กลยุทธ์เจ้าสัว
-
- Verified User
- โพสต์: 29
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์เจ้าสัว
โพสต์ที่ 1
เปิดกลยุทธ์ "ซีพี กรุ๊ป" (เครือเจริญโภคภัณฑ์) ใช้วิธีการหมุนเงินแบบใหม่ออกหุ้นปันผลให้กับ "เซเว่นอีเลฟเว่น" (CP7-11) ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ แล้วเอาหุ้นฟรีไปขายต่อให้กับ "ซีพีเอฟ" (CPF) จำนวน 120 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 5 บาทรับเงินสดๆ ไปหมุนทันที 600 ล้านบาท
บนความเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ ของบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี กรุ๊ป) เมื่อวันที่ 18 ก.ค.2548 ผ่านมา "ซีพี กรุ๊ป" ขายหุ้นบริษัท ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น (CP7-11) ให้กับ "CPF Investment Limited" ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)..จำนวน 120 ล้านหุ้น (2.72%) ที่ราคาหุ้นละ 5 บาท มูลค่าทั้งสิ้น 600 ล้านบาทนั้น
หากมองเพียงผิวเผินอาจคิดว่านี่เป็นแค่ดีลธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ถ้ามองลึกลงไปกลับพบว่า..นี่คือ กลยุทธ์การ "หมุนเงิน" ภายในเครือซีพีที่น่าสนใจยิ่ง ภายใต้แนวคิดง่ายๆ ถ่ายเทสภาพคล่องจากบริษัทในเครือมาไว้กับบริษัทแม่ (ซีพี กรุ๊ป) โดยไม่สูญเสียอำนาจการบริหารภายในกลุ่ม
ทีมข่าว "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ค้นข้อมูลย้อนหลังกลับไปเมื่อวันที่ 24 ก.พ.2548 พบว่าเซเว่นอีเลฟเว่นประกาศจ่ายเงินปันผลเป็น "หุ้นสามัญ" ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ (ในราคา 0 บาท) จำนวน 440 ล้านหุ้น ขณะนั้น เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี กรุ๊ป) ถือหุ้นทางตรงอยู่ใน CP7-11 จำนวน 114.16 ล้านหุ้น หรือ 25.95% (ทั้งเครือถือหุ้นรวมกันประมาณ 46%)..ฉะนั้นซีพี กรุ๊ปจะได้รับหุ้น CP7-11 จำนวนเท่ากันที่ 114.16 ล้านหุ้นโดยไม่มีต้นทุนรวมกับหุ้นเดิมจะเป็น 228.32 ล้านหุ้น
แต่เกมนี้ที่ลึกกว่านั้นก็ตรงที่หลังจากจ่ายหุ้นปันผล (ฟรี) แล้ว CP7-11 ก็แตกพาร์จาก 5 บาทเหลือ 1 บาท เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2548 เพราะฉะนั้นซีพี กรุ๊ปจะมีหุ้นเพิ่มขึ้นอีก 5 เท่าจาก 228.32 ล้านหุ้น เพิ่มขึ้นเป็น 1,141.60 ล้านหุ้นทันที ขณะที่ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจาก 2,250 ล้านบาทเป็น 4,500 ล้านบาท
อธิบายโจทย์นี้อย่างง่ายๆ..ก่อนแตกพาร์ซีพี กรุ๊ปมีหุ้นเดิมเพียง 114.16 ล้านหุ้น ทันทีที่แตกพาร์จาก 5 บาทเหลือ 1 บาทจะมีหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 570.80 ล้านหุ้น..ถ้าซีพี กรุ๊ปได้รับหุ้นปันผลฟรีมาอีก 114.16 ล้านหุ้น (1 ต่อ 1) เมื่อแตกพาร์เสร็จแล้วจะได้หุ้นเพิ่มขึ้นมาอีก 570.80 ล้านหุ้น รวมกันเป็น 1,141.60 ล้านหุ้น
ถ้าถอดสมการในสูตรนี้ ซีพี กรุ๊ป จะมีหุ้น CP7-11 เพิ่มขึ้น 10 เท่า จาก 114.16 ล้านหุ้น เป็น 1,141.60 ล้านหุ้น..โดยซีพี กรุ๊ปจะได้หุ้นเพิ่มขึ้นมาจำนวน 570.80 ล้านหุ้น (114.16 ล้านหุ้นคูณ 5)..นี่คือ วิธีการใช้กลยุทธ์ทางการเงินชั้นเซียน
หลังจากนั้นซีพี กรุ๊ปก็เอาหุ้นที่ไม่มีต้นทุนในส่วน 570.80 ล้านหุ้นนี้ขายต่อให้กับ "CPF Investment Limited" (CPF ถือหุ้น 100%) จำนวน 120 ล้านหุ้น ที่ราคา 5 บาท เท่ากับว่าไปดูดสภาพคล่องจากบริษัทลูกกลับออกไปหมุนได้ทันที 600 ล้านบาท
"กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ยังตรวจพบอีกว่าหลังแตกพาร์เสร็จซีพี กรุ๊ปควรจะมีหุ้น CP7-11 จำนวน 1,141.60 ล้านหุ้น เมื่อตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้น (ก่อนขาย 120 ล้านหุ้นออกไป) ซีพี กรุ๊ปเหลือหุ้นเพียงแค่ 1,059.71 ล้านหุ้น แสดงว่าก่อนหน้านี้ได้มีการขายหุ้น CP7-11 ออกไปแล้วล็อตหนึ่งจำนวนประมาณ 82 ล้านหุ้น (ก่อนแตกพาร์คือ 8.19 ล้านหุ้น) คาดว่าขายก่อน XD ที่ราคาระหว่าง 57-62 บาท
จะได้รับเงินเข้ามา "รอบแรก" ประมาณ 466-507 ล้านบาท บวกกับที่ขาย "รอบสอง" จำนวน 600 ล้านบาท..คาดว่าซีพี กรุ๊ป จะได้เงินกำไร (ฟรีๆ) จากการขายหุ้น CP7-11 โดยไม่มีต้นทุนออกไป "หมุน" ในธุรกิจอื่นรวมประมาณ 1,066-1,107 ล้านบาท
แม้วิธีการจะ "ซับซ้อน" แต่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับ CPF หลังจากการรับซื้อหุ้นล็อตใหญ่จากบริษัทแม่จำนวน 120 ล้านหุ้น (2.72%) CPF จะถือหุ้นใหญ่ที่สุดใน 7-Eleven จำนวน 24.95% ขณะที่ซีพี กรุ๊ป จะเหลือหุ้นเพียง 20.96% แต่ถึงอย่างไรทั้งเครือยังถือหุ้นใหญ่ใน 7-Eleven รวมกันมากถึง 45.91%
เกมนี้ไม่ใช่แค่ ซีพี กรุ๊ปเท่านั้นที่เล่น แม้แต่ "กอฟเวอร์เม้นท์ ออฟ สิงคโปร์ อินเวสเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น" (GIC) กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์หลังจากได้หุ้นปันผลฟรีก็ "ขาย" หุ้น CP7-11ออกมาเช่นเดียวกันจากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ 375 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) หรือ 8.5% ล่าสุดพบว่าเหลือหุ้นในชื่อ GIC จำนวนเพียง 112 ล้านหุ้น และถือผ่าน "กองทุน ไทยเวส พีทีอี ลิมิเต็ด" เหลืออีก 44 ล้านหุ้น (เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2548 เพิ่งขายออกไป 23 ล้านหุ้น)
กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์ (GIC) จะเหลือหุ้น CP7-11 รวมกันประมาณ 156 ล้านหุ้น ภายหลังขายหุ้นล็อตใหญ่ออกไปแล้วประมาณ 218 ล้านหุ้น (คาดว่ามีมูลค่าประมาณ 1,200-1,300 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตามอนาคต CP7-11 นับว่าน่าสนใจทีเดียวไม่เพียงมีสาขา "7-Eleven" ในประเทศไทยจำนวนมากถึง 2,861 สาขา (สิ้นปี 2547) มากเป็นอันดับที่ 4 ของโลกรองจากญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา และไต้หวัน..เมื่อปีที่ผ่านมาทำยอดขายรวมได้ 78,365 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,695 ล้านบาท
นอกจากนี้ CP7-11 ยังถือหุ้น 29% ใน "บริษัทเซี่ยงไฮ้ โลตัส ซูเปอร์มาร์เก็ต เชนสโตร์" เปิดห้าง "โลตัส" จำนวน 25 สาขาในประเทศจีนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว..แต่ถึงแม้ CP7-11 จัดเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานยอดเยี่ยมเพียงใด แต่การเพิ่มทุนขึ้นมากถึง 1 เท่าตัว (จากการแจกหุ้นปันผลฟรี) กำไรย่อมเติบโตไม่ทันกับจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นมหาศาล
บนความเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ ของบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี กรุ๊ป) เมื่อวันที่ 18 ก.ค.2548 ผ่านมา "ซีพี กรุ๊ป" ขายหุ้นบริษัท ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น (CP7-11) ให้กับ "CPF Investment Limited" ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)..จำนวน 120 ล้านหุ้น (2.72%) ที่ราคาหุ้นละ 5 บาท มูลค่าทั้งสิ้น 600 ล้านบาทนั้น
หากมองเพียงผิวเผินอาจคิดว่านี่เป็นแค่ดีลธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ถ้ามองลึกลงไปกลับพบว่า..นี่คือ กลยุทธ์การ "หมุนเงิน" ภายในเครือซีพีที่น่าสนใจยิ่ง ภายใต้แนวคิดง่ายๆ ถ่ายเทสภาพคล่องจากบริษัทในเครือมาไว้กับบริษัทแม่ (ซีพี กรุ๊ป) โดยไม่สูญเสียอำนาจการบริหารภายในกลุ่ม
ทีมข่าว "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ค้นข้อมูลย้อนหลังกลับไปเมื่อวันที่ 24 ก.พ.2548 พบว่าเซเว่นอีเลฟเว่นประกาศจ่ายเงินปันผลเป็น "หุ้นสามัญ" ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ (ในราคา 0 บาท) จำนวน 440 ล้านหุ้น ขณะนั้น เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี กรุ๊ป) ถือหุ้นทางตรงอยู่ใน CP7-11 จำนวน 114.16 ล้านหุ้น หรือ 25.95% (ทั้งเครือถือหุ้นรวมกันประมาณ 46%)..ฉะนั้นซีพี กรุ๊ปจะได้รับหุ้น CP7-11 จำนวนเท่ากันที่ 114.16 ล้านหุ้นโดยไม่มีต้นทุนรวมกับหุ้นเดิมจะเป็น 228.32 ล้านหุ้น
แต่เกมนี้ที่ลึกกว่านั้นก็ตรงที่หลังจากจ่ายหุ้นปันผล (ฟรี) แล้ว CP7-11 ก็แตกพาร์จาก 5 บาทเหลือ 1 บาท เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2548 เพราะฉะนั้นซีพี กรุ๊ปจะมีหุ้นเพิ่มขึ้นอีก 5 เท่าจาก 228.32 ล้านหุ้น เพิ่มขึ้นเป็น 1,141.60 ล้านหุ้นทันที ขณะที่ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจาก 2,250 ล้านบาทเป็น 4,500 ล้านบาท
อธิบายโจทย์นี้อย่างง่ายๆ..ก่อนแตกพาร์ซีพี กรุ๊ปมีหุ้นเดิมเพียง 114.16 ล้านหุ้น ทันทีที่แตกพาร์จาก 5 บาทเหลือ 1 บาทจะมีหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 570.80 ล้านหุ้น..ถ้าซีพี กรุ๊ปได้รับหุ้นปันผลฟรีมาอีก 114.16 ล้านหุ้น (1 ต่อ 1) เมื่อแตกพาร์เสร็จแล้วจะได้หุ้นเพิ่มขึ้นมาอีก 570.80 ล้านหุ้น รวมกันเป็น 1,141.60 ล้านหุ้น
ถ้าถอดสมการในสูตรนี้ ซีพี กรุ๊ป จะมีหุ้น CP7-11 เพิ่มขึ้น 10 เท่า จาก 114.16 ล้านหุ้น เป็น 1,141.60 ล้านหุ้น..โดยซีพี กรุ๊ปจะได้หุ้นเพิ่มขึ้นมาจำนวน 570.80 ล้านหุ้น (114.16 ล้านหุ้นคูณ 5)..นี่คือ วิธีการใช้กลยุทธ์ทางการเงินชั้นเซียน
หลังจากนั้นซีพี กรุ๊ปก็เอาหุ้นที่ไม่มีต้นทุนในส่วน 570.80 ล้านหุ้นนี้ขายต่อให้กับ "CPF Investment Limited" (CPF ถือหุ้น 100%) จำนวน 120 ล้านหุ้น ที่ราคา 5 บาท เท่ากับว่าไปดูดสภาพคล่องจากบริษัทลูกกลับออกไปหมุนได้ทันที 600 ล้านบาท
"กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ยังตรวจพบอีกว่าหลังแตกพาร์เสร็จซีพี กรุ๊ปควรจะมีหุ้น CP7-11 จำนวน 1,141.60 ล้านหุ้น เมื่อตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้น (ก่อนขาย 120 ล้านหุ้นออกไป) ซีพี กรุ๊ปเหลือหุ้นเพียงแค่ 1,059.71 ล้านหุ้น แสดงว่าก่อนหน้านี้ได้มีการขายหุ้น CP7-11 ออกไปแล้วล็อตหนึ่งจำนวนประมาณ 82 ล้านหุ้น (ก่อนแตกพาร์คือ 8.19 ล้านหุ้น) คาดว่าขายก่อน XD ที่ราคาระหว่าง 57-62 บาท
จะได้รับเงินเข้ามา "รอบแรก" ประมาณ 466-507 ล้านบาท บวกกับที่ขาย "รอบสอง" จำนวน 600 ล้านบาท..คาดว่าซีพี กรุ๊ป จะได้เงินกำไร (ฟรีๆ) จากการขายหุ้น CP7-11 โดยไม่มีต้นทุนออกไป "หมุน" ในธุรกิจอื่นรวมประมาณ 1,066-1,107 ล้านบาท
แม้วิธีการจะ "ซับซ้อน" แต่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับ CPF หลังจากการรับซื้อหุ้นล็อตใหญ่จากบริษัทแม่จำนวน 120 ล้านหุ้น (2.72%) CPF จะถือหุ้นใหญ่ที่สุดใน 7-Eleven จำนวน 24.95% ขณะที่ซีพี กรุ๊ป จะเหลือหุ้นเพียง 20.96% แต่ถึงอย่างไรทั้งเครือยังถือหุ้นใหญ่ใน 7-Eleven รวมกันมากถึง 45.91%
เกมนี้ไม่ใช่แค่ ซีพี กรุ๊ปเท่านั้นที่เล่น แม้แต่ "กอฟเวอร์เม้นท์ ออฟ สิงคโปร์ อินเวสเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น" (GIC) กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์หลังจากได้หุ้นปันผลฟรีก็ "ขาย" หุ้น CP7-11ออกมาเช่นเดียวกันจากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ 375 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) หรือ 8.5% ล่าสุดพบว่าเหลือหุ้นในชื่อ GIC จำนวนเพียง 112 ล้านหุ้น และถือผ่าน "กองทุน ไทยเวส พีทีอี ลิมิเต็ด" เหลืออีก 44 ล้านหุ้น (เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2548 เพิ่งขายออกไป 23 ล้านหุ้น)
กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์ (GIC) จะเหลือหุ้น CP7-11 รวมกันประมาณ 156 ล้านหุ้น ภายหลังขายหุ้นล็อตใหญ่ออกไปแล้วประมาณ 218 ล้านหุ้น (คาดว่ามีมูลค่าประมาณ 1,200-1,300 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตามอนาคต CP7-11 นับว่าน่าสนใจทีเดียวไม่เพียงมีสาขา "7-Eleven" ในประเทศไทยจำนวนมากถึง 2,861 สาขา (สิ้นปี 2547) มากเป็นอันดับที่ 4 ของโลกรองจากญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา และไต้หวัน..เมื่อปีที่ผ่านมาทำยอดขายรวมได้ 78,365 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,695 ล้านบาท
นอกจากนี้ CP7-11 ยังถือหุ้น 29% ใน "บริษัทเซี่ยงไฮ้ โลตัส ซูเปอร์มาร์เก็ต เชนสโตร์" เปิดห้าง "โลตัส" จำนวน 25 สาขาในประเทศจีนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว..แต่ถึงแม้ CP7-11 จัดเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานยอดเยี่ยมเพียงใด แต่การเพิ่มทุนขึ้นมากถึง 1 เท่าตัว (จากการแจกหุ้นปันผลฟรี) กำไรย่อมเติบโตไม่ทันกับจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นมหาศาล
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 1
กลยุทธ์เจ้าสัว
โพสต์ที่ 5
แรกๆ ที่ผมเข้ามาสนใจตลาดหุ้น ก็ดูเจ้า CPF นี่แหละครับ เห็นว่า (ตอนนั้น) มันจ่ายปันผลดีสม่ำเสมอ แถมยังจ่ายทุกไตรมาสอีกต่างหาก
มีคนรู้จักมาเตือนว่า อย่ายุ่งกับหุ้นเจ้าสัวเลย ตอนนั้นผมก็ยังงงๆ แต่ยิ่งพอนานๆ เข้า เห็นโครงสร้างการถือหุ้นในธุรกิจและพฤติกรรมการจัดการแล้ว ต้องย้อนกลับไปนึกถึงคำเตือนเดิมๆ
"ขนาดเจ้ามือยังไม่กล้ายุ่งกับหุ้นเจ้าสัวเลย!!" 8)
มีคนรู้จักมาเตือนว่า อย่ายุ่งกับหุ้นเจ้าสัวเลย ตอนนั้นผมก็ยังงงๆ แต่ยิ่งพอนานๆ เข้า เห็นโครงสร้างการถือหุ้นในธุรกิจและพฤติกรรมการจัดการแล้ว ต้องย้อนกลับไปนึกถึงคำเตือนเดิมๆ
"ขนาดเจ้ามือยังไม่กล้ายุ่งกับหุ้นเจ้าสัวเลย!!" 8)
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์เจ้าสัว
โพสต์ที่ 7
8) สรุปว่า
ไม่เห็นมีข้อไหนที่ทำไม่ได้
เหตุการณ์ที่2และ3 น่าจะทำได้ไม่ต้องขวยเขิน
ส่วนที่น่าเกลียดหน่อยเพราะคนภายในจะได้กำไรมั่กๆ
ก็เหตุการณ์แรกเพราะตอนที่แจกราคามันอยู่ในช่วง57-62
เล่นแจก1ต่อ1ซะเลย
ใครถืออยู่ก็เฮไป
เอ แต่เหตุการณ์แรกมันเกิดตั้งแต่ กุมภาแล้วไม่ใช่รึ...
อะไรๆ ท่านเค้า ก็ทำได้ทั้งน้านแหละ...
(คุณกั๊ม คร้าบ อ่านกระทู้นี้อะยังอ่ะ เห็นตามข่าวอยู่น่ะ)
Aloha เขียน: วันที่ 24 ก.พ.2548 พบว่าเซเว่นอีเลฟเว่นประกาศจ่ายเงินปันผล
เป็น "หุ้นสามัญ" ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ (ในราคา 0 บาท)
จำนวน 440 ล้านหุ้น
หลังจากจ่ายหุ้นปันผล (ฟรี) แล้ว CP7-11 ก็แตกพาร์จาก 5 บาทเหลือ 1 บาท เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2548
8) ผมว่าทั้ง3เหตุการณ์ต่างกรรมต่างวาระเมื่อวันที่ 18 ก.ค.2548 ผ่านมา "ซีพี กรุ๊ป" ขายหุ้นบริษัท ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น (CP7-11) ให้กับ "CPF Investment Limited" ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)..จำนวน 120 ล้านหุ้น (2.72%) ที่ราคาหุ้นละ 5 บาท มูลค่าทั้งสิ้น 600 ล้านบาทนั้น
ไม่เห็นมีข้อไหนที่ทำไม่ได้
เหตุการณ์ที่2และ3 น่าจะทำได้ไม่ต้องขวยเขิน
ส่วนที่น่าเกลียดหน่อยเพราะคนภายในจะได้กำไรมั่กๆ
ก็เหตุการณ์แรกเพราะตอนที่แจกราคามันอยู่ในช่วง57-62
เล่นแจก1ต่อ1ซะเลย
ใครถืออยู่ก็เฮไป
เอ แต่เหตุการณ์แรกมันเกิดตั้งแต่ กุมภาแล้วไม่ใช่รึ...
อะไรๆ ท่านเค้า ก็ทำได้ทั้งน้านแหละ...
(คุณกั๊ม คร้าบ อ่านกระทู้นี้อะยังอ่ะ เห็นตามข่าวอยู่น่ะ)
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 363
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์เจ้าสัว
โพสต์ที่ 10
คุณ por jai สรุปเฉพาะเนื้อหาได้ดีมาก
อ่านบทความทั้งหมด เหมือนผู้เขียนพยายามให้ผู้อ่านที่ไม่คิดตาม เข้าใจไปว่าซีพีเพิ่มหุ้นเซเว่นให้ตัวเองเป็น 10 เท่า แล้วขายส่วนนึงเอาเงินมาใช้
ผมอยากรู้ว่า ที่ CPF เอาเงินให้ซีพีกรุ๊ป (ในการซื้อหุ้นเซเว่น) เป็นการหมุนเงินภายใน
แล้วมีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นเซเว่นหรือไม่ อย่างไร
ถ้าไม่มีผล ก็ไม่น่าจะถือว่าเป็นความไม่ชอบมาพากลนะครับ
อ่านบทความทั้งหมด เหมือนผู้เขียนพยายามให้ผู้อ่านที่ไม่คิดตาม เข้าใจไปว่าซีพีเพิ่มหุ้นเซเว่นให้ตัวเองเป็น 10 เท่า แล้วขายส่วนนึงเอาเงินมาใช้
ผมอยากรู้ว่า ที่ CPF เอาเงินให้ซีพีกรุ๊ป (ในการซื้อหุ้นเซเว่น) เป็นการหมุนเงินภายใน
แล้วมีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นเซเว่นหรือไม่ อย่างไร
ถ้าไม่มีผล ก็ไม่น่าจะถือว่าเป็นความไม่ชอบมาพากลนะครับ
บทที่หนึ่ง "ทำงานหาเงิน"
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์เจ้าสัว
โพสต์ที่ 11
8) คุณโมเน ครับชื่อคุณมาจาก claude monet หรือเปล่าเอ่ย
ผมเคยได้ไปดูรูปของเขาที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์
ชอบมั่กๆ ในอิมเพรสชั่นนิส ด้วยกันผมจำแกได้อยู่คนเดียว
ผมเพิ่งมาทราบว่าลัทธิอิมเพรสชั่นนิส ตั้งมาจากชื่อรูปที่อีตาโมเนเขียน
ชื่อว่า ความประทับใจยามอรุณรุ่ง= impression,sunrise
(จากหนังสือของพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ผมทันเจอแกที่มหาลัยนะ
แต่แกรุ่นพี่ผมปีนึง จบพร้อมกัน เพราะแกเรียนถาปัด ต้อง5ปี อ่ะ)
ขอโทษท่านมอเดอะเรเตอะ ด้วย ไม่เกี่ยวกะหุ้นเลย.......ลบก็ได้นะ..
ผมเคยได้ไปดูรูปของเขาที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์
ชอบมั่กๆ ในอิมเพรสชั่นนิส ด้วยกันผมจำแกได้อยู่คนเดียว
ผมเพิ่งมาทราบว่าลัทธิอิมเพรสชั่นนิส ตั้งมาจากชื่อรูปที่อีตาโมเนเขียน
ชื่อว่า ความประทับใจยามอรุณรุ่ง= impression,sunrise
(จากหนังสือของพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ผมทันเจอแกที่มหาลัยนะ
แต่แกรุ่นพี่ผมปีนึง จบพร้อมกัน เพราะแกเรียนถาปัด ต้อง5ปี อ่ะ)
ขอโทษท่านมอเดอะเรเตอะ ด้วย ไม่เกี่ยวกะหุ้นเลย.......ลบก็ได้นะ..
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์เจ้าสัว
โพสต์ที่ 13
8) แต่มานึกอีกที
จะให้เกี่ยวกะหุ้นก็ได้นะครับ
ศิลปินพวกนี้ ถ้าเปรียบไป ก็พวกหุ้นร้อยเด้ง พันเด้ง เลยนะ
ใครมีรูปของ โมเน ปิกัซโซ แวนโก๊ะ ไว้สักรูป ตอนที่ยังไม่ดัง
มาจนมีสตอรี่ ละก็
นับเด้ง ไม่ทันเลยนา...
พี่จิกเอง ก็ไม่เบา ถือเวิร์คพ้อย อยู่เท่าๆกะ พี่ตา(ปัญญา)เลย
จะให้เกี่ยวกะหุ้นก็ได้นะครับ
ศิลปินพวกนี้ ถ้าเปรียบไป ก็พวกหุ้นร้อยเด้ง พันเด้ง เลยนะ
ใครมีรูปของ โมเน ปิกัซโซ แวนโก๊ะ ไว้สักรูป ตอนที่ยังไม่ดัง
มาจนมีสตอรี่ ละก็
นับเด้ง ไม่ทันเลยนา...
พี่จิกเอง ก็ไม่เบา ถือเวิร์คพ้อย อยู่เท่าๆกะ พี่ตา(ปัญญา)เลย
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 363
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์เจ้าสัว
โพสต์ที่ 19
คุณ por jai ครับ ชื่อที่ผมใช้ มาจากชื่อเล่นลูกสาวน่ะครับ
แต่ชื่อเล่นลูกสาว ก็มาจาก Claude Monet น่ะแหละครับ
ที่ Musée du Louvre มีภาพวาดสวยงานจากศิลปินต่างๆเยอะมาก
แต่ถ้าแฟน Monet ก็อย่าพลาดไปชมที่ Musée d'Orsay ด้วยนะครับ
ปล. อยากโพสท์รูปลงไปด้วย แต่ไม่รู้ทำยังไงน่ะครับ ช่วยสอนให้หน่อยสิครับ
แต่ชื่อเล่นลูกสาว ก็มาจาก Claude Monet น่ะแหละครับ
ที่ Musée du Louvre มีภาพวาดสวยงานจากศิลปินต่างๆเยอะมาก
แต่ถ้าแฟน Monet ก็อย่าพลาดไปชมที่ Musée d'Orsay ด้วยนะครับ
ปล. อยากโพสท์รูปลงไปด้วย แต่ไม่รู้ทำยังไงน่ะครับ ช่วยสอนให้หน่อยสิครับ
บทที่หนึ่ง "ทำงานหาเงิน"
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
กลยุทธ์เจ้าสัว
โพสต์ที่ 21
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... &start=210
8) คุณ Monet ลองลิ๊งไปที่กระทู้ ข้างบนอ่านดู รับรองว่าทำได้แน่
เป็นกระทู้ ทีวีไอ นี่แหละ เนื้อหาก็ดี๊ดี ด้วย
ได้2 เด้ง ฮุๆๆ...
8) คุณ Monet ลองลิ๊งไปที่กระทู้ ข้างบนอ่านดู รับรองว่าทำได้แน่
เป็นกระทู้ ทีวีไอ นี่แหละ เนื้อหาก็ดี๊ดี ด้วย
ได้2 เด้ง ฮุๆๆ...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า