกัน ยังถือถึงตอนนี้
-----------------------
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้
และก็มีหลายสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้
สุดท้าย หลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้ เราอาจจะไม่รู้ก็ได้
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้
และก็มีหลายสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้
สุดท้าย หลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้ เราอาจจะไม่รู้ก็ได้
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 9
โดน น้องทาถูไปครับ ซื้อตอน 1.12พอลงก้ซื้อมาเรื่อยๆๆ
สุดท้ายก้เจอค่ายกครูไป 14%
มีหนักสุดแค่นี้ครับ
นอกนั้นตัวละ 2-3% ก้คัทโลด
เป็นหุ้นที่ผมยอมแพ้ เหล็กมันมองยากจริงๆ
สุดท้ายก้เจอค่ายกครูไป 14%
มีหนักสุดแค่นี้ครับ
นอกนั้นตัวละ 2-3% ก้คัทโลด
เป็นหุ้นที่ผมยอมแพ้ เหล็กมันมองยากจริงๆ
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
- dino
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1286
- ผู้ติดตาม: 1
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 11
อิอิ จำไม่ได้แล้วครับ กว่ายี่สิบปีละ อิอิ
1 ซื้อหุ้นของกิจการที่ดี
2 มีกำไรต่อเนื่องไปในอนาคต
3 ซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ
4 ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ
5 และถือมันไว้ ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดีอยู่
วอเรนซ์ บัฟเฟตต์
2 มีกำไรต่อเนื่องไปในอนาคต
3 ซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ
4 ผู้บริหารมีคุณธรรมและความสามารถ
5 และถือมันไว้ ตราบที่มันยังเป็นธุรกิจที่ดีอยู่
วอเรนซ์ บัฟเฟตต์
- ซุนเซ็ก
- Verified User
- โพสต์: 1104
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 12
ผมเปิดพอร์ตเมื่อปี 51 ด้วยเงินเก็บตัวเอง 90,000 บาท วีไอไม่รู้จัก กราฟไม่รู้เรื่อง
เสียค่าวิชาตั้งแต่หุ้นตัวแรกเลยทีเดียว ซื้อ TOP ตอน 60 บาท
ลงมา 55...ซื้ออีก
ลงมา 53...ซื้ออีก
ลงมา 51...ซื้ออีก
ลงมา 45...ซื้ออีก
แล้วก็บูม...กลายเป็นแฮมเบอเกอร์crisis, TOP ลงไป 38...ผมหมดเงินซื้อแล้ว ปิดจอออกจากตลาดไปเลย
รู้สึก TOP จะไป low 19 บาท, ปีนั้นผมขาดทุน 60% ครับ พอร์ตเหลือแค่ 3 หมื่นกว่าบาท
เสียค่าวิชาตั้งแต่หุ้นตัวแรกเลยทีเดียว ซื้อ TOP ตอน 60 บาท
ลงมา 55...ซื้ออีก
ลงมา 53...ซื้ออีก
ลงมา 51...ซื้ออีก
ลงมา 45...ซื้ออีก
แล้วก็บูม...กลายเป็นแฮมเบอเกอร์crisis, TOP ลงไป 38...ผมหมดเงินซื้อแล้ว ปิดจอออกจากตลาดไปเลย
รู้สึก TOP จะไป low 19 บาท, ปีนั้นผมขาดทุน 60% ครับ พอร์ตเหลือแค่ 3 หมื่นกว่าบาท
ผมไม่ได้อยู่ในเว็บนี้แล้ว, มีอะไรติดต่อได้ทาง FB - 27/9/2555
"วิธีการที่ถูกต้อง มีได้มากกว่าหนึ่งวิธี"
สมุดบันทึกของผม http://suntse.wordpress.com
Facebook https://www.facebook.com/giggswalk
"วิธีการที่ถูกต้อง มีได้มากกว่าหนึ่งวิธี"
สมุดบันทึกของผม http://suntse.wordpress.com
Facebook https://www.facebook.com/giggswalk
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 430
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 13
ผมหนักสุด ก็ สัปดาห์เดียว ตกไป 25% นะครับ หายไปเยอะเหมือนกันนะครับ
แต่ก็อดทนมาได้ เพระาเชื่อว่าหุ้นที่ซื้อมันดี แล้วมันก็ค่อยๆกลับมาที่เดิม ครับ
ปล ขายไปแล้วนะ เพราะมันแค่ดี เราอยากได้ดีที่สุด
แต่ก็อดทนมาได้ เพระาเชื่อว่าหุ้นที่ซื้อมันดี แล้วมันก็ค่อยๆกลับมาที่เดิม ครับ
ปล ขายไปแล้วนะ เพราะมันแค่ดี เราอยากได้ดีที่สุด
ปล ความเห็นส่วนตัว
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 14
หนังสุดของผมคือ SATTLE (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น THCOM)
ตอนนั้นยังเป็นมือใหม่ ซื้อต่อ 25.50 บาท ถือไปไม่ถึงปี
ราคาลงไปเหลือ 10 บาท ทนถือจนราคากลับขึ้นมา 26 บาท
เลยขายทิ้งไป และสาบานกลับตัวเองว่าจะไม่ซื้อหุ้นตัวนี้อีกต่อไป
ตัวนี้หนักสุดตั้งแต่เข้ามาลงทุนในหุ้น ไม่ว่าจะเจอวิกฤต
หรือเหตุการณ์หนักแค่ไหนก็ไม่เคยถือแล้วขาดทุนทางบัญชีถึง 60 %
มาก่อน ไม่ว่าจะเหตุกาณ์ 911 สหรัฐบุกอิรัก หม่อมอุ๋ย 30
หรือ Sub-prime
ตอนนั้นยังเป็นมือใหม่ ซื้อต่อ 25.50 บาท ถือไปไม่ถึงปี
ราคาลงไปเหลือ 10 บาท ทนถือจนราคากลับขึ้นมา 26 บาท
เลยขายทิ้งไป และสาบานกลับตัวเองว่าจะไม่ซื้อหุ้นตัวนี้อีกต่อไป
ตัวนี้หนักสุดตั้งแต่เข้ามาลงทุนในหุ้น ไม่ว่าจะเจอวิกฤต
หรือเหตุการณ์หนักแค่ไหนก็ไม่เคยถือแล้วขาดทุนทางบัญชีถึง 60 %
มาก่อน ไม่ว่าจะเหตุกาณ์ 911 สหรัฐบุกอิรัก หม่อมอุ๋ย 30
หรือ Sub-prime
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 15
55 ค่ายกครู กำกวมไงไม่รู้นะคับ 55
ศึกษาการลงทุนปี 49 ก่อนหน้านี้ก็ฝากประจำ
ฝากสหกรณ์ แล้วก็ต่อมา กองทุนตราสารหนี้ กองทุนดัชนี กองทุนหุ้น
ผลตอบแทนก็พอได้ตามตลาดบ้าง
เริ่มซื้อหุ้นจริงจังปี 50 เปิดพอร์ตต้นปี หลังมาตรการกันสำรอง 30% เลย
set 600 ก่าจุด ลุยเอง เริ่มต้นแสนนึง เรียนรู้เอง งูๆปลาๆ
อ่านพวกเทรดหุ้นผ่านเน็ต เทคนิคบ้าง
พ่อรวย (ซึ่งหลังๆไม่ค่อยชอบแนวคิดเท่าไหร่ มันดูโลภจัง
อะไรก็เงินๆ ดูถูกพ่อตัวเองด้วย ไงไม่รู้ก็เลยเลิกติดตามอ่าน
หลายท่านอาจชอบ ขออภัยด้วยนะคับ เป็นความคิดส่วนตัว)
ทุกอย่างเกี่ยวกับหุ้นก็ว่าได้ แต่ไม่ได้อ่านตีแตก
หรือหนังสือการลงทุนแบบเน้นคุณค่าได้ไงเนี๊ย
ตอนนั้นเก็บข้อมูลหุ้นทุกตัวเป็นโฟลเดอร์ไว้ แล้วก็จัดทำเป็นโฟลเดอร์หุ้นแต่ละตัว
แล้วก็บันทึกเวบไซต์บริษัทไว้ดูข้อมูลต่างๆ ประทับใจว่า บริษัทจดทะเบียน
มีเวบหมดเลย ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ละเอียดบ้าง ไม่ละเอียดบ้าง สวยบ้าง ไม่สวยบ้าง
บางแห่งเวบพื้นๆมากเลย อยู่ในตลาดเหรอเนี๊ย แต่อย่างว่า เราดูแค่เวบอย่างเดียวไม่ได้
ต้องดูตัวบริษัท อาจจะดีก็ได้
พอได้ที่ ก็ซื้อหุ้นห้าตัว กระจายไป ตามที่คิดว่าดี
ซื้อ cm 3 ก่า อาหาร ผักผลไม้ ไปๆมาๆ
โดน cm ยกครูกันไป จริงๆ ไม่เข้าใจธุรกิจดีพอ ว่ามันเป็นฤดูกาล ค่าเงินด้วย
แล้วก็ ผักแช่แข็งเนี๊ย กำไรมันผันผวนจริงๆ ราคาหุ้นก็ลดเฉยๆ ไม่เข้าใจ ตกใจ
ขายไปก่อนเลย เสียดายเงิน ขาดทุนไปครั้งแรก
pttep 90 มั้งนะตอนนั้น พลังงาน อยู่ๆก็ร่วงไปแตะ 60 มึนๆ ไม่รู้เป็นเพราะไร
เหมือนหุ้นโดนทุบ ตอนนั้นไม่ได้ติดตามข่าวไรมากมาย เวนแล้ว อยู่ๆไงตกแรงจัง
ติดหุ้นไปครั้งแรก แต่มารีบาวด์ ก็รีบขายเลย กำไรนิดหน่อย โชคดีไป
qh 1.61 สร้างบ้าน ดีหน่อย ทรงๆ ได้กำไรนิดหน่อยก็ขายไป
cp7-11 5 บาทกว่า สมัยก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น cpall ไม่ไปไหนเลย มาวิ่งๆไป 7 บาท
ขายไปก่อนเลย กำไรพอควร
se-ed 7 กว่าๆ ร้านหนังสือ ชอบที่ปันผลดี ราคาก็ทรงๆ ถือมาจนถึงปัจจุบัน
ปี 50 ยังดูราคาหุ้นอยู่มาก พะวงเมื่อหุ้นลง ตื่นเต้นเมื่อหุ้นขึ้น แล้วก็ยังมีหลายๆอย่างที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุน
แต่เหมือนว่า ทำกำไรกันได้ง่ายจัง แล้วก็ขาดทุนได้ง่ายด้วย ไหวไหมเนี๊ยเรา
ต่อมาเก็บตัง เพิ่มเงินลงทุน เริ่มมองหาหุ้นคุณภาพหน่อย เจ้าตลาด
ตอนนั้น บัญชีก็งูๆปลาๆ พวก pe pb roe roa ก็เบลอๆ ไม่ค่อยเข้าใจลึกซึ้งนัก
(ผมจบคณะสังคมศาสตร์ เอกจิตวิทยาอุตสาหกรรม แต่ได้ วท.บ. ก็งงๆ
ว่าทำไมไม่อยู่คณะวิทยาศาสตร์หว่า วิชาที่เรียนมันก่ำกึ่งๆมั้ง เพราะมีเรียนแคลคูลัส
สถิต ชีววิทยา สรีระวิทยา จิตวิทยาคลีนิค,พัฒนาการ เศรษฐศาสตร์
สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ผสมกันไปมา ตอนเรียนก็มึนๆพอควร
สมัยนั้นเคยได้ยินแต่หุ้น ว่ามันเป็นการพนัน คงเจ๊งเยอะ ไม่รู้เรื่องธุรกิจอะไรเลย ฝังหัวแต่ว่า
เรียนให้ดีๆ จบออกไปจะได้ทำงานดีๆ)
เพิ่มเงินลงทุน หาวิธีลงทุนใหม่ ได้ไอเดีย ว่าซื้อขายหุ้นให้เหมือนค่าเช่าจากหนังสือเล่มนึง
จับการแกว่งตลาด ซื้อมาพอราคาขึ้นขาย พอราคาตกซื้อกลับ ได้ส่วนต่างเหมือนค่าเช่า
แต่ไปๆมาๆ ไม่ไหว หุ้นบางตัว ตกยาว ซื้อแล้วก็ตก บางตัวขึ้นไปเลย ซื้อกลับไม่ได้
จำได้ว่า มี advanc cpn major ด้วยมั้งที่ลองใช้วิธีนี้ ก็พอได้บ้างตามการแกว่งของราคา
ต่อมาเริ่มคุ้นเคยกับการซื้อขาย หันมามองกลุ่มอสังหาบ้าง 55
เห็นขึ้นลงแรงดี เก็งกำไรซะหน่อย ซื้อ spali แบบงูๆปลาๆ
หุ้นแหวี่ยงแรงมาก กลัว ขายไป ขาดทุนไปอีก
โชคดีที่ขาดทุนไปไม่มากนัก กับทั้ง cm และ spali อาจเป็นด้วย
จำนวนเงินยังน้อยอยู่
ตอนนั้นทำงานดีพอสมควร ได้เงินดี มีเงินเหลือ เริ่มเบื่องาน
อาจจะเพราะไม่เหมาะกับงาน หรือปัญหาในใจตัวเอง
ก็เลยหาวิธีทำอย่างอื่นบ้าง หาพวกหนังสือธุรกิจ อสังหา มาอ่าน
แต่ก็รู้ว่าตัวเองค้าขายก็ไม่เก่ง ทำกิจการเอง
ก็ไม่มีความรู้ กลัวนั่นกลัวนี่ ไม่น่าจะทำกิจการเองได้
จนในที่สุด ได้มาพบหนังสือ การลงทุนที่แตกต่าง
Beating the Street มั้งคับ ของปีเตอร์ ลินซ์ อ่านแบบมึนๆ
แต่เริ่มเข้าใจการลงทุน ในนั้นมีอ้างถึงวอเรน บัฟเฟตต์ ก็ยังไม่รู้จัก
ว่าใครหว่าชื่อเหมือนอาหารบุฟเฟ่ ปรากฏ เค้าเป็นคนรวยติดอันดับโลกเลย
แล้วก็ทำธุรกิจการลงทุน มีปรัชญาการลงทุนที่แตกต่างจากที่เคยรู้มามากเลย
ต่อมาอ่าน One up on Wallstreet 55 มี ดร.นิเวศน์ แปล เล่มนี้ทำให้เข้าใจ
การลงทุนในหุ้นมากมาย แล้วก็เลยตามมาถึงหนังสือของ ดร. หามาอ่านทุกเล่ม
เลย ขาดอยู่แค่เล่มเดียว หาไม่ได้ "การลงทุนในหุ้น" จากนั้นก็ซื้อหาอ่าน
หนังสือลงทุนเกี่ยวกับ VI จนหมดที่มีขายในเมืองไทย หมดเงินไปเยอะ
พอควร แต่ก็ได้อะไรมากมาย
พอความรู้อัดแน่น ก็อยากใช้ซะแล้ว เพิ่มเงินลงทุนขึ้นอีกหลัก
หาหุ้นเลย บริษัทดี มีกำไร ผู้บริหารดี ราคาต่ำกว่ามูลค่า
(ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้จักผู้บริหารจะรู้ได้ไงฟะว่าดี มูลค่าคืออะไร ราคาต่างกับมูลค่าตรงไหน
ถูกแพง ผลตอบแทนของหุ้นคืออะไร ตลาดหุ้นทำงานอย่างไร ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมาก แต่เอาฟะลุยแล้ว)
เริ่มดูงบ อ่านหนังสือบัญชีการเงิน อัตราส่วนการเงินต่างๆ (ก็มึนๆอยู่ดี)
ซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นด้วยจำนวนเงินมากขึ้น
เน้นปันผลและตอนนั้นก็หามาได้หลายๆตัว makro it se-ed major s&p pb
ตอนนั้นไม่ค่อยได้สนใจกลุ่มอื่น เพราะไม่เข้าใจ เลยมาแต่ค้าปลีกก่อนเลย
ช่วงที่พลาดหนักมาก ก็คงเป็นไปซื้อ major เห็นกำไรดี แต่ไม่ได้เข้าใจเลย
และไม่ได้ดูเลย ว่าเค้ามีกำไรจากการออกกองทุนอสังหาฯ ซื้อไปราคายอดดอย
กลางๆปี 51 sub-prime เริ่มขึ้นแล้ว ไม่รู้เรื่องอีก เพราะไม่เคยติดตามเศรษฐกิจโลกเลย
หุ้นในพอร์ตร่วงไปต่ำสุด 48% ช๊อกกันไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำอย่างไร จะขายก็เสียดายเงิน
คนรอบข้าง ก็บอกว่าแย่แน่ๆ ให้ขายไปเอาเงินที่เหลือมาเริ่มใหม่ คนใกล้ตัวก็บอกว่าโลภ
เป็นไงล่ะ มันต้องตกไปจนเหลือ 0 ด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันมากมาย ประมาณว่า เป็นไงล่ะ
เห็นแก่เงิน โลภ หน้าเงิน ได้รับผลกรรมแล้ว จิตตกกันไป
ในใจคิด เอ เราว่าเราซื้อหุ้นคือทำธุรกิจ
เราก็ไม่ได้หวังกำไรมากมาย เอาแค่ที่ธุรกิจทำได้ แล้วนักลงทุนก็รับได้อย่างเดียวตอนนั้น
คือเงินปันผล โชคดี ที่หุ้นส่วนใหญ่ในพอร์ตฐานะการเงินดี ปันผลได้
แต่ก็ยังติดใจกับคำว่าหน้าเงิน
โลภ ที่คนใกล้ตัวว่ามา หันมาพิจารณาตัวเอง เราโลภขนาดนั้นเลยหรือ เราแค่ต้องการ
ทำรายได้อย่างอื่นบ้าง โอเค ทำธุรกิจ มันก็ต้องหวังกำรี้กำไร มันโลภเหรอ แล้วคนอื่นๆล่ะ
ที่เป็นเจ้าของกิจการ หรือแม้แต่บริษัทที่เราทำงานก็ทำงานหาเงินมาแบ่งกำไรกัน ไม่โลภหรือ??
เอ หมายความว่าเราควรเป็นพนักงานกินเงินเดือนต่อไป แล้วพอใจในการทำงาน ไม่มีทางเลือกอื่นเหรอ
ที่จะเรียกว่าไม่หน้าเงิน ไม่โลภ แต่เอาเถอะ ไปๆมาๆก็คิดได้ว่าเราก็ทำงานสุจริต เงินที่หามาได้
ก็มาจากการค้าขายของบริษัท (ปันผล) หุ้นที่เราถือก็ไม่ได้คิดว่าซื้อไว้เพื่อขายแต่แรก แต่ถ้าจำเป็นต้องขาย
เราก็จะขายในราคายุติธรรม คือขายเมื่อเหมาะสมกับมูลค่า เพื่อที่ว่าผู้อื่นซื้อไปจะยังสามารถมีกำไรได้
และถ้าเป็นบริษัทที่ดี ถึงเราขายไปมูลค่ามันก็เพิ่มขึ้นได้ เหมาะสมกับผู้ที่ซื้อไปอยู่ดี
ก็เลยไม่สนใจกับคำว่าหน้าเงิน และโลภอีกต่อไป
แต่แล้ว major ทำขาดทุนหนักสุด พอหุ้นฟื้น ก็ไม่ค่อยยอมฟื้น หลายแสนอยู่เหมือนกัน
รอแล้วรออีก โชคดีที่มีหุ้นอีกตัวทำกำไรดีมาก ฟื้นมาหลายเด้ง เลยต้องทำใจขายออกไป
เพื่อชดเชยผลขาดทุน ให้กำไรกับขาดทุน มันบวกลบกันไป แต่ก็เสียหุ้นเด้งตัวนั้นไปตลอดกาล
เพราะซื้อคืนมาไม่ได้แล้ว มันยังเด้งต่อไปอีก (hmpro) อ่อนประสบการณ์มากผม เสียดาย
แล้วในที่สุด major มันก็ไต่ระดับกลับมายืนได้ ใช้เวลาสามปี
ตอนซัพไพรมเลยได้ตระหนักแล้วว่า มูลค่ากับราคาหุ้น มันต่างกันนะ
ราคาหุ้นช่วงซัพไพรม ตกไปต่ำกว่ามูลค่ามาก ได้เห็นจริงๆกะตาว่าหุ้นถูกมันเป็นอย่างไร
และหุ้นแพงมันเป็นอย่างไร และการซื้อหุ้นที่ราคาแพงเกินพื้นฐานก่อให้เกิดความเสียหาย
และค่าเสียโอกาสตามมาอย่างไร
ส่วนการซื้อหุ้นที่ราคาถูก ยุติธรรม คุณภาพดี อย่างน้อยเมื่อเกิดวิฤติ ก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจไปได้
และยังสามารถจ่ายปันผลได้ในอัตราที่น่าพอใจ
ในการลงทุน คำว่า Margin of Safety สำคัญที่สุดจริงๆ
ศึกษาการลงทุนปี 49 ก่อนหน้านี้ก็ฝากประจำ
ฝากสหกรณ์ แล้วก็ต่อมา กองทุนตราสารหนี้ กองทุนดัชนี กองทุนหุ้น
ผลตอบแทนก็พอได้ตามตลาดบ้าง
เริ่มซื้อหุ้นจริงจังปี 50 เปิดพอร์ตต้นปี หลังมาตรการกันสำรอง 30% เลย
set 600 ก่าจุด ลุยเอง เริ่มต้นแสนนึง เรียนรู้เอง งูๆปลาๆ
อ่านพวกเทรดหุ้นผ่านเน็ต เทคนิคบ้าง
พ่อรวย (ซึ่งหลังๆไม่ค่อยชอบแนวคิดเท่าไหร่ มันดูโลภจัง
อะไรก็เงินๆ ดูถูกพ่อตัวเองด้วย ไงไม่รู้ก็เลยเลิกติดตามอ่าน
หลายท่านอาจชอบ ขออภัยด้วยนะคับ เป็นความคิดส่วนตัว)
ทุกอย่างเกี่ยวกับหุ้นก็ว่าได้ แต่ไม่ได้อ่านตีแตก
หรือหนังสือการลงทุนแบบเน้นคุณค่าได้ไงเนี๊ย
ตอนนั้นเก็บข้อมูลหุ้นทุกตัวเป็นโฟลเดอร์ไว้ แล้วก็จัดทำเป็นโฟลเดอร์หุ้นแต่ละตัว
แล้วก็บันทึกเวบไซต์บริษัทไว้ดูข้อมูลต่างๆ ประทับใจว่า บริษัทจดทะเบียน
มีเวบหมดเลย ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ละเอียดบ้าง ไม่ละเอียดบ้าง สวยบ้าง ไม่สวยบ้าง
บางแห่งเวบพื้นๆมากเลย อยู่ในตลาดเหรอเนี๊ย แต่อย่างว่า เราดูแค่เวบอย่างเดียวไม่ได้
ต้องดูตัวบริษัท อาจจะดีก็ได้
พอได้ที่ ก็ซื้อหุ้นห้าตัว กระจายไป ตามที่คิดว่าดี
ซื้อ cm 3 ก่า อาหาร ผักผลไม้ ไปๆมาๆ
โดน cm ยกครูกันไป จริงๆ ไม่เข้าใจธุรกิจดีพอ ว่ามันเป็นฤดูกาล ค่าเงินด้วย
แล้วก็ ผักแช่แข็งเนี๊ย กำไรมันผันผวนจริงๆ ราคาหุ้นก็ลดเฉยๆ ไม่เข้าใจ ตกใจ
ขายไปก่อนเลย เสียดายเงิน ขาดทุนไปครั้งแรก
pttep 90 มั้งนะตอนนั้น พลังงาน อยู่ๆก็ร่วงไปแตะ 60 มึนๆ ไม่รู้เป็นเพราะไร
เหมือนหุ้นโดนทุบ ตอนนั้นไม่ได้ติดตามข่าวไรมากมาย เวนแล้ว อยู่ๆไงตกแรงจัง
ติดหุ้นไปครั้งแรก แต่มารีบาวด์ ก็รีบขายเลย กำไรนิดหน่อย โชคดีไป
qh 1.61 สร้างบ้าน ดีหน่อย ทรงๆ ได้กำไรนิดหน่อยก็ขายไป
cp7-11 5 บาทกว่า สมัยก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น cpall ไม่ไปไหนเลย มาวิ่งๆไป 7 บาท
ขายไปก่อนเลย กำไรพอควร
se-ed 7 กว่าๆ ร้านหนังสือ ชอบที่ปันผลดี ราคาก็ทรงๆ ถือมาจนถึงปัจจุบัน
ปี 50 ยังดูราคาหุ้นอยู่มาก พะวงเมื่อหุ้นลง ตื่นเต้นเมื่อหุ้นขึ้น แล้วก็ยังมีหลายๆอย่างที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุน
แต่เหมือนว่า ทำกำไรกันได้ง่ายจัง แล้วก็ขาดทุนได้ง่ายด้วย ไหวไหมเนี๊ยเรา
ต่อมาเก็บตัง เพิ่มเงินลงทุน เริ่มมองหาหุ้นคุณภาพหน่อย เจ้าตลาด
ตอนนั้น บัญชีก็งูๆปลาๆ พวก pe pb roe roa ก็เบลอๆ ไม่ค่อยเข้าใจลึกซึ้งนัก
(ผมจบคณะสังคมศาสตร์ เอกจิตวิทยาอุตสาหกรรม แต่ได้ วท.บ. ก็งงๆ
ว่าทำไมไม่อยู่คณะวิทยาศาสตร์หว่า วิชาที่เรียนมันก่ำกึ่งๆมั้ง เพราะมีเรียนแคลคูลัส
สถิต ชีววิทยา สรีระวิทยา จิตวิทยาคลีนิค,พัฒนาการ เศรษฐศาสตร์
สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ผสมกันไปมา ตอนเรียนก็มึนๆพอควร
สมัยนั้นเคยได้ยินแต่หุ้น ว่ามันเป็นการพนัน คงเจ๊งเยอะ ไม่รู้เรื่องธุรกิจอะไรเลย ฝังหัวแต่ว่า
เรียนให้ดีๆ จบออกไปจะได้ทำงานดีๆ)
เพิ่มเงินลงทุน หาวิธีลงทุนใหม่ ได้ไอเดีย ว่าซื้อขายหุ้นให้เหมือนค่าเช่าจากหนังสือเล่มนึง
จับการแกว่งตลาด ซื้อมาพอราคาขึ้นขาย พอราคาตกซื้อกลับ ได้ส่วนต่างเหมือนค่าเช่า
แต่ไปๆมาๆ ไม่ไหว หุ้นบางตัว ตกยาว ซื้อแล้วก็ตก บางตัวขึ้นไปเลย ซื้อกลับไม่ได้
จำได้ว่า มี advanc cpn major ด้วยมั้งที่ลองใช้วิธีนี้ ก็พอได้บ้างตามการแกว่งของราคา
ต่อมาเริ่มคุ้นเคยกับการซื้อขาย หันมามองกลุ่มอสังหาบ้าง 55
เห็นขึ้นลงแรงดี เก็งกำไรซะหน่อย ซื้อ spali แบบงูๆปลาๆ
หุ้นแหวี่ยงแรงมาก กลัว ขายไป ขาดทุนไปอีก
โชคดีที่ขาดทุนไปไม่มากนัก กับทั้ง cm และ spali อาจเป็นด้วย
จำนวนเงินยังน้อยอยู่
ตอนนั้นทำงานดีพอสมควร ได้เงินดี มีเงินเหลือ เริ่มเบื่องาน
อาจจะเพราะไม่เหมาะกับงาน หรือปัญหาในใจตัวเอง
ก็เลยหาวิธีทำอย่างอื่นบ้าง หาพวกหนังสือธุรกิจ อสังหา มาอ่าน
แต่ก็รู้ว่าตัวเองค้าขายก็ไม่เก่ง ทำกิจการเอง
ก็ไม่มีความรู้ กลัวนั่นกลัวนี่ ไม่น่าจะทำกิจการเองได้
จนในที่สุด ได้มาพบหนังสือ การลงทุนที่แตกต่าง
Beating the Street มั้งคับ ของปีเตอร์ ลินซ์ อ่านแบบมึนๆ
แต่เริ่มเข้าใจการลงทุน ในนั้นมีอ้างถึงวอเรน บัฟเฟตต์ ก็ยังไม่รู้จัก
ว่าใครหว่าชื่อเหมือนอาหารบุฟเฟ่ ปรากฏ เค้าเป็นคนรวยติดอันดับโลกเลย
แล้วก็ทำธุรกิจการลงทุน มีปรัชญาการลงทุนที่แตกต่างจากที่เคยรู้มามากเลย
ต่อมาอ่าน One up on Wallstreet 55 มี ดร.นิเวศน์ แปล เล่มนี้ทำให้เข้าใจ
การลงทุนในหุ้นมากมาย แล้วก็เลยตามมาถึงหนังสือของ ดร. หามาอ่านทุกเล่ม
เลย ขาดอยู่แค่เล่มเดียว หาไม่ได้ "การลงทุนในหุ้น" จากนั้นก็ซื้อหาอ่าน
หนังสือลงทุนเกี่ยวกับ VI จนหมดที่มีขายในเมืองไทย หมดเงินไปเยอะ
พอควร แต่ก็ได้อะไรมากมาย
พอความรู้อัดแน่น ก็อยากใช้ซะแล้ว เพิ่มเงินลงทุนขึ้นอีกหลัก
หาหุ้นเลย บริษัทดี มีกำไร ผู้บริหารดี ราคาต่ำกว่ามูลค่า
(ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้จักผู้บริหารจะรู้ได้ไงฟะว่าดี มูลค่าคืออะไร ราคาต่างกับมูลค่าตรงไหน
ถูกแพง ผลตอบแทนของหุ้นคืออะไร ตลาดหุ้นทำงานอย่างไร ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมาก แต่เอาฟะลุยแล้ว)
เริ่มดูงบ อ่านหนังสือบัญชีการเงิน อัตราส่วนการเงินต่างๆ (ก็มึนๆอยู่ดี)
ซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นด้วยจำนวนเงินมากขึ้น
เน้นปันผลและตอนนั้นก็หามาได้หลายๆตัว makro it se-ed major s&p pb
ตอนนั้นไม่ค่อยได้สนใจกลุ่มอื่น เพราะไม่เข้าใจ เลยมาแต่ค้าปลีกก่อนเลย
ช่วงที่พลาดหนักมาก ก็คงเป็นไปซื้อ major เห็นกำไรดี แต่ไม่ได้เข้าใจเลย
และไม่ได้ดูเลย ว่าเค้ามีกำไรจากการออกกองทุนอสังหาฯ ซื้อไปราคายอดดอย
กลางๆปี 51 sub-prime เริ่มขึ้นแล้ว ไม่รู้เรื่องอีก เพราะไม่เคยติดตามเศรษฐกิจโลกเลย
หุ้นในพอร์ตร่วงไปต่ำสุด 48% ช๊อกกันไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำอย่างไร จะขายก็เสียดายเงิน
คนรอบข้าง ก็บอกว่าแย่แน่ๆ ให้ขายไปเอาเงินที่เหลือมาเริ่มใหม่ คนใกล้ตัวก็บอกว่าโลภ
เป็นไงล่ะ มันต้องตกไปจนเหลือ 0 ด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันมากมาย ประมาณว่า เป็นไงล่ะ
เห็นแก่เงิน โลภ หน้าเงิน ได้รับผลกรรมแล้ว จิตตกกันไป
ในใจคิด เอ เราว่าเราซื้อหุ้นคือทำธุรกิจ
เราก็ไม่ได้หวังกำไรมากมาย เอาแค่ที่ธุรกิจทำได้ แล้วนักลงทุนก็รับได้อย่างเดียวตอนนั้น
คือเงินปันผล โชคดี ที่หุ้นส่วนใหญ่ในพอร์ตฐานะการเงินดี ปันผลได้
แต่ก็ยังติดใจกับคำว่าหน้าเงิน
โลภ ที่คนใกล้ตัวว่ามา หันมาพิจารณาตัวเอง เราโลภขนาดนั้นเลยหรือ เราแค่ต้องการ
ทำรายได้อย่างอื่นบ้าง โอเค ทำธุรกิจ มันก็ต้องหวังกำรี้กำไร มันโลภเหรอ แล้วคนอื่นๆล่ะ
ที่เป็นเจ้าของกิจการ หรือแม้แต่บริษัทที่เราทำงานก็ทำงานหาเงินมาแบ่งกำไรกัน ไม่โลภหรือ??
เอ หมายความว่าเราควรเป็นพนักงานกินเงินเดือนต่อไป แล้วพอใจในการทำงาน ไม่มีทางเลือกอื่นเหรอ
ที่จะเรียกว่าไม่หน้าเงิน ไม่โลภ แต่เอาเถอะ ไปๆมาๆก็คิดได้ว่าเราก็ทำงานสุจริต เงินที่หามาได้
ก็มาจากการค้าขายของบริษัท (ปันผล) หุ้นที่เราถือก็ไม่ได้คิดว่าซื้อไว้เพื่อขายแต่แรก แต่ถ้าจำเป็นต้องขาย
เราก็จะขายในราคายุติธรรม คือขายเมื่อเหมาะสมกับมูลค่า เพื่อที่ว่าผู้อื่นซื้อไปจะยังสามารถมีกำไรได้
และถ้าเป็นบริษัทที่ดี ถึงเราขายไปมูลค่ามันก็เพิ่มขึ้นได้ เหมาะสมกับผู้ที่ซื้อไปอยู่ดี
ก็เลยไม่สนใจกับคำว่าหน้าเงิน และโลภอีกต่อไป
แต่แล้ว major ทำขาดทุนหนักสุด พอหุ้นฟื้น ก็ไม่ค่อยยอมฟื้น หลายแสนอยู่เหมือนกัน
รอแล้วรออีก โชคดีที่มีหุ้นอีกตัวทำกำไรดีมาก ฟื้นมาหลายเด้ง เลยต้องทำใจขายออกไป
เพื่อชดเชยผลขาดทุน ให้กำไรกับขาดทุน มันบวกลบกันไป แต่ก็เสียหุ้นเด้งตัวนั้นไปตลอดกาล
เพราะซื้อคืนมาไม่ได้แล้ว มันยังเด้งต่อไปอีก (hmpro) อ่อนประสบการณ์มากผม เสียดาย
แล้วในที่สุด major มันก็ไต่ระดับกลับมายืนได้ ใช้เวลาสามปี
ตอนซัพไพรมเลยได้ตระหนักแล้วว่า มูลค่ากับราคาหุ้น มันต่างกันนะ
ราคาหุ้นช่วงซัพไพรม ตกไปต่ำกว่ามูลค่ามาก ได้เห็นจริงๆกะตาว่าหุ้นถูกมันเป็นอย่างไร
และหุ้นแพงมันเป็นอย่างไร และการซื้อหุ้นที่ราคาแพงเกินพื้นฐานก่อให้เกิดความเสียหาย
และค่าเสียโอกาสตามมาอย่างไร
ส่วนการซื้อหุ้นที่ราคาถูก ยุติธรรม คุณภาพดี อย่างน้อยเมื่อเกิดวิฤติ ก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจไปได้
และยังสามารถจ่ายปันผลได้ในอัตราที่น่าพอใจ
ในการลงทุน คำว่า Margin of Safety สำคัญที่สุดจริงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 16
แก้ไข
SATTLE เป็น SATTEL ครับ
SATTLE เป็น SATTEL ครับ
- generalman
- Verified User
- โพสต์: 81
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 17
AI เลยครับ จาก 4.00 -> 3.00 ปีที่แล้วเหมือนกันครับ สาเหตุที่หุ้นลงอย่างนั้นคงเป็นเพราะธุรกิจไบโอดีเซลของบริษัท ณ ขณะนั้น ไม่ได้ทำกำไรอย่างที่คิด แถมยังทำให้บริษัทขาดทุนเป็นบางช่วงอีก [บางส่วนขาดทุนเพราะสต็อคน้ำมันปาล์ม]
ส่วนสาเหตุที่ตัดใจขาย เพราะผมไม่ได้เข้าใจในธุรกิจของบริษัทอย่างแท้จริงครับ
ปล. ผมยังจำได้เลยว่า ช่วงปีที่แล้วคุณ gripen จะโพสต์ถามเกี่ยวกับ TTA เป็นพิเศษ
ส่วนสาเหตุที่ตัดใจขาย เพราะผมไม่ได้เข้าใจในธุรกิจของบริษัทอย่างแท้จริงครับ
ปล. ผมยังจำได้เลยว่า ช่วงปีที่แล้วคุณ gripen จะโพสต์ถามเกี่ยวกับ TTA เป็นพิเศษ
"Investing is not a game where the guy with 160 IQ beats the guy with 130 IQ. What is needed is a sound intellectual framework for making decisions and the ability to keep emotions from corroding the framework."
Warren Buffett
Warren Buffett
-
- Verified User
- โพสต์: 513
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 18
1500ครับ
ได้เวลาเหล่าอินทรีย์ ผงาดบนฟากฟ้า
-
- Verified User
- โพสต์: 276
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 20
ขอบคุณครับที่คุณ generalmal ยังจำผมได้ 555generalman เขียน:AI เลยครับ จาก 4.00 -> 3.00 ปีที่แล้วเหมือนกันครับ สาเหตุที่หุ้นลงอย่างนั้นคงเป็นเพราะธุรกิจไบโอดีเซลของบริษัท ณ ขณะนั้น ไม่ได้ทำกำไรอย่างที่คิด แถมยังทำให้บริษัทขาดทุนเป็นบางช่วงอีก [บางส่วนขาดทุนเพราะสต็อคน้ำมันปาล์ม]
ส่วนสาเหตุที่ตัดใจขาย เพราะผมไม่ได้เข้าใจในธุรกิจของบริษัทอย่างแท้จริงครับ
ปล. ผมยังจำได้เลยว่า ช่วงปีที่แล้วคุณ gripen จะโพสต์ถามเกี่ยวกับ TTA เป็นพิเศษ
ช่ายครับ ช่วงนั้นอย่างที่บอก ผมเข้าลงทุนในหุ้นtta ใจก้อคิดว่าราคาตรงที่ซื้อมันต่ำมากแล้ว อีกทั้งช่วงนั้นค่าระวางเรือ ก้ออยู่ในช่วงที่ต่ำประมาณ 1000 กว่าจุดถ้าจำไม่ผิด แล้วทางผู้บริหารก้อมีกระจายความเสี่ยงในตัวธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น แต่สุดท้ายก้อยอมรับครับว่า ตัวนี้ธุรกิจมันยังอาจจะยังไม่ถึงจุดต่ำสุดจริงๆ ( ลงทุนยากจริงๆครับ กับการมองธุรกิจที่จะเทินร์อะราวน์ขึ้นมาอีกรอบนึง ผมอาจจะฝีมือไม่ถึงกับกลุ่มนี้จริงๆครับ )
ผมเลยตัดสินใจมาแนวทางที่ผมถนัดดีกว่า ก้อเลยมามองหุ้นที่ดูเติบโต ค้าขายกับคนหมู่มาก และมีแนวโน้มของรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% ก้อพอใจหล่ะครับ ไม่เหนื่อยมากเหมือนลงทุนหุ้นกลุ่มที่เราจะต้องมากะเก็งว่าผลประกอบการกลับมามีกำไรอีกครั้งรึปล่าว สำหรับผมแล้ว .....มันเหนื่อยครับ.....
ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมน่ะครับ
ปล่อยให้เงินทำงาน...$$$
-
- Verified User
- โพสต์: 152
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 21
พอดีเพิ่งเข้าตลาดได้ไม่นาน ตอนนี้เล่นอย่างระมัดระวังมาก เลือกหุ้นค่อนข้าง defensive เพราะกลัวจะต้องมานั่งเล่าเรื่อง ประสบการณ์ เสียค่ายกครู นี่แหละ
ปัจจุบันค่ายกครูนี่ไม่เคยเีสีย แต่ค่าขึ้นครูนี่ อยากจะเสียอยู่เหมือนกัน 5555
ปัจจุบันค่ายกครูนี่ไม่เคยเีสีย แต่ค่าขึ้นครูนี่ อยากจะเสียอยู่เหมือนกัน 5555
ว. วีไอ อดทน
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 560
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 22
ค่ายกครูครั้งแรกของผมคงจะเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาในตลาดเลยครับ เป็นเรื่องที่ตลกแกมเศร้าครับ
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ที่ระดับมหาลัยปริญญาตรี
เพื่อนผมชวนเข้าไปที่โบรกแห่งหนึ่งแถวราชดำริชื่อเอก...อะไรเนี่ยแหละ
เค้าบอกว่าแม่เค้านั่งเล่นอยู่ในห้องค้าให้เข้าไปดูกันเผื่อไปหาค่าขนมกัน
ผมและเพื่อนอีกสองคนเข้าไปห้องค้ากัน ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่หุ้นเริ่มรีบาวด์จากจุดต่ำสุดของตลาดแถวๆ 200 จุดมาได้ซักพัก
ตอนนั้นบรรยากาศในห้องค้าดูคึกคักพอควรครับ ผู้คนเข้ามานั่งในห้องค้าหนาตา อาหารการกินสมบูรณ์ ทั้งขนมนมเนย
พวกผมเข้าไปดูกันแบบงงๆ ด้วยความเป็นมือใหม่ เห็นใครๆเค้าว่าไม่ยาก แค่ซื้อแล้วก็ขายเดี๋ยวก็ได้กำไร เล่นในวันไม่ต้องมีเงินก้อน
ผมและเพื่อนทั้งสองก็ตกลงกันว่าเอาวะหุ้นกันคนละหมื่นสองหมื่นเล่นแบบซื้อเช้าขายเย็นไม่ต้องมีเงินเยอะ
เพราะเราก็ยังไม่มีเงินเก็บอะไรเยอะแยะ
การเล่นครั้งนั้น(ซึ่งผมใช้คำว่าเล่นเพราะมันคือการเล่นจริงๆครับไม่มีความรู้อะไรซักอย่างเห็นแต่ราคากับตัวเลขวิ่งๆกับเสียงเฮโลตอนหุ้นไล่)ผมกับเพื่อนไม่ได้เปิดพอร์ทครับ แม่เพื่อนคนดังกล่าวเค้าให้ยืมพอร์ทเล่นครับ เรามานั่งสุมหัวกันและตกลงกันว่าเราต่างคนต่างเลือกหุ้นคนละตัวแล้วซื้อเช้าขายบ่าย ทำอย่างนี้อยู่ประมาณอาทิตย์นึง ได้มั่งเสียมั่ง แต่ดูเสียจะเยอะกว่าครับ
จนมาถึงวันหนึ่งผมจำไม่ได้ว่าตลาดมีข่าวดีอะไรตลาดดูจะดีมากๆ ผมเลือกที่จะเล่น NWR เข้าไปตอนราคาช่วงเปิดซึ่งเปิดสูงมาก
แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตรครับ หุ้นไม่ขึ้นต่ออย่างที่คาดไว้ ราคาหุ้นร่วงลงแรง ไม่ใช่แค่เฉพาะตัวที่ผมเลือก ของตัวที่เพื่อนๆเลือกก็ลงครับ เงินที่มาเป็นกองกลางของเราหมดครับ แถมยังต้องให้แม่เพื่อนช่วยถือหุ้นบางส่วน เป็นประสบการณ์ในครั้งแรกที่ย่ำแย่กับตลาดมากครับ จากคนที่คิดว่าจะมาเงินจากตลาดจับเสือมือเปล่า แต่หมดครับ เงินที่เก็บสะสมมาหมดเลย
พอนึกกลับมาย้อนคิดอีกทีถึงอดีตตอนนั้น มันก็ให้บทเรียนผมหลายๆอย่างนะครับ
ให้เห็นความแตกต่างของคำว่าเล่นหุ้น กับการลงทุน
ให้เห็นถึงความโลภที่อยู่ในตัวเรา
ให้รู้จักว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆและฟรีครับ
การลงทุนต้องให้เวลากับมันศึกษามันและพยายามเข้าใจมันครับ
ประสบการณ์ของผมมีแค่นี้ก่อนครับ จริงๆมีอีกแหละครับแต่กลัวยาว
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ที่ระดับมหาลัยปริญญาตรี
เพื่อนผมชวนเข้าไปที่โบรกแห่งหนึ่งแถวราชดำริชื่อเอก...อะไรเนี่ยแหละ
เค้าบอกว่าแม่เค้านั่งเล่นอยู่ในห้องค้าให้เข้าไปดูกันเผื่อไปหาค่าขนมกัน
ผมและเพื่อนอีกสองคนเข้าไปห้องค้ากัน ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่หุ้นเริ่มรีบาวด์จากจุดต่ำสุดของตลาดแถวๆ 200 จุดมาได้ซักพัก
ตอนนั้นบรรยากาศในห้องค้าดูคึกคักพอควรครับ ผู้คนเข้ามานั่งในห้องค้าหนาตา อาหารการกินสมบูรณ์ ทั้งขนมนมเนย
พวกผมเข้าไปดูกันแบบงงๆ ด้วยความเป็นมือใหม่ เห็นใครๆเค้าว่าไม่ยาก แค่ซื้อแล้วก็ขายเดี๋ยวก็ได้กำไร เล่นในวันไม่ต้องมีเงินก้อน
ผมและเพื่อนทั้งสองก็ตกลงกันว่าเอาวะหุ้นกันคนละหมื่นสองหมื่นเล่นแบบซื้อเช้าขายเย็นไม่ต้องมีเงินเยอะ
เพราะเราก็ยังไม่มีเงินเก็บอะไรเยอะแยะ
การเล่นครั้งนั้น(ซึ่งผมใช้คำว่าเล่นเพราะมันคือการเล่นจริงๆครับไม่มีความรู้อะไรซักอย่างเห็นแต่ราคากับตัวเลขวิ่งๆกับเสียงเฮโลตอนหุ้นไล่)ผมกับเพื่อนไม่ได้เปิดพอร์ทครับ แม่เพื่อนคนดังกล่าวเค้าให้ยืมพอร์ทเล่นครับ เรามานั่งสุมหัวกันและตกลงกันว่าเราต่างคนต่างเลือกหุ้นคนละตัวแล้วซื้อเช้าขายบ่าย ทำอย่างนี้อยู่ประมาณอาทิตย์นึง ได้มั่งเสียมั่ง แต่ดูเสียจะเยอะกว่าครับ
จนมาถึงวันหนึ่งผมจำไม่ได้ว่าตลาดมีข่าวดีอะไรตลาดดูจะดีมากๆ ผมเลือกที่จะเล่น NWR เข้าไปตอนราคาช่วงเปิดซึ่งเปิดสูงมาก
แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตรครับ หุ้นไม่ขึ้นต่ออย่างที่คาดไว้ ราคาหุ้นร่วงลงแรง ไม่ใช่แค่เฉพาะตัวที่ผมเลือก ของตัวที่เพื่อนๆเลือกก็ลงครับ เงินที่มาเป็นกองกลางของเราหมดครับ แถมยังต้องให้แม่เพื่อนช่วยถือหุ้นบางส่วน เป็นประสบการณ์ในครั้งแรกที่ย่ำแย่กับตลาดมากครับ จากคนที่คิดว่าจะมาเงินจากตลาดจับเสือมือเปล่า แต่หมดครับ เงินที่เก็บสะสมมาหมดเลย
พอนึกกลับมาย้อนคิดอีกทีถึงอดีตตอนนั้น มันก็ให้บทเรียนผมหลายๆอย่างนะครับ
ให้เห็นความแตกต่างของคำว่าเล่นหุ้น กับการลงทุน
ให้เห็นถึงความโลภที่อยู่ในตัวเรา
ให้รู้จักว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆและฟรีครับ
การลงทุนต้องให้เวลากับมันศึกษามันและพยายามเข้าใจมันครับ
ประสบการณ์ของผมมีแค่นี้ก่อนครับ จริงๆมีอีกแหละครับแต่กลัวยาว
-
- Verified User
- โพสต์: 42
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 24
เริ่มศึกษาการลงทุนก็เน้นแนว VI มาตลอดตั้งแต่ปี 45 - 46 ศึกษาอย่างเดียวไม่ลงทุนเลย
แต่ตัวแรกที่ลงทุนในปี 48 เป็นหุ้นก่อสร้างเป็นแนวเก็งกำไรเลยครับ เป็นบริษัทและเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่อยู่ใน List จะซื้อเลย แต่มีข่าวว่าบริษัทจะได้โครงการใหญ่ ไม่ทราบอะไรดลจิตดลใจซื้อจนหมดเงินเก็บในตัวเดียวเลย ราคาซื้อเฉลี่ยประมาณสัก 0.55 บาท ราคาค่อยๆ ปรับขึ้นไปจนถึง 0.80 บาท แล้วปรับลงเรื่อยๆ ถ้าจำไม่ผิดลงมาถึงประมาณ 0.35 บาท
ผมยังไม่ยอมเสียค่ายกครู ก็คอยไปเรื่อยๆ ปัญหาคือทางภรรยาผมพูดทุกวันดูเหมือนเขาก็เข้าใจแต่ก็ยังพูดไม่หยุด เป็นช่วงที่ผมรู้สึกแย่มาก เครียดมาก ถ้าจะถอยก็ต้องติดลบเกือบ 40% ซึ่งเป็นเงินไม่น้อยสำหรับผมตอนนั้น ถ้าเงินน้อยๆ ยอมเสียค่ายกครูไปซะสุขภาพจิตจะดีกว่ากันมาก แต่ถ้าผมถอยตอนนั้นมันอาจจะทำให้ผมขยาดตลาดไปและทางภรรยาผมอาจจะไม่เห็นด้วยที่จะให้ลงทุนด้วยเงินมากๆ อีกต่อไป
ผมพบว่ากิจการก็ไม่ได้เลวร้ายถ้าเทียบในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่หุ้นของบริษัทก่อสร้างมันเป็น Cycle ก็ได้แต่หวังว่ามันจะกลับมา ทางโบรกเกอร์จะโทรมาถามบ่อยว่าจะขายหรือยัง ถามบ่อยๆ เข้าตอนนั้นผมรำคาญก็บอกไปว่าถ้าได้ที่ 1 บาทขาย
ในตอนเช้าวันหนึ่งหลังจากผ่านไปเกือบ 2 ปีทางโบรกเกอร์โทรมาบอกว่าขายเรียบร้อยแล้ว ผมดีใจนะที่ขายได้ แต่ถ้าคอยไปขายตอนเย็นหรือในสัปดาห์นั้นยังทำกำไรเพิ่มให้ผมได้ 160,000 บาท
ผมได้บทเรียนมากมายจากการซื้อตัวแรก อาจจะไม่ใช่อยู่ในรูปการต้องเสียเงินไปเป็น"ค่ายกครู" แต่ถ้าผมไม่หนักแน่นอดทนหรือโชคดีผมอาจจะไม่อยู่ในตลาดแล้วก็ได้
ตอนหลังมีการลงทุนหลายๆ บริษัท ตัวที่มั่นใจก็ลงมากหน่อยตัวไม่แน่ใจก็ลงน้อยหน่อย ผมเคยเสียค่ายกครูไปเกือบ 50% ในบางตัวก็มี แต่พอร์ทโดยรวมก็พอไปได้ ก็เป็นอีกบทเรียนว่าถ้าไม่แน่ใจก็อย่าไปลงซะ
แต่ตัวแรกที่ลงทุนในปี 48 เป็นหุ้นก่อสร้างเป็นแนวเก็งกำไรเลยครับ เป็นบริษัทและเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่อยู่ใน List จะซื้อเลย แต่มีข่าวว่าบริษัทจะได้โครงการใหญ่ ไม่ทราบอะไรดลจิตดลใจซื้อจนหมดเงินเก็บในตัวเดียวเลย ราคาซื้อเฉลี่ยประมาณสัก 0.55 บาท ราคาค่อยๆ ปรับขึ้นไปจนถึง 0.80 บาท แล้วปรับลงเรื่อยๆ ถ้าจำไม่ผิดลงมาถึงประมาณ 0.35 บาท
ผมยังไม่ยอมเสียค่ายกครู ก็คอยไปเรื่อยๆ ปัญหาคือทางภรรยาผมพูดทุกวันดูเหมือนเขาก็เข้าใจแต่ก็ยังพูดไม่หยุด เป็นช่วงที่ผมรู้สึกแย่มาก เครียดมาก ถ้าจะถอยก็ต้องติดลบเกือบ 40% ซึ่งเป็นเงินไม่น้อยสำหรับผมตอนนั้น ถ้าเงินน้อยๆ ยอมเสียค่ายกครูไปซะสุขภาพจิตจะดีกว่ากันมาก แต่ถ้าผมถอยตอนนั้นมันอาจจะทำให้ผมขยาดตลาดไปและทางภรรยาผมอาจจะไม่เห็นด้วยที่จะให้ลงทุนด้วยเงินมากๆ อีกต่อไป
ผมพบว่ากิจการก็ไม่ได้เลวร้ายถ้าเทียบในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่หุ้นของบริษัทก่อสร้างมันเป็น Cycle ก็ได้แต่หวังว่ามันจะกลับมา ทางโบรกเกอร์จะโทรมาถามบ่อยว่าจะขายหรือยัง ถามบ่อยๆ เข้าตอนนั้นผมรำคาญก็บอกไปว่าถ้าได้ที่ 1 บาทขาย
ในตอนเช้าวันหนึ่งหลังจากผ่านไปเกือบ 2 ปีทางโบรกเกอร์โทรมาบอกว่าขายเรียบร้อยแล้ว ผมดีใจนะที่ขายได้ แต่ถ้าคอยไปขายตอนเย็นหรือในสัปดาห์นั้นยังทำกำไรเพิ่มให้ผมได้ 160,000 บาท
ผมได้บทเรียนมากมายจากการซื้อตัวแรก อาจจะไม่ใช่อยู่ในรูปการต้องเสียเงินไปเป็น"ค่ายกครู" แต่ถ้าผมไม่หนักแน่นอดทนหรือโชคดีผมอาจจะไม่อยู่ในตลาดแล้วก็ได้
ตอนหลังมีการลงทุนหลายๆ บริษัท ตัวที่มั่นใจก็ลงมากหน่อยตัวไม่แน่ใจก็ลงน้อยหน่อย ผมเคยเสียค่ายกครูไปเกือบ 50% ในบางตัวก็มี แต่พอร์ทโดยรวมก็พอไปได้ ก็เป็นอีกบทเรียนว่าถ้าไม่แน่ใจก็อย่าไปลงซะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1070
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 25
ไม่เคย เสียค่าครู ครับ เล่นตัวแรก มั้ว ๆ ได้ กำไร 20-30% จำได้ว่า ลงสองหมื่น ฝากเค้าเล่นด้วยนะ กำไร เกิอบห้าพัน ..ติดใจ ตัวสองตัวสามก้อได้กำไร ...
เล่น แบบมั่ว มาถึงปีที่แล้ว...เล่นมา 20 ปี ไม่ได้กำไรเท่าไหร่ เล่นน้อยด้วย..นะ ..
ตอนเจ็บหนัก คือ subprime แต่ไม่ขาย...ซื้อเพิ่มสรุป ก้อยังได้กำไรเล็กน้อย..แต่ผมว่ามันเสียเวลา เลยตั้งใจเล่น จริงจังแล้ว....
แต่หลักการยังไม่แม่นนะ พยายามจะเป็น VI แต่มันเป็น VI ยากจัง..พยายามอยู่...
เล่น แบบมั่ว มาถึงปีที่แล้ว...เล่นมา 20 ปี ไม่ได้กำไรเท่าไหร่ เล่นน้อยด้วย..นะ ..
ตอนเจ็บหนัก คือ subprime แต่ไม่ขาย...ซื้อเพิ่มสรุป ก้อยังได้กำไรเล็กน้อย..แต่ผมว่ามันเสียเวลา เลยตั้งใจเล่น จริงจังแล้ว....
แต่หลักการยังไม่แม่นนะ พยายามจะเป็น VI แต่มันเป็น VI ยากจัง..พยายามอยู่...
The One
-
- Verified User
- โพสต์: 100
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 28
ผมเริ่มลงทุนได้ 2 ปีครับ
ค่ายกครูแพงที่สุดก็หุ้น packaging ชื่อดัง PT* น่ะครับ
แห่ตามไปซื้อตอนเกือบยอดดอย หลงคำที่ว่าจะไปเท่านั้นเท่านี้ ไม่ได้วิเคราะห์เอง สุดท้ายขาดทุนไปเกือบ 50%
หลังจากนั้นก็เข็ดละครับพวกหุ้นร้อนแรง ขออยู่ห่างๆดีกว่า
ค่ายกครูแพงที่สุดก็หุ้น packaging ชื่อดัง PT* น่ะครับ
แห่ตามไปซื้อตอนเกือบยอดดอย หลงคำที่ว่าจะไปเท่านั้นเท่านี้ ไม่ได้วิเคราะห์เอง สุดท้ายขาดทุนไปเกือบ 50%
หลังจากนั้นก็เข็ดละครับพวกหุ้นร้อนแรง ขออยู่ห่างๆดีกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 314
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 29
ประสบการณ์ 1 ปีกว่าเหมือนกันครับ ... ซื้อ C_C หุ้นติดลบมาร่วม 10 เดือนจากวันที่ซื้อ .. เคยคิดน้อยใจว่าปีที่แล้วเก็งหุ้นคุณค่าไว้ 3 ตัว .. ทุกตัววิ่งฉลุยไปแล้วยกเว้น 1 ตัวที่เราซื้อ .. ก็เชื่อและรอต่อไป จนสุดท้ายราคาก็ reflect ตามคาด
เคยมีคนบอกไว้ว่า "You only lose when quit" .. ผมคิดว่าใช้ได้กับ VI หลายๆคน ถ้าคุณเชื่อว่าหุ้นที่คุณถือนั้นคุณมั่นใจว่าไตร่ตรองมาดีแล้ว และมันยังไม่เสียความสามารถในการแข่งขันที่คุณรู้ดี ก็จงถือมันตราบนานเท่านาน ^^
เคยมีคนบอกไว้ว่า "You only lose when quit" .. ผมคิดว่าใช้ได้กับ VI หลายๆคน ถ้าคุณเชื่อว่าหุ้นที่คุณถือนั้นคุณมั่นใจว่าไตร่ตรองมาดีแล้ว และมันยังไม่เสียความสามารถในการแข่งขันที่คุณรู้ดี ก็จงถือมันตราบนานเท่านาน ^^
Invincible MOS is knowing what you're doing
-
- Verified User
- โพสต์: 276
- ผู้ติดตาม: 0
Re: มาแชร์ประสบการณ์"เสียค่ายกครู"ครั้งแรกกัน
โพสต์ที่ 30
ผมขอขุดกระทู้นี้สักหน่อยน่ะครับ อยากให้พี่ๆ เพื่อนๆ ได้มาแชร์ประสบการณ์อีกด้านกันหน่อย เพราะเห็นเดี๋ยวนี้มีนักลงทุนหน้าใหม่ๆอยากเข้ามามากขึ้น เพราะการลงทุนคงไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ เผื่อจะเป็นอุทธาหรณ์ ให้นักลงทุนรุ่นหลังๆ ได้เรียนรู้ และเห็นประสบการณ์ของจริงจากรุ่นพี่ หวังว่ากระทู้นี้น่าจะเป็นประโยชน์ให้นักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ไม่มากก้อน้อยน่ะครับ
ปล่อยให้เงินทำงาน...$$$