Letter to value friends
บทความนี้เป็นบทความสุดท้ายที่ผมจะเขียนในปีนี้ end of June ครบรอบปีในการบริหารกองทุทุนของผม หลักจากเขียน letter to shareholders แล้ว ผมได้ลองเขียน Letter to Value Friends ดูบ้าง นี่คือสิ่งอยากจะฝากน้องๆ
ในขณะมีคนสนใจแนวการลงทุน value investing ในอัตราพอๆ กับดอกเบี้ยทบต้น ผมสังเกตว่าการลงทุนแนว vi นั้นไม่ได้เหมาะกับนิสัยทุกคนเสมอไป สำหรับความคิดผม great value investors มีความอดทนต่อความขัดแย้งหรือความคลุมเครือต่างๆ ได้ดี ทำไมถึงคิดอย่างนั้น ? ลองทำดูครับ มันไม่ง่ายที่ใครเป็นคนที่อยู๋ความคลุมเครืออย่างนั้นได้ ไม่เชื่อไปทำอย่างนี้ดู ลองคิดไตร่ตรองถึงด้านตรงข้ามกับความคิดของตัวเองก่อนอื่น ตั้งคำถามว่าสิ่งที่เราทำมันผิดตรงไหนบ้าง ปัญหาของคนที่มาลงทุนแนวนี้คือ อยู่ที่ว่าตัวเราหรือปล่าวว่ากำลังคิดเรื่องอะไร
การอยู๋ในโลกของ imcomplete iformation อย่างยุคปัจจุบัน สิ่งที่ช่วยเราได้ ไม่ใช่เงิน แต่เป็นการตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต มันเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดสำหรับผมในโลกทุนนิยมนี้ซึ่งมันสร้างความสะดวกสบายให้กับพวกเรามากมาย แต่อีกด้านมันก็ทำลายสัญชาติญาณการเอาตัวรอดของคนไปทีละน้อยด้วย จะว่าไปใครละไม่ชอบความสบายในชีวิต มีเหมือนกันครับ ใกล้ตัวหน่อย เช่น นักบวชในศาสนาต่างพุทธ เป็นต้น แล้วคำถามก็ต่อว่า ทำไมพระถึงมีความนักปราชญ์มากกว่าคนกลุ่มอื่น ถ้าเราเคยบวช เราจะรู้เลยว่า ความรู็สึกต้องต่อสู้กับความหิวของตัวเองเป็นอย่างไร คำถามมากมายจะมีเต็มหัวเราไปหมด ถ้าเรามีความอดทนมากพอที่จะกล้าเผชิญกับตัวเองอีกด้านที่เราไม่เคยพบเลย และผ่านจุดนั้นไปได้ เราจะครองครองสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า สติ มันเป้นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับคนแต่ละคน แต่อยู๋ที่ใครจะครอบครองมันได้เท่านั้น
ผมจะกลับมาที่ การตั้งคำถามกับตัวเอง ครับ
การตั้งคำถาม ทำให้เราได้ใช้ประสาทสัมผัสของเราในการสำรวจสมมุติฐานต่างๆ และนำเราไปสู่ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และ ค้นพบโอกาสใหม่ๆ อีกมากมาย และที่สำคัญที่เราสนใจกันมากที่สุดในเว็บนี้ ใช่ครับ มันรวมถึงโอกาศในการทำเงินให้ท่านเป็นอิสระในงานประจำอีกด้วย
คนภายนอกไม่ทราบว่าเราทำกำไรกันได้มากขนาดนั้นได้อย่าง พวกเราเคยบอกต่อสาธารณะชนในบทความต่างๆ มากมาย แต่จะมีสักกี่ใครที่มองออกว่า เรามีสามารถที่พิเศษมากกว่าคนปกติในการจัดการกับความเครียดอันเกิดจากความขัดแย้ง พวกเราทำได้อย่างไร?
value investing checklist : เรามีความอดทนต่อความไม่แน่นอนสูงหรือไม่ ?
Market Inefficient การเงินทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก พอร์ตของเรากำไรยังไม่ทบต้นเลย แต่สภาวะความคลุมเครือต่างๆ กับทบต้นทวีขึ้นเรื่อยๆ ไปแล้ว ผมยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิเลยว่า เราไม่สามารถมองทะลุภาพลวงตาของความไม่แน่นอนไว้ได้ตลอดเวลา เราจึงต้องถ่อมตัวและเตรียมเครื่องมือ margin of safety เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เข้ากับสภาวะความคลุมเครือที่เกิดขึ้นในตลาดตลอดเวลา
พวกเราปรับสมมุติฐานสิ่งต่างๆ ให้เข้ากันได้กับความคิดที่ขัดแย้งทั้งจากของตัวเราเอง และ ของนักลงทุนส่วนใหญ่ ที่เราเรียกตามอาจารย์ใหญ่ของเรา เบน แกรม ว่า Mr. Market คำสอนนี้ของเบน แกรม เป็นคำสอนที่เป็น paradox มากครั้งแรกที่ผมได้ยินและไม่ยอมรับ
ผมตั้งคำถามกับตัวเองมากกมาย และวันหนึ่ง ผมก็มีสติพอที่จะทำให้ผมตาสว่างที่จะไม่ทำตามคำแนะนำของ Mr.Market แทนที่ ผมเริ่มหาผลประโยชน์จากความผิดปกติในจิตใจของเขาที่ดูเหมือนจะผูกติดภายใต้สภาวการณ์ของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย มันเหมือน เขาเป็นแฝดสยามกับความเปลี่ยนแปลงอย่างไรอย่างนั้น การ "พลิกแค่นิดเดียว" ของผมในครั้งนั้น
สร้างประสิทธิผลกำไรของกองทุนให้มีความมั่นคงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน และได้ทำให้ผมมีโอกาสที่ยิ่งใหญ๋ที่มาเขียนจดหมายถึงท่านอยู่ ณ ขณะนี้
checklist : เรามีความสามารถในการหยั่งรู้ภายในตัวตนดีเยี่ยมหรือไม่?
ไม่ต้องพูดถึง Warren Buffett หรือ value investors ทั่วโลกที่มีชื่อเสียงว่าพวกเขามีคุณสมบัตินี้ฝังอยู๋ในยีนของพวกเขา แม้กระทั่งนักเกร็งกำไรระดับโลก อย่า Stenven Cohen และ Pual Jones ก็ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ สำหรับพวกเขา ผมคิดว่า เขาถือเป็นพันธกรณีตลอดชีวิตที่ต้องคิดไตร่ตรองความรูสึกนึกคิดของตนเอง คำถามที่คุณเราสนใจคือ พวกเราก็ทำได้ใกล้เคียงเสี้ยวหนึ่งเหมือนพวกเขาไหม คำตอบผมแบบอมยิ้มคือ เราก็ทำได้ครับ มันเรียกว่า สติ นั่นเอง
checklist : เราฝึกสติกันอย่างไร ?
ผมแนะนำให้ท่านทำหน้าหนาๆ และเก็บความยิ่งพยองของตนเองเอาไว้ให้มิดที่สุด แล้วเดินถามคนรอบข้างที่เขาเกลียดท่านที่สุด ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ ไปลองถามจุดด้อยและจุดแข็งของเรา สิ่งที่เราต้องปรับปรุง ฟังอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะสิ่งที่เราไม่อยากฟัง หรือ ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน อย่าชี้แจง อย่าตัดสินโต้แย้ง อย่าออกความเห็น ท่องคาถา "shut up" ฟังอย่างเดียว อย่าลืมพกสมุดติดตัว เราต้องใช้มันเพื่อจดบันทึกความคิดของคนอื่นที่มีต่อเรา มองอย่างรอบครอบว่าเขาโจมตีความคิดเราด้วยเหตุผลหรืออารมณ์
ckecklist : เราผ่านการเปลี่ยนแปลงต่อการโดนวิจารณ์จากคนที่เกลียดเรามาแล้วโดยที่เราไม่โต้แย้งหรือไม่?
เราต้องฝึกเรื่องความอดทนต่อสภาวะความคลุมเครือของตัวเองก่อนอื่นใด อันที่จริงก่อนไปถามคนอื่นแล้วไปมีเรื่องหยิกแขนตบตีกับเขา เราลองนั่งจัดอันดับความอดทนต่อสภาวะความคลุมเครือของตัวเองว่าอยู่ระดับไหน มีกี่ระดับ ?
ผมไม่ทราบครับ ตัวคุณเท่านั้นที่รู้ แต่พอมี guide lines
ผมจัดระดับล่างสุด คือ
checklists : เรามีความต้องการความแน่นอนอยู่ตลอดเวลาใช่หรือไม่
คำอธิบาย : ถ้าคุณชอบด่วนสรุปในประเด้นต่างๆ ผมคิดว่าคุณอาจมีปัญหากับความคิดเรื่องการอดทนกับความขัดแย้งในตัวเอง ลองสังเกตดูครับ สังเกตว่าเวลาคุณจบการสนทนากับคนอื่นๆ คุณมักจบการพูดคุยด้วยคำบอกเล่า ประโยคคำสั่ง หรือ การตั้งคำถาม ลองดูว่าตัวเราวันหนึ่งๆ พูดคำที่แสดงความแน่นอนทั้งหมดกี่ครั้ง ตัวอย่างเช่น มั่นใจมาก, แน่ใจ, อย่างแน่นอน, ต้องใช่อย่างนั้น, ไม่เคยผิดพลาด, ถูกเสมอ, ฟันธงขาด, ต้องใช่แน่ๆ , ผมว่าไม่ผิดหรอก , แสดงว่า, เพราะว่าอย่างนั้น
ผมพัฒนาตัวเองและไต่ลำดับไปเรื่อยๆ และสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้โดยการไต่ระดับไปเรื่อยๆ ทุกอย่างเริ่มจากการตั้งถามและประเมิณตนเอง
checklist : เราเห็นความสำคัญของความอดทนต่อขัดแย้งมากแค่ไหน คุณเห็นมันสำคัญต่อชีวิตคุณไหมครับ?
เรายอมรับว่าความไม่แน่นอนก็คือสิ่งที่แน่นอนที่สุด แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสกับประโยคนี้อย่างจริงจังมากนัก มันสำคัญมากขนาดไหน? มันจะหยุดอยู่ตรงนั้นเลย ถ้าเราไม่ยอมรับเรื่องนี้ตั้งแต่แรก
ระดับทักษะที่เราได้เห้นได้ชัดในตัว value investors ที่สูงขึ้นไป คือ พวกเขาหูตาไวกับสิ่งที่ขัดแย้งต่างๆ และ สถานการณ์ตรงกันข้ามกับ การคาดหวังของตัวเอง แต่ยังไม่ยอมรับเลยทั้งหมดทีเดียว จนกว่าพวกเขาจะไม่มีปัญหากับความคิดที่ขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดรอบตัว และกลับในทางตรงกันข้าม พวกเขาจะเริ่ม พลิกนิดเดียว ที่จะชอบความขัดแย้งที่ผมเรียกว่าระดับนี้ว่า มีความเข้าใจทั้ง human and market inefficiencies พวกเขาเริ่มมองกลับเข้าหาตัวเอง เรียนรู้จากเคสที่เป้นประสบการณ์จริงจากตัวเอง และจะกลายเป็นคนสงบนิ่งแม้อยู่ในสภาวะที่มีอารมณ์ของ greed and fear mode
great value investor ต้องฝึกจับความขัดแย้งที่เกิดในความคิดเราเองจนเกิดความเชี่ยวชาญ ถึงระดับนี้แล้วเราต้องฝึกอย่างหนักด้วยความวิริยะอุตสาหะที่จะจับผิดตัวเองอย่างยาวนานพอ แล้ววันหนึ่งจะมาถึงเมื่อเราทราบวา เราได้พัฒนาไปอีกขั้นที่สูงกว่าขึ้นไป
ฟังแล้วเหมือน value investors ฝึกกำลังภายใน หลังจากนั้นเราจะลอยได้ มีวิชาตัวเบาหรือปล่าว ?
ไม่ใช่ลอยครับ คุณจะเป็นคนเรียบง่าย ถ่อมตัวและอ่านความรู้สึกของตัวเองเมือเกิดความกังวลใจในสภาวการณ์ที่ขัดแย้ง เมื่อถึงระดับนี้คุณน่าจะอธิบายความรู้สึกบางอย่างที่ผมเรียกว่า
ความกำกวมของนักลงทุน
checklist : อธิบายความรู้สึกกำกวมได้อย่างดีเยี่ยมใช่หรือไม่?
ผมชอบนึกว่าถ้าความกำกวมต่างๆ ในการลงทุนมันมีตัวตน มี รูปร่าง สี เสียง รส กลิ่น สัมผัส มันจะเป้นอย่างไร? มันใช้เทคนิคนี้จากเรื่อง Harry Potter ตอนเด็กนักเรียนต้องเสกมนต์เอาชนะความกลัวของตัวเองที่กำลังจะออกมาจากกล่องวิเศษ จำกันได้ไหมครับ ทำไมเราต้องทำอย่างนั้นเราต้องการใช้ประสามสัมผัสส่วนอื่นของตัวเองครับ ถ้าเรานึก ความกลัวขาดทุน หรือ ความโลภ ออกมาเป็นตัวตนได้ คุณจะตอบสนองต่อความรู้สึกต่างๆ ได้ดีเวลาที่พวกมันเดินเข้ามาใกล้ๆ คุณ
checklist : เรารับมือกับ ความกังวลใจ ได้ดีเยี่ยมหรือไม่?
นักลงทุนส่วนที่มีปัญหาความขัดแย้งตั้งแต่วัยเด็ก มักไม่รู้ตัวเมื่อเกิดความกังวลใจ นอกเสียจากว่าจะได้รับการฝึกฝนสมาธิ คนส่วนใหญ่มีปฎิกริยาต่อความกังวลโดยอัติโนมัติ ถ้าหุ้นที่ซื้อไม่แป้นอย่างที่คิด เกิดปรับตัวลง ลองสังเกตว่าเราทำอะไรก่อนอย่างแรก เสยผมหรือปล่าว, หรือว่า หยิกแขนตัวเอง ,หยิบบุหรี่ , หมุนปากกา , เริ่มพูดมาก , กินเหล้า , ดูหนังโป๊ หรือไม่ก็เริ่มโพสลงใน webboard
สุดท้ายนี้ คำแนะนำจากผมในช่วงทศวรรษแห่งความไม่แน่นอนนี้ ถ้าเราตะหนักรู้ถึงความกังวลใจในตัวเองแล้ว อย่าหนีมันครับ ถ้าเราหนีมัน ไม่ทำความเข้าใจกับตัวเองข้างใน แทนที่จะวิ่งตามหาติดตามสิ่งต่างๆ จากภายนอก เราจะไม่มีวันได้พบกับความไม่แน่นอนอย่างแท้จริง คำพูดที่เชยๆ ของผมคือ การพบและเป็นหนึ่งเดียวกับความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เราเริ่มยอมรับมันอย่างเต็มใจและเผชิญหน้ากับมันด้วยขีดจำกัดของตัวเอง และ และ เมื่อเราหัวเราะตลกขบขันในแต่ละวันเมื่อเจอกับความไม่แน่นอนในชีวิตได้ละก็ you are not only a great value investor, but you are a great human being in youself krab.
Letter to Value Friends
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Letter to Value Friends
โพสต์ที่ 1
- The Kop 71
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 271
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Letter to Value Friends
โพสต์ที่ 2
ไม่เคยผิดหวัง กับบทความของท่านตั๊กม้อ แม้แต่ชิ้นเดียว...
เพราะสังคม..ประเมินค่า..ที่จนรวย
คนจึงสร้าง..เปลือกสวย..ไว้สวมใส่
หากสังคม..วัดค่า..ที่ภายใน
คนจะสร้าง..แต่จิตใจ..ที่ใฝ่ดี
คนจึงสร้าง..เปลือกสวย..ไว้สวมใส่
หากสังคม..วัดค่า..ที่ภายใน
คนจะสร้าง..แต่จิตใจ..ที่ใฝ่ดี