mida ทำไมลงเยอะจัง
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
mida ทำไมลงเยอะจัง
โพสต์ที่ 61
อยู่จังหวัดเลยครับ .พวกหลังเขา .บ้านนอกสุดๆ .จนพวกในเมืองอิจฉากันเลยหล่ะครับ :lovl:
หมายถึงนัดกินกันอบรมบัญชีไม่ใช่เหรอพี่เจ๋ง.ดูจากแผนที่ของโรงแรมแถวนั้นมีตึกสยามด้วยน่าจะมีนะครับ
หมายถึงนัดกินกันอบรมบัญชีไม่ใช่เหรอพี่เจ๋ง.ดูจากแผนที่ของโรงแรมแถวนั้นมีตึกสยามด้วยน่าจะมีนะครับ
แก้ไขล่าสุดโดย naris เมื่อ พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2005 5:36 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 894
- ผู้ติดตาม: 0
mida ทำไมลงเยอะจัง
โพสต์ที่ 63
พี่เจ๋งไม่เข้าใจตรงไหนครับ ลองถามเป็นจุดๆซิครับCode:
พี่เจ๋งลงทุนไปทั้งหมด 15 บาท
หลังเพิ่มทุนแจก วอร์ พี่เจ๋งก็จะมีมูลค่าเท่าเดิมจาก
หุ้น 5 x 2.71 = 13.58
วอร์ 2 x .71 = 1.42
รวมมูลค่าเท่ากับ 15 บาท
คำนวนออกมาอย่างงี้ได้ไง สอนหน่อยซิ งง
เรากำลังตามหา หุ้นดีๆ
หุ้นดีๆ ก็กำลังตามหาเราอยู่
หุ้นดีๆ ก็กำลังตามหาเราอยู่
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
mida ทำไมลงเยอะจัง
โพสต์ที่ 68
เอ เอาใหม่ดีกว่า ซื้อ 1 หุ้น ที่ 4 บาท จ่ายเพิ่มทุนอีก 1 หุ้นที่ 2 บาท ได้วอร์ .40 หุ้น ฟรี
แต่ตอนแปลงต้องจ่ายเงิน .80 บาท
สมมุติว่าซื้อแล้ว แปลงเลย
จ่ายเงินทั้งหมด 6.8 บาท ได้หุ้น 2.4 หุ้น
ตกแล้วต่อหุ้น 2.833
นั่นหมายความว่า ตัววอร์ จะราคา .83
แต่ตอนแปลงต้องจ่ายเงิน .80 บาท
สมมุติว่าซื้อแล้ว แปลงเลย
จ่ายเงินทั้งหมด 6.8 บาท ได้หุ้น 2.4 หุ้น
ตกแล้วต่อหุ้น 2.833
นั่นหมายความว่า ตัววอร์ จะราคา .83
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 1
mida ทำไมลงเยอะจัง
โพสต์ที่ 70
นี่ตกลงพี่เจ๋งยังสนตัวนี้อยู่อีกเหรอ?
คำถามถัดไป....
ในรอบ 4 ไตรมาสล่าสุด ตัวเลขลูกหนี้ค้างชำระมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างหรือไม่ มีสัดส่วน NPL เป็นอย่างไรบ้าง?
คำถามถัดไป....
ในรอบ 4 ไตรมาสล่าสุด ตัวเลขลูกหนี้ค้างชำระมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างหรือไม่ มีสัดส่วน NPL เป็นอย่างไรบ้าง?
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
mida ทำไมลงเยอะจัง
โพสต์ที่ 71
ตรงประเด็นสุดๆ กำไรไม่ได้อยู่ที่หามาได้เท่าไร แต่อยู่ที่เก็บได้เท่าไรในรอบ 4 ไตรมาสล่าสุด ตัวเลขลูกหนี้ค้างชำระมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างหรือไม่ มีสัดส่วน NPL เป็นอย่างไรบ้าง?
แต่ผมว่าพี่เจ๋งเขากำลังหาหุ้นตีแตกอยู่ เล่นสั้นๆแต่กำไรชัวร์ๆ คงไม่ถือยาวหรอกครับ หลังๆแกทักตัวไหนเป็นลง :lovl: ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ :lovl:เลิกทักเดี๋ยวก็ขึ้นคืน
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
mida ทำไมลงเยอะจัง
โพสต์ที่ 74
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่2(F45-3)
บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน)
สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน (หน่วย : พันบาท)
ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน
ปี 2548 2547 2548 2547
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 103,932 93,259 229,983 170,431
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.20 0.19 0.45 0.34
บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน)
สอบทาน
สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน (หน่วย : พันบาท)
ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน
ปี 2548 2547 2548 2547
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 103,932 93,259 229,983 170,431
กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.20 0.19 0.45 0.34
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 1
mida ทำไมลงเยอะจัง
โพสต์ที่ 76
ถามย้ำอีกที....
นี่ตกลงพี่เจ๋งยังสนตัวนี้อยู่อีกเหรอ?
นี่ตกลงพี่เจ๋งยังสนตัวนี้อยู่อีกเหรอ?
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
mida ทำไมลงเยอะจัง
โพสต์ที่ 78
:lovl: :lovl: :lovl:
คนเงินเหลือก็เป็นอย่างงั้นแหละพี่FE
ผมว่าพี่เจ๋งน่ะเหมือนผมที่เกรงใจเมียไม่นอกลู่นอกทางหรอก เป็นพวก ดีแต่ปาก :lovl: อาจลองเล่นๆ แต่ไม่เป็นจริงเป็นจังหรอกครับ
คนเงินเหลือก็เป็นอย่างงั้นแหละพี่FE
ผมว่าพี่เจ๋งน่ะเหมือนผมที่เกรงใจเมียไม่นอกลู่นอกทางหรอก เป็นพวก ดีแต่ปาก :lovl: อาจลองเล่นๆ แต่ไม่เป็นจริงเป็นจังหรอกครับ
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- tummeng
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3665
- ผู้ติดตาม: 0
mida ทำไมลงเยอะจัง
โพสต์ที่ 79
วันนี้อาจจะโดนอีกข่าวร่วมถล่มด้วยน่ะครับ เลยไปกันหย่ายยยยย
ปรกติก็แย่อยุ่แล้ว
*****
โบรกฯชี้ MIDA-TK-SINGERป่วนแน่ หลังรัฐเปลี่ยนกฎเหล็กไม่ให้ยึดเงินเดือนที่ต่ำกว่า
1 หมื่นบาทลูกหนี้เช่าซื้อแถมห้ามยึดทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำด้วย
โบรกฯชี้วงการเช่าซื้ออลหม่านหนักหลังรัฐเปลี่ยนกฏใหม่สั่งเจ้าหนี้ไม่ให้อายัดเงินเดือน
ลูกหนี้ที่ตำกว่ากว่า1 หมื่นบาท และห้ามยึดทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่า 5 หมื่นบาท เพื่อขายทอดตลาด
ระบุทั้ง MIDA-TK และ SINGER เจ็บตัวตามๆกัน แต่เชื่อระยะยาวผู้ประกอบการมีกลยุทธ์ที่ดี
รองรับปัญหา โดยแนะทยอยสะสม TK ราคาเหมาะสม 5.50 บาท
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง กล่าวถึงกรณีกรมบังคับคดีมีการแก้ไขกฏหมายวิธี
พิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 22) โดยสั่งไม่ให้เจ้าหนี้ยึดเงินเดือนขั้นต่ำลูกหนี้ที่ต่ำกว่า 1 หมื่น
บาทและห้ามยึดทรัพย์ที่เป็นเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้ในครัวเรือที่มีมูลค่ารวมกันต่ำกว่า 5 หมื่น
บาท รวมทั้งอุปกรณ์ประกอบอาชีพที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1 แสนบาทว่า การเปลี่ยนแปลงกฏหมายดัง
กล่าว ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการธุรกิจเช่าซื้อโดยเฉพาะผู้ประกอบการเช่าซื้อสินค้าประเภท
เครื่องใช้ไฟฟ้า และจักรยานยนต์เนื่องจากทางผู้ประกอบการไม่สามารถฟ้องบังคับคดีให้ลูกหนี้ที่
ผิดชำระหนี้มาชดใช้ได้เหมือนเดิมซึ่งสะท้อนให้แต่ละบริษัทเกิดหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น
โดยเบื้องต้น ประเมินว่าผู้ประกอบการธุรกิจเช่าซื้อที่ได้รับผลกระทบประกอบด้วย บมจ. ไม
ด้า แอสเซ็ท (MIDA) บมจ. ฐิติกร (TK) บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER)เนื่องจากเป็นผู้
ประกอบการสินเชื่อเช่าซื้อรายย่อยในประเทศ
'มองว่ากฏหมายของทางกรมบังคับคดีที่มีผลตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมาคงส่งผล
กระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อบ้าง แต่บริษัทใดจะได้รับผลกระทบมาก
หรือน้อยขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของธุรกิจนั้นๆโดยเบื้องต้นประเมินว่า MIDA,TK,SINGER น่าจะ
ได้รับผลจากกรณีดังกล่าวด้วยเนื่องจากไม่สามารถยึดทรัพย์คืนอย่างที่ผ่านมาได้ซึ่งอาจส่งผลให้
เกิดหนี้เสียเพิ่ม' เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ กล่าว
อย่างไรก็ตามคาดว่าผู้ประกอบการธุรกิจเช่าซื้อจะมีกลยุทธ์ดำเนินการเพื่อรองรับปัญหาดัง
กล่าวในอนาคตโดยอาจมีมาตรการควบคุมสินเชื่อด้วยความเข้มงวดและรัดกุมมากขึ้น เพื่อ
ป้องกันความเสี่ยง รวมถึงอาจมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยซึ่งการปรับเพิ่มอัตรา
ดอกเบี้ยต้องดูภาวะการแข่งขันโดยรวมประกอบเนื่องจากผู้ประหากกผู้ประกอบการรายใดปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยก่อนรายอื่นก็อาจได้รับผลกระทบจากลูกค้าบางส่วนที่หายไป
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนทยอยสะสมหุ้น TK เนื่องจากราคายังต่ำกว่า
เหมาะสมที่ระดับ 5.50 บาท แม้ว่าในระยะสั้นได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอ
ตัวลงรวมถึงค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้นมากจากการแข่งขันที่สูง
ปรกติก็แย่อยุ่แล้ว
*****
โบรกฯชี้ MIDA-TK-SINGERป่วนแน่ หลังรัฐเปลี่ยนกฎเหล็กไม่ให้ยึดเงินเดือนที่ต่ำกว่า
1 หมื่นบาทลูกหนี้เช่าซื้อแถมห้ามยึดทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำด้วย
โบรกฯชี้วงการเช่าซื้ออลหม่านหนักหลังรัฐเปลี่ยนกฏใหม่สั่งเจ้าหนี้ไม่ให้อายัดเงินเดือน
ลูกหนี้ที่ตำกว่ากว่า1 หมื่นบาท และห้ามยึดทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่า 5 หมื่นบาท เพื่อขายทอดตลาด
ระบุทั้ง MIDA-TK และ SINGER เจ็บตัวตามๆกัน แต่เชื่อระยะยาวผู้ประกอบการมีกลยุทธ์ที่ดี
รองรับปัญหา โดยแนะทยอยสะสม TK ราคาเหมาะสม 5.50 บาท
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่ง กล่าวถึงกรณีกรมบังคับคดีมีการแก้ไขกฏหมายวิธี
พิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 22) โดยสั่งไม่ให้เจ้าหนี้ยึดเงินเดือนขั้นต่ำลูกหนี้ที่ต่ำกว่า 1 หมื่น
บาทและห้ามยึดทรัพย์ที่เป็นเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้ในครัวเรือที่มีมูลค่ารวมกันต่ำกว่า 5 หมื่น
บาท รวมทั้งอุปกรณ์ประกอบอาชีพที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1 แสนบาทว่า การเปลี่ยนแปลงกฏหมายดัง
กล่าว ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการธุรกิจเช่าซื้อโดยเฉพาะผู้ประกอบการเช่าซื้อสินค้าประเภท
เครื่องใช้ไฟฟ้า และจักรยานยนต์เนื่องจากทางผู้ประกอบการไม่สามารถฟ้องบังคับคดีให้ลูกหนี้ที่
ผิดชำระหนี้มาชดใช้ได้เหมือนเดิมซึ่งสะท้อนให้แต่ละบริษัทเกิดหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น
โดยเบื้องต้น ประเมินว่าผู้ประกอบการธุรกิจเช่าซื้อที่ได้รับผลกระทบประกอบด้วย บมจ. ไม
ด้า แอสเซ็ท (MIDA) บมจ. ฐิติกร (TK) บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER)เนื่องจากเป็นผู้
ประกอบการสินเชื่อเช่าซื้อรายย่อยในประเทศ
'มองว่ากฏหมายของทางกรมบังคับคดีที่มีผลตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมาคงส่งผล
กระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อบ้าง แต่บริษัทใดจะได้รับผลกระทบมาก
หรือน้อยขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของธุรกิจนั้นๆโดยเบื้องต้นประเมินว่า MIDA,TK,SINGER น่าจะ
ได้รับผลจากกรณีดังกล่าวด้วยเนื่องจากไม่สามารถยึดทรัพย์คืนอย่างที่ผ่านมาได้ซึ่งอาจส่งผลให้
เกิดหนี้เสียเพิ่ม' เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ กล่าว
อย่างไรก็ตามคาดว่าผู้ประกอบการธุรกิจเช่าซื้อจะมีกลยุทธ์ดำเนินการเพื่อรองรับปัญหาดัง
กล่าวในอนาคตโดยอาจมีมาตรการควบคุมสินเชื่อด้วยความเข้มงวดและรัดกุมมากขึ้น เพื่อ
ป้องกันความเสี่ยง รวมถึงอาจมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยซึ่งการปรับเพิ่มอัตรา
ดอกเบี้ยต้องดูภาวะการแข่งขันโดยรวมประกอบเนื่องจากผู้ประหากกผู้ประกอบการรายใดปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยก่อนรายอื่นก็อาจได้รับผลกระทบจากลูกค้าบางส่วนที่หายไป
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนทยอยสะสมหุ้น TK เนื่องจากราคายังต่ำกว่า
เหมาะสมที่ระดับ 5.50 บาท แม้ว่าในระยะสั้นได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอ
ตัวลงรวมถึงค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้นมากจากการแข่งขันที่สูง
Price is what you pay. Value is what you get...
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 1
mida ทำไมลงเยอะจัง
โพสต์ที่ 80
ที่ผมเตือนนี่ จุดประสงค์หลัก คือ เตือนมือใหม่ที่เพิ่งเข้ามาอ่านน่ะครับJeng เขียน:อืม ขอบคุณ น้อง FE ที่คอยเตือนสติตลอดเวลา
ถ้าเป็น mida พี่เล่นเก็งกำไร ไม่ถือยาวครับ
ตอนนี้กำลังหาวิธีได้วอร์ฟรีอยู่
สำหรับพี่เจ๋ง แค่เอาใจช่วยให้รอดกลับมาครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 1
mida ทำไมลงเยอะจัง
โพสต์ที่ 84
ตอบคำถามพี่เจ๋งครับ
MIDA จะขึ้นเครื่องหมาย XR เพื่อรับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคา 2 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 8 ก.ย. 48
ส่วน W ยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนยื่นขออนุญาตจาก ตลท. (ยังไม่มีกำหนดวัน XW)
MIDA จะขึ้นเครื่องหมาย XR เพื่อรับสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคา 2 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 8 ก.ย. 48
ส่วน W ยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนยื่นขออนุญาตจาก ตลท. (ยังไม่มีกำหนดวัน XW)
- tummeng
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3665
- ผู้ติดตาม: 0
mida ทำไมลงเยอะจัง
โพสต์ที่ 89
ไปเจอข่าว mida ล่าสุด เลยเอามาให้อ่านครับ
**************
ถอดรหัสแผนธุรกิจ MIDA
ถอดรหัสแผนธุรกิจพี่ใหญ่วงการหุ้น "กมล เอี้ยวศิวิกูล" หลังจาก 2 หุ้นดับ "ไมด้า แอสเซ็ท" (MIDA) และ "ไมด้า ลิสซิ่ง" (ML) หล่นกระแทกพื้น ล่าสุดเตรียมส่ง "ไมด้า-เมดดาลิสท์" (MMD) ฝ่าแนวรบตลาดหุ้นอีกตัว ขณะเดียวกันก็วางแผนดันหุ้นในเครือตัวที่ 4 เข้าลิสต์ในตลาดปี' 49 ปูทางให้ MIDA ขึ้นสู่ "โฮลดิ้ง คอมพานี" พร้อมเปิดใจ"..ผมไม่ใช่นักปั่นหุ้น
"กมล เอี้ยวศิวิกูล" ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บมจ. ไมด้า แอสเซ็ท (MIDA) เดินเกมฝ่ากระแสขาลงของหุ้นในสังกัด ด้วยการส่ง "ไมด้า-เมดดาลิสท์ เอ็นเธอร์เทนเมนท์" (MMD) เข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์...เป็นหุ้น "ตัวที่ 3" ของครอบครัวภายในสิ้นปี 2548 นี้
บริษัท ไมด้า-เมดดาลิสท์ เป็นผู้นำด้านการผลิตเครื่องเล่น (เกม) อิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ เครื่องเล่นปาเป้าอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้ตราสินค้า "Medalist" และเป็นฐานการผลิต (OEM) โต๊ะพูล และโต๊ะฟุตบอล ภายใต้ตราสินค้า "Super League" และ "Sun Line" เพื่อส่งออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศทั่วโลก
ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 250 ล้านบาท เรียกชำระแล้วจำนวน 200 ล้านบาท โดยมีกลุ่ม "เอี้ยวศิวิกูล" ถือหุ้นใหญ่ 65% และกลุ่ม Medalist Marketing Corporation (MMC) ผู้ผลิตเครื่องเล่นปาเป้าอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลก ถือหุ้นอยู่ 35% ภายหลังการกระจายหุ้น (ไอพีโอ) กลุ่ม "เอี้ยวศิวิกูล" จะคงสัดส่วนไว้ที่ 51% และกลุ่ม MMC จะเหลือหุ้น 24%
ตามแผนออกหุ้นไอพีโอที่ "กมล" อธิบายไว้นั้น บริษัทแห่งใหม่นี้จะระดมทุนจากนักลงทุนจำนวน 60 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญออกใหม่จำนวน 40 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมออกขายอีก 20 ล้านหุ้น
สัดส่วนหุ้นเดิมที่จะนำออกขายจะมาจากหุ้นของกลุ่ม "เอี้ยวศิวิกูล" จำนวน 13 ล้านหุ้น และกลุ่ม MMC อีก 7 ล้านหุ้น โดยบริษัทตั้งเป้าระดมทุนทั้งสิ้นประมาณ 300-400 ล้านบาท (คาดว่าราคา IPO อยู่ระหว่าง 5-6 บาท) เพราะฉะนั้น "กมล" น่าจะได้เงินจากการเอาหุ้นเดิมออกมาขาย (13 ล้านหุ้น) ไม่น้อยกว่า 65 ล้านบาท
"กมล" ยอมรับว่า การที่ MMD มีกลุ่มเอี้ยวศิวิกูลเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่น่าจะส่งผลที่ดีกว่าการให้ MIDA เข้ามาถือหุ้นในรูปของบริษัทแม่ โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้... MIDA ยังไม่น่าจะพร้อม
"ความจริงผมยังมีธุรกิจอยู่ในสต็อกอีกประมาณ 2-3 บริษัท...ที่พร้อมจะเอาเข้าตลาดหุ้นได้ในปี 2549 แต่คงจะเข้าไปลิสต์เพียงแห่งเดียวก่อน ซึ่งครอบครัวของผมเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่...ทางตรง เหมือนๆ กับ "ไมด้า-เมดดาลิสท์" (MMD) ที่ทาง "ไมด้า แอสเซ็ท" (MIDA) ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องหรือถือหุ้นอยู่เลย
...และโมเดลการถือหุ้นเช่นนี้ จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ระหว่าง "หุ้นเดิม" (MIDA และ ML) กับ "หุ้นใหม่" (MMD)
สำหรับวิธีสร้างการเติบโตให้กับ MMD นั้น บริษัทจะใช้วิธีขายสินค้าเป็น "เครดิต" ส่วนหนึ่ง (ผ่อนเป็นงวด) เพื่อสปีดยอดขายให้โตขึ้น 30-40%
นั่นเป็นกลยุทธ์การขายที่ "กมล" เชื่อว่า...บริษัทไม่เสี่ยง เพราะสิ่งสำคัญของการทำธุรกิจนี้ก็คือ การ "ดีไซน์เครดิต" ให้สอดคล้องกับโมเดลธุรกิจของลูกค้า โดยปัจจุบันเครื่องเล่นปาเป้าอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้ตราสินค้า "Medalist" มีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศญี่ปุ่นสูงถึง 95%
"เครื่องปาเป้าของเราส่งออกที่ราคา 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ (102,500 บาท) แต่ต้นทุนสินค้าอยู่ที่เพียง 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ (49,200 บาท) เท่านั้น ขณะที่เราจะเรียกเก็บเงินสดจากลูกค้าทันที 'ครึ่งหนึ่ง' หรือ 1,250 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่เหลือให้ทยอยส่งเป็นงวดๆ เพราะฉะนั้น ธุรกิจใหม่ของเราก็น่าจะมีอนาคต"
แต่จุดหมายของ "กมล" ลึกซึ้งกว่านั้น "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ประเมินว่าแผนการนำบริษัทแห่งใหม่เข้าไปลิสต์ในตลาดฯ ของเซียนหุ้นรายนี้ได้แอบสอดไส้ "แผนลับ" เพื่อเข็นธุรกิจหลัก (MIDA) ขึ้นสู่ "โฮลดิ้ง คอมพานี" ในอนาคต
ผ่านความมั่งคั่งของ "กลุ่มเอี้ยวศิวิกูล" ที่เตรียมรับเงิน "ก้อนโต" จากการขายหุ้นบริษัทแห่งใหม่ (หลังไอพีโอ) ให้กับ MIDA เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
"ในอนาคตก็มีโอกาสที่ธุรกิจของเราทั้งหมด...จะรวมกลุ่มกัน เพื่อให้ MIDA ก้าวขึ้นไปเป็นโฮลดิ้ง" กมล กล่าวยอมรับ ก่อนจะย้ำว่า..ผมเชื่อว่าหุ้นในกลุ่มของเราทั้งหมด "ต้องถือยาว"
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ของหุ้นทั้ง 2 ตัว (MIDA และ ML) ที่กำลัง "ลงลึก" มาตั้งแต่ต้นปี "กมล" กลับอดสงสัยไม่ได้ว่า "ผมว่าหุ้นของผม มันไม่ปกติ"
"ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะในฐานะที่ผมก็เป็นคนเล่นหุ้น โมเดลราคาที่มันถูกดีไซน์มา มันน่าจะถูกกำหนดมาจากเรื่องของผลกำไร ที่คนน่าจะสนใจ"
แล้วตัว MIDA ของเราเมื่อไตรมาส 1/ 2547 มีกำไรกว่า 70 ล้านบาท แต่ไตรมาส 1/2548 เรากำไรเพิ่มเป็น 126 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2/2547 ได้กำไร 93 ล้านบาท แต่มาปีนี้เรากำไร 104 ล้านบาท
เมื่อเทียบต่อไตรมาสเทียบต่อปี เราดีกว่าปีที่แล้วอีก...แต่หุ้นมันตก!!!
"คนอาจกลัวภาวะตลาดหุ้น หรืออาจเพราะมองว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมนี้กำลังดาวน์ พาลคิดไปว่าทุกธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ต้องดาวน์ไปหมด แต่ตัว MIDA ของเรา...มันโอเค
ก่อนหน้านี้ MIDA ได้ตัดสินใจออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่อีกจำนวน 935 ล้านหุ้น แบ่งเป็น การเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม "512 ล้านหุ้น" (สัดส่วน 1 ต่อ 1) ที่ราคาหุ้นละ 2 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XR วันที่ 8 ก.ย.2548 (ผู้ถือหุ้นไม่มีสิทธิในการจองซื้อหุ้นใหม่)
และการออกวอร์แรนท์ (ฟรี) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมอีกจำนวน "409.6 ล้านหุ้น" (สัดส่วน 5 หุ้น ต่อ 2 วอร์แรนท์) อัตราใช้สิทธิ 1 ต่อ 1 ที่ราคาใช้สิทธิ 2 บาท
"ต้องดูกันว่าหลังผ่าน XR ไปแล้วถ้าราคา MIDA ยังมีอาการ...ไม่ดีขึ้น ก็คงต้องพิจารณาอีกครั้งว่า จะดำเนินการรับซื้อหุ้นคืนหรือไม่" กมล กล่าว
ล่าสุด เมื่อ 22 ส.ค. 2548 "กมล" ได้เริ่มพยุงราคาด้วยการเข้าไปซื้อหุ้น MIDA จำนวน 550,000 หุ้น ที่ราคา 3.52 บาท ใช้เงินไปทั้งสิ้น 1,936,000 บาท
"ถ้ามีเงินอีก ผมก็จะซื้ออีก แต่คงต้องดูด้วยว่าเราจะต้องสำรองเงินไว้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้เท่าไรด้วย"
เส้นทางเซียนของ "กมล เอี้ยวศิวิกูล" ตลอด 3 ปีที่ผ่านมามักจะถูกตั้งข้อสังเกตว่า..เขาคือนักเล่นหุ้นรายใหญ่ระดับประเทศ
"กมล" ระบายความคับข้องใจผ่าน "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ว่า ทุกคนสงสัยว่า ผมทุบหุ้น (MIDA) แล้วให้คนมารอรับ...แทบทุกคนมองผมเป็นอย่างนี้
"คิดอย่างนี้ดีกว่า วันนี้ผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน MIDA จะต้องหาเงินเท่าไรที่จะมาเพิ่มทุน แล้วผมมีเงินอะไรที่ไหนไป "ทุบหุ้น" เพราะลำพังตัวเองก็ต้องหาเงินไปใส่เพิ่มทุนตั้ง 400-500 ล้านบาท ไหนจะลูกน้องอีก ใครต่อใครที่ใกล้ชิดอีกที่เราจะต้องให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน"
"กมล" ยืนยันว่า ตั้งแต่ MIDA เข้าตลาดหุ้นมา...ตัวผมยังไม่เคยขายหุ้น MIDA แม้สักครั้ง ไปเช็คว่าวันที่ผมไอพีโอผมมีหุ้นเท่าไร และวันนี้ผมมีเท่าไร ตอนราคา 20-30 บาท ก็ไม่ได้ขาย
"ชีวิตผม (xxxx) กลายเป็นนักปั่นหุ้น ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปในตลาดหุ้น ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าหุ้นเค้าปั่นกันยังไง แต่ยอมรับว่าผมเล่นหุ้นเยอะ และเก็บหุ้นไว้เยอะ อันนี้ไม่เถียง แต่โดยข้อเท็จจริง...ผมไม่ใช่นักปั่นหุ้น
หรือถ้าจะเป็นจริงๆแล้ว ผมจะใช้ชื่อตัวเองซื้อหุ้นในตลาดถึงกว่า 3 พันล้านบาทไปทำไม"
เขาอธิบายเหตุผลต่อไปว่า ลองไปเช็คดูรายชื่อหุ้นที่ผมเข้าไปเก็บหุ้นแต่ละตัว เป็นชื่อ "กมล เอี้ยวศิวิกูล" เองทั้งนั้น "ผมไม่เคยมี...นอมินี"
เคยเห็นนักปั่นหุ้นสักกี่ราย? ที่จะใช้ชื่อตัวเองไป "ปั่นหุ้น" วันนี้ผมติดหุ้นทุกๆตัว...ชื่อผมทั้งหมด!!!
ซึ่งหุ้นที่ติดอยู่นั้น "กมล" ชี้แจงว่า ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ทาง "ผู้ใหญ่" เขาให้มา เราก็รับ(ซื้อ)ไว้ เพราะเห็นว่าเขาได้ตำแหน่งทาง "การเมือง"
แต่ผลที่ออกมากลับขาดทุนเป็น "ร้อยๆเปอร์เซ็นต์
**************
ถอดรหัสแผนธุรกิจ MIDA
ถอดรหัสแผนธุรกิจพี่ใหญ่วงการหุ้น "กมล เอี้ยวศิวิกูล" หลังจาก 2 หุ้นดับ "ไมด้า แอสเซ็ท" (MIDA) และ "ไมด้า ลิสซิ่ง" (ML) หล่นกระแทกพื้น ล่าสุดเตรียมส่ง "ไมด้า-เมดดาลิสท์" (MMD) ฝ่าแนวรบตลาดหุ้นอีกตัว ขณะเดียวกันก็วางแผนดันหุ้นในเครือตัวที่ 4 เข้าลิสต์ในตลาดปี' 49 ปูทางให้ MIDA ขึ้นสู่ "โฮลดิ้ง คอมพานี" พร้อมเปิดใจ"..ผมไม่ใช่นักปั่นหุ้น
"กมล เอี้ยวศิวิกูล" ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บมจ. ไมด้า แอสเซ็ท (MIDA) เดินเกมฝ่ากระแสขาลงของหุ้นในสังกัด ด้วยการส่ง "ไมด้า-เมดดาลิสท์ เอ็นเธอร์เทนเมนท์" (MMD) เข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์...เป็นหุ้น "ตัวที่ 3" ของครอบครัวภายในสิ้นปี 2548 นี้
บริษัท ไมด้า-เมดดาลิสท์ เป็นผู้นำด้านการผลิตเครื่องเล่น (เกม) อิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ เครื่องเล่นปาเป้าอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้ตราสินค้า "Medalist" และเป็นฐานการผลิต (OEM) โต๊ะพูล และโต๊ะฟุตบอล ภายใต้ตราสินค้า "Super League" และ "Sun Line" เพื่อส่งออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศทั่วโลก
ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 250 ล้านบาท เรียกชำระแล้วจำนวน 200 ล้านบาท โดยมีกลุ่ม "เอี้ยวศิวิกูล" ถือหุ้นใหญ่ 65% และกลุ่ม Medalist Marketing Corporation (MMC) ผู้ผลิตเครื่องเล่นปาเป้าอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลก ถือหุ้นอยู่ 35% ภายหลังการกระจายหุ้น (ไอพีโอ) กลุ่ม "เอี้ยวศิวิกูล" จะคงสัดส่วนไว้ที่ 51% และกลุ่ม MMC จะเหลือหุ้น 24%
ตามแผนออกหุ้นไอพีโอที่ "กมล" อธิบายไว้นั้น บริษัทแห่งใหม่นี้จะระดมทุนจากนักลงทุนจำนวน 60 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญออกใหม่จำนวน 40 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมออกขายอีก 20 ล้านหุ้น
สัดส่วนหุ้นเดิมที่จะนำออกขายจะมาจากหุ้นของกลุ่ม "เอี้ยวศิวิกูล" จำนวน 13 ล้านหุ้น และกลุ่ม MMC อีก 7 ล้านหุ้น โดยบริษัทตั้งเป้าระดมทุนทั้งสิ้นประมาณ 300-400 ล้านบาท (คาดว่าราคา IPO อยู่ระหว่าง 5-6 บาท) เพราะฉะนั้น "กมล" น่าจะได้เงินจากการเอาหุ้นเดิมออกมาขาย (13 ล้านหุ้น) ไม่น้อยกว่า 65 ล้านบาท
"กมล" ยอมรับว่า การที่ MMD มีกลุ่มเอี้ยวศิวิกูลเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่น่าจะส่งผลที่ดีกว่าการให้ MIDA เข้ามาถือหุ้นในรูปของบริษัทแม่ โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้... MIDA ยังไม่น่าจะพร้อม
"ความจริงผมยังมีธุรกิจอยู่ในสต็อกอีกประมาณ 2-3 บริษัท...ที่พร้อมจะเอาเข้าตลาดหุ้นได้ในปี 2549 แต่คงจะเข้าไปลิสต์เพียงแห่งเดียวก่อน ซึ่งครอบครัวของผมเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่...ทางตรง เหมือนๆ กับ "ไมด้า-เมดดาลิสท์" (MMD) ที่ทาง "ไมด้า แอสเซ็ท" (MIDA) ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องหรือถือหุ้นอยู่เลย
...และโมเดลการถือหุ้นเช่นนี้ จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ระหว่าง "หุ้นเดิม" (MIDA และ ML) กับ "หุ้นใหม่" (MMD)
สำหรับวิธีสร้างการเติบโตให้กับ MMD นั้น บริษัทจะใช้วิธีขายสินค้าเป็น "เครดิต" ส่วนหนึ่ง (ผ่อนเป็นงวด) เพื่อสปีดยอดขายให้โตขึ้น 30-40%
นั่นเป็นกลยุทธ์การขายที่ "กมล" เชื่อว่า...บริษัทไม่เสี่ยง เพราะสิ่งสำคัญของการทำธุรกิจนี้ก็คือ การ "ดีไซน์เครดิต" ให้สอดคล้องกับโมเดลธุรกิจของลูกค้า โดยปัจจุบันเครื่องเล่นปาเป้าอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้ตราสินค้า "Medalist" มีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศญี่ปุ่นสูงถึง 95%
"เครื่องปาเป้าของเราส่งออกที่ราคา 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ (102,500 บาท) แต่ต้นทุนสินค้าอยู่ที่เพียง 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ (49,200 บาท) เท่านั้น ขณะที่เราจะเรียกเก็บเงินสดจากลูกค้าทันที 'ครึ่งหนึ่ง' หรือ 1,250 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่เหลือให้ทยอยส่งเป็นงวดๆ เพราะฉะนั้น ธุรกิจใหม่ของเราก็น่าจะมีอนาคต"
แต่จุดหมายของ "กมล" ลึกซึ้งกว่านั้น "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ประเมินว่าแผนการนำบริษัทแห่งใหม่เข้าไปลิสต์ในตลาดฯ ของเซียนหุ้นรายนี้ได้แอบสอดไส้ "แผนลับ" เพื่อเข็นธุรกิจหลัก (MIDA) ขึ้นสู่ "โฮลดิ้ง คอมพานี" ในอนาคต
ผ่านความมั่งคั่งของ "กลุ่มเอี้ยวศิวิกูล" ที่เตรียมรับเงิน "ก้อนโต" จากการขายหุ้นบริษัทแห่งใหม่ (หลังไอพีโอ) ให้กับ MIDA เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
"ในอนาคตก็มีโอกาสที่ธุรกิจของเราทั้งหมด...จะรวมกลุ่มกัน เพื่อให้ MIDA ก้าวขึ้นไปเป็นโฮลดิ้ง" กมล กล่าวยอมรับ ก่อนจะย้ำว่า..ผมเชื่อว่าหุ้นในกลุ่มของเราทั้งหมด "ต้องถือยาว"
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ของหุ้นทั้ง 2 ตัว (MIDA และ ML) ที่กำลัง "ลงลึก" มาตั้งแต่ต้นปี "กมล" กลับอดสงสัยไม่ได้ว่า "ผมว่าหุ้นของผม มันไม่ปกติ"
"ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะในฐานะที่ผมก็เป็นคนเล่นหุ้น โมเดลราคาที่มันถูกดีไซน์มา มันน่าจะถูกกำหนดมาจากเรื่องของผลกำไร ที่คนน่าจะสนใจ"
แล้วตัว MIDA ของเราเมื่อไตรมาส 1/ 2547 มีกำไรกว่า 70 ล้านบาท แต่ไตรมาส 1/2548 เรากำไรเพิ่มเป็น 126 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2/2547 ได้กำไร 93 ล้านบาท แต่มาปีนี้เรากำไร 104 ล้านบาท
เมื่อเทียบต่อไตรมาสเทียบต่อปี เราดีกว่าปีที่แล้วอีก...แต่หุ้นมันตก!!!
"คนอาจกลัวภาวะตลาดหุ้น หรืออาจเพราะมองว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมนี้กำลังดาวน์ พาลคิดไปว่าทุกธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ต้องดาวน์ไปหมด แต่ตัว MIDA ของเรา...มันโอเค
ก่อนหน้านี้ MIDA ได้ตัดสินใจออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่อีกจำนวน 935 ล้านหุ้น แบ่งเป็น การเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม "512 ล้านหุ้น" (สัดส่วน 1 ต่อ 1) ที่ราคาหุ้นละ 2 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XR วันที่ 8 ก.ย.2548 (ผู้ถือหุ้นไม่มีสิทธิในการจองซื้อหุ้นใหม่)
และการออกวอร์แรนท์ (ฟรี) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมอีกจำนวน "409.6 ล้านหุ้น" (สัดส่วน 5 หุ้น ต่อ 2 วอร์แรนท์) อัตราใช้สิทธิ 1 ต่อ 1 ที่ราคาใช้สิทธิ 2 บาท
"ต้องดูกันว่าหลังผ่าน XR ไปแล้วถ้าราคา MIDA ยังมีอาการ...ไม่ดีขึ้น ก็คงต้องพิจารณาอีกครั้งว่า จะดำเนินการรับซื้อหุ้นคืนหรือไม่" กมล กล่าว
ล่าสุด เมื่อ 22 ส.ค. 2548 "กมล" ได้เริ่มพยุงราคาด้วยการเข้าไปซื้อหุ้น MIDA จำนวน 550,000 หุ้น ที่ราคา 3.52 บาท ใช้เงินไปทั้งสิ้น 1,936,000 บาท
"ถ้ามีเงินอีก ผมก็จะซื้ออีก แต่คงต้องดูด้วยว่าเราจะต้องสำรองเงินไว้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้เท่าไรด้วย"
เส้นทางเซียนของ "กมล เอี้ยวศิวิกูล" ตลอด 3 ปีที่ผ่านมามักจะถูกตั้งข้อสังเกตว่า..เขาคือนักเล่นหุ้นรายใหญ่ระดับประเทศ
"กมล" ระบายความคับข้องใจผ่าน "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ว่า ทุกคนสงสัยว่า ผมทุบหุ้น (MIDA) แล้วให้คนมารอรับ...แทบทุกคนมองผมเป็นอย่างนี้
"คิดอย่างนี้ดีกว่า วันนี้ผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน MIDA จะต้องหาเงินเท่าไรที่จะมาเพิ่มทุน แล้วผมมีเงินอะไรที่ไหนไป "ทุบหุ้น" เพราะลำพังตัวเองก็ต้องหาเงินไปใส่เพิ่มทุนตั้ง 400-500 ล้านบาท ไหนจะลูกน้องอีก ใครต่อใครที่ใกล้ชิดอีกที่เราจะต้องให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน"
"กมล" ยืนยันว่า ตั้งแต่ MIDA เข้าตลาดหุ้นมา...ตัวผมยังไม่เคยขายหุ้น MIDA แม้สักครั้ง ไปเช็คว่าวันที่ผมไอพีโอผมมีหุ้นเท่าไร และวันนี้ผมมีเท่าไร ตอนราคา 20-30 บาท ก็ไม่ได้ขาย
"ชีวิตผม (xxxx) กลายเป็นนักปั่นหุ้น ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปในตลาดหุ้น ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าหุ้นเค้าปั่นกันยังไง แต่ยอมรับว่าผมเล่นหุ้นเยอะ และเก็บหุ้นไว้เยอะ อันนี้ไม่เถียง แต่โดยข้อเท็จจริง...ผมไม่ใช่นักปั่นหุ้น
หรือถ้าจะเป็นจริงๆแล้ว ผมจะใช้ชื่อตัวเองซื้อหุ้นในตลาดถึงกว่า 3 พันล้านบาทไปทำไม"
เขาอธิบายเหตุผลต่อไปว่า ลองไปเช็คดูรายชื่อหุ้นที่ผมเข้าไปเก็บหุ้นแต่ละตัว เป็นชื่อ "กมล เอี้ยวศิวิกูล" เองทั้งนั้น "ผมไม่เคยมี...นอมินี"
เคยเห็นนักปั่นหุ้นสักกี่ราย? ที่จะใช้ชื่อตัวเองไป "ปั่นหุ้น" วันนี้ผมติดหุ้นทุกๆตัว...ชื่อผมทั้งหมด!!!
ซึ่งหุ้นที่ติดอยู่นั้น "กมล" ชี้แจงว่า ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ทาง "ผู้ใหญ่" เขาให้มา เราก็รับ(ซื้อ)ไว้ เพราะเห็นว่าเขาได้ตำแหน่งทาง "การเมือง"
แต่ผลที่ออกมากลับขาดทุนเป็น "ร้อยๆเปอร์เซ็นต์
Price is what you pay. Value is what you get...
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 1
mida ทำไมลงเยอะจัง
โพสต์ที่ 90
นี่ตกลงเพิ่มทุนและแจกวอร์แรนท์ไปเพื่อกระตุ้นราคาหุ้นเท่านั้นเองหรือ?tummeng เขียน:ไปเจอข่าว mida ล่าสุด เลยเอามาให้อ่านครับ
**************
ก่อนหน้านี้ MIDA ได้ตัดสินใจออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่อีกจำนวน 935 ล้านหุ้น แบ่งเป็น การเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม "512 ล้านหุ้น" (สัดส่วน 1 ต่อ 1) ที่ราคาหุ้นละ 2 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XR วันที่ 8 ก.ย.2548 (ผู้ถือหุ้นไม่มีสิทธิในการจองซื้อหุ้นใหม่) และการออกวอร์แรนท์ (ฟรี) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมอีกจำนวน "409.6 ล้านหุ้น" (สัดส่วน 5 หุ้น ต่อ 2 วอร์แรนท์) อัตราใช้สิทธิ 1 ต่อ 1 ที่ราคาใช้สิทธิ 2 บาท
"ต้องดูกันว่าหลังผ่าน XR ไปแล้วถ้าราคา MIDA ยังมีอาการ...ไม่ดีขึ้น ก็คงต้องพิจารณาอีกครั้งว่า จะดำเนินการรับซื้อหุ้นคืนหรือไม่" กมล กล่าว
ผมเข้าใจว่าบริษัทส่วนใหญ่เพิ่มทุนเพื่อลงทุนเพิ่มหรือไม่ก็เสริมสภาพคล่องเงินหมุนเวียน (บางแห่งก็พิมพ์กระดาษชือ "วอร์แรนท์" แถมให้เพื่อจูงใจ)
แต่งานนี้อ่านแล้วดูเหมือนกับเพิ่มทุนเพื่อเอาเงินมารองรับการซื้อหุ้นคืน!!
ทำอะไรไม่เหมือนคนอื่นเลยจริงๆ พับผ่าสิ