คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 777
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 211
หลายเดือนนี้...
ผมไม่กล้าเข้ามาอ่าน หรือ แสดงความคิดเห็นใดๆ ในกระทู้ที่ระบุผู้ตอบ
สักเท่าไร (กลัวเสียมรรยาท)
คราวนี้อดใจไม่ไหว เพราะเห็นคนเข้ามารุมกระทู้นี้เยอะจริงๆ
การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การลงทุนในกระทู้นี้น่าสนใจมากๆครับ
ผมขอเป็นผู้ศึกษาแนวทางการลงทุนของนักลงทุนอาวุโสกว่าจะ
เหมาะที่สุด
ที่ถูกใจคงเป็นหนังสือถ่ายทอดประสบการณ์ด้านการลงทุน
เป็นประโยชน์มากครับ 8)
ผมไม่กล้าเข้ามาอ่าน หรือ แสดงความคิดเห็นใดๆ ในกระทู้ที่ระบุผู้ตอบ
สักเท่าไร (กลัวเสียมรรยาท)
คราวนี้อดใจไม่ไหว เพราะเห็นคนเข้ามารุมกระทู้นี้เยอะจริงๆ
การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การลงทุนในกระทู้นี้น่าสนใจมากๆครับ
ผมขอเป็นผู้ศึกษาแนวทางการลงทุนของนักลงทุนอาวุโสกว่าจะ
เหมาะที่สุด
ที่ถูกใจคงเป็นหนังสือถ่ายทอดประสบการณ์ด้านการลงทุน
เป็นประโยชน์มากครับ 8)
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 212
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณคุณวิบูลย์และเพื่อนอีกจำนวนหนึ่งที่เข้าใจความตั้งใจของผมครับ ผมไม่ท้อครับแต่ไม่ขอยุ่งกับผู้ที่ไม่ได้ต้องคำตอบจากผมโดยตรง(ไม่ถามผม ผมก็ไม่ตอบ) ยกเว้นในกระทู้นี้เท่านั้นครับ จะตอบตลอดไปไม่ให้ตก
กลับมาที่CAPM อ่านกันว่าแค๊ปเอ็มนะครับ ย่อมาจาก Capital Asset pricing Model ตัวแบบนี้เกิดมาจากทฤษฎีความมีประสิทธิภาพของตลาด โดยอ้างว่าไม่มีใครฝืนตลาดได้หรอก ตลาดมันมีประสิทธิภาพจริงๆ ตัวแปรต่างๆในตัวแบบนี้ง่ายๆครับคือ
Ke = Rf + Beta(Rm - Rf)
Ke = ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ
Rf = ผลตอบแทนที่ไม่มีความเสี่ยง
Rm = ผลตอบแทนจากตลาด
Beta = ค่าความผันผวนของหุ้นนั้นๆเมื่อเทียบกับตลาด
Beta = 1 หมายถึงหุ้นตัวนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามตลาด เช่นตลาดขึ้น 1 % หุ้นนี้ก็จะขึ้น 1%
Beta > 1 หมายถึงหุ้นตัวนี้มีการเปลี่ยนแปลงสูงกว่าตลาด เช่นตลาดขึ้น 1 % หุ้นนี้ก็จะขึ้นมากกว่า 1%
Beta < 1 หมายถึงหุ้นตัวนี้มีการเปลี่ยนแปลงต่ำกว่าตลาด เช่นตลาดขึ้น 1 % หุ้นนี้ก็จะขึ้นต่ำกว่า 1%
ตัวแบบนี้เป็นส่วนหนึ่งในการหาต้นทุนเงินทุนของบริษัทครับโดยใช้สูตรดังนี้
WACC = (%Debt x Kd) + (%Equity x Ke)
ลองคิดดูว่าบริษัทที่ไม่มีหนี้เลย ในปัจจุบันนี้ที่หุ้นขึ้นแหลกอย่างนี้จะมีต้นทุนมากมายอย่างไร
คุณวิบูลย์ต่อนะครับ
กลับมาที่CAPM อ่านกันว่าแค๊ปเอ็มนะครับ ย่อมาจาก Capital Asset pricing Model ตัวแบบนี้เกิดมาจากทฤษฎีความมีประสิทธิภาพของตลาด โดยอ้างว่าไม่มีใครฝืนตลาดได้หรอก ตลาดมันมีประสิทธิภาพจริงๆ ตัวแปรต่างๆในตัวแบบนี้ง่ายๆครับคือ
Ke = Rf + Beta(Rm - Rf)
Ke = ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ
Rf = ผลตอบแทนที่ไม่มีความเสี่ยง
Rm = ผลตอบแทนจากตลาด
Beta = ค่าความผันผวนของหุ้นนั้นๆเมื่อเทียบกับตลาด
Beta = 1 หมายถึงหุ้นตัวนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามตลาด เช่นตลาดขึ้น 1 % หุ้นนี้ก็จะขึ้น 1%
Beta > 1 หมายถึงหุ้นตัวนี้มีการเปลี่ยนแปลงสูงกว่าตลาด เช่นตลาดขึ้น 1 % หุ้นนี้ก็จะขึ้นมากกว่า 1%
Beta < 1 หมายถึงหุ้นตัวนี้มีการเปลี่ยนแปลงต่ำกว่าตลาด เช่นตลาดขึ้น 1 % หุ้นนี้ก็จะขึ้นต่ำกว่า 1%
ตัวแบบนี้เป็นส่วนหนึ่งในการหาต้นทุนเงินทุนของบริษัทครับโดยใช้สูตรดังนี้
WACC = (%Debt x Kd) + (%Equity x Ke)
ลองคิดดูว่าบริษัทที่ไม่มีหนี้เลย ในปัจจุบันนี้ที่หุ้นขึ้นแหลกอย่างนี้จะมีต้นทุนมากมายอย่างไร
คุณวิบูลย์ต่อนะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 213
เมื่อวานวันอาทิตย์ผมหยุดโพสหนึ่งวันครับ ผบ.ทบ.สั่งมาต้องให้เวลากับครอบครัวครับ เลยอดเข้าเวป
วันนี้เรามาต่อเลยดีกว่าครับ
พออาจารย์ Buffet เห็นสมการข้างบนของคุณ Mon แล้วร้องทันทีว่า "ไอ้หย๋า ถ้าใช้สมการยังงี้ อั๊วไปขายเต้าฮวยดีกว่า" อาจารย์บอกว่า Cost of Capital นั้นไม่ต้องคิดอะไรมากมายครับ เราในฐานะนักลงทุนในตลาดมีทางเลือกแค่สามทางครับ
หนึ่ง-เก็บเงินสด
สอง-ซื้อพันธบัตร
สาม-ซื้อหุ้นบริษัท
เราเก็บเงินสดก็เพื่อเอาไว้ลงทุนในข้อสองข้อสาม ก็เลยตัดข้อหนึ่งออก ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือเปรียบเทียบ Cost of Capital ของการซื้อหุ้นเทียบกับการซื้อพันธบัตรที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด นั่นก็คือ อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาล 30 ปี (Long-term Treasury Bond) บวกกับความเสี่ยงคืออัตราเงินเฝ้ออีกนิดหน่อย ก็ใช้ได้แล้ว
สมมุติดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวคือ 7% และเงินเฝ้อคือ 3% ดังนั้น Cost of Capital สำหรับคำนวณมูลค่าบริษัทก็คือ 10% ง่ายจะตายไป
หรือคิดอีกวิธีก็ได้ง่ายกว่าเดิมซะอีก สมมุติว่าเราต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนปีละ 15% ก็ใช้ตัวเลขนี้เป็น Cost of Capital ได้เลย ไม่ต้องไปอิงไปแอบกับราคาหุ้นให้เปลืองสมองเล่น
ว่าแล้วอาจารย์ Buffet ก็ก้มหน้าก้มตาลงทุนต่อไป ปล่อยให้ชาวบ้านเขาถกเรื่อง EMT กันหน้าดำหน้าแดงต่อไป
มีเรื่องนึงอยากถามคุณ Mon ว่า EMT บอกว่าไม่มีใครชนะตลาดได้ คุณ Mon เชื่อหรือเปล่า สำหรับผมตอนแรกไม่เชื่อแต่ตอนนี้เจอกับตัวเองว่าพอร์ตของผมสู้ตลาดกระทิงไม่ได้แล้วขณะนี้ จะเชื่อ EMT หรือไม่เชื่อดีน๊า คุณ Mon ช่วยตอบที
วันนี้เรามาต่อเลยดีกว่าครับ
พออาจารย์ Buffet เห็นสมการข้างบนของคุณ Mon แล้วร้องทันทีว่า "ไอ้หย๋า ถ้าใช้สมการยังงี้ อั๊วไปขายเต้าฮวยดีกว่า" อาจารย์บอกว่า Cost of Capital นั้นไม่ต้องคิดอะไรมากมายครับ เราในฐานะนักลงทุนในตลาดมีทางเลือกแค่สามทางครับ
หนึ่ง-เก็บเงินสด
สอง-ซื้อพันธบัตร
สาม-ซื้อหุ้นบริษัท
เราเก็บเงินสดก็เพื่อเอาไว้ลงทุนในข้อสองข้อสาม ก็เลยตัดข้อหนึ่งออก ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือเปรียบเทียบ Cost of Capital ของการซื้อหุ้นเทียบกับการซื้อพันธบัตรที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด นั่นก็คือ อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาล 30 ปี (Long-term Treasury Bond) บวกกับความเสี่ยงคืออัตราเงินเฝ้ออีกนิดหน่อย ก็ใช้ได้แล้ว
สมมุติดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวคือ 7% และเงินเฝ้อคือ 3% ดังนั้น Cost of Capital สำหรับคำนวณมูลค่าบริษัทก็คือ 10% ง่ายจะตายไป
หรือคิดอีกวิธีก็ได้ง่ายกว่าเดิมซะอีก สมมุติว่าเราต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนปีละ 15% ก็ใช้ตัวเลขนี้เป็น Cost of Capital ได้เลย ไม่ต้องไปอิงไปแอบกับราคาหุ้นให้เปลืองสมองเล่น
ว่าแล้วอาจารย์ Buffet ก็ก้มหน้าก้มตาลงทุนต่อไป ปล่อยให้ชาวบ้านเขาถกเรื่อง EMT กันหน้าดำหน้าแดงต่อไป
มีเรื่องนึงอยากถามคุณ Mon ว่า EMT บอกว่าไม่มีใครชนะตลาดได้ คุณ Mon เชื่อหรือเปล่า สำหรับผมตอนแรกไม่เชื่อแต่ตอนนี้เจอกับตัวเองว่าพอร์ตของผมสู้ตลาดกระทิงไม่ได้แล้วขณะนี้ จะเชื่อ EMT หรือไม่เชื่อดีน๊า คุณ Mon ช่วยตอบที
-
- Verified User
- โพสต์: 76
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 214
เผลอแป๊บเดียว กระทู้นี้มีถึง 8 หน้าแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นกระทู้ที่ยาวที่สุดหรือเปล่า แถมยังมีผู้อ่านมากติดอันดับแน่นอน ผมเองยังต้องเปิดอ่านกระทู้นี้ทุกครั้งที่เข้าเวป ได้ทั้งแนวคิดในการลงทุน หลักการลงทุน และการท้าดวลของสมาชิกด้วยกันเองอีก อาจจะต้องประลองกันเป็นปีแน่ๆ เลย ต่างฝ่ายต่างงัดเอาวิทยายุทธมาสู้กันซะ แรกๆ ยังพอตามทัน แต่ตอนนี้เริ่มไม่ทันแล้ว สงสัยต้องเก็บตัวฝึกวิชาซักพักนึง ไว้จะมาประลองวิชากับเพื่อนสมาชิกบ้าง
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 215
ตอบคุณธันวา
สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ ผมแนะนำให้ดูตัวเองก่อนดูหุ้นครับว่าเราอยากลงทุนในสไตล์ไหน เราต้องมีหลักการในการลงทุนครับ เราถึงจะประสบความสำเร็จ (ลอกคำพูดอาจารย์มานะครับ)
อย่างอาจารย์ Buffet นั้นผมอ่าน Chairman's Letter ของแกตั้งแต่ 1977-2002 ทั้งหมด 25 ปีพบว่า แกไม่เคยเปลี่ยนหลักการในการลงทุนเลยครับ สมัยก่อนที่จะเลิก Buffet Partnership แกพูดไว้ชัดเจนครับว่าถ้าแกยอมเปลี่ยนหลักการลงทุนไปเล่นเก็งกำไรเหมือนชาวบ้าน ผลตอบแทนของแกจะสูงกว่านี้หลายเท่า แต่แกไม่ทำครับ แถมยังยุบ Buffet Partnership เสียอีกเพราะหาหุ้นที่ Undervalue ไม่ได้แล้วช่วงนั้น สุดท้ายตลาดก็วาย (รู้สึกคุ้นๆหูมั๊ยครับ คล้ายๆข่าวในช่วงนี้ยังไงก็ไม่รู้)
สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ ผมแนะนำอย่างนี้ครับว่า Value Investing เป็นเรื่องของความคิด 90% เป็นวิธีการแค่ 10% ครับ ถ้าเราเข้าใจหลักการลงทุนที่ถูกต้อง เรามีมุมมองต่อตลาดหุ้นที่ถูกต้อง เรามี Attitute ที่ถูกต้อง อย่างอื่นผมว่ามันเป็นเรื่องไม่ยากครับ
ผมเคยหลงผิดคิดว่า ผมสามารถหา "วิธีการ"ลงทุนแบบ VI ได้ด้วยการตะลุยอ่านหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับ VI แล้วลองซื้อหุ้น ลองทำตามวิธีที่เขาเขียนกันไว้ดู ปรากฎว่าช่วงแรกผมแทบประสาทกินเลยครับเพราะราคาหุ้นที่ผมซื้อมามันตกเอาๆ ตกทุกวัน เอ๊ะ ทำไมมันไม่เหมือนกับที่เราคำนวณไว้นะ ว่าเราซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐานแล้วทำไมมันยังลงมาได้อีก กลุ้มใจมาก กลัวขาดทุนไม่มีวันได้เงินคืน
จนผมศึกษาต่อไปเรื่อยๆจนพบว่า "ศัตรูตัวร้ายในการลงทุนนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ แต่คือตัวเราเอง" ถ้าเราค้นพบตัวเราเองเมื่อไหร่ ตลาดหุ้นก็ทำอะไรเราไม่ได้ครับ
คนส่วนใหญ่จะกลัวเวลาราคาหุ้นที่เราถืออยู่ตกและคิดว่าเราเลือกหุ้นผิดตัวและทนต่อความกลัวขาดทุนไม่ได้ก็ขายออกไป หรือเวลาหุ้นที่เราถืออยู่ราคาขึ้นเอาๆเราก็ลิงโลดคิดว่าเราเลือกหุ้นถูกตัว คิดว่าตัวเองเป็นเซียนกลับชาติมาเกิด (ผมเคยคิดอย่างนั้นครับ แต่เลิกแล้วค่ะ หนูเลิกกับเขาแล้วค่ะ)
ผมเพิ่งมาเข้าใจคำพูดของอาจารย์ Graham เร็วๆนี้เองครับที่ว่า "In the short run, market is the voting machine, in the long run it is the weighting machine" "ในระยะสั้นตลาดจะเป็นเครื่องลงคะแนนเสียง แต่ในระยะยาวตลาดเป็นเครื่องชั่งน้ำหนัก" หมายความว่าในระยะสั้นราคาหุ้นบริษัทที่ได้รับความนิยมจะพุ่งขึ้นสูง แต่ในระยะยาวบริษัทที่มีผลประกอบการเยี่ยมและดีกว่าจะได้รับน้ำหนักการลงทุนสูงกว่า ตีความได้ว่าราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้มีผลต่อการเลือกหุ้นของเราเลยครับว่าเราเลือกถูกหรือเลือกผิด แต่มันแสดงให้เห็นว่าหุ้นบริษัทไหนได้รับความนิยมมากกว่ากัน
กว่าผมจะเข้าใจ ผมก็ปล่อยหุ้นของบริษัทที่ดีเยี่ยมในระยะยาวของผมออกไปเพียงแค่ราคาหุ้นในระยะสั้นมันไม่ขยับสูงเท่าชาวบ้าน แล้วก็เสียใจภายหลังเพราะซื้อคืนไม่ได้แล้ว
ไม่รู้ว่ามีใครประสบเหตุการณ์แบบนี้บ้างไหมครับ
ดังนั้นนักลงทุนหน้าใหม่ก่อนที่จะมองหาหุ้น ผมแนะนำให้กลับมามองตัวเราเองก่อนครับว่าเราเข้าใจและเตรียมใจเป็น VI แล้วจริงๆหรือยัง ผมแนะนำหนังสือของท่านพุทธทาสภิกขุครับ เรื่อง "แก่นพุทธศาสน์" ราคา 30 บาท อ่านสักสามรอบ ทำความเข้าใจสิ่งที่ท่านเขียนให้ทะลุ เมื่อไหร่ที่ท่านไม่โลภ ไม่กลัว ท่านมองโลกด้วยความเป็นจริง เมื่อนั้นตลาดหุ้นก็ทำอะไรท่านไม่ได้ครับ
โชคดีทุกท่านครับ
สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ ผมแนะนำให้ดูตัวเองก่อนดูหุ้นครับว่าเราอยากลงทุนในสไตล์ไหน เราต้องมีหลักการในการลงทุนครับ เราถึงจะประสบความสำเร็จ (ลอกคำพูดอาจารย์มานะครับ)
อย่างอาจารย์ Buffet นั้นผมอ่าน Chairman's Letter ของแกตั้งแต่ 1977-2002 ทั้งหมด 25 ปีพบว่า แกไม่เคยเปลี่ยนหลักการในการลงทุนเลยครับ สมัยก่อนที่จะเลิก Buffet Partnership แกพูดไว้ชัดเจนครับว่าถ้าแกยอมเปลี่ยนหลักการลงทุนไปเล่นเก็งกำไรเหมือนชาวบ้าน ผลตอบแทนของแกจะสูงกว่านี้หลายเท่า แต่แกไม่ทำครับ แถมยังยุบ Buffet Partnership เสียอีกเพราะหาหุ้นที่ Undervalue ไม่ได้แล้วช่วงนั้น สุดท้ายตลาดก็วาย (รู้สึกคุ้นๆหูมั๊ยครับ คล้ายๆข่าวในช่วงนี้ยังไงก็ไม่รู้)
สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ ผมแนะนำอย่างนี้ครับว่า Value Investing เป็นเรื่องของความคิด 90% เป็นวิธีการแค่ 10% ครับ ถ้าเราเข้าใจหลักการลงทุนที่ถูกต้อง เรามีมุมมองต่อตลาดหุ้นที่ถูกต้อง เรามี Attitute ที่ถูกต้อง อย่างอื่นผมว่ามันเป็นเรื่องไม่ยากครับ
ผมเคยหลงผิดคิดว่า ผมสามารถหา "วิธีการ"ลงทุนแบบ VI ได้ด้วยการตะลุยอ่านหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับ VI แล้วลองซื้อหุ้น ลองทำตามวิธีที่เขาเขียนกันไว้ดู ปรากฎว่าช่วงแรกผมแทบประสาทกินเลยครับเพราะราคาหุ้นที่ผมซื้อมามันตกเอาๆ ตกทุกวัน เอ๊ะ ทำไมมันไม่เหมือนกับที่เราคำนวณไว้นะ ว่าเราซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐานแล้วทำไมมันยังลงมาได้อีก กลุ้มใจมาก กลัวขาดทุนไม่มีวันได้เงินคืน
จนผมศึกษาต่อไปเรื่อยๆจนพบว่า "ศัตรูตัวร้ายในการลงทุนนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ แต่คือตัวเราเอง" ถ้าเราค้นพบตัวเราเองเมื่อไหร่ ตลาดหุ้นก็ทำอะไรเราไม่ได้ครับ
คนส่วนใหญ่จะกลัวเวลาราคาหุ้นที่เราถืออยู่ตกและคิดว่าเราเลือกหุ้นผิดตัวและทนต่อความกลัวขาดทุนไม่ได้ก็ขายออกไป หรือเวลาหุ้นที่เราถืออยู่ราคาขึ้นเอาๆเราก็ลิงโลดคิดว่าเราเลือกหุ้นถูกตัว คิดว่าตัวเองเป็นเซียนกลับชาติมาเกิด (ผมเคยคิดอย่างนั้นครับ แต่เลิกแล้วค่ะ หนูเลิกกับเขาแล้วค่ะ)
ผมเพิ่งมาเข้าใจคำพูดของอาจารย์ Graham เร็วๆนี้เองครับที่ว่า "In the short run, market is the voting machine, in the long run it is the weighting machine" "ในระยะสั้นตลาดจะเป็นเครื่องลงคะแนนเสียง แต่ในระยะยาวตลาดเป็นเครื่องชั่งน้ำหนัก" หมายความว่าในระยะสั้นราคาหุ้นบริษัทที่ได้รับความนิยมจะพุ่งขึ้นสูง แต่ในระยะยาวบริษัทที่มีผลประกอบการเยี่ยมและดีกว่าจะได้รับน้ำหนักการลงทุนสูงกว่า ตีความได้ว่าราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้มีผลต่อการเลือกหุ้นของเราเลยครับว่าเราเลือกถูกหรือเลือกผิด แต่มันแสดงให้เห็นว่าหุ้นบริษัทไหนได้รับความนิยมมากกว่ากัน
กว่าผมจะเข้าใจ ผมก็ปล่อยหุ้นของบริษัทที่ดีเยี่ยมในระยะยาวของผมออกไปเพียงแค่ราคาหุ้นในระยะสั้นมันไม่ขยับสูงเท่าชาวบ้าน แล้วก็เสียใจภายหลังเพราะซื้อคืนไม่ได้แล้ว
ไม่รู้ว่ามีใครประสบเหตุการณ์แบบนี้บ้างไหมครับ
ดังนั้นนักลงทุนหน้าใหม่ก่อนที่จะมองหาหุ้น ผมแนะนำให้กลับมามองตัวเราเองก่อนครับว่าเราเข้าใจและเตรียมใจเป็น VI แล้วจริงๆหรือยัง ผมแนะนำหนังสือของท่านพุทธทาสภิกขุครับ เรื่อง "แก่นพุทธศาสน์" ราคา 30 บาท อ่านสักสามรอบ ทำความเข้าใจสิ่งที่ท่านเขียนให้ทะลุ เมื่อไหร่ที่ท่านไม่โลภ ไม่กลัว ท่านมองโลกด้วยความเป็นจริง เมื่อนั้นตลาดหุ้นก็ทำอะไรท่านไม่ได้ครับ
โชคดีทุกท่านครับ
แก้ไขล่าสุดโดย VIB007 เมื่อ จันทร์ ก.ย. 22, 2003 4:24 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 216
หลังจากระบายความในใจในชีวิตไปแล้ว ขอกลับมาทำหน้าที่ต่อครับVIB007 เขียน:มีเรื่องนึงอยากถามคุณ Mon ว่า EMT บอกว่าไม่มีใครชนะตลาดได้ คุณ Mon เชื่อหรือเปล่า สำหรับผมตอนแรกไม่เชื่อแต่ตอนนี้เจอกับตัวเองว่าพอร์ตของผมสู้ตลาดกระทิงไม่ได้แล้วขณะนี้ จะเชื่อ EMT หรือไม่เชื่อดีน๊า คุณ Mon ช่วยตอบที
ต่อคำถามของคุณวิบูลย์ครับ ในระยะสั้นตลาดอาจแซงหน้าเราไปได้ครับ เพราะอาการ Overreact อาการมองโลกในแง่ดีเกินไป อันนี้เป็นทั้งการขึ้นหรือการลงเลยนะครับ มาร์เก็ตติ้งของผมเคยเลียกว่า Panic Buy ซึ่งสวนทางกับPanic Sell แต่จากประวัติการดำเนินงานของ Berkshire Hathawyแล้วต้องบอกว่าทำลายทฤษฎีนี้เสียสิ้น ความเสี่ยงคือความไม่รู้ไม่เข้าใจธุรกิจ ไม่ใช่ความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้นเลยละครับ
Lynch เคยกล่าวว่า "ตลาดจะขึ้นหรือจะลงผมไม่อาจคาดเดาได้(และหลายๆคนก็คงทำไม่ได้) แต่ที่ผมรู้แน่ๆก็คือ กิจการที่มีผลดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง มูลค่าของกิจการต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน"
ต่อด้วยความเห็นของอ.Buffett "หากตลาดปิดไปสัก 10 ปี ผมก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร ธุรกิจก็ยังคงสร้างมูลค่าต่อไป ไม่เห็นต้องให้ตลาดมากำหนดมูลค่าให้ธุรกิจของผมเลย"
คุณวิบูลย์ต้องสรุปเรื่องนี้แล้วครับ ต่อไปเราจะมาแลกหมัดเรื่อง Durable Competive Advantage ต่อกัน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 217
ขอสรุปว่า"เดินตามอาจารย์ Buffet หมาไม่กัด"ครับ
แล้วเรื่อง DCA (Durable Competitive Advantage) ว่ายังไงล่ะทีเนี้ย ผมไล่พี่ๆน้องๆไปอ่านพุทธทาสหมดแล้ว จะมีคนมาสนใจฟังเหรอครับ
เอ้า ชกก่อนก็ได้ (ชกก่อนได้เปรียบ) ในความเห็นคุณมน เจ้า DCA เนี่ยมันมีผลอะไรกับการลงทุนซื้อหุ้นด้วยล่ะครับ
แล้วเรื่อง DCA (Durable Competitive Advantage) ว่ายังไงล่ะทีเนี้ย ผมไล่พี่ๆน้องๆไปอ่านพุทธทาสหมดแล้ว จะมีคนมาสนใจฟังเหรอครับ
เอ้า ชกก่อนก็ได้ (ชกก่อนได้เปรียบ) ในความเห็นคุณมน เจ้า DCA เนี่ยมันมีผลอะไรกับการลงทุนซื้อหุ้นด้วยล่ะครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 218
คุณวิบูลย์เห็นใจผมจริงหรือเปล่านี่ ผมกำลังเศร้าอยู่นะ โยนกลองให้ผมตลอดเลยนะช่วงนี้ แต่ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวไม่มีกระทู้ให้เขียนต้องรับสภาพหน่อย
ที่นี้ความสามารถในการแข่งขันนั้นมันคงทนหรือไม่ จะดูอย่างไร ต้องโยนกลองไปกลับให้คุณวิบูลย์ต่อครับ ตอนนี้ผมเศร้าอยู่ครับ
มีผลอย่างแรงเลยครับ ธุรกิจใดไม่มีหรือมี ความสามารถในการแข่งขันต่ำแล้วละก็จะไปสู้กับใครเขาได้ ลองนึกถึงสถิติการเริ่มธุรกิจใหม่ๆดูสิครับ สถิติบอกว่ามันจะล้มเหลวมากกว่า 70% ทั้งนี้เกิดจากความสามารถในการแข่งขันที่ไม่พร้อมหรือไม่ถึงขั้น สินค้าที่ผู้อื่นมีขายและเลียนแบบง่าย อำนาจต่อลองทั้งผู้ขายและผู้ซื้อต่ำ เงินทุนที่ไม่แข็งแกร่งใครเข้ามาแข่งด้วยได้ตลอดเวลา ลองนึกภาพดูซิว่าถูกอัดกรอบอย่างนี้จะดิ้นไปไหนรอดในความเห็นคุณมน เจ้า DCA เนี่ยมันมีผลอะไรกับการลงทุนซื้อหุ้นด้วยล่ะครับ
ที่นี้ความสามารถในการแข่งขันนั้นมันคงทนหรือไม่ จะดูอย่างไร ต้องโยนกลองไปกลับให้คุณวิบูลย์ต่อครับ ตอนนี้ผมเศร้าอยู่ครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 220
คุณมนไม่ต้องเศร้าครับ ตอบคำถามพี่ๆน้องๆในกระทู้นี้เดี๋ยวก็หาย
ความสามารถทางการแข่งขันนั้นขึ้นกับความสามารถของผู้บริหารล้วนๆเลยครับ ยิ่งในปัจจุบันโลกธุรกิจมีการแข่งขันสูงมาก ใครปรับตัวไม่ได้เจ๊งแน่นอน โลกนี้ไม่มีอะไรแน่อนครับ เช่นเดียวกับ ความสามารถทางการแข่งขันที่อาจสลายไปได้ครับ
ยกตัวอย่าง สมัยก่อนใครใช้เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้านี่โก้น่าดูใช่มั๊ยครับ แต่ตอนนี้ใครใช้เจ้าเครื่องที่ว่านี้คงถูกเรียกว่า ลุง
ความสามารถทางการแข่งขันที่มลายหายไปอาจเกิดจากสาเหตุดังนี้ครับ
-คู่แข่งแย่งตลาด
-ผู้บริหารตัดสินใจลงทุนผิดพลาด
-สินค้าทดแทน
-ฯลฯ
ดังนั้นเป็นหน้าที่ผู้บริหารของบริษัทครับที่จะต้องสร้างความสามารถทางการแข่งขันให้คงอยู่ตลอดไป
ที่คุณ Num ถามมาผมวานพี่ Chathcai มาตอบแล้วกันครับ ผมความรู้ทางบัญชีมีน้อยครับ
ส่วนคำถามของคุณธันวาที่ถามเรื่องจะดูยังไงว่าเป็น Consumer Monopoly หรือเปล่า ผมยกให้คุณ Mon ตอบแล้วกันแก้เศร้า ช่วยตอบแทนด้วยนะครับ ตอนนี้ต้องไปทำงานก่อน กำลังถูกเขม่น
ความสามารถทางการแข่งขันนั้นขึ้นกับความสามารถของผู้บริหารล้วนๆเลยครับ ยิ่งในปัจจุบันโลกธุรกิจมีการแข่งขันสูงมาก ใครปรับตัวไม่ได้เจ๊งแน่นอน โลกนี้ไม่มีอะไรแน่อนครับ เช่นเดียวกับ ความสามารถทางการแข่งขันที่อาจสลายไปได้ครับ
ยกตัวอย่าง สมัยก่อนใครใช้เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้านี่โก้น่าดูใช่มั๊ยครับ แต่ตอนนี้ใครใช้เจ้าเครื่องที่ว่านี้คงถูกเรียกว่า ลุง
ความสามารถทางการแข่งขันที่มลายหายไปอาจเกิดจากสาเหตุดังนี้ครับ
-คู่แข่งแย่งตลาด
-ผู้บริหารตัดสินใจลงทุนผิดพลาด
-สินค้าทดแทน
-ฯลฯ
ดังนั้นเป็นหน้าที่ผู้บริหารของบริษัทครับที่จะต้องสร้างความสามารถทางการแข่งขันให้คงอยู่ตลอดไป
ที่คุณ Num ถามมาผมวานพี่ Chathcai มาตอบแล้วกันครับ ผมความรู้ทางบัญชีมีน้อยครับ
ส่วนคำถามของคุณธันวาที่ถามเรื่องจะดูยังไงว่าเป็น Consumer Monopoly หรือเปล่า ผมยกให้คุณ Mon ตอบแล้วกันแก้เศร้า ช่วยตอบแทนด้วยนะครับ ตอนนี้ต้องไปทำงานก่อน กำลังถูกเขม่น
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 221
ผมจะขออยู่ในโลกแห่งการเรียนรู้อย่างเดียวครับ ไม่เอาแล้วกลัวโดนด่า
สำหรับคำถามของคุณNum ผมไม่แจมนะครับ กลัวโดนด่าในกระทู้นี้อีกเดี๋ยวผมไม่มีที่ตอบกระทู้ อึดอัดแย่เลย
Consumer คือสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าทั่วๆไปแหละครับ ใช้กันแยอะใช้เปลือง ใช้แล้วทิ้งต้องซื้อใหม่มาใช้อีกตลอด
Monopoly ผูกขาด(ตามความหมายทางเศรษฐศาสตร์) แต่ของผมหมายถึงหาคนมาแข่งด้วยได้ยาก อยู่ในใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง เป็นอะไรที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้ จำเป็นนะครับไม่ใช่แค่ต้องการ ต้องการนี่ยังพอทนได้ แต่จำเป็นนี่ขาดไม่ได้นะครับ
Consumer Monopoly คือสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าทั่วๆไปแหละครับ ใช้กันแยอะใช้เปลือง ใช้แล้วทิ้งต้องซื้อใหม่มาใช้อีกตลอด เป็นอะไรที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้
เอาละ คราวนี้ผมไม่โยนต่อให้คุณวิบูลย์แล้ว ผมขอให้เพื่อนๆพี่ๆช่วยกันคิดว่าสินค้าและบริการอะไรที่มีอยู่ในบ้านเราเข้าข่ายบ้าง
สำหรับคำถามของคุณNum ผมไม่แจมนะครับ กลัวโดนด่าในกระทู้นี้อีกเดี๋ยวผมไม่มีที่ตอบกระทู้ อึดอัดแย่เลย
เอาความหมายของคำไปก่อนนะครับจะดูยังไงว่าเป็น Consumer Monopoly หรือเปล่า
Consumer คือสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าทั่วๆไปแหละครับ ใช้กันแยอะใช้เปลือง ใช้แล้วทิ้งต้องซื้อใหม่มาใช้อีกตลอด
Monopoly ผูกขาด(ตามความหมายทางเศรษฐศาสตร์) แต่ของผมหมายถึงหาคนมาแข่งด้วยได้ยาก อยู่ในใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง เป็นอะไรที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้ จำเป็นนะครับไม่ใช่แค่ต้องการ ต้องการนี่ยังพอทนได้ แต่จำเป็นนี่ขาดไม่ได้นะครับ
Consumer Monopoly คือสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าทั่วๆไปแหละครับ ใช้กันแยอะใช้เปลือง ใช้แล้วทิ้งต้องซื้อใหม่มาใช้อีกตลอด เป็นอะไรที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้
เอาละ คราวนี้ผมไม่โยนต่อให้คุณวิบูลย์แล้ว ผมขอให้เพื่อนๆพี่ๆช่วยกันคิดว่าสินค้าและบริการอะไรที่มีอยู่ในบ้านเราเข้าข่ายบ้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 920
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 222
wacoal ขายยกทรง
ptt ขายนำมัน
ssc ขายเป็บซี่
scc ขายปูน
stanlyขายหลอดไฟ
tf ขายม่าม่า
pb ขายขนมปัง
cpf ขายไก่และไส้กรอก
advance ขายโทรศัพท์ (สินค้าอุปโภคบริโภคตัวใหม่ของคนไทย)
lh ขายบ้าน (เดี๋ยวนี้ก็ซื้อขายกันยังกะของอุปโภคบริโภคแล้ว)
แย่แล้วเอ่ยมาผมไม่มีซักตัวเลย
ptt ขายนำมัน
ssc ขายเป็บซี่
scc ขายปูน
stanlyขายหลอดไฟ
tf ขายม่าม่า
pb ขายขนมปัง
cpf ขายไก่และไส้กรอก
advance ขายโทรศัพท์ (สินค้าอุปโภคบริโภคตัวใหม่ของคนไทย)
lh ขายบ้าน (เดี๋ยวนี้ก็ซื้อขายกันยังกะของอุปโภคบริโภคแล้ว)
แย่แล้วเอ่ยมาผมไม่มีซักตัวเลย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 223
ผมขอถามพี่เจ๋ง และน้องวิบูลย์ เกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือ The New Buffettology บทที่ 13 Warren's Checklist ห้วข้อที่ 4 When Debt Makes Beffett Nervous ผมอ่านแล้วไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกต้องหรือไม่
ในหนังสือบอกว่า Warren ไม่เห็นด้วยกับอัตราส่วน Debt to Equity เพราะว่าความสามารถในการชำระหนี้เงินกู้นั้นควรที่จะวัดจากความสามารถในการหาเงิน เช่นเดียวกับการกู้เงินซื้อบ้านที่คำนวณจากรายได้
ในหนังสือก็มีการเปรียบเทียบโดยใช้ earning แทน equity ซึ่งถ้าผมเข้าใจไม่ผิด earning ก็น่าหมายถึงกำไรสุทธิของบริษัท
แต่ผมมีความเห็นแย้งกับหนังสือ การชำระหนี้นั้นไม่ควรที่จะเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิเนื่องจากไม่ใช่เงินสดที่บริษัทได้รับ ผมว่าเราน่าจะใช้เงินสดรับจากการดำเนินงานมากกว่านะครับ
ไม่ทราบว่าพี่เจ๋ง และน้องวิบูลย์ ศิษย์ Buffett มีความเห็นอย่างไรครับ
ในหนังสือบอกว่า Warren ไม่เห็นด้วยกับอัตราส่วน Debt to Equity เพราะว่าความสามารถในการชำระหนี้เงินกู้นั้นควรที่จะวัดจากความสามารถในการหาเงิน เช่นเดียวกับการกู้เงินซื้อบ้านที่คำนวณจากรายได้
ในหนังสือก็มีการเปรียบเทียบโดยใช้ earning แทน equity ซึ่งถ้าผมเข้าใจไม่ผิด earning ก็น่าหมายถึงกำไรสุทธิของบริษัท
แต่ผมมีความเห็นแย้งกับหนังสือ การชำระหนี้นั้นไม่ควรที่จะเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิเนื่องจากไม่ใช่เงินสดที่บริษัทได้รับ ผมว่าเราน่าจะใช้เงินสดรับจากการดำเนินงานมากกว่านะครับ
ไม่ทราบว่าพี่เจ๋ง และน้องวิบูลย์ ศิษย์ Buffett มีความเห็นอย่างไรครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 224
โค้ด: เลือกทั้งหมด
แต่ผมมีความเห็นแย้งกับหนังสือ การชำระหนี้นั้นไม่ควรที่จะเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิเนื่องจากไม่ใช่เงินสดที่บริษัทได้รับ ผมว่าเราน่าจะใช้เงินสดรับจากการดำเนินงานมากกว่านะครับ
แต่ขอวอเรน เขาเน้นให้ดูกำไรโต ต่อเนื่องกันเป็น 10 ปี ซึ่ง ผมก็ขอเดาว่า ที่เขาเน้นแบบนั้น ก็มีเหตุผล
เพราะถ้าบริษัทนั้นๆ บริหารเงินสดจากการดำเนินงานไม่ดี ผลคือกำไรคงจะไม่โตต่อเนื่อง 10 ปีซ้อนเหมือนกัน
ส่วนตัวผมแล้ว การดูกระแสเงินสดอย่างคุณฉัตรชัย ต้องดูให้แม่นๆ เพราะถ้าดูไม่เป็นอาจจะเจอภาพลวงตาได้เหมือนกัน
เพราะว่า ถ้ากระแสเงินสด ดี เพียง 1 ปี 2 ปี อาจจะทำให้คนบางคนคิดว่าบริษัทนั้นๆ ดีเลิศก็ได้
ซึ่งถ้าเป็นวอเรน ตามแนวแมรี่ เธอเน้นว่า ต้องดีระยะยาว
ก็เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ คุณฉัตรชัย ถ้าไม่ตรงกันอย่าว่ากันนะครับ
การตีความจากหนังสือคงไม่มีใครถูกใครผิด
ผมเองก็ได้รับความรู้จากคุณฉัตรชัย มากเลย เรื่องกระแสเงินสด แต่ผมเองก็ยังยึดที่หนังสือ The New bufetology อยู่ดี ซึ่งเขาเน้น กำไรจากการดำเนินงาน โดยไม่ได้เน้นกระแสเงินสด
- ปรัชญา1
- Verified User
- โพสต์: 1092
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 225
เข้ามา รายงานตัว
และเข้ามาเช็คเรทติ้ง อิอิ
แซวเล่นครับ เข้ามาเก็บความรู้เพิ่ม
และ
มาให้กำลังใจทุกคนครับ
และเข้ามาเช็คเรทติ้ง อิอิ
แซวเล่นครับ เข้ามาเก็บความรู้เพิ่ม
และ
มาให้กำลังใจทุกคนครับ
ฝันถึง วัน ฟ้าสวย...... อยากร่ำรวย-ด้วยเล่นหุ้น
ฝัน เป็น นักลงทุน..... ลุ้นความหวัง-ความตั้งใจ
ฝัน เป็น นักลงทุน..... ลุ้นความหวัง-ความตั้งใจ
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 228
เป็นกระทู้สุดยอดแห่งปีเลยครับ
ตามมาอ่านเฉยๆ เสียดายที่ไม่มีโอกาสไปนั่งฟังทุกท่านแบ่งปันความรู้ให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ตอนนี้ผมยังอยู่ที่ฮ่องกงครับ เสาร์อาทิตย์กลับแต่ก็อยากให้เวลากับที่บ้านมากกว่า ก้อเลยไม่ได้ไปครับ ไว้กลับไปแล้ว มี TVI meeting อีก ผมจะไปแจมด้วยแน่นอน
ตามมาอ่านเฉยๆ เสียดายที่ไม่มีโอกาสไปนั่งฟังทุกท่านแบ่งปันความรู้ให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ตอนนี้ผมยังอยู่ที่ฮ่องกงครับ เสาร์อาทิตย์กลับแต่ก็อยากให้เวลากับที่บ้านมากกว่า ก้อเลยไม่ได้ไปครับ ไว้กลับไปแล้ว มี TVI meeting อีก ผมจะไปแจมด้วยแน่นอน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 230
ในความเห็นของผม Mary ไม่อยากให้มือใหม่สับสนเพราะการหา FCF นั้นไม่ง่าย ก็เลยให้ใช้ Earning แทน
ส่วนตัวผมคิดว่า Debt/FCF น่าจะถูกต้องกว่าเยอะ เพราะบางครั้ง Earning ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเรามีเงินในมือพอจ่ายหนี้เท่าไหร่จริงๆ เช่น การรับรู้รายได้ของบริษัทบางทีอาจเป็นการค้างจ่ายในบัญชีลูกหนี้แต่สามารถรับรู้เป็นรายได้ในงบกำไรขาดทุนได้ครับ ถ้าเก็บเงินไม่ได้ รายได้ที่รับรู้กลายเป็นหนี้สูญแน่นอนครับ
พี่Chatchai ช่วยตอบคำถามคุณ Num เรื่องเงินลงทุนโดยวิธีส่วนได้เสียด้วยนะครับ
ส่วนตัวผมคิดว่า Debt/FCF น่าจะถูกต้องกว่าเยอะ เพราะบางครั้ง Earning ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเรามีเงินในมือพอจ่ายหนี้เท่าไหร่จริงๆ เช่น การรับรู้รายได้ของบริษัทบางทีอาจเป็นการค้างจ่ายในบัญชีลูกหนี้แต่สามารถรับรู้เป็นรายได้ในงบกำไรขาดทุนได้ครับ ถ้าเก็บเงินไม่ได้ รายได้ที่รับรู้กลายเป็นหนี้สูญแน่นอนครับ
พี่Chatchai ช่วยตอบคำถามคุณ Num เรื่องเงินลงทุนโดยวิธีส่วนได้เสียด้วยนะครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 231
เอ้า เลยไม่มีใครร่วมกับผมหาบริษัทและสินค้าที่เห็นว่ามี Competitive Advantageอีกเลย อย่าลืมซิครับ คุณวิบูลย์ คุณฉัตรชัย พี่เจ๋ง พี่ปรัชญา พี่ครรชิต ลุงขวด และท่านอื่นๆด้วยนะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 232
ผมขอยกตัวอย่างสินค้าที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้นแล้วกันครับเพื่อไม่ให้เป็นการชี้นำ
ถ้า นสพ. ต้อง "ไทยรัฐ"
ถ้า สุกี้ ต้อง "เอ็มเค"
ถ้า อาหารญี่ปุ่น ต้อง "ฟูจิ"
บางทีผมพาที่บ้านไปทานสุกี้ที่ร้านอื่น ผมโดนด่าเลยครับ ต้องยั้งงี้ครับ Consumer Monolpoly ตัวจริง หาอะไรมาทดแทนมิได้
มีใครคิดอะไรออกอีกมั๊ยครับ
ถ้า นสพ. ต้อง "ไทยรัฐ"
ถ้า สุกี้ ต้อง "เอ็มเค"
ถ้า อาหารญี่ปุ่น ต้อง "ฟูจิ"
บางทีผมพาที่บ้านไปทานสุกี้ที่ร้านอื่น ผมโดนด่าเลยครับ ต้องยั้งงี้ครับ Consumer Monolpoly ตัวจริง หาอะไรมาทดแทนมิได้
มีใครคิดอะไรออกอีกมั๊ยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 233
ผมนึกออกแล้ว วันงานสัมนาครั้งที่ผ่านมา เห็นพี่เจ๋งพูดถึงธุรกิจที่อาจารย์ Buffet สนใจอยู่สามแบบ คือ
1) Consumer Monopoly
2) Toll-Gate
3) Quasi-Monopoly
ผมว่าพี่เจ๋งช่วยอธิบายพี่ๆเพื่อนๆที่ไม่ได้ไปงานให้ทราบด้วยได้มั๊ยครับ
1) Consumer Monopoly
2) Toll-Gate
3) Quasi-Monopoly
ผมว่าพี่เจ๋งช่วยอธิบายพี่ๆเพื่อนๆที่ไม่ได้ไปงานให้ทราบด้วยได้มั๊ยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1011
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 234
อ่านกระทู้นี้แล้วดีจริงๆ ได้ความรู้เพิ่มเติมอีกเยอะเลยครับ
ขอแจมด้วยคน เห็นคุณวิบูลย์พูดถึงไทยรัฐ ความจริงผมก็เห็นด้วย แต่อย่างที่ทราบกันก็คือ ไทยรัฐ ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ วันก่อนผมอ่าน form 56-1 ของ MATI น่าสนใจมากครับ ไทยรัฐมีส่วนแบ่งการตลาด 34% เดลินิวส์ 19% ข่าวสด 15% มติชน 12% คม ชัด ลึก 11% ที่น่าสนใจคือ มติชนถือหุ้นข่าวสดอยู่ 99.99% ถ้าคิดง่ายๆ คือ MATI มีส่วนแบ่ง 27% ของสองฉบับ ตามหลังไทยรัฐอยู่หน่อยเดียว ผมเองไม่มีหุ้น MATI หรอกครับ ความจริงเป็นหุ้นที่ดีตัวหนึ่งครับ
อ่านกระทู้นี้ คุณวิบูลย์พูดถึง chairman letter ของอาจารย์ ความจริงน่าจะหาอาสาสมัครแปลเป็นภาษาไทย แล้วก็เก็บไว้ใน web เพื่อนๆ คิดว่าไงครับ คุณหมอ katora พี่หมอประจวบ คุณวิบูลย์ คุณเจ๋ง คุณมน คุณ PP และท่านอื่นๆ... ว้าว ล้วนแต่เป็นจอมยุทธ์อ่าน textbook กันทั้งนั้น
อีกอย่างเห็นพูดกันถึงหนังสือThe New Buffettology กันบ่อยมาก ไม่ทราบว่า คุณยีนมีโครงการสั่งซื้อแบบเหมาเข่งหรือไม่ อาจจะขอแจมด้วยคนครับ
ขอแจมด้วยคน เห็นคุณวิบูลย์พูดถึงไทยรัฐ ความจริงผมก็เห็นด้วย แต่อย่างที่ทราบกันก็คือ ไทยรัฐ ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ วันก่อนผมอ่าน form 56-1 ของ MATI น่าสนใจมากครับ ไทยรัฐมีส่วนแบ่งการตลาด 34% เดลินิวส์ 19% ข่าวสด 15% มติชน 12% คม ชัด ลึก 11% ที่น่าสนใจคือ มติชนถือหุ้นข่าวสดอยู่ 99.99% ถ้าคิดง่ายๆ คือ MATI มีส่วนแบ่ง 27% ของสองฉบับ ตามหลังไทยรัฐอยู่หน่อยเดียว ผมเองไม่มีหุ้น MATI หรอกครับ ความจริงเป็นหุ้นที่ดีตัวหนึ่งครับ
อ่านกระทู้นี้ คุณวิบูลย์พูดถึง chairman letter ของอาจารย์ ความจริงน่าจะหาอาสาสมัครแปลเป็นภาษาไทย แล้วก็เก็บไว้ใน web เพื่อนๆ คิดว่าไงครับ คุณหมอ katora พี่หมอประจวบ คุณวิบูลย์ คุณเจ๋ง คุณมน คุณ PP และท่านอื่นๆ... ว้าว ล้วนแต่เป็นจอมยุทธ์อ่าน textbook กันทั้งนั้น
อีกอย่างเห็นพูดกันถึงหนังสือThe New Buffettology กันบ่อยมาก ไม่ทราบว่า คุณยีนมีโครงการสั่งซื้อแบบเหมาเข่งหรือไม่ อาจจะขอแจมด้วยคนครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 235
ขอบคุณคุณธันวาสำหรับความเห็นครับ
ผมมีเรื่องจะถามคุณ Mon หน่อยว่า คุณMonคิดว่าที่เราพูดๆคุยๆกันอยู่เนี่ยมันยากเกินไปหรือเปล่า ปัญหาคือผมไปตอบกระทู้ของคุณพี่Chatchai เรื่องนึง (คุณMon ก็ตอบนี่น่า) ปรากฎว่าคำตอบกลายเป็นการทำลายความหวัง ความฝันของคนรุ่นใหม่ไปหมดเลย
ผมรู้สึกว่าคนทั่วไปเขาอยากได้อะไรง่ายๆสไตล์ฟาสฟู้ด กินง่ายรวดเร็ว ไม่ต้องลงทุนมากในเรื่องความรู้ แต่ขอให้ผลตอบแทนสูงๆเป็นใช้ได้
ส่วนตัวผม ผมรู้สึกว่าผมเสียใจมากครับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมพยายามถ่ายทอดความรู้ที่ผมมีให้กับเพื่อนๆท่านอื่นๆเพื่อใช้เป็นแนวทางในการขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม แทนที่จะมารอให้พรายมากระซิบบอกใบ้หวยทีละตัวสองตัว
ผมสามารถเก็บความรู้ที่มีอยู่กับตัวเอาไว้ก็ได้ สบายดีด้วย บางคนมีความรู้แต่ไม่เคยบอกใครเพราะกลัวคนจะเก่งกว่า หรือมาแย่งซื้อหุ้นตัดหน้า ผมรู้จักท่านเหล่านั้นด้วยครับแต่ไม่ขอเอ่ยนาม ส่วนตัวผมผมว่าความรู้มีเยอะแยะครับ ยิ่งให้มากเท่าไหร่ เรายิ่งได้รับมากขึ้นเท่านั้น (Action = Reaction อย่างที่บางท่านโพสเข้ามา)
ผมหวังดีต่อทุกท่านครับ ผมไม่อยากเห็นท่านกลายเป็นเหยื่อของความโลภและความกลัวในตลาดหุ้น ผมอยากเห็นทุกท่านประสบความสำเร็จจากการลงทุนทุกคน แต่การที่จะได้สิ่งนั้นมา เราต้องแลกกับของบางอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็นความอดทน ความขยัน การไฝ่หาความรู้ การเรียนรู้ ประสบการณ์เลวๆในตลาด เงินที่มลายหายไป โอกาสที่สูญเสียไป เวลาที่เราใช้ไป และอื่นๆอีกมากมาย
ผมว่ามันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอกครับในโลกนี้ ไม่งั้นทุกคนก็กลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านกันหมดแล้ว
ผมไม่ได้น้อยใจนะครับ เพียงแค่เสียใจเท่านั้นเอง
หวังว่าสิ่งที่ผมคิด สิ่งที่ผมบอกเล่าเอาไว้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านในการลงทุนไม่มากก็น้อย
ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนทุกท่านครับ
สวัสดีครับ
ผมมีเรื่องจะถามคุณ Mon หน่อยว่า คุณMonคิดว่าที่เราพูดๆคุยๆกันอยู่เนี่ยมันยากเกินไปหรือเปล่า ปัญหาคือผมไปตอบกระทู้ของคุณพี่Chatchai เรื่องนึง (คุณMon ก็ตอบนี่น่า) ปรากฎว่าคำตอบกลายเป็นการทำลายความหวัง ความฝันของคนรุ่นใหม่ไปหมดเลย
ผมรู้สึกว่าคนทั่วไปเขาอยากได้อะไรง่ายๆสไตล์ฟาสฟู้ด กินง่ายรวดเร็ว ไม่ต้องลงทุนมากในเรื่องความรู้ แต่ขอให้ผลตอบแทนสูงๆเป็นใช้ได้
ส่วนตัวผม ผมรู้สึกว่าผมเสียใจมากครับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมพยายามถ่ายทอดความรู้ที่ผมมีให้กับเพื่อนๆท่านอื่นๆเพื่อใช้เป็นแนวทางในการขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม แทนที่จะมารอให้พรายมากระซิบบอกใบ้หวยทีละตัวสองตัว
ผมสามารถเก็บความรู้ที่มีอยู่กับตัวเอาไว้ก็ได้ สบายดีด้วย บางคนมีความรู้แต่ไม่เคยบอกใครเพราะกลัวคนจะเก่งกว่า หรือมาแย่งซื้อหุ้นตัดหน้า ผมรู้จักท่านเหล่านั้นด้วยครับแต่ไม่ขอเอ่ยนาม ส่วนตัวผมผมว่าความรู้มีเยอะแยะครับ ยิ่งให้มากเท่าไหร่ เรายิ่งได้รับมากขึ้นเท่านั้น (Action = Reaction อย่างที่บางท่านโพสเข้ามา)
ผมหวังดีต่อทุกท่านครับ ผมไม่อยากเห็นท่านกลายเป็นเหยื่อของความโลภและความกลัวในตลาดหุ้น ผมอยากเห็นทุกท่านประสบความสำเร็จจากการลงทุนทุกคน แต่การที่จะได้สิ่งนั้นมา เราต้องแลกกับของบางอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็นความอดทน ความขยัน การไฝ่หาความรู้ การเรียนรู้ ประสบการณ์เลวๆในตลาด เงินที่มลายหายไป โอกาสที่สูญเสียไป เวลาที่เราใช้ไป และอื่นๆอีกมากมาย
ผมว่ามันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอกครับในโลกนี้ ไม่งั้นทุกคนก็กลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านกันหมดแล้ว
ผมไม่ได้น้อยใจนะครับ เพียงแค่เสียใจเท่านั้นเอง
หวังว่าสิ่งที่ผมคิด สิ่งที่ผมบอกเล่าเอาไว้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านในการลงทุนไม่มากก็น้อย
ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนทุกท่านครับ
สวัสดีครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 236
ผมเห็นด้วยกับน้องวิบูลย์นะครับ
ถ้าคุณมีความรู้แค่ผิวเผิน คุณอาจจะลงทุนได้ แค่ขอบเขตคุณก็จะแคบ
ยิ่งคุณมีความรู้มากเท่าไร ขอบเขตในการลงทุนของคุณก็จะกว้างมากขึ้น รวมถึงโอกาสกำไรก็จะมากขึ้นด้วย
คุณคิดว่า ดร.นิเวศ Warren Buffett มีความรู้มากน้อยแค่ไหนครับ
ถ้าคุณคิดที่จะเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ ถ้าต้องการประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ ผมว่าคุณต้องศึกษาอย่างจริงจังครับ
แต่ถ้าคุณต้องการเพียงแค่ผลตอบแทนบ้าง คุณอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องศึกษาอย่างถ่องแท้ (ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนพันธ์แท้)
ถ้าคุณมีความรู้แค่ผิวเผิน คุณอาจจะลงทุนได้ แค่ขอบเขตคุณก็จะแคบ
ยิ่งคุณมีความรู้มากเท่าไร ขอบเขตในการลงทุนของคุณก็จะกว้างมากขึ้น รวมถึงโอกาสกำไรก็จะมากขึ้นด้วย
คุณคิดว่า ดร.นิเวศ Warren Buffett มีความรู้มากน้อยแค่ไหนครับ
ถ้าคุณคิดที่จะเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ ถ้าต้องการประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ ผมว่าคุณต้องศึกษาอย่างจริงจังครับ
แต่ถ้าคุณต้องการเพียงแค่ผลตอบแทนบ้าง คุณอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องศึกษาอย่างถ่องแท้ (ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนพันธ์แท้)
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 237
คุณวิบูลย์เข้าใจประเด็นที่ผมpost ไว้ผิดแล้วครับ
กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ผมเข้าอ่านทุกวัน
ดูว่ามีอะไรเติมเข้ามาบ้าง เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ ขยายโลกทัศน์ตัวเอง
เพื่อเป็นviพันธ์แท้ที่สมบูรณ์
เท่าที่ผมสังเกตุ
คนที่อยากลงทุนแนวvi และเข้ามาร่วมในwebนี้ จำนวนมากเป็นคนใหม่
เมื่อมาเจอการวิเคราะห์แบบมือเก๋า แบบคุณมนตรี คุณฉัตรชัย คุณวิบูลย์
ที่มองทะลุ ธุรกิจแบบนี้โดยอาศัยเครื่องมือทางการเงินแบบซับซ้อน
อาจถอดใจได้ง่ายๆ
ความจริงการลงทุนแนวvi มีได้หลายแบบ
จากง่ายๆ ไปถึงยาก
แน่นอนว่าคงต้องหาแบบที่เหมาะสมกับ"ขีดความสามารถ"ของตัวเอง
แต่อย่างที่คุณวิบูลย์เคยให้ไปอ่าน"แก่นพุทธศาสนา"ของท่านอจ.พุทธทาส
ผมอ่านหลายรอบแล้วครับ(หลายปีก่อน) ได้ข้อสรุปเหมือนที่พุทธองค์ได้ตรัสไว้ ณ.ป่าประดู่ลาย
คือ พุทธศาสนาบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกถึง45เล่มเปรียบเหมือนใบไม้ในป่าทั้งหมด
แต่ หัวใจจริงๆมีแค่ เท่าใบไม้ในกำมือของเราเท่านั้นครับ
กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ผมเข้าอ่านทุกวัน
ดูว่ามีอะไรเติมเข้ามาบ้าง เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ ขยายโลกทัศน์ตัวเอง
เพื่อเป็นviพันธ์แท้ที่สมบูรณ์
เท่าที่ผมสังเกตุ
คนที่อยากลงทุนแนวvi และเข้ามาร่วมในwebนี้ จำนวนมากเป็นคนใหม่
เมื่อมาเจอการวิเคราะห์แบบมือเก๋า แบบคุณมนตรี คุณฉัตรชัย คุณวิบูลย์
ที่มองทะลุ ธุรกิจแบบนี้โดยอาศัยเครื่องมือทางการเงินแบบซับซ้อน
อาจถอดใจได้ง่ายๆ
ความจริงการลงทุนแนวvi มีได้หลายแบบ
จากง่ายๆ ไปถึงยาก
แน่นอนว่าคงต้องหาแบบที่เหมาะสมกับ"ขีดความสามารถ"ของตัวเอง
แต่อย่างที่คุณวิบูลย์เคยให้ไปอ่าน"แก่นพุทธศาสนา"ของท่านอจ.พุทธทาส
ผมอ่านหลายรอบแล้วครับ(หลายปีก่อน) ได้ข้อสรุปเหมือนที่พุทธองค์ได้ตรัสไว้ ณ.ป่าประดู่ลาย
คือ พุทธศาสนาบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกถึง45เล่มเปรียบเหมือนใบไม้ในป่าทั้งหมด
แต่ หัวใจจริงๆมีแค่ เท่าใบไม้ในกำมือของเราเท่านั้นครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 238
คุณวิบูลย์นี่เริ่มคิดมากแล้วครับ อาซีเรียสครับ ทุกครั้งที่เครียดแซลสมองจะตายไป1แซล(เอามาจากคุณหมออะไรจำชื่อไม่ได้ครับ พี่เจ๋งเอามาให้ฟัง) น่าเสียดายนะครับ แสดงว่าแซลสมองเรามีจำกัดอย่าใช้แบบฟุ่มเฟือยครับ
จากงานวิจัยที่พี่CKเคยยกมากล่าวว่า เวลาคนเขียนข้อความซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียว แล้วนั้นมักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่ายมากครับ
ผมเข้าใจพี่หมอแกดีครับ ผมเดาเอาว่าแกพยายามสื่อว่าพวกเอ็งช่วยคุยเรื่องยากๆเหล่านี้ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆกันหน่อยได้ไหม คนอื่นจะได้เข้าใจด้วย สำหรับผมเองแล้วเวลาผมเขียนอะไรในกระทู้ก็มักจะลืมตัวใช้คำพูดที่คิดว่าคนอื่นต้องเข้าใจด้วย ซึ่งเมื่อกลับไปอ่านมันก็จริงนั่นแหละ
คุณวิบูลย์ครับ เราคิดดี ทำดีครับ ผมเชื่อว่าเราทำถูกทางแล้วครับ เราเดินมากันคนละทางไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มาพบกันไม่กี่ครั้ง ก็พูดคุยกันในเรื่องเดียวกันได้อย่างถูกคอ แต่มีทางหนึ่งที่เราเดินมาทางเดียวกันคือเส้นทางของการลงทุน ก็คือเราพยายามหาทางเดินที่ถูกต้องด้วยกันทั้งนั้น เพื่อนที่เดินมาก่อน หันกลับมามองหลังแล้วย้อนกลับมาเรียกเพื่อนๆที่เดินเป๋ออกนอกทางให้กลับเข้าที่ บางคนก็เชื่อบางคนไม่เอาด้วยก็ช่วยไม่ได้ครับ มันเป็นเช่นนั้นเอง
พี่หมอครับ ผมยังรู้จักธุรกิจในตลาดไม่ถึง 10%เลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ผมศึกษาลงลึกในแต่ละบริษัท และต่อยอดไปในบริษัทอื่นที่สนใจ ผมยอมรับตามตรงว่าไม่ได้ใช้เครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนอะไรเลยจริงๆให้ฟ้าผ่าตายซิเอา ผมใช้ความเข้าใจทางบัญชีที่ได้จากการอ่านหนังสือรู้บัญชีมีประโยชน์ของ ดร.ภาภร เพียงเล่มเดียวจริงๆ ผมไม่เคยเปิดตำราการลงทุนสมัยใหม่ที่เหล่าผู้จัดการกองทุนใช้กันเลย ผมไม่เคยคำนวณ WACC ผมไม่เคยคำนวณ EVA ผมใช้กรอบ 5 forcesและเดินตลาดถามร้านค้า เพื่อนฝูง ผมใช้งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด ข้อมูลย้อนหลังประกอบเท่านั้นเอง มันไม่ยากหรอกครับในการทำเรื่องพวกนี้ ที่ยากคือ เอาชนะใจตัวเองให้เรียนรู้ให้ได้นั่นแหละยากสุดๆ Warren Buffettเองยังติดบ่วงตั้ง20กว่าปีจึงได้เรียนรู้ในสิ่งที่ดีกว่าและทำจนสำเร็จ พวกเราก็ทำได้ครับ
การวิเคราะห์ธุรกิจนั้นก็ไม่ยากอะไร แต่ต้องอาศัยการสังเกตุ และหน้าด้านถามเอา พวกเราเริ่มที่ Durable Competitive Advantage เพื่อดู long term prospect และความสามารถของผู้บริหารของบริษัทครับ ค่อยๆเรียนรู้ตามกันมาเลื่อยๆ ยังไม่รู้มากก็ลงทุนน้อยๆเพื่อเรียนรู้ก็ได้ เมื่อดูดไปมากๆเริ่มรู้มากขึ้นก็เพิ่มนำหนักการลงทุนไปตามความรู้ก็ดีนะครับ ผมเรียกว่า Knowlage cost average
..........................................................................................................
กลับมาที่ DCAต่อครับ
คุณวิบูลย์และเพื่อนๆครับ
ไทยรัฐ เอ็มเคสุกี้ ฟูจิ มีคุณสมบัติอะไรที่เข้าข่ายว่ามีDCAครับ มายกตัวอย่างประกอบกันด้วยภาษาง่ายๆกันครับ
จากงานวิจัยที่พี่CKเคยยกมากล่าวว่า เวลาคนเขียนข้อความซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียว แล้วนั้นมักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่ายมากครับ
ผมเข้าใจพี่หมอแกดีครับ ผมเดาเอาว่าแกพยายามสื่อว่าพวกเอ็งช่วยคุยเรื่องยากๆเหล่านี้ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆกันหน่อยได้ไหม คนอื่นจะได้เข้าใจด้วย สำหรับผมเองแล้วเวลาผมเขียนอะไรในกระทู้ก็มักจะลืมตัวใช้คำพูดที่คิดว่าคนอื่นต้องเข้าใจด้วย ซึ่งเมื่อกลับไปอ่านมันก็จริงนั่นแหละ
คุณวิบูลย์ครับ เราคิดดี ทำดีครับ ผมเชื่อว่าเราทำถูกทางแล้วครับ เราเดินมากันคนละทางไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มาพบกันไม่กี่ครั้ง ก็พูดคุยกันในเรื่องเดียวกันได้อย่างถูกคอ แต่มีทางหนึ่งที่เราเดินมาทางเดียวกันคือเส้นทางของการลงทุน ก็คือเราพยายามหาทางเดินที่ถูกต้องด้วยกันทั้งนั้น เพื่อนที่เดินมาก่อน หันกลับมามองหลังแล้วย้อนกลับมาเรียกเพื่อนๆที่เดินเป๋ออกนอกทางให้กลับเข้าที่ บางคนก็เชื่อบางคนไม่เอาด้วยก็ช่วยไม่ได้ครับ มันเป็นเช่นนั้นเอง
พี่หมอครับ ผมยังรู้จักธุรกิจในตลาดไม่ถึง 10%เลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ผมศึกษาลงลึกในแต่ละบริษัท และต่อยอดไปในบริษัทอื่นที่สนใจ ผมยอมรับตามตรงว่าไม่ได้ใช้เครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนอะไรเลยจริงๆให้ฟ้าผ่าตายซิเอา ผมใช้ความเข้าใจทางบัญชีที่ได้จากการอ่านหนังสือรู้บัญชีมีประโยชน์ของ ดร.ภาภร เพียงเล่มเดียวจริงๆ ผมไม่เคยเปิดตำราการลงทุนสมัยใหม่ที่เหล่าผู้จัดการกองทุนใช้กันเลย ผมไม่เคยคำนวณ WACC ผมไม่เคยคำนวณ EVA ผมใช้กรอบ 5 forcesและเดินตลาดถามร้านค้า เพื่อนฝูง ผมใช้งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด ข้อมูลย้อนหลังประกอบเท่านั้นเอง มันไม่ยากหรอกครับในการทำเรื่องพวกนี้ ที่ยากคือ เอาชนะใจตัวเองให้เรียนรู้ให้ได้นั่นแหละยากสุดๆ Warren Buffettเองยังติดบ่วงตั้ง20กว่าปีจึงได้เรียนรู้ในสิ่งที่ดีกว่าและทำจนสำเร็จ พวกเราก็ทำได้ครับ
การวิเคราะห์ธุรกิจนั้นก็ไม่ยากอะไร แต่ต้องอาศัยการสังเกตุ และหน้าด้านถามเอา พวกเราเริ่มที่ Durable Competitive Advantage เพื่อดู long term prospect และความสามารถของผู้บริหารของบริษัทครับ ค่อยๆเรียนรู้ตามกันมาเลื่อยๆ ยังไม่รู้มากก็ลงทุนน้อยๆเพื่อเรียนรู้ก็ได้ เมื่อดูดไปมากๆเริ่มรู้มากขึ้นก็เพิ่มนำหนักการลงทุนไปตามความรู้ก็ดีนะครับ ผมเรียกว่า Knowlage cost average
..........................................................................................................
กลับมาที่ DCAต่อครับ
คุณวิบูลย์และเพื่อนๆครับ
ไทยรัฐ เอ็มเคสุกี้ ฟูจิ มีคุณสมบัติอะไรที่เข้าข่ายว่ามีDCAครับ มายกตัวอย่างประกอบกันด้วยภาษาง่ายๆกันครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Mon money เมื่อ พุธ ก.ย. 24, 2003 11:21 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- นาย อนุสรณ์ สวัสดี
- Verified User
- โพสต์: 143
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 239
พี่ ๆ ครับ
ที่ทำอยู่ก็ดีมากแล้วครับ
ทำเหมือนเดิมต่อไปเถอะครับ
ผมฟังพี่ ๆ ไม่เข้าใจผมก็ไปหาอ่านเพิ่ม
ยิ่งมีอ้างอิง มีหนังสือแนะนำยิ่งหาข้อมูลง่ายครับ
แค่ไปเตร่แถวห้องสมุดก็มีหนังสือแนว vi อ่านแล้วครับ
อนุสรณ์
ปล. ผม save เก็บไว้อ่านตรงที่ไม่เข้าใจ
ที่ทำอยู่ก็ดีมากแล้วครับ
ทำเหมือนเดิมต่อไปเถอะครับ
ผมฟังพี่ ๆ ไม่เข้าใจผมก็ไปหาอ่านเพิ่ม
ยิ่งมีอ้างอิง มีหนังสือแนะนำยิ่งหาข้อมูลง่ายครับ
แค่ไปเตร่แถวห้องสมุดก็มีหนังสือแนว vi อ่านแล้วครับ
อนุสรณ์
ปล. ผม save เก็บไว้อ่านตรงที่ไม่เข้าใจ