ตัวเลขที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันก็คือ ค่า PE กับค่า PB โดยที่ค่า PB อาจจะได้เปรียบกว่าเล็กน้อยในหุ้นบางกลุ่ม และนี่ก็เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างเป็นมาตรฐานของ Value Investor ที่นักวิชาการนำมาใช้ในการทดสอบดูว่า เป็นหุ้นที่สามารถเอาชนะตลาดได้จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม Value Investor ในภาคปฏิบัติส่วนใหญ่ก็มักจะอิงกับค่า PE ในการเลือกลงทุนในหุ้นมากกว่าค่า PB มาก เหตุผลก็คงเป็นว่า การใช้ค่า PB นั้น นักลงทุนอาจจะต้อง "รอ" ว่าเมื่อไรจะมีคนมาเห็นทรัพย์สมบัติที่อาจจะไม่สร้างรายได้ของบริษัท และมาซื้อหุ้นทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปได้ ในขณะที่การใช้ค่า PE นั้น ทุกๆ ไตรมาสที่มีการประกาศงบกำไรขาดทุน ราคาหุ้นมีโอกาสวิ่งขึ้นไปได้ง่ายๆ
ตัวเลขที่ดูเหมือนว่าจะมีประสิทธิภาพสูงที่สุด ในการที่จะทำกำไรจากการลงทุน ก็คือ ค่า PSR นี่คือตัวเลขที่ไม่มีการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน แต่การที่จะหาค่า PSR ก็ทำได้ไม่ยาก วิธีก็คือ เปิดดูยอดขายรวมของบริษัทในงบการเงินปีที่ผ่านมา หารตัวเลขยอดขายด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทก็จะได้ยอดขายต่อหุ้น เอาตัวเลขนี้ไปหารราคาหุ้นในปัจจุบันก็จะได้ค่า PSR จากการศึกษาข้อมูลในระยะเวลาประมาณ 50 ปี ในตลาดหุ้นสหรัฐ ปรากฏว่า การลงทุนในหุ้นที่มีค่า PSR ต่ำที่สุดนั้น โดยเฉลี่ยแล้ว ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในหุ้น PE หรือ PB ต่ำที่สุด
ปัญหาของ PSR ก็คือ มันเป็นตัวเลขที่เข้าใจยากและการหาข้อมูลก็ยุ่งยากกว่า รวมทั้งมันยังไม่มีตัวเลขตัวเดียวที่จะบอกได้อย่างคร่าวๆ ว่ามันถูกหรือแพงที่ใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรมเหมือนกับตัวเลข PE หรือ PB ในเรื่องของ PE เราอาจจะเปรียบเทียบกับ PE ของตลาดได้ หรือบางคนอาจจะตั้งไว้เลยว่า ค่า PE ที่เกิน 10 เท่า แปลว่าหุ้นแพง หรือค่า PB ที่เกิน 2 เท่า เป็นหุ้นแพง แต่ในเรื่องของ PSR นั้น อุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต อาจจะมียอดขายมาก แต่มีมาร์จิน หรือกำไรต่อยอดขายต่ำ ดังนั้น ค่า PSR อาจจะต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่ให้เช่าสำนักงาน หรืออสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้ต่ำแต่มีมาร์จินสูง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าหุ้นซูเปอร์มาร์เก็ตดีกว่าหุ้นให้เช่าสำนักงาน
ข้อดีของ PSR ที่เหนือกว่าค่า PE ก็คือ มันเป็นตัวเลขที่มีความอ่อนไหวน้อย เนื่องจากยอดขายมักจะมีความมั่นคงและสม่ำเสมอกว่ากำไรมาก ดังนั้น ค่า PSR มักจะเปลี่ยนแปลงช้าถ้าราคาหุ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ในขณะที่ถ้าเราใช้ค่า PE พอปีต่อไป ตัวเลขกำไรของบริษัทเปลี่ยนแปลงไป ก็ทำให้ค่า PE เปลี่ยนแปลงไปได้มากจนอาจจะไม่เหลือสภาพของหุ้น PE ต่ำ ทั้งที่ราคาหุ้นไม่เพิ่มขึ้นเลย
บางคนอาจจะบอกว่าค่า PSR นั้น ไม่ได้สะท้อนพื้นฐานที่สำคัญ นั่นคือ กำไรของบริษัท เขาอาจจะบอกว่ายอดขายนั้นไม่มีประโยชน์ถ้าขายมากแต่ไม่มีกำไร ดังนั้น ค่า PSR ไม่น่าจะเป็นตัวที่ดูคุณค่าของบริษัทได้ ข้อนี้ผมกลับคิดว่า ค่า PSR อาจจะดีกว่าค่า PE ในแง่ที่ว่า มันน่าจะสะท้อนกำไรของบริษัทในระยะยาวได้ดีกว่า เหตุผลก็คือ กำไรที่จะยั่งยืนนั้นจะต้องมาจากยอดขาย ในหลายๆ บริษัทนั้น เขาถึงกับยอมกำไรน้อยหรือขาดทุนเพื่อเพิ่มยอดขาย เพื่อยึดส่วนแบ่งทางการตลาด เพื่อที่ว่าในอนาคตเขาจะได้เปรียบคู่แข่งและทำกำไรมากขึ้นในภายหลัง ส่วนบริษัทที่กำไรดีในวันนี้แต่ยอดขายต่ำ เขาอาจจะประสบกับอุปสรรคหรือสภาวะทางการตลาดเปลี่ยนแปลง ทำให้กำไรในปีต่อๆ ไปตกต่ำลง
ข้อดีข้อเสียของ PSR เทียบกับ PE หรือ PB ยังมีอีกหลายข้อ การถกเถียงคงไม่จบลงง่ายและคงไม่มีใครถูกหรือใครผิด ประเด็นก็คือ เรารู้ว่าจุดอ่อนจุดแข็งของแต่ละตัวอยู่ที่ไหนและใช้มันประกอบกัน ส่วนตัวผมเองนั้น ทุกครั้งที่พิจารณาเลือกหุ้นลงทุน แน่นอน PE เป็นตัวเลขที่สำคัญมาก แต่ PSR ก็สำคัญพอๆ กัน แต่ผมจะใช้เป็นตัว "ตรวจสอบ" นั่นก็คือ เมื่อดูแล้วว่าหุ้นน่าสนใจ ดูจากค่า PE ก่อนจะตัดสินใจสุดท้าย ผมจะดูว่าค่า PSR เป็นเท่าไร ถ้าค่า PSR สูง เช่นเกิน 1 เท่า ผมก็จะต้องระวังหรือถ้า PSR สูงถึง 2 เท่า ผมอาจจะต้องถอยถ้ากิจการไม่โดดเด่นจริงๆ เป็นต้น และก็เช่นเดียวกัน การใช้ตัวเลข "คุณค่า" เหล่านี้ เป็นเรื่องของศิลปะอยู่ไม่น้อย ดังนั้น ความคิดและวิธีการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผู้ชนะก็คือคนที่สามารถใช้มันได้ดีกว่า
Disclaimer & Disclosure: The articles posted only represent my personal view. They are by no means a guarantee to the stock performance. Have no plan to change my position to the stock mentioned over the next 72 hrs.
ครับถูกต้อง แต่การกำหนด MoS ก็จะขึ้นกับทั้งด้านปริมาณและคุณภาพด้วยนะคับ
เป็นศาสตร์และศิลป์ของแต่ละท่านว่าจะเน้นด้านไหนกันหรือทั้งสองอย่างประกอบกันไป
บางท่านอาจจะให้ MoS จากราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าว่าต้องถูกมากๆ
บางท่านให้ MoS เรื่องความแข็งแกร่งของกิจการ ต้องเป็นกิจการชั้นยอด แต่ราคาก็ต้องเหมาะสม
บางท่านให้ MoS คือการกระจายความเสี่ยงด้วย ซื้อหุ้นกระจายกันไป
บางท่านให้ MoS ก็ต้องโฟกัสซื้อหุ้นน้อยตัว เพราะทำให้ติดตามง่าย ฯลฯ