บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
-
little wing
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 187
- ผู้ติดตาม: 0
โค้ด: เลือกทั้งหมด
บทความ Value Way ฉบับวันที่ 25 มิถุนายน 2555
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ฝ่าวิกฤติยูโร
ตลาดหุ้นในช่วงนี้ผันผวนเป็นอย่างมาก เนื่องจากนักลงทุนกำลังกังวลกับวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นกับกรีซและกลุ่มยุโรเนื่องจากสถานการณ์ในกรีซส่งผลต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก ทุกฝ่ายต้องหามาตราการมารองรับในกรณีที่กรีซต้องออกจากลุ่มยูโรเนื่องจากอาจไม่สามารถทนต่อการกดดันจากสมาชิกในกลุ่มให้รัฐบาลกรีซรัดเข็มขัดเงินงบประมาณจนทำให้เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงได้ นอกเหนือจากนั้นวิกฤตินี้ดูเหมือนจะลามไปถึงสเปนและอิตาลีที่มีหนี้สาธารณะจำนวนมากอีกด้วย
ความกังวลดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นตอบรับกับข่าวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นข่าวดีตลาดหุ้นก็ดีดตัวสูงขึ้น แต่ถ้าเป็นข่าวร้ายตลาดห้นก็ตกลงเหมือนๆกันทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นในเอเซีย อเมริกาหรือยุโรปก็ตาม สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้หลายคนทำตัวไม่ถูกว่าจะจัดการกับพอร์ตการลงทุนของตนเองอย่างไรดี นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากขายล้างพอร์ต ถือเงินสดเพื่อรอดูท่าทีของรัฐบาลประเทศต่างๆในกลุ่มยูโรโซน หลายคนสับสนทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะซื้อหรือจะขายหุ้นดี
นอกเหนือจากนั้นหลายคนกลัวว่ากรณีที่กลุ่มยูโรเกิดวิกฤติขึ้นเหมือนครั้งปี 2008 ที่เกิดวิกฤติซัพไพร์มในอเมริกาที่ตลาดหุ้นทั่วโลกตกต่ำอย่างรุนแรงเนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกโดยเฉพาะสถาบันการเงินต่างขายหุ้นกันทุกราคาจนมูลค่าตลาดหุ้นลดไปกว่าครึ่ง นักวิเคราะห์กลัวว่า วิกฤติยูโรรอบนี้จะทำให้สถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีกจึงแนะนำให้นักลงทุนลดพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบที่เกิดขึ้น
สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าแล้วควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ มีคำแนะนำอยู่สองสามข้อที่นักลงทุนสามารถนำไปใช้ได้ในภาวะเช่นนี้
หนึ่ง ถือเงินสดบ้าง
โดยปกตินักลงทุนควรมีเงินสดไว้บ้างเพื่อรองรับในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดหรือราคาหุ้นในพอร์ตตกต่ำอย่างรวดเร็ว การขายหุ้นล้างพอร์ตออกไปหมดอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักสำหรับนักลงทุนระยะยาว หุ้นที่ควรจะขายออกไปในช่วงวิกฤติควรเป็นหุ้นราคาเกินพื้นฐาน ส่วนหุ้นที่ราคายังต่ำกว่าพื้นฐานยังสามารถถือต่อไปได้ จากนั้นควรเช็คพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวที่ถืออยู่ว่าน่าจะทนภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปได้สักสามถึงห้าปีหรือไม่ จากเหตุการณ์วิกฤติซัพไพร์มพบว่าต่างชาติขายแบบไม่สนใจราคาพื้นฐาน ตั้งใจขนเงินกลับอย่างเดียวเพราะขาดทุนที่ต่างประเทศหนัก คนที่ถือหุ้นอยู่เลยเจ็บตัวไปตามๆกัน แต่ถ้าเราไม่คิดเลิกลงทุนใน 2-3 ปีนี้และเงินในหุ้นก็ถือว่าเป็นเงินลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว ไม่ได้คิดเอาออกมาใช้ทำอะไร ก็ไม่ต้องกังวลอะไรมาก การมีเงินสดอยู่จะช่วยนักลงทุนมีโอกาสซื้อหุ้นเพิ่มในกรณีที่ตลาดหุ้นตกจริง
สอง บริษัทที่ถืออยู่จะเป็นอย่างไรในอีกสามถึงห้าปีข้างหน้า
เบนจามิน เกรแฮมเขียนไว้ในหนังสือ Intelligence Investor ว่า "ราคาหุ้นผันผวนในระยะสั้น แต่ราคาหุ้นจะสะท้อนผลการดำเนินการของบริษัทในระยะยาว" นักลงทุนควรลองคิดถึงอนาคตของบริษัทที่ซื้อมาในอีกห้าปีข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าคิดไม่ออกก็ต้องลองนั่งจินตนาการดู เช่นในปี 2560 คนจะเลิกซื้อของในโทเดิร์นเทรดแล้วกลับไปซื้อของในร้านโชว์ห่วยแทนหรือไม่ พอเดินเข้าร้าน สะดวกซื้อตอนนั้นจะเงียบจนหาคนเข้าร้านไม่ได้หรือเปล่า หรือในอีกห้าปีข้างหน้าคนจะเลิกใช้แก๊สใช้น้ำมันเปลี่ยนมาใช้รถไฮโดรเจนกันทุกคันหรือไม่หรือการไฟฟ้าจะใช้เลิกใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าทั่วทั้งประเทศ
ถ้าเป็นดังที่ว่าข้างต้น การขายหุ้นโมเดิร์นเทรดและหุ้นพลังงานไปตอนนี้ก็ถือว่าไม่สายเกินไป แต่ถ้าคำตอบคือไม่ใช่ แสดงว่าบริษัทเหล่านี้ยังมี"ธุรกิจ"อยู่ การถือหุ้นบริษัทที่ยังดำเนินกิจการต่อไปได้ในอนาคตจะช่วยลดความเสี่ยงในระยะยาวได้
สาม ซื้อหุ้นเพิ่มในช่วงที่ราคาตกต่ำมากๆ
ในสถานการณ์ไม่ปกติที่ต่างชาติขายหุ้นทุกราคาโดยไม่สนใจพื้นฐาน โอกาสเช่นนี้หาไม่ได้ง่ายๆที่นักลงทุนจะขายหุ้นโดยไม่สนใจราคา ใครมีหุ้นอยู่ไม่ต้องตกใจ ให้ดูอนาคตของบริษัท ดูพื้นฐานกิจการว่ายังไปรอดในอีก 3-5 ปีข้างหน้าหรือไม่ งบการเงินของบริษัทต้องนำมาพิจารณาอย่างละเอียด บริษัทที่อยู่รอดได้ต้องมีงบการเงินที่แข็งแกร่ง ไม่ล้มละลายไปเสียก่อน มีเงินสดในมือมาก มีหนี้น้อย ธุรกิจไม่ขาดทุน มีกระแสเงินสดเป็นบวก นักลงทุนสามารถนำเงินสดที่มีในมือมาซื้อหุ้นเหล่านี้เพิ่มได้ ใครมีความกล้าพอที่จะทำได้ ผลตอบแทนจะสูงมาก เห็นได้จากวิกฤติซัพไพร์มที่ผ่านมา
ดังนั้นถ้าจะฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าควรถามตนเองว่าถ้าตลาดหุ้นปิดไปสัก 3-5 ปี เรายังถือหุ้นเหล่านี้อยู่หรือไม่ นอกเหนือจากนั้นคำพูดอมตะของท่านอาจารย์เกรแฮมที่บอกว่า "แล้วมันจะผ่านไป" ยังคงใช้ได้ตราบจนปัจจุบัน เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ตลาดหุ้นก็ทำตัวเหมือนจะลืมสิ่งเคยเกิดขึ้นเสมอ
[/size]
-
KGYF
- Verified User
- โพสต์: 399
- ผู้ติดตาม: 0
" สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ = การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง "
" ทุกข์มี เพราะยึด ทุกข์ยืด เพราะอยาก ทุกข์มาก เพราะพลอย ทุกข์น้อย เพราะหยุด ทุกข์หลุด เพราะปล่อย"
-
kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณมากครับ
ขอทำตามคำแนะนำทั้ง 3 ข้อเลยนะครับ
-
pattybetty
- Verified User
- โพสต์: 39
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านแล้วได้ข้อคิดดี
-
บูรพาไม่แพ้
- Verified User
- โพสต์: 2533
- ผู้ติดตาม: 0
โอ้......นี่คือสิ่งยึดเหนี่ยวและกำลังใจที่ต้องการมากในช่วงนี่ สู้ๆต่อไปครับ..ถึงตอนนั้นเราคงจะบอกกับตัวเองได้ แล้วมันก็ผ่านไป
-
siamkrub
- Verified User
- โพสต์: 232
- ผู้ติดตาม: 0
ชอบคำนี้ที่สุดครับ แล้วมันก็จะผ่านไป
-
luangrit
- Verified User
- โพสต์: 376
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณมากครับ
เตือนสติได้ดีมากครับ
-
pakhakorn
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 957
- ผู้ติดตาม: 0
กระสุนสำรอง...
มองไปอีก 3-5 ปี...
แล้วก็ รอ รอ และรอ วันที่เขาทิ้งทุกราคา(ถ้ามีคนใจดีหรือจำเป็น)
ขอบคุณมากๆ ครับ
-
koon007
- Verified User
- โพสต์: 84
- ผู้ติดตาม: 0
ถ้ามองรอบ2008ถึงวันนี้2012ใกล้รอบ5ปี ในการจะปรับตัวลงแล้ว รออยู่ครับ ฝรั่งขายทุกราคาโดยไม่สนใจพื้นฐานเนี่ย
-
saichon
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1223
- ผู้ติดตาม: 0
ง่ายๆแต่ใช่เลยครับ
มีพี่ท่านหนึ่ง (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นพี่โจ พูดที่งานมีทติ้งภาคใต้)
แกบอกว่าถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาวต้องมองวิกฤตอย่างมิตร
เพราะระยะเวลาที่เราลงทุนยังไงก็ต้องเจอวิกฤตแน่นอน
ส่วนเราจะทำอย่างไร...
ผมว่าบทความนี้ของพี่วิบูลย์ตอบคำถามนั้นได้หมดเลย
ขอบคุณทั้ง2ท่านครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
ilekis
- Verified User
- โพสต์: 205
- ผู้ติดตาม: 0
ผมมองวิกฤติ อย่างมิตรครับ แต่อยากให้วิกฤติมองผมเป็นมิตรด้วยเหมือนกัน
คือถ้าจะมา ให้บอกกันก่อนครับ 555
ล้อเล่นนะครับ
How much can you know about yourself, you've never been in a fight?
Tyler Durden
-
saichon
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1223
- ผู้ติดตาม: 0
ilekis เขียน:ผมมองวิกฤติ อย่างมิตรครับ แต่อยากให้วิกฤติมองผมเป็นมิตรด้วยเหมือนกัน
คือถ้าจะมา ให้บอกกันก่อนครับ 555
ล้อเล่นนะครับ
555+
ขำดีครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
wut33
- Verified User
- โพสต์: 20
- ผู้ติดตาม: 0
ขอขอบคุณสำหรับแง่คิดดีๆ ทั้ง 3 ข้อ
ครับ
-
เจบีเดล
- Verified User
- โพสต์: 40
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณครับ ผมจะนำมาปรับปรุงให้ดี
-
chatchaivi
- Verified User
- โพสต์: 93
- ผู้ติดตาม: 0
yes.
-
wigraipat
- Verified User
- โพสต์: 210
- ผู้ติดตาม: 0
ผมคิดว่าในรอบ3-5ปีจะมีการตกต่ำครั้งใหญ่ประมาณ30-50% ครั้งหนึ่ง
ซึ่งตอนนี้หุ้นไทยก็ขึ้นมาได้ประมาณ4ปีแล้ว
คงใกล้จะถึงเวลาตกแล้วล่ะคับ
คงต้องระวังเรื่องการซื้อหุ้นไว้บ้างคับบ
เพราะทุกครั้งที่หุ้นตกก็ไม่ค่อยจะมีคนคิดว่าหุ้นจะตกแรง
เหมือนตอนนี้ที่คนในตลากและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ยังคิดว่าหุ้นไม่น่าหลุดเกิน1000จุด
หมอช.
-
xavi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 123
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณบทความครับ
ผมก็เป็นอีกคนที่ชอบมีเงินสดไว้ครับ ค่อยๆซื้อหุ้นไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นการสะสม วันไหนหุ้นตัวที่เราดูราคาลงเยอะหน่อยก็ทะยอยซื้อไว้ แต่ถ้าลงมากๆหรือขึ้นมากๆจนเกินที่เราคิดไว้ก็จะมาดูกันอีกทีว่าเป็นเพราะอะไร
ผมคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้มือใหม่สบายใจครับ เพราะถึงหุ้นจะร่วงลงไปสัก 10-20% ก็จะไม่กระทบกับความมั่งคั่งของสินทรัพย์โดยรวมเรามาก แต่ที่สำคัญเราก็ต้องไม่เสียดายโอกาสถ้าหุ้นที่เราชอบหรือทะยอยเก็บ ราคาของมันขึ้นสูงไปเรื่อยๆ
ที่สำคัญผมเริ่มคิดเหมือนที่กูรูหลายๆท่านว่าไว้ ไม่ว่าจะเป็น Buffet, Lynch หรือแม้กระทั่ง ดร. ว่าเศรษฐกิจมหภาคนั้นเป็นเรื่องที่คาดเดายาก ว่าจุดสิ้นสุดของมันจะอยู่ตรงไหน แต่การติดตามบริษัทที่เราสนใจว่ายังสามารถทำธุรกิจได้ดีนั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ง่ายกว่า ดังนั้นถ้าหุ้นตัวที่เราสนใจยังดีอยู่แม้ในสภาวะนี้ผมก็ยังคง "ทะยอย" ซื้ออยู่ครับ