อ่านอันนี้แล้วคิดยังไงครับ ?????
- LOSO
- Verified User
- โพสต์: 2512
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านอันนี้แล้วคิดยังไงครับ ?????
โพสต์ที่ 1
'ผมคิดว่า สิ่งที่งดงามที่สุดก็คือ ความรู้ที่ท่านอาจารย์ต่างๆ ให้มา ยิ่งใช้ก็ยิ่งงอกงาม แต่เงินเนี่ยยิ่งใช้ก็ยิ่งหมดไป ไม่ได้มีความสำคัญอะไร แล้วผมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ เพราะว่าผมอยู่เหนือมันแล้ว ผมรู้อยู่แล้วว่า ถ้าอยากจะได้เงินสักแค่ร้อยล้านเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องมากมายอะไร เราก็แค่ทำอยู่สัก 2 วัน แล้วเราก็ตีฆ้องร้องป่าวให้คนมาซื้อ ก็มาเป็นฟ่อนหญ้า บางทียังไม่ทันเขียนเลย แค่บอกว่า กำลังจะเขียนนะ ก็มีคนเอาเงินมาวางเป็นฟ่อนหญ้า จองในอากาศไว้'
'...เมื่อผมอายุสามสิบห้านี่ผมขายรูปได้อย่างต่ำรูปละสองล้านบาท แล้วผมขายได้นับสิบรูป ซึ่งผมพอจะมีสตางค์พอที่ผมจะดำรงชีวิตอยู่ได้จนตลอดชีวิตของผมไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรก็ได้แล้ว เมื่อผมเรียนหนังสือแล้ว ผมทำงานของผมแล้ว ผมก็ได้ไปทำบ้านที่เชียงรายคืนให้แก่แผ่นดินของผม ผมได้เป็นครูไปสอนหนังสือทั้งยุโรปและอเมริกาเพราะฉะนั้นผมได้ทำหน้าที่อะไรเหล่านั้นแก่ตัวเองมาจนอายุสามสิบสาม พอหลังจากนั้นอีกสองสามปีผมก็ออกมาเป็นในฐานะเหมือนกับทูตวัฒนรรมของสหประชาชาติ ผมไปนั่งเป็นศิลปินในพำนักให้ที่อิสราเอลบ้างที่อังกฤษบ้างที่เยอรมันบ้าง ผมก็คิดว่าตั้งแต่สามสิบห้าผมก็อยากจะทำอะไรที่เป็นเรื่องของผมเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปเป็นทูตวัฒนธรรมให้ประเทศนั้นประเทศนี้อีกต่อไป ผมก็เลยเดินทางออกมาเป็นผู้ไม่ครองเรือนคือเป็นอนาคาริก ถึงแม้ผมจะมีเรือนแต่ผมก็ไม่อยู่ที่ไหนเป็นหลักแหล่ง ผมก็ยังใช้โลกนี้เป็นเวทีของผม...'
'...เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อคุณเขียนอะไรที่เป็นไทยคุณจะไม่ได้ถึงดวงดาว คุณก็ตะกุยตะกายเป็นดินอยู่แถวนี้ คุณก็จะเหมือนน้ำในรอยตีนควายที่ระเหยระเหิดขึ้นไปรวมกันเป็นเมฆแล้วก็ตกกลับมาอยู่ในรอยตีนควาย คุณจะไม่สามารถข้ามไปสู่ห้วงมหรรณพได้ แต่ผมไหลรวมตัวผมเข้าสู่ห้วงมหรรณพ ผมไม่ใช่ช่างเขียนของนางแล ผมไม่ใช่ช่างเขียนของเชียงราย ผมไม่ใช่ช่างเขียนของประเทศไทย ผมเป็นช่างเขียนของโลกนี้ งานผมนี่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ไหนๆ ในโลกนี้ทุกหนแห่ง ผมจึงไม่ใช่แขกแปลกหน้า ผมจึงเป็นหยดน้ำที่เป็นอนุภาครวมกันขึ้นทอประกายเป็นรัศมีรุ้ง แต่ว่าผมก็เป็นอนันตภาวะในมหาสมุทรของชีวิตทั้งหมด...'
คือคำอธิบายความเป็น 'ถวัลย์ ดัชนี' โดย ถวัลย์ ดัชนี ที่ให้ไว้กับนิตยสารไฮคลาส เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2534 และเป็นความอหังการที่ทิ้งคำถามไว้มากมาย
ผ่านไป 14 ปี เมื่อ เสาร์สวัสดี ได้มีโอกาสเดินทางไปถึงถิ่นของศิลปินนามอุโฆษท่านนี้ การสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นอย่างออกรส โดยได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ ศิลปินแห่งชาติ ผู้เป็นทั้งรุ่นพี่และอาจารย์ของถวัลย์ในมหาวิทยาลัยศิลปากร ช่วยป้อนคำถามเป็นระยะ เพื่อยืนยันความเป็นถวัลย์ที่ผู้ฟังอดอุทานออกมาไม่ได้
เสาร์สวัสดี - รู้จักกันได้อย่างไร
ถวัลย์ - พี่หยัด (ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ) เนี่ยนะ ตอนนั้นผมอยู่ปี 1 โรงเรียนเพาะช่าง อายุสัก 14-15 ผมจะชอบดูรูปของพี่หยัด ซึ่งเขามีทั้งคุณค่าและมูลค่า แล้วพี่หยัด เขาเป็นศิลปินในดวงใจของพวกเราเพราะว่าเขาเป็นหนุ่มรูปงาม แล้วเขาเป็นคนเดียวที่เรียนอยู่จิตรกรรมสมัยนั้น ผมก็ตามเขามาแล้วผมก็มาเลือกผู้หญิงที่พี่หยัดเขาไม่ใช้แล้ว ผมก็เที่ยวตามไป แล้วก็มีคนหนึ่งเป็นผู้หญิงรูปงาม ลูกของทูตเวียดนาม เป็นคนหนึ่งที่มาเรียนกับพี่หยัด ผมก็ตามไปร้องเพลงเอลวิสอยู่ห่างๆ
ประหยัด - ผมอยู่ห้องนี่นะ ผมนับได้ว่า เขาเดินผ่านหน้าห้องผม จาก 3 โมงเช้าถึง 11 โมง ทั้งหมด 28 เที่ยว
ถวัลย์ - โธ่ แค่ 25 เอง
ประหยัด - จะเล่าให้ฟังนะ ตั้งแต่เขาเข้าเรียนคณะจิตรกรรม เขาหล่อมาก ใครเห็นรูปร่างตอนนั้น เขาก็(หนวดเครา)ไม่ยาว (ตัว)ไม่ใหญ่ขนาดนี้ แต่ใครเห็นถวัลย์ก็คิดว่าถวัลย์เป็นคนดุดันมุทะลุ เอาแต่ใจตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเวลาพูดเขาเป็นคนพูดตรงๆ และขณะเดียวกันถ้าคิดดูให้ดีอะไรที่เขาพูดน่ะมีสาระที่ทำให้เราคิดได้ ผมเห็นเขาตั้งแต่เป็นนักศึกษา ผมไม่เคยเห็นถวัลย์กินเหล้า
ถวัลย์ - แอบกินไม่ให้ใครเห็น
ประหยัด - แต่เขาจะไปหิ้วพวกขี้เมามาเก็บ ไม่มีใครรู้นะ เขาเป็นคนเสียสละ ใครมีเรื่องอะไรให้ช่วยเหลือไม่เคยขัด เขาให้ทุนนักเรียนปีๆ หนึ่งไม่ต้องนับเลยว่าเท่าไหร่
ถวัลย์ - นับสิ ต้องนับ
ประหยัด - นับไม่ถ้วนน่ะนะพูดง่ายๆ บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้ทุนจากถวัลย์ ถวัลย์เนี่ยนะ ถ้าพูดถึงเรื่องการให้ทุนให้รอน พูดถึงว่าเอารูปไปขายเอาเงินให้ทุนการศึกษาสำหรับถวัลย์เนี่ยนะ โอ้โห ไม่ต้องนับเลย เยอะมาก ผมเนี่ยเคยเป็นครูบาอาจารย์เขานะ เขาเคยบอกผมว่า อาจารย์ เขาให้อาจารย์เกิดมาเป็นศิลปินเกิดมาเป็นช่างเขียน ทำไมอาจารย์ต้องมาเป็นขอทาน ผมเป็นขอทานเที่ยวขอทานรูปถวัลย์บ้าง เฉลิมชัยบ้าง จักรพันธ์บ้าง ถวัลย์นี่บ่อยที่สุด ใครขอก็ให้ไป
ประหยัด - เออแต่ผมไม่เคยสอนให้เขาโม้ยังงี้นะ
ถวัลย์ - คือโม้เนี่ยมันเป็นกมลสันดานของพวกศิลปากรนะ (ฮา) มันเป็นเนื้อเยื่อในกระดูกดำของเรา ถ้าเผื่อเราไม่โม้เนี่ยเรารู้สึกเราต้อยต่ำ เนี่ยเราจนกรอบไปทั่วร่าง บิดไปทางไหนก็จน บิดไปทางไหนก็กรอบ อะไรเงี๊ย คนมันสมน้ำหน้าเรา อย่างตอนที่ผมเป็นนักเรียนนะ พี่หยัดเนี่ยเขาพิมพ์รูป รูปอะไรก็ไม่รู้นะ คนที่มาซื้อเนี่ยนะผมไปที่เยอรมันผมก็ไปเห็นรูปแมวกำลังจะกินนกพิราบ ผมไปที่ยูโกสลาเวีย ไปที่ฝรั่งเศส ไปที่ไหนก็เห็นรูปพี่หยัดทั้งนั้น แต่พี่หยัดเขาขายถูกเพราะเขาเป็นคนใจดี เขาขายแค่รูปละ 2-3 หมื่นแค่นั้นในสมัยนั้น เพราะฉะนั้นพี่หยัดเขาก็มีเงิน
เวลาคุยกันสมัยนั้น เขาบอกว่า มึงเห็นภูเขาทองมั้ย ถ้ากูเอาเงินที่กูขายรูปพิมพ์มาวางเรียงกันนะ ไม่รู้ว่าภูเขาทองกับเงินกูไม่รู้ว่าอะไรจะกองสูงกว่ากัน ซึ่งผมก็ต้องพูดถึงระดับดอยนางนอนคือดอยนางนอนเนี่ยเงินของผมเนี่ยถ้าเอามากองก็จะเฉียดดอยนางนอนไป ดอยนางนอนมันสูงกว่าเอเวอร์เรสต์นะ เพราะว่านี่ขนาดมันนอนนะ ถ้ามันลุกขึ้นยืนมันจะขนาดไหน
เราก็มีความสุขด้วยการที่พูดอะไรกันแบบนี้ ถ้ามาบอกว่า โอ้โห เรามันจนกรอบไปทั่วร่าง ถ้าคุณมาแล้วผมอยู่กระต๊อบหลังเล็กๆ กระจิดริด แหม มันก็ไม่สมอัครฐานที่เราเป็นศิลปินแห่งชาติเงินเดือนเราตั้ง 12,000 บาท แต่ผมไม่เคยไปเบิกเลยหลายปีมาแล้ว ผมก็เอาทิ้งไว้จนมันได้สักฟ่อนนึงแล้วผมก็จะเอาไปทำทานอะไรให้แก่ที่อื่นต่อไป
แต่ผมมีมูลนิธิของผมนะฮะ ผมทำของผมมาตลอดเวลา 20 -30 ปี แต่ผมก็เดี๋ยวนี้ดอกเบี้ยมันน้อยอ่ะนะ ผมก็จ่ายเล็กจ่ายน้อย ปีนึงไม่ถึง 10 ล้าน
เสาร์สวัสดี - มูลนิธิถวัลย์ ดัชนี...?
ถวัลย์ - ผมยังไม่ตายเขายังไม่ให้ตั้งชื่อเราหรอก แล้วผมก็ไม่อยากตั้งชื่อผม ก็เป็นว่ามูลนิธิของสยามกัมมาจล คือไทยพาณิชย์น่ะ ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ปรากฏว่าแบงก์สยามกัมมาจลเนี่ยมีเงินแค่ 5 ล้าน ที่เขาเอาไว้ให้ แต่ผมมี 20 ล้าน ผมก็เอาดอกเบี้ยให้ใครต่อมิใคร เช่น โรงเรียนเพาะช่างที่ผมเคยเรียน ศิลปากรที่ผมเคยเรียน โรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยมที่ผมเคยเรียน ต่างประเทศอะไรที่ไหน คนที่มันหงิกงอเหมือนกับชายน้อยของพี่พจมาน อะไรแบบเนี๊ยะ ผมก็เอาไปให้
แต่ผมไม่ชอบพูดเรื่องพรรค์ยังงี้ ผมไม่ชอบพูดว่าทำเพื่อนั่นเพื่อนี่ เพื่อสังคมเพื่อประเทศชาติ ซึ่งมันเป็นเรื่องเด็กอนุบาลน่ะ ไม่อยากคุยเรื่องแบบนี้ ถามเรื่องอื่นดีกว่า
ประหยัด - ถามเรื่องนี้สิถามว่ามีแฟนทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันนี้น่ะกี่คน
ถวัลย์ - เอ่อ ผมไม่ค่อยมีนะฮะ คือผมเป็นพวกเจียมเนื้อเจียมตน ตอนที่อยู่ศิลปากรพอเราไปจีบใคร พอเราบอกว่าเราเป็นช่างวาดรูปหรือมาจากศิลปากรเขาก็ถามว่าเล่นเป็นตัวอะไร ตัวลิงหรือตัวยักษ์ แล้วพอบอกว่ามาจากศิลปากรพ่อแม่ของผู้หญิงเขาก็บอกว่า ขอร้อง ขอให้เลิกกับลูกสาวเขาซะ เพราะว่าจะเอาอะไรมาให้ลูกสาวเขากิน ก็เป็นที่ดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามเพราะเรามาจากโรงเรียนวาดรูปที่กระจอกงอกง่อย พี่หยัดก็บอกว่าโรงเรียนของเรา คณะของเรา คณะจิตรกรรมเนี่ย คนอื่นเขาใส่เสื้อนอกหมดแล้วคณะอื่นน่ะ มีแต่คณะเรายังนุ่งผ้าขาวมาอยู่เพราะเราจน(ลากเสียงยาว) กรอบกว่าใครเขาเพื่อน เพราะฉะนั้นผมจึงไม่อาจจะไปฝากรักใครได้
แล้วผมก็เที่ยวหลงรักใครต่อมิใคร หนึ่งในจำนวน 188 คนที่ผมไปหลงรักพี่หยัดเขาก็รู้ประมาณสัก 90 กว่าคน ที่ในประเทศไทย แต่ปรากฏว่าพ่อแม่เขาบอกว่าขอให้ไปให้พ้นลูกสาวเขาซะ เพราะว่ากระจอก ไม่มีเงิน
ตานี้เนี่ย ตอนที่คุณประจักษ์ชัดแล้วว่าตอนที่ผมเป็นนักเรียนเนี่ยผมเป็นหนุ่มรูปงาม ผมก็ใช้ความเป็นหนุ่มรูปงาม กับคะแนน 50.00 ที่พี่หยัดให้มา แต่พอไปจริงพวกพ่อแม่ผู้หญิงเขาก็ขอร้องว่าอย่ามาใกล้เลยเพราะว่าบ้าๆ บอๆ ผมเผ้าก็ยาวรุงรัง พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เคยที่จะได้แต่งงานกับใครเลย
หรืออยู่ต่างประเทศเนี่ยนะ แค่ไปเช่าบ้านผู้หญิง แล้วเขาตะโกนถามว่า ยูทำอะไร พอผมตอบว่าเป็นช่างวาดรูปนะ เขาปิดประตูโครมเลย เขาคิดว่าเราจะไปทำบ้านเขาเลอะเทอะ เราต้องบอกว่าเราเป็นนักเรียนศิลปะ เพราะฉะนั้นนักวาดรูปเนี่ยอยู่ที่ไหนก็เป็นที่ดูถูกดูแคลน ผมเนี่ยเป็นพวกจรจัด เที่ยวเดินไปเหมือนหมาขี้เรื้อน เป็นพวกเธาซั่นเวย์ พวกพันทาง นานๆ ก็จะขายรูปได้สักที
ทีนี้ก็อายุ 30 แล้วผมจึงกลับมาประเทศไทย มาเขียนรูป ช่วงสัก 10 ปีแรกก็จะมีพวกฝรั่งที่เขาตามมาซื้อจากที่ต่างๆ พออายุสัก 40-50 ก็มีเหยื่อต่างๆ ที่มาซื้อ เงินเราก็เป็นฟ่อนหญ้า เราก็ใส่ตุ่มฝังดินไว้ เราอยากทำอะไรก็ทำ
เราก็สนุกสนานกันแบบนี้ แล้วพี่หยัดนี่นอกจากเป็นครูแล้วยังเป็นพี่เลี้ยง คือเวลาผมจะไปต่างประเทศพี่หยัดนี้เป็นคนรับรองสันติบาลว่าไอ้เนี่ยเป็นนักศึกษาจริงๆ ไม่ใช่เป็นโจรผู้ร้าย แล้วพี่หยัดต้องพาขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไปเซ็นชื่อที่สันติบาล ไม่งั้นเขาก็จะไม่ให้ไปนอก เวลาชนะรางวัลแล้วเขาให้ตั๋วเครื่องบินไปต่างประเทศ พี่หยัดนี่เป็นคนที่เคยดูแลผมมาตั้งแต่หนุ่ม ถ้าไม่มีพี่หยัดก็คงไม่มาจนถึงวันนี้ ก็ต้องให้อาจารย์เป็นคนเซ็นรับรองเวลาจะไปต่างประเทศ
กวีพี่อังคาร (กัลญาณพงศ์) เป็นต้นตอ ไปเที่ยวหลงรักใครเขายังงี้แหละ กวีพี่อังคาร ตอนที่อยู่ภูกระดึง บอกว่าเอื้อมหน่อยเก็บดาวบางดวงได้แต่พอเก็บดาวบางดวงได้พี่อังคารก็ลงท้ายบอกว่าเขาดูหมิ่นถิ่นแคลนทั้งแดนดินพวกเราก็เป็นอย่างนี้ เพราะเราไม่ได้เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณ เราก็เป็นช่างวาดรูป ไปเที่ยวขอความรักอะไรใครเขาก็ไม่ได้ ก็ได้แต่ร้องเพลงอยู่ไกลๆ
เสาร์สวัสดี - หลายคนสงสัยว่าทำไมต้องมีเครา
ถวัลย์ - ปีที่แล้วไปเวียดนาม เป็นเดือนกุมภา ผมก็กำลังจะไปกินก๋วยเตี๋ยว ก็มีเด็กเวียดนามเขาบอกผมว่า ยู ไม่รู้สึกว่ายูมาช้าไปหรือ ผมก็บอกช้าอะไรนี่ยังไม่เที่ยงเลย เขาบอกไม่ใช่ ยูควรจะมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกา หรือธันวา แล้วนี่มันกุมภา แล้วยูมาทำไม ผมถึงรู้ว่า อ๋อ เขานึกว่าผมเป็นซานตาคลอส เขาเลยถามว่าแล้วเสื้อแดงอยู่ไหน แล้วของขวัญละ ผมบอกอยู่ในรถหมดเลย โอ้โห เก๋มาก ตั้งแต่นั้นมาผมเลยยังไม่ตัดเผื่อว่าปีหน้าจะได้ไปแจกของเด็ก ไปหาลำไพ่
ประหยัด - ชื่อเสียงของถวัลย์นะฮะไม่ใช่แค่อยู่ในประเทศไทย ในต่างประเทศคนรู้จักถวัลย์มากนะฮะ
ถวัลย์ - ข้อเท็จจริงอันนึงคือว่าจะมีคนรู้จักผมในยุโรปหรือในอเมริกามากกว่าในเมืองไทย ผมมีหนังสือที่ต่างประเทศเขาทำให้ผมเนี่ยประมาณ 20 เล่มได้ เล่มเบ้อเร่อเท่าโต๊ะเนี่ย ในเมืองไทยไม่มีใครรู้จักผมหรอก ผมเดินไปข้างถนนไม่มีใครรู้จัก แต่ที่ในอเมริกาไปกับพี่หยัด ไปเม็กซิกันทาวน์ มีคนมาถามบอก อ้าว มาแสดงรูปอยู่ที่ไหนเนี่ย
ตั้งแต่อยู่โรงเรียนเพาะช่าง เราก็รู้แล้วว่าการที่เป็นช่างวาดรูปเนี่ยนะ มันไม่จำเป็นจะต้องมาเป็นที่รู้จักของใครเพราะเราทำงานเรื่องสุนทรียภาพ เป็นทิพย์ภาวะไม่ใช่เป็นเรื่องการค้า เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีใครรู้จัก อย่างผมรู้จักผลงานของท่านอาจารย์จิตต์ จงมั่นคง (ศิลปินแห่งชาติ) มาเป็นเวลาอย่างน้อย 50 ปี ผมเพิ่งมารู้จักตัวจริงท่านก็รู้สึกว่าเป็นเกียรติมาก ขณะเดียวกันผมผู้เป็นช่างวาดรูป ในเยอรมันหรืออเมริกาผมเคยแสดงรูป เพราะฉะนั้นคนทั้งหลายเขาจะรู้จักผม
แต่ในเมืองไทย มีอยู่วันหนึ่งผมไปเที่ยววัดแห่งหนึ่งชานเมือง แล้วผมเคยช่วยเหลือวัดไว้พอสมควร เจ้าอาวาสก็ดีใจมากที่เห็นผม มัคนายกเขามาด้วย มีคนถามเขาบอก รู้มั้ยนี่ใคร มัคนายกบอกรู้ แหมใครจะไม่รู้จักศิลปินใหญ่ขนาดนี้ ก็อาจารย์เฉลิมชัยไง (ฮา) เพราะฉะนั้นในเมืองไทยผมไม่มีชื่อเสียงหรอกฮะ ต่อให้ผมไปได้รางวัลอะไรจากนานาชาติ ได้เงินเป็นฟ่อนหญ้าไม่มีใครรู้ แล้วผมก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องชื่อเสียงอะไร
เสาร์สวัสดี - เวลาไปสอน สอนวิชาอะไร
ถวัลย์ - ผมตั้งวิชาของผมเอง พุทธศาสนานิกายเซน ซึ่งแสดงออกมาในรูปของการเขียน สุญญตารมย์ คือไม่ขึ้นอยู่กับรูปร่างที่เป็นสัจนิยมแบบที่ฝรั่งมอง แต่จะเป็นเรื่องของตะวันออก เป็น Doctrin of no mind คือ เป็นสุญญตาซึ่งไม่เกาะเกี่ยวอยู่กับรูปที่ตามองเห็น ในญี่ปุ่นจะมีหลายนิกายมาก บ้านเราก็มีทั้งมหายาน หินยาน ผมจะสอนและวัดผลเอง สอนระดับปริญญาโท
เสาร์สวัสดี - สนใจศึกษาด้านศาสนา ?
ถวัลย์ - ก็ไม่เชิง แต่ตอนเรียนต่างประเทศผมเรียนประวัติศาสตร์ ทีนี้ถ้าเรียนประวัติศาสตร์ตะวันออกเนี่ยเราจำเป็นต้องรู้พุทธ อยู่ในยุโรปถ้าเราไม่รู้คริสต์เราจะไม่เข้าใจงานเขียนของเขา ถ้าอยู่ตะวันออกเราไม่รู้จักรามเกียรติ์ เราไม่รู้จักพุทธประวัติเราก็จะไม่เข้าใจงานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธปรัชญา เพราะฉะนั้นผมไม่ได้เรียนเรื่องศาสนาโดยเฉพาะแต่ผมเรียนเรื่องศาสนาเปรียบเทียบ ปรัชญาอะไรต่างๆ ผมก็มีความรู้เรื่องเหล่านี้เป็นแค่หนังกำพร้า เพราะผมได้บอกแล้วว่าผมไม่ได้เป็นนักวิชาการ ผมเป็นนักวาดรูป
เพราะฉะนั้นความโดดเด่นอยู่ที่ความเป็นนักวาดรูป แต่การสอนก็เป็นการถ่ายทอดความรู้ที่ดีที่สุด เพราะมันมีสิ่งที่ท้าชวนมากมาย โดยเฉพาะในแอลเอมันจะมีกลุ่มคนไทยที่เป็นยุคที่สองที่ไปเกิดในอเมริกา แล้วก็เป็นเกาหลีที่ไปเกิดในอเมริกา มีเวียดนาม เม็กซิกัน ลาว เขมร แล้วก็มีคนอเมริกันซึ่งไม่เคยมีศรัทธาในคนที่มาจากประเทศเราเลย อย่างน้อยที่สุดก็อยากจะทดสอบดูว่าพูดภาษาอังกฤษได้ไหม มีความรู้ที่เกี่ยวกับเรื่องทั่วๆ ไปยังไงมั้ย ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก คนที่จะไปสอนในอเมริกาจะต้องชำนาญมากเพราะเราจะถูกทดสอบตั้งแต่ภาษาไปจนถึงความรอบรู้ ความจัดเจนในวิชาเฉพาะ แต่ตอนผมยังหนุ่มๆ อายุ 30-40 ผมเคยสอนในยุโรปในหลายมหาวิทยาลัย
อันนี้อันหนึ่งที่คนจะไม่รู้ ผมพูดได้ 7 ภาษานะฮะ ไม่ว่าจะอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน ดัตช์ เยอรมัน ทำนองนี้ เพราะว่าผมเป็นนักเรียนที่ยุโรปเพราะฉะนั้นผมจะพูดได้แทบจะทุกภาษาในยุโรป ก่อนที่จะไปอาจารย์ผมก็เป็นอิตาเลียน เพราะฉะนั้นภาษาแรกที่ผมพูดกับอาจารย์ก็คือภาษาอิตาเลียน แล้วผมก็เรียนภาษาอังกฤษ แล้วผมเริ่มภาษาฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นก่อนที่จะไปต่างประเทศผมพูด 3 ภาษาแล้ว พออยู่ยุโรป 10 ปี จึงพูดได้หมด ทั้งเขมร ญี่ปุ่นด้วย ผมเป็นคนที่สนใจภาษา ผมชอบภาษา เวลาที่ไปสอนที่อเมริกาผมให้เลือกเลยว่าจะให้ผมพูดภาษาอะไร
เสาร์สวัสดี - ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินที่ราคาผลงานสูงมากๆ
ประหยัด - รูปของถวัลย์นี่เมื่อก่อนถึงขนาดว่ามีคนเอาเงินมาจองรูปในอากาศเลย แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่รับจองแล้วเพราะถ้าขี้เกียจเขียนจะได้เลิกเขียน มีคนรอจะจ่าย 50-60 ล้านเขาไม่เขียน
ถวัลย์ - เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว 50 ล้าน ถูกไป...พอผมอายุสัก 30 นี่ไม่มีทั้งตัวตนไม่มีทั้งความอยากจะให้เป็นไป ความอยากจะไม่ให้เป็นไป มันหมด จากอัตตาสู่ความเป็นอนัตตา ที่เราทำงานนี่พราะว่าเราชื่นชม เราอยากจะทำงาน เราอยากจะเปล่งประกายความเป็นช่างวาดรูปของเรา เราอยากจะสัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้าเหมือนกับภูเขาสัมผัสทะเลไกลหรือกระแสธารน้ำตก
ผมเป็นศิลปินร่วมสมัย ผมไม่ใช่ศิลปินแบบเขียนภาพผนังโบราณหรือเขียนวัดพระแก้ว อันนั้นมันเป็นลมหายใจของยุคหนึ่ง ผมไม่ใช่พวกคลั่งชาติ บ้าชาติอะไรแบบนั้น ผมเข้าใจดีถึงเมื่อวานนี้ ผมเข้าใจดีถึงวันนี้ แล้วผมเข้าใจไปถึงพรุ่งนี้ แล้วผมเอาอดีต ปัจจุบัน และอนาคตมาสร้างปัจจุบันหรืออนาคตอันงดงามสำหรับหายใจได้ในพ.ศ.นี้ เพราะฉะนั้นเมื่อคุณดูรูปของผม วันนี้คุณจะเห็นทั้งสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม มัณฑนศิลป์ คุณเห็นทั้งการวางผัง คุณเห็นสิ่งแวดล้อม แล้วถ้าไปตรงกลางบ้าน ก็จะตรงไปบ้านที่เป็นหอก จากนั้นก็จะทะลุไปถึงที่ดักฝัน เป็นเหมือนที่เราวางผังภูมิของอังกอร์วัดหรือเขาพนมรุ้ง แต่ผมเป็นแค่ไพร่สถุลตะพุ่นหญ้าช้างผมก็ทำได้แค่นี้ อันนี้เป็นแสงหิ่งห้องส่องก้นตัวเอง
รูปผมมันมีความเร้นลับและก็จินตนาการที่ก้าวไกล คุณจะเห็นว่ารูปผมนี่จะมีทั้งยายเจเคโรลลิ่ง แห่งแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีทั้งเจ อาร์ อาร์โทลคีนแห่งลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ มีทั้งรูปเขียนแบบตันตระของทิเบต มีความเป็นตะวันออกอยู่ เพราะฉะนั้นผมระคนปนเคล้าด้วยสร้อยเสาวคนธ์รุ้งประสานสายแล้วมีความเป็นตะวันออก แล้วมีความเป็นตัวผม ในขณะที่คนอื่นเขายังเหมือนคนนั้นคนนี้ ยังไม่บรรลุนิติภาวะทางความคิด แต่ผมเนี่ย อยู่คนเดียวโดดๆ
ในบรรดาคนที่เป็น International Known นะ ผมเนี่ยเป็นคนที่ค่าตัวถูกสุดเลยนะ อย่างต่ำๆ เขาต้องร้อยล้านเหรียญขึ้นไป หรือประมาณ 4,000 ล้าน แล้ว ผมเนี่ยไม่กล้าบอกใครเลย ผมเนี่ยเป็นช่างเขียนที่กระจอกงอกง่อย แต่ในเมืองไทยมันก็ไม่มีใครที่จะมาขายรูปรูปละ 50 ล้าน ผมก็เลยกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ไป ซึ่งอันที่จริงพอผมไปที่ต่างประเทศนะ พิพิธภัณฑ์เขาถามรูปเท่าไหร่นะ...เขาอยากจะขอซื้อทั้งหมดเพราะมันถูกเหลือเกิน เขาจะซื้อไว้ทำฟืนหรือทำอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งก็รู้สึกแหม น้อยเนื้อต่ำใจ
แล้วที่สำคัญถ้าเราไม่แสดงยมกปาฏิหาริย์ให้มันรู้เนี่ย มันไปจัดให้ผมอยู่ปลายแถว เป็นอาร์ติสท์ที่มาจากประเทศด้อยพัฒนา เราต้องไปสำแดงยมกปาฏิหาริย์ให้มันรู้ว่าเราเขียนยังไง เรามีความรู้ยังไง เราเรียนหนังสือที่ไหน มันถึงจะยอมรับ แล้วมันก็ซื้อรูปเราเป็นฟ่อนหญ้า
ประหยัด - เขาเคยคุยกับคุณกนก อภิรดี เรื่องเงินเนี่ย...?
ถวัลย์ - คือผมได้ยินเขาว่าคุณกนกเนี่ย เป็นคนที่ทำเงินเดือนได้เป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย เงินเดือนประมาณ 800,000 อะไรแบบนี้ พอดีได้กินข้าวด้วยกัน ผมก็ถามว่าคุณกนกจริงเหรอที่เขาว่าคุณเงินเดือนตั้ง 800,000 ซึ่งก็เป็นเงินเยอะนะ ผมก็เลยบอกว่า กว่าผมจะทำเงินได้ตั้ง 800,000 ผมเสียเวลาไปตั้งชั่วโมงแล้วนะ กว่าจะได้เงินขนาดนั้น ซึ่งคนก็หุยฮากันใหญ่ กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่
ในช่วงนั้นพี่หยัดก็จะเห็นว่าคนซื้อรูปผมเดินทางมาจากทั่วสารทิศ เออ ถ้าซื้อแค่รูปเดียวก็เป็นธรรมดา เป็นปรากฏการณ์นานๆ จะมีปาฏิหาริย์ แต่มันซื้อทีเป็น 20-30 รูปเป็นฟ่อนหญ้าจนเราเอาเงินเนี่ยใส่หีบไว้ใต้เตียงเพราะเราไม่รู้จะฝากแบงก์ทำไม
ประหยัด - เอาเสื่อคลุมไว้ แล้วก็เอาหมามาเฝ้าไว้
ถวัลย์ - เอาเสื่อคลุมไว้
เสาร์สวัสดี - อีกอย่างที่คนจะนึกถึงเกี่ยวกับอาจารย์ถวัลย์คือการสร้างบ้านอย่างอลังการ ?
ถวัลย์ - การสร้างพวกนี้ก็ไม่มีจุดประสงค์อะไร อยากทำอะไรก็ทำเล่นไป ที่นี่เป็นของเล่นหมดน่ะ ทำของเล่น ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะต้องไว้ทำนั้นทำนี้เพื่อนั่นเพื่อนี่ เพื่อสังคมเพื่อประเทศชาติอะไร ไม่มี อันนี้เป็นเรือใบไม้ เอาไว้พลิ้วคลื่นในโมงยาม ไม่ใช่สำหรับเอาไว้มุ่งสู่เป้าหมายปลายทางใดใดทั้งสิ้น ผมเป็นผีขี้เหงาแล้วก็ลุกขึ้นมาทำนั้นทำนี้เล่น คนมาถามเรื่อย บอกที่นี่เรามีงบประมาณเท่าไหร่ ผมบอกเราไม่มีหรอกงบประมาณ เรามีแต่เงิน เราอยากทำอะไรเราก็เอาเงินฟาดลงไป ทำเข้าไป
ต้องขอบอกว่าผมไม่มีศรัทธาจริตในการสร้างบ้าน ความล้ำเลิศผมอยู่ที่การเป็นช่างวาดรูป เดี๋ยวผมจะพาไปดูรูป แล้วคุณจะเห็นว่าความยิ่งใหญ่ของผมอยู่ที่การเป็นช่างวาดรูป ไม่ใช่อยู่ที่ผมสร้างบ้าน สร้างเสนาสนะอะไร
แต่ว่าผมเป็นพวกที่งก ละโมบ เห็นอะไรก็ชอบไปซะหมด ผมก็เลยซื้อสมบัติบ้าจากทั่วโลกต่างๆ แล้วผมก็แบ่งแยกทรัพย์สมบัติบ้าเอาไว้ตามบ้าน อย่างบ้านหลังนึงเอาไว้เก็บทรัพย์สมบัติบ้าที่เกี่ยวกับเครื่องมุกโดยตรง เอาไว้สักกลุ่มบ้านนึง อย่างบ้านตรงนี้เป็นซุ้มประตูทอง เป็นพระพุทธรูปทองที่เป็นงานช่างฝีมือของอยุธยาตอนปลาย ตอนที่เราถูกบุเรงนองกวาดไปไว้ที่ประเทศพม่าแล้วไปตั้งเมืองที่พม่าเรียกว่าโยเดีย ผมก็ไปซื้อกลับมาเพื่อเอาไว้ดูเล่น อะไรแบบนี้
เพราะฉะนั้นนี่ก็จึงไม่ได้มีเป้าหมายอะไร ผมเขียนรูปเฉยๆ แต่ว่าของพวกนี้ก็เป็นของซึ่งเป็นของเล่น
เสาร์สวัสดี - เล่นมานานหรือยัง
ถวัลย์ - เล่นมาได้ 30 ปีแล้ว ผมมีบ้านที่กรุงเทพฯ บ้านกลุ่มหนึ่งที่ในเชียงราย เป็นบ้านมรดกเก่าแก่ซึ่งอยู่ในกลางเมือง แล้วผมก็มีบ้านกลุ่มนี้ (อ.นางแล จ.เชียงราย) แล้วผมก็มีบ้านในหลายประเทศ ในยุโรป ในออสเตรเลีย ในอเมริกา เพราะฉะนั้นผมก็จะใช้ชีวิตแบบผีตองเหลือง คือร่อนเร่พเนจรไปอยู่ตามนั้นตามนี้ นานๆ พอมีปาหี่สำคัญอะไรที่คนอื่นเขาคิดว่าสำคัญน่ะนะ สำหรับคนที่อายุอย่างผมน่ะไม่มีอะไรสำคัญแล้ว ถ้าผมเห็นว่าปาหี่นี้น่าสนุกดีผมก็จะมาเล่นขายของด้วย บังเอิญตอนนี้ผมไปดูศาลาข้างหน้าที่กำลังก่อสร้างผมก็เลยมาพักที่นี่ เพราะว่าเมื่อสัก 2-3 อาทิตย์ก่อนผมก็เล่นขายของอยู่ที่กรุงเทพฯ คือ ตัดสินงานศิลปะบ้าง อะไรบ้าง
เสาร์สวัสดี - มีบ้านแบบนี้เรียกว่ารายได้จากการวาดรูป เรียกได้ว่ามหาศาล?
ถวัลย์ - อ๋อ ก็ไม่ถึงกับมหาศาลหรอกครับ ปีหนึ่งไม่ถึงพันล้าน น้อยกว่าเณรแอนิดๆ หน่อยๆ ไอ้รายได้เป็นฟ่อนนี่อย่ามาพูดกันเป็นวันเลย เอาเป็นว่ามาพูดกันเป็นวินาทีดีกว่า เพราะฉะนั้นไอ้ครั้นผมจะพูดไปเนี่ยมันน่าละอาย ให้ท่านศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัดที่มองเห็นประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ค่าตัวผมเนี่ยมันเป็นวินาที สัก 25 วินาทีเนี่ยมันได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่ บางทีท่านศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัดจะบอกคุณแล้วคุณก็ลองประมาณดูก็แล้วกันว่า สัก 15 วินาทีเนี่ยผมได้เท่านั้น อาจจะได้สัก 20,000 เหรียญ อะไรอย่างนี้
แต่ผมไม่ได้กระหายอะไรในเงินทองเหล่านั้นน่ะนะ เพียงแต่บอกให้คุณฟังว่าไอ้การที่มีสมบัติบ้าอะไรแบบนั้นน่ะ ผมผ่านขั้นตอนนั้นมา ถ้าจะทำเงินซึ่งเป็นเรื่องเดรัจฉานกิจกรรม เงินน่ะมันไม่สำคัญหรอก มันอยู่ที่ว่าเราใช้เงินน่ะมันเป็นยังไง
อย่างผมร่ำเรียนมากับอาจารย์ต่างๆ ผมก็คิดว่าสิ่งที่งดงามที่สุดก็คือว่าความรู้ที่ท่านอาจารย์ต่างๆ ให้มา ยิ่งใช้ก็ยิ่งงอกงาม แต่เงินเนี่ยยิ่งใช้ก็ยิ่งหมดไป ไม่ได้มีความสำคัญอะไร แล้วผมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเพราะว่าผมอยู่เหนือมันแล้ว ผมรู้อยู่แล้วว่าถ้าอยากจะได้เงินสักแค่ร้อยล้านเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องมากมายอะไร เราก็แค่ทำอยู่สัก 2 วัน แล้วเราก็ตีฆ้องร้องป่าวให้คนมาซื้อ ก็มาเป็นฟ่อนหญ้า บางทียังไม่ทันเขียนเลย แค่บอกว่ากำลังจะเขียนนะก็มีคนเอาเงินมาวางเป็นฟ่อนหญ้า จองไว้ จองในอากาศไว้ เขียนกันไม่ทัน ไม่หวาดไม่ไหว เพราะฉะนั้นผมก็ไม่อยากจะโม้เรื่องนี้
แต่คุณอย่าลืมว่าผมมีเงินเดือนตั้ง 8,000 นะ จากการเป็นศิลปินแห่งชาติ (มีเสียงพูดขึ้นว่าตอนนี้ 12,000 แล้ว) อ๋อ ตอนนี้ 12,000 แต่ผมไม่เคยไปดูเงินเดือนเลยนะ เอาทิ้งไว้แล้วก็เอาไว้แจก
เสาร์สวัสดี - ทำไมต้องเน้นความเป็นตะวันออก
ถวัลย์ - ก็เพราะว่าเราเป็นคนตะวันออก บ้านนี้ก็คือภาชนะใส่ร่างกายเรา ถ้าเผื่อภาชนะใส่ร่างกายเราทำแบบตะวันตกเรามิต้องทำตู้ทำปิดกั้นใส่เครื่องปรับอากาศแล้วผมรู้สึกว่ามันอึดอัด มันไม่ใช่ความพอดี ความสมถะหรือความสันโดษหรือความสง่างามแบบความเป็นตะวันออก แล้วผมรู้สึกว่าคนที่ทำแบบนั้นไม่บรรลุนิติภาวะทางความคิด ไปลอกเอากากเดนความเป็นฝรั่งมา ผมอยู่ในเมืองฝรั่งในครั้งแรกผมไปเรียนหนังสือ ต่อมาผมเป็นผู้สอนหนังสือให้แก่ฝรั่ง ผมจึงไม่ทำตามฝรั่ง ฝรั่งทั้งหลายทั้งปวงมาทำตามผมแล้วเขาชื่นชมยินดีเนี่ยเขามาเป็นคนไทยไม่กี่คนที่ยังเหลือความเป็นตะวันออก ความเป็นคนไทย
ถ้าผมตาย งานเนี่ยเพื่อนผมเขาเตรียมขายตั๋วนะ ตั๋วนั่งตั๋วยืนตั๋วตะแคงดูเขาขายหมดแล้ว แล้วผมไม่ตายสักที เขาขายไปได้ตั้ง 1,500 ใบ แล้วก็ผมจะไม่ไปเผาที่ในอะไรต่างๆ ผมจะเผาในบริเวณบ้านผมเอง แล้วผมก็เตรียมตัวเอาไว้ให้มันงดงาม
'...เมื่อผมอายุสามสิบห้านี่ผมขายรูปได้อย่างต่ำรูปละสองล้านบาท แล้วผมขายได้นับสิบรูป ซึ่งผมพอจะมีสตางค์พอที่ผมจะดำรงชีวิตอยู่ได้จนตลอดชีวิตของผมไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรก็ได้แล้ว เมื่อผมเรียนหนังสือแล้ว ผมทำงานของผมแล้ว ผมก็ได้ไปทำบ้านที่เชียงรายคืนให้แก่แผ่นดินของผม ผมได้เป็นครูไปสอนหนังสือทั้งยุโรปและอเมริกาเพราะฉะนั้นผมได้ทำหน้าที่อะไรเหล่านั้นแก่ตัวเองมาจนอายุสามสิบสาม พอหลังจากนั้นอีกสองสามปีผมก็ออกมาเป็นในฐานะเหมือนกับทูตวัฒนรรมของสหประชาชาติ ผมไปนั่งเป็นศิลปินในพำนักให้ที่อิสราเอลบ้างที่อังกฤษบ้างที่เยอรมันบ้าง ผมก็คิดว่าตั้งแต่สามสิบห้าผมก็อยากจะทำอะไรที่เป็นเรื่องของผมเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปเป็นทูตวัฒนธรรมให้ประเทศนั้นประเทศนี้อีกต่อไป ผมก็เลยเดินทางออกมาเป็นผู้ไม่ครองเรือนคือเป็นอนาคาริก ถึงแม้ผมจะมีเรือนแต่ผมก็ไม่อยู่ที่ไหนเป็นหลักแหล่ง ผมก็ยังใช้โลกนี้เป็นเวทีของผม...'
'...เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อคุณเขียนอะไรที่เป็นไทยคุณจะไม่ได้ถึงดวงดาว คุณก็ตะกุยตะกายเป็นดินอยู่แถวนี้ คุณก็จะเหมือนน้ำในรอยตีนควายที่ระเหยระเหิดขึ้นไปรวมกันเป็นเมฆแล้วก็ตกกลับมาอยู่ในรอยตีนควาย คุณจะไม่สามารถข้ามไปสู่ห้วงมหรรณพได้ แต่ผมไหลรวมตัวผมเข้าสู่ห้วงมหรรณพ ผมไม่ใช่ช่างเขียนของนางแล ผมไม่ใช่ช่างเขียนของเชียงราย ผมไม่ใช่ช่างเขียนของประเทศไทย ผมเป็นช่างเขียนของโลกนี้ งานผมนี่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ไหนๆ ในโลกนี้ทุกหนแห่ง ผมจึงไม่ใช่แขกแปลกหน้า ผมจึงเป็นหยดน้ำที่เป็นอนุภาครวมกันขึ้นทอประกายเป็นรัศมีรุ้ง แต่ว่าผมก็เป็นอนันตภาวะในมหาสมุทรของชีวิตทั้งหมด...'
คือคำอธิบายความเป็น 'ถวัลย์ ดัชนี' โดย ถวัลย์ ดัชนี ที่ให้ไว้กับนิตยสารไฮคลาส เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2534 และเป็นความอหังการที่ทิ้งคำถามไว้มากมาย
ผ่านไป 14 ปี เมื่อ เสาร์สวัสดี ได้มีโอกาสเดินทางไปถึงถิ่นของศิลปินนามอุโฆษท่านนี้ การสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นอย่างออกรส โดยได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ ศิลปินแห่งชาติ ผู้เป็นทั้งรุ่นพี่และอาจารย์ของถวัลย์ในมหาวิทยาลัยศิลปากร ช่วยป้อนคำถามเป็นระยะ เพื่อยืนยันความเป็นถวัลย์ที่ผู้ฟังอดอุทานออกมาไม่ได้
เสาร์สวัสดี - รู้จักกันได้อย่างไร
ถวัลย์ - พี่หยัด (ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ) เนี่ยนะ ตอนนั้นผมอยู่ปี 1 โรงเรียนเพาะช่าง อายุสัก 14-15 ผมจะชอบดูรูปของพี่หยัด ซึ่งเขามีทั้งคุณค่าและมูลค่า แล้วพี่หยัด เขาเป็นศิลปินในดวงใจของพวกเราเพราะว่าเขาเป็นหนุ่มรูปงาม แล้วเขาเป็นคนเดียวที่เรียนอยู่จิตรกรรมสมัยนั้น ผมก็ตามเขามาแล้วผมก็มาเลือกผู้หญิงที่พี่หยัดเขาไม่ใช้แล้ว ผมก็เที่ยวตามไป แล้วก็มีคนหนึ่งเป็นผู้หญิงรูปงาม ลูกของทูตเวียดนาม เป็นคนหนึ่งที่มาเรียนกับพี่หยัด ผมก็ตามไปร้องเพลงเอลวิสอยู่ห่างๆ
ประหยัด - ผมอยู่ห้องนี่นะ ผมนับได้ว่า เขาเดินผ่านหน้าห้องผม จาก 3 โมงเช้าถึง 11 โมง ทั้งหมด 28 เที่ยว
ถวัลย์ - โธ่ แค่ 25 เอง
ประหยัด - จะเล่าให้ฟังนะ ตั้งแต่เขาเข้าเรียนคณะจิตรกรรม เขาหล่อมาก ใครเห็นรูปร่างตอนนั้น เขาก็(หนวดเครา)ไม่ยาว (ตัว)ไม่ใหญ่ขนาดนี้ แต่ใครเห็นถวัลย์ก็คิดว่าถวัลย์เป็นคนดุดันมุทะลุ เอาแต่ใจตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเวลาพูดเขาเป็นคนพูดตรงๆ และขณะเดียวกันถ้าคิดดูให้ดีอะไรที่เขาพูดน่ะมีสาระที่ทำให้เราคิดได้ ผมเห็นเขาตั้งแต่เป็นนักศึกษา ผมไม่เคยเห็นถวัลย์กินเหล้า
ถวัลย์ - แอบกินไม่ให้ใครเห็น
ประหยัด - แต่เขาจะไปหิ้วพวกขี้เมามาเก็บ ไม่มีใครรู้นะ เขาเป็นคนเสียสละ ใครมีเรื่องอะไรให้ช่วยเหลือไม่เคยขัด เขาให้ทุนนักเรียนปีๆ หนึ่งไม่ต้องนับเลยว่าเท่าไหร่
ถวัลย์ - นับสิ ต้องนับ
ประหยัด - นับไม่ถ้วนน่ะนะพูดง่ายๆ บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้ทุนจากถวัลย์ ถวัลย์เนี่ยนะ ถ้าพูดถึงเรื่องการให้ทุนให้รอน พูดถึงว่าเอารูปไปขายเอาเงินให้ทุนการศึกษาสำหรับถวัลย์เนี่ยนะ โอ้โห ไม่ต้องนับเลย เยอะมาก ผมเนี่ยเคยเป็นครูบาอาจารย์เขานะ เขาเคยบอกผมว่า อาจารย์ เขาให้อาจารย์เกิดมาเป็นศิลปินเกิดมาเป็นช่างเขียน ทำไมอาจารย์ต้องมาเป็นขอทาน ผมเป็นขอทานเที่ยวขอทานรูปถวัลย์บ้าง เฉลิมชัยบ้าง จักรพันธ์บ้าง ถวัลย์นี่บ่อยที่สุด ใครขอก็ให้ไป
ประหยัด - เออแต่ผมไม่เคยสอนให้เขาโม้ยังงี้นะ
ถวัลย์ - คือโม้เนี่ยมันเป็นกมลสันดานของพวกศิลปากรนะ (ฮา) มันเป็นเนื้อเยื่อในกระดูกดำของเรา ถ้าเผื่อเราไม่โม้เนี่ยเรารู้สึกเราต้อยต่ำ เนี่ยเราจนกรอบไปทั่วร่าง บิดไปทางไหนก็จน บิดไปทางไหนก็กรอบ อะไรเงี๊ย คนมันสมน้ำหน้าเรา อย่างตอนที่ผมเป็นนักเรียนนะ พี่หยัดเนี่ยเขาพิมพ์รูป รูปอะไรก็ไม่รู้นะ คนที่มาซื้อเนี่ยนะผมไปที่เยอรมันผมก็ไปเห็นรูปแมวกำลังจะกินนกพิราบ ผมไปที่ยูโกสลาเวีย ไปที่ฝรั่งเศส ไปที่ไหนก็เห็นรูปพี่หยัดทั้งนั้น แต่พี่หยัดเขาขายถูกเพราะเขาเป็นคนใจดี เขาขายแค่รูปละ 2-3 หมื่นแค่นั้นในสมัยนั้น เพราะฉะนั้นพี่หยัดเขาก็มีเงิน
เวลาคุยกันสมัยนั้น เขาบอกว่า มึงเห็นภูเขาทองมั้ย ถ้ากูเอาเงินที่กูขายรูปพิมพ์มาวางเรียงกันนะ ไม่รู้ว่าภูเขาทองกับเงินกูไม่รู้ว่าอะไรจะกองสูงกว่ากัน ซึ่งผมก็ต้องพูดถึงระดับดอยนางนอนคือดอยนางนอนเนี่ยเงินของผมเนี่ยถ้าเอามากองก็จะเฉียดดอยนางนอนไป ดอยนางนอนมันสูงกว่าเอเวอร์เรสต์นะ เพราะว่านี่ขนาดมันนอนนะ ถ้ามันลุกขึ้นยืนมันจะขนาดไหน
เราก็มีความสุขด้วยการที่พูดอะไรกันแบบนี้ ถ้ามาบอกว่า โอ้โห เรามันจนกรอบไปทั่วร่าง ถ้าคุณมาแล้วผมอยู่กระต๊อบหลังเล็กๆ กระจิดริด แหม มันก็ไม่สมอัครฐานที่เราเป็นศิลปินแห่งชาติเงินเดือนเราตั้ง 12,000 บาท แต่ผมไม่เคยไปเบิกเลยหลายปีมาแล้ว ผมก็เอาทิ้งไว้จนมันได้สักฟ่อนนึงแล้วผมก็จะเอาไปทำทานอะไรให้แก่ที่อื่นต่อไป
แต่ผมมีมูลนิธิของผมนะฮะ ผมทำของผมมาตลอดเวลา 20 -30 ปี แต่ผมก็เดี๋ยวนี้ดอกเบี้ยมันน้อยอ่ะนะ ผมก็จ่ายเล็กจ่ายน้อย ปีนึงไม่ถึง 10 ล้าน
เสาร์สวัสดี - มูลนิธิถวัลย์ ดัชนี...?
ถวัลย์ - ผมยังไม่ตายเขายังไม่ให้ตั้งชื่อเราหรอก แล้วผมก็ไม่อยากตั้งชื่อผม ก็เป็นว่ามูลนิธิของสยามกัมมาจล คือไทยพาณิชย์น่ะ ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ปรากฏว่าแบงก์สยามกัมมาจลเนี่ยมีเงินแค่ 5 ล้าน ที่เขาเอาไว้ให้ แต่ผมมี 20 ล้าน ผมก็เอาดอกเบี้ยให้ใครต่อมิใคร เช่น โรงเรียนเพาะช่างที่ผมเคยเรียน ศิลปากรที่ผมเคยเรียน โรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยมที่ผมเคยเรียน ต่างประเทศอะไรที่ไหน คนที่มันหงิกงอเหมือนกับชายน้อยของพี่พจมาน อะไรแบบเนี๊ยะ ผมก็เอาไปให้
แต่ผมไม่ชอบพูดเรื่องพรรค์ยังงี้ ผมไม่ชอบพูดว่าทำเพื่อนั่นเพื่อนี่ เพื่อสังคมเพื่อประเทศชาติ ซึ่งมันเป็นเรื่องเด็กอนุบาลน่ะ ไม่อยากคุยเรื่องแบบนี้ ถามเรื่องอื่นดีกว่า
ประหยัด - ถามเรื่องนี้สิถามว่ามีแฟนทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันนี้น่ะกี่คน
ถวัลย์ - เอ่อ ผมไม่ค่อยมีนะฮะ คือผมเป็นพวกเจียมเนื้อเจียมตน ตอนที่อยู่ศิลปากรพอเราไปจีบใคร พอเราบอกว่าเราเป็นช่างวาดรูปหรือมาจากศิลปากรเขาก็ถามว่าเล่นเป็นตัวอะไร ตัวลิงหรือตัวยักษ์ แล้วพอบอกว่ามาจากศิลปากรพ่อแม่ของผู้หญิงเขาก็บอกว่า ขอร้อง ขอให้เลิกกับลูกสาวเขาซะ เพราะว่าจะเอาอะไรมาให้ลูกสาวเขากิน ก็เป็นที่ดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามเพราะเรามาจากโรงเรียนวาดรูปที่กระจอกงอกง่อย พี่หยัดก็บอกว่าโรงเรียนของเรา คณะของเรา คณะจิตรกรรมเนี่ย คนอื่นเขาใส่เสื้อนอกหมดแล้วคณะอื่นน่ะ มีแต่คณะเรายังนุ่งผ้าขาวมาอยู่เพราะเราจน(ลากเสียงยาว) กรอบกว่าใครเขาเพื่อน เพราะฉะนั้นผมจึงไม่อาจจะไปฝากรักใครได้
แล้วผมก็เที่ยวหลงรักใครต่อมิใคร หนึ่งในจำนวน 188 คนที่ผมไปหลงรักพี่หยัดเขาก็รู้ประมาณสัก 90 กว่าคน ที่ในประเทศไทย แต่ปรากฏว่าพ่อแม่เขาบอกว่าขอให้ไปให้พ้นลูกสาวเขาซะ เพราะว่ากระจอก ไม่มีเงิน
ตานี้เนี่ย ตอนที่คุณประจักษ์ชัดแล้วว่าตอนที่ผมเป็นนักเรียนเนี่ยผมเป็นหนุ่มรูปงาม ผมก็ใช้ความเป็นหนุ่มรูปงาม กับคะแนน 50.00 ที่พี่หยัดให้มา แต่พอไปจริงพวกพ่อแม่ผู้หญิงเขาก็ขอร้องว่าอย่ามาใกล้เลยเพราะว่าบ้าๆ บอๆ ผมเผ้าก็ยาวรุงรัง พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เคยที่จะได้แต่งงานกับใครเลย
หรืออยู่ต่างประเทศเนี่ยนะ แค่ไปเช่าบ้านผู้หญิง แล้วเขาตะโกนถามว่า ยูทำอะไร พอผมตอบว่าเป็นช่างวาดรูปนะ เขาปิดประตูโครมเลย เขาคิดว่าเราจะไปทำบ้านเขาเลอะเทอะ เราต้องบอกว่าเราเป็นนักเรียนศิลปะ เพราะฉะนั้นนักวาดรูปเนี่ยอยู่ที่ไหนก็เป็นที่ดูถูกดูแคลน ผมเนี่ยเป็นพวกจรจัด เที่ยวเดินไปเหมือนหมาขี้เรื้อน เป็นพวกเธาซั่นเวย์ พวกพันทาง นานๆ ก็จะขายรูปได้สักที
ทีนี้ก็อายุ 30 แล้วผมจึงกลับมาประเทศไทย มาเขียนรูป ช่วงสัก 10 ปีแรกก็จะมีพวกฝรั่งที่เขาตามมาซื้อจากที่ต่างๆ พออายุสัก 40-50 ก็มีเหยื่อต่างๆ ที่มาซื้อ เงินเราก็เป็นฟ่อนหญ้า เราก็ใส่ตุ่มฝังดินไว้ เราอยากทำอะไรก็ทำ
เราก็สนุกสนานกันแบบนี้ แล้วพี่หยัดนี่นอกจากเป็นครูแล้วยังเป็นพี่เลี้ยง คือเวลาผมจะไปต่างประเทศพี่หยัดนี้เป็นคนรับรองสันติบาลว่าไอ้เนี่ยเป็นนักศึกษาจริงๆ ไม่ใช่เป็นโจรผู้ร้าย แล้วพี่หยัดต้องพาขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไปเซ็นชื่อที่สันติบาล ไม่งั้นเขาก็จะไม่ให้ไปนอก เวลาชนะรางวัลแล้วเขาให้ตั๋วเครื่องบินไปต่างประเทศ พี่หยัดนี่เป็นคนที่เคยดูแลผมมาตั้งแต่หนุ่ม ถ้าไม่มีพี่หยัดก็คงไม่มาจนถึงวันนี้ ก็ต้องให้อาจารย์เป็นคนเซ็นรับรองเวลาจะไปต่างประเทศ
กวีพี่อังคาร (กัลญาณพงศ์) เป็นต้นตอ ไปเที่ยวหลงรักใครเขายังงี้แหละ กวีพี่อังคาร ตอนที่อยู่ภูกระดึง บอกว่าเอื้อมหน่อยเก็บดาวบางดวงได้แต่พอเก็บดาวบางดวงได้พี่อังคารก็ลงท้ายบอกว่าเขาดูหมิ่นถิ่นแคลนทั้งแดนดินพวกเราก็เป็นอย่างนี้ เพราะเราไม่ได้เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณ เราก็เป็นช่างวาดรูป ไปเที่ยวขอความรักอะไรใครเขาก็ไม่ได้ ก็ได้แต่ร้องเพลงอยู่ไกลๆ
เสาร์สวัสดี - หลายคนสงสัยว่าทำไมต้องมีเครา
ถวัลย์ - ปีที่แล้วไปเวียดนาม เป็นเดือนกุมภา ผมก็กำลังจะไปกินก๋วยเตี๋ยว ก็มีเด็กเวียดนามเขาบอกผมว่า ยู ไม่รู้สึกว่ายูมาช้าไปหรือ ผมก็บอกช้าอะไรนี่ยังไม่เที่ยงเลย เขาบอกไม่ใช่ ยูควรจะมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกา หรือธันวา แล้วนี่มันกุมภา แล้วยูมาทำไม ผมถึงรู้ว่า อ๋อ เขานึกว่าผมเป็นซานตาคลอส เขาเลยถามว่าแล้วเสื้อแดงอยู่ไหน แล้วของขวัญละ ผมบอกอยู่ในรถหมดเลย โอ้โห เก๋มาก ตั้งแต่นั้นมาผมเลยยังไม่ตัดเผื่อว่าปีหน้าจะได้ไปแจกของเด็ก ไปหาลำไพ่
ประหยัด - ชื่อเสียงของถวัลย์นะฮะไม่ใช่แค่อยู่ในประเทศไทย ในต่างประเทศคนรู้จักถวัลย์มากนะฮะ
ถวัลย์ - ข้อเท็จจริงอันนึงคือว่าจะมีคนรู้จักผมในยุโรปหรือในอเมริกามากกว่าในเมืองไทย ผมมีหนังสือที่ต่างประเทศเขาทำให้ผมเนี่ยประมาณ 20 เล่มได้ เล่มเบ้อเร่อเท่าโต๊ะเนี่ย ในเมืองไทยไม่มีใครรู้จักผมหรอก ผมเดินไปข้างถนนไม่มีใครรู้จัก แต่ที่ในอเมริกาไปกับพี่หยัด ไปเม็กซิกันทาวน์ มีคนมาถามบอก อ้าว มาแสดงรูปอยู่ที่ไหนเนี่ย
ตั้งแต่อยู่โรงเรียนเพาะช่าง เราก็รู้แล้วว่าการที่เป็นช่างวาดรูปเนี่ยนะ มันไม่จำเป็นจะต้องมาเป็นที่รู้จักของใครเพราะเราทำงานเรื่องสุนทรียภาพ เป็นทิพย์ภาวะไม่ใช่เป็นเรื่องการค้า เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีใครรู้จัก อย่างผมรู้จักผลงานของท่านอาจารย์จิตต์ จงมั่นคง (ศิลปินแห่งชาติ) มาเป็นเวลาอย่างน้อย 50 ปี ผมเพิ่งมารู้จักตัวจริงท่านก็รู้สึกว่าเป็นเกียรติมาก ขณะเดียวกันผมผู้เป็นช่างวาดรูป ในเยอรมันหรืออเมริกาผมเคยแสดงรูป เพราะฉะนั้นคนทั้งหลายเขาจะรู้จักผม
แต่ในเมืองไทย มีอยู่วันหนึ่งผมไปเที่ยววัดแห่งหนึ่งชานเมือง แล้วผมเคยช่วยเหลือวัดไว้พอสมควร เจ้าอาวาสก็ดีใจมากที่เห็นผม มัคนายกเขามาด้วย มีคนถามเขาบอก รู้มั้ยนี่ใคร มัคนายกบอกรู้ แหมใครจะไม่รู้จักศิลปินใหญ่ขนาดนี้ ก็อาจารย์เฉลิมชัยไง (ฮา) เพราะฉะนั้นในเมืองไทยผมไม่มีชื่อเสียงหรอกฮะ ต่อให้ผมไปได้รางวัลอะไรจากนานาชาติ ได้เงินเป็นฟ่อนหญ้าไม่มีใครรู้ แล้วผมก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องชื่อเสียงอะไร
เสาร์สวัสดี - เวลาไปสอน สอนวิชาอะไร
ถวัลย์ - ผมตั้งวิชาของผมเอง พุทธศาสนานิกายเซน ซึ่งแสดงออกมาในรูปของการเขียน สุญญตารมย์ คือไม่ขึ้นอยู่กับรูปร่างที่เป็นสัจนิยมแบบที่ฝรั่งมอง แต่จะเป็นเรื่องของตะวันออก เป็น Doctrin of no mind คือ เป็นสุญญตาซึ่งไม่เกาะเกี่ยวอยู่กับรูปที่ตามองเห็น ในญี่ปุ่นจะมีหลายนิกายมาก บ้านเราก็มีทั้งมหายาน หินยาน ผมจะสอนและวัดผลเอง สอนระดับปริญญาโท
เสาร์สวัสดี - สนใจศึกษาด้านศาสนา ?
ถวัลย์ - ก็ไม่เชิง แต่ตอนเรียนต่างประเทศผมเรียนประวัติศาสตร์ ทีนี้ถ้าเรียนประวัติศาสตร์ตะวันออกเนี่ยเราจำเป็นต้องรู้พุทธ อยู่ในยุโรปถ้าเราไม่รู้คริสต์เราจะไม่เข้าใจงานเขียนของเขา ถ้าอยู่ตะวันออกเราไม่รู้จักรามเกียรติ์ เราไม่รู้จักพุทธประวัติเราก็จะไม่เข้าใจงานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธปรัชญา เพราะฉะนั้นผมไม่ได้เรียนเรื่องศาสนาโดยเฉพาะแต่ผมเรียนเรื่องศาสนาเปรียบเทียบ ปรัชญาอะไรต่างๆ ผมก็มีความรู้เรื่องเหล่านี้เป็นแค่หนังกำพร้า เพราะผมได้บอกแล้วว่าผมไม่ได้เป็นนักวิชาการ ผมเป็นนักวาดรูป
เพราะฉะนั้นความโดดเด่นอยู่ที่ความเป็นนักวาดรูป แต่การสอนก็เป็นการถ่ายทอดความรู้ที่ดีที่สุด เพราะมันมีสิ่งที่ท้าชวนมากมาย โดยเฉพาะในแอลเอมันจะมีกลุ่มคนไทยที่เป็นยุคที่สองที่ไปเกิดในอเมริกา แล้วก็เป็นเกาหลีที่ไปเกิดในอเมริกา มีเวียดนาม เม็กซิกัน ลาว เขมร แล้วก็มีคนอเมริกันซึ่งไม่เคยมีศรัทธาในคนที่มาจากประเทศเราเลย อย่างน้อยที่สุดก็อยากจะทดสอบดูว่าพูดภาษาอังกฤษได้ไหม มีความรู้ที่เกี่ยวกับเรื่องทั่วๆ ไปยังไงมั้ย ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก คนที่จะไปสอนในอเมริกาจะต้องชำนาญมากเพราะเราจะถูกทดสอบตั้งแต่ภาษาไปจนถึงความรอบรู้ ความจัดเจนในวิชาเฉพาะ แต่ตอนผมยังหนุ่มๆ อายุ 30-40 ผมเคยสอนในยุโรปในหลายมหาวิทยาลัย
อันนี้อันหนึ่งที่คนจะไม่รู้ ผมพูดได้ 7 ภาษานะฮะ ไม่ว่าจะอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน ดัตช์ เยอรมัน ทำนองนี้ เพราะว่าผมเป็นนักเรียนที่ยุโรปเพราะฉะนั้นผมจะพูดได้แทบจะทุกภาษาในยุโรป ก่อนที่จะไปอาจารย์ผมก็เป็นอิตาเลียน เพราะฉะนั้นภาษาแรกที่ผมพูดกับอาจารย์ก็คือภาษาอิตาเลียน แล้วผมก็เรียนภาษาอังกฤษ แล้วผมเริ่มภาษาฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นก่อนที่จะไปต่างประเทศผมพูด 3 ภาษาแล้ว พออยู่ยุโรป 10 ปี จึงพูดได้หมด ทั้งเขมร ญี่ปุ่นด้วย ผมเป็นคนที่สนใจภาษา ผมชอบภาษา เวลาที่ไปสอนที่อเมริกาผมให้เลือกเลยว่าจะให้ผมพูดภาษาอะไร
เสาร์สวัสดี - ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินที่ราคาผลงานสูงมากๆ
ประหยัด - รูปของถวัลย์นี่เมื่อก่อนถึงขนาดว่ามีคนเอาเงินมาจองรูปในอากาศเลย แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่รับจองแล้วเพราะถ้าขี้เกียจเขียนจะได้เลิกเขียน มีคนรอจะจ่าย 50-60 ล้านเขาไม่เขียน
ถวัลย์ - เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว 50 ล้าน ถูกไป...พอผมอายุสัก 30 นี่ไม่มีทั้งตัวตนไม่มีทั้งความอยากจะให้เป็นไป ความอยากจะไม่ให้เป็นไป มันหมด จากอัตตาสู่ความเป็นอนัตตา ที่เราทำงานนี่พราะว่าเราชื่นชม เราอยากจะทำงาน เราอยากจะเปล่งประกายความเป็นช่างวาดรูปของเรา เราอยากจะสัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้าเหมือนกับภูเขาสัมผัสทะเลไกลหรือกระแสธารน้ำตก
ผมเป็นศิลปินร่วมสมัย ผมไม่ใช่ศิลปินแบบเขียนภาพผนังโบราณหรือเขียนวัดพระแก้ว อันนั้นมันเป็นลมหายใจของยุคหนึ่ง ผมไม่ใช่พวกคลั่งชาติ บ้าชาติอะไรแบบนั้น ผมเข้าใจดีถึงเมื่อวานนี้ ผมเข้าใจดีถึงวันนี้ แล้วผมเข้าใจไปถึงพรุ่งนี้ แล้วผมเอาอดีต ปัจจุบัน และอนาคตมาสร้างปัจจุบันหรืออนาคตอันงดงามสำหรับหายใจได้ในพ.ศ.นี้ เพราะฉะนั้นเมื่อคุณดูรูปของผม วันนี้คุณจะเห็นทั้งสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม มัณฑนศิลป์ คุณเห็นทั้งการวางผัง คุณเห็นสิ่งแวดล้อม แล้วถ้าไปตรงกลางบ้าน ก็จะตรงไปบ้านที่เป็นหอก จากนั้นก็จะทะลุไปถึงที่ดักฝัน เป็นเหมือนที่เราวางผังภูมิของอังกอร์วัดหรือเขาพนมรุ้ง แต่ผมเป็นแค่ไพร่สถุลตะพุ่นหญ้าช้างผมก็ทำได้แค่นี้ อันนี้เป็นแสงหิ่งห้องส่องก้นตัวเอง
รูปผมมันมีความเร้นลับและก็จินตนาการที่ก้าวไกล คุณจะเห็นว่ารูปผมนี่จะมีทั้งยายเจเคโรลลิ่ง แห่งแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีทั้งเจ อาร์ อาร์โทลคีนแห่งลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ มีทั้งรูปเขียนแบบตันตระของทิเบต มีความเป็นตะวันออกอยู่ เพราะฉะนั้นผมระคนปนเคล้าด้วยสร้อยเสาวคนธ์รุ้งประสานสายแล้วมีความเป็นตะวันออก แล้วมีความเป็นตัวผม ในขณะที่คนอื่นเขายังเหมือนคนนั้นคนนี้ ยังไม่บรรลุนิติภาวะทางความคิด แต่ผมเนี่ย อยู่คนเดียวโดดๆ
ในบรรดาคนที่เป็น International Known นะ ผมเนี่ยเป็นคนที่ค่าตัวถูกสุดเลยนะ อย่างต่ำๆ เขาต้องร้อยล้านเหรียญขึ้นไป หรือประมาณ 4,000 ล้าน แล้ว ผมเนี่ยไม่กล้าบอกใครเลย ผมเนี่ยเป็นช่างเขียนที่กระจอกงอกง่อย แต่ในเมืองไทยมันก็ไม่มีใครที่จะมาขายรูปรูปละ 50 ล้าน ผมก็เลยกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ไป ซึ่งอันที่จริงพอผมไปที่ต่างประเทศนะ พิพิธภัณฑ์เขาถามรูปเท่าไหร่นะ...เขาอยากจะขอซื้อทั้งหมดเพราะมันถูกเหลือเกิน เขาจะซื้อไว้ทำฟืนหรือทำอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งก็รู้สึกแหม น้อยเนื้อต่ำใจ
แล้วที่สำคัญถ้าเราไม่แสดงยมกปาฏิหาริย์ให้มันรู้เนี่ย มันไปจัดให้ผมอยู่ปลายแถว เป็นอาร์ติสท์ที่มาจากประเทศด้อยพัฒนา เราต้องไปสำแดงยมกปาฏิหาริย์ให้มันรู้ว่าเราเขียนยังไง เรามีความรู้ยังไง เราเรียนหนังสือที่ไหน มันถึงจะยอมรับ แล้วมันก็ซื้อรูปเราเป็นฟ่อนหญ้า
ประหยัด - เขาเคยคุยกับคุณกนก อภิรดี เรื่องเงินเนี่ย...?
ถวัลย์ - คือผมได้ยินเขาว่าคุณกนกเนี่ย เป็นคนที่ทำเงินเดือนได้เป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย เงินเดือนประมาณ 800,000 อะไรแบบนี้ พอดีได้กินข้าวด้วยกัน ผมก็ถามว่าคุณกนกจริงเหรอที่เขาว่าคุณเงินเดือนตั้ง 800,000 ซึ่งก็เป็นเงินเยอะนะ ผมก็เลยบอกว่า กว่าผมจะทำเงินได้ตั้ง 800,000 ผมเสียเวลาไปตั้งชั่วโมงแล้วนะ กว่าจะได้เงินขนาดนั้น ซึ่งคนก็หุยฮากันใหญ่ กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่
ในช่วงนั้นพี่หยัดก็จะเห็นว่าคนซื้อรูปผมเดินทางมาจากทั่วสารทิศ เออ ถ้าซื้อแค่รูปเดียวก็เป็นธรรมดา เป็นปรากฏการณ์นานๆ จะมีปาฏิหาริย์ แต่มันซื้อทีเป็น 20-30 รูปเป็นฟ่อนหญ้าจนเราเอาเงินเนี่ยใส่หีบไว้ใต้เตียงเพราะเราไม่รู้จะฝากแบงก์ทำไม
ประหยัด - เอาเสื่อคลุมไว้ แล้วก็เอาหมามาเฝ้าไว้
ถวัลย์ - เอาเสื่อคลุมไว้
เสาร์สวัสดี - อีกอย่างที่คนจะนึกถึงเกี่ยวกับอาจารย์ถวัลย์คือการสร้างบ้านอย่างอลังการ ?
ถวัลย์ - การสร้างพวกนี้ก็ไม่มีจุดประสงค์อะไร อยากทำอะไรก็ทำเล่นไป ที่นี่เป็นของเล่นหมดน่ะ ทำของเล่น ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะต้องไว้ทำนั้นทำนี้เพื่อนั่นเพื่อนี่ เพื่อสังคมเพื่อประเทศชาติอะไร ไม่มี อันนี้เป็นเรือใบไม้ เอาไว้พลิ้วคลื่นในโมงยาม ไม่ใช่สำหรับเอาไว้มุ่งสู่เป้าหมายปลายทางใดใดทั้งสิ้น ผมเป็นผีขี้เหงาแล้วก็ลุกขึ้นมาทำนั้นทำนี้เล่น คนมาถามเรื่อย บอกที่นี่เรามีงบประมาณเท่าไหร่ ผมบอกเราไม่มีหรอกงบประมาณ เรามีแต่เงิน เราอยากทำอะไรเราก็เอาเงินฟาดลงไป ทำเข้าไป
ต้องขอบอกว่าผมไม่มีศรัทธาจริตในการสร้างบ้าน ความล้ำเลิศผมอยู่ที่การเป็นช่างวาดรูป เดี๋ยวผมจะพาไปดูรูป แล้วคุณจะเห็นว่าความยิ่งใหญ่ของผมอยู่ที่การเป็นช่างวาดรูป ไม่ใช่อยู่ที่ผมสร้างบ้าน สร้างเสนาสนะอะไร
แต่ว่าผมเป็นพวกที่งก ละโมบ เห็นอะไรก็ชอบไปซะหมด ผมก็เลยซื้อสมบัติบ้าจากทั่วโลกต่างๆ แล้วผมก็แบ่งแยกทรัพย์สมบัติบ้าเอาไว้ตามบ้าน อย่างบ้านหลังนึงเอาไว้เก็บทรัพย์สมบัติบ้าที่เกี่ยวกับเครื่องมุกโดยตรง เอาไว้สักกลุ่มบ้านนึง อย่างบ้านตรงนี้เป็นซุ้มประตูทอง เป็นพระพุทธรูปทองที่เป็นงานช่างฝีมือของอยุธยาตอนปลาย ตอนที่เราถูกบุเรงนองกวาดไปไว้ที่ประเทศพม่าแล้วไปตั้งเมืองที่พม่าเรียกว่าโยเดีย ผมก็ไปซื้อกลับมาเพื่อเอาไว้ดูเล่น อะไรแบบนี้
เพราะฉะนั้นนี่ก็จึงไม่ได้มีเป้าหมายอะไร ผมเขียนรูปเฉยๆ แต่ว่าของพวกนี้ก็เป็นของซึ่งเป็นของเล่น
เสาร์สวัสดี - เล่นมานานหรือยัง
ถวัลย์ - เล่นมาได้ 30 ปีแล้ว ผมมีบ้านที่กรุงเทพฯ บ้านกลุ่มหนึ่งที่ในเชียงราย เป็นบ้านมรดกเก่าแก่ซึ่งอยู่ในกลางเมือง แล้วผมก็มีบ้านกลุ่มนี้ (อ.นางแล จ.เชียงราย) แล้วผมก็มีบ้านในหลายประเทศ ในยุโรป ในออสเตรเลีย ในอเมริกา เพราะฉะนั้นผมก็จะใช้ชีวิตแบบผีตองเหลือง คือร่อนเร่พเนจรไปอยู่ตามนั้นตามนี้ นานๆ พอมีปาหี่สำคัญอะไรที่คนอื่นเขาคิดว่าสำคัญน่ะนะ สำหรับคนที่อายุอย่างผมน่ะไม่มีอะไรสำคัญแล้ว ถ้าผมเห็นว่าปาหี่นี้น่าสนุกดีผมก็จะมาเล่นขายของด้วย บังเอิญตอนนี้ผมไปดูศาลาข้างหน้าที่กำลังก่อสร้างผมก็เลยมาพักที่นี่ เพราะว่าเมื่อสัก 2-3 อาทิตย์ก่อนผมก็เล่นขายของอยู่ที่กรุงเทพฯ คือ ตัดสินงานศิลปะบ้าง อะไรบ้าง
เสาร์สวัสดี - มีบ้านแบบนี้เรียกว่ารายได้จากการวาดรูป เรียกได้ว่ามหาศาล?
ถวัลย์ - อ๋อ ก็ไม่ถึงกับมหาศาลหรอกครับ ปีหนึ่งไม่ถึงพันล้าน น้อยกว่าเณรแอนิดๆ หน่อยๆ ไอ้รายได้เป็นฟ่อนนี่อย่ามาพูดกันเป็นวันเลย เอาเป็นว่ามาพูดกันเป็นวินาทีดีกว่า เพราะฉะนั้นไอ้ครั้นผมจะพูดไปเนี่ยมันน่าละอาย ให้ท่านศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัดที่มองเห็นประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ค่าตัวผมเนี่ยมันเป็นวินาที สัก 25 วินาทีเนี่ยมันได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่ บางทีท่านศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัดจะบอกคุณแล้วคุณก็ลองประมาณดูก็แล้วกันว่า สัก 15 วินาทีเนี่ยผมได้เท่านั้น อาจจะได้สัก 20,000 เหรียญ อะไรอย่างนี้
แต่ผมไม่ได้กระหายอะไรในเงินทองเหล่านั้นน่ะนะ เพียงแต่บอกให้คุณฟังว่าไอ้การที่มีสมบัติบ้าอะไรแบบนั้นน่ะ ผมผ่านขั้นตอนนั้นมา ถ้าจะทำเงินซึ่งเป็นเรื่องเดรัจฉานกิจกรรม เงินน่ะมันไม่สำคัญหรอก มันอยู่ที่ว่าเราใช้เงินน่ะมันเป็นยังไง
อย่างผมร่ำเรียนมากับอาจารย์ต่างๆ ผมก็คิดว่าสิ่งที่งดงามที่สุดก็คือว่าความรู้ที่ท่านอาจารย์ต่างๆ ให้มา ยิ่งใช้ก็ยิ่งงอกงาม แต่เงินเนี่ยยิ่งใช้ก็ยิ่งหมดไป ไม่ได้มีความสำคัญอะไร แล้วผมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเพราะว่าผมอยู่เหนือมันแล้ว ผมรู้อยู่แล้วว่าถ้าอยากจะได้เงินสักแค่ร้อยล้านเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องมากมายอะไร เราก็แค่ทำอยู่สัก 2 วัน แล้วเราก็ตีฆ้องร้องป่าวให้คนมาซื้อ ก็มาเป็นฟ่อนหญ้า บางทียังไม่ทันเขียนเลย แค่บอกว่ากำลังจะเขียนนะก็มีคนเอาเงินมาวางเป็นฟ่อนหญ้า จองไว้ จองในอากาศไว้ เขียนกันไม่ทัน ไม่หวาดไม่ไหว เพราะฉะนั้นผมก็ไม่อยากจะโม้เรื่องนี้
แต่คุณอย่าลืมว่าผมมีเงินเดือนตั้ง 8,000 นะ จากการเป็นศิลปินแห่งชาติ (มีเสียงพูดขึ้นว่าตอนนี้ 12,000 แล้ว) อ๋อ ตอนนี้ 12,000 แต่ผมไม่เคยไปดูเงินเดือนเลยนะ เอาทิ้งไว้แล้วก็เอาไว้แจก
เสาร์สวัสดี - ทำไมต้องเน้นความเป็นตะวันออก
ถวัลย์ - ก็เพราะว่าเราเป็นคนตะวันออก บ้านนี้ก็คือภาชนะใส่ร่างกายเรา ถ้าเผื่อภาชนะใส่ร่างกายเราทำแบบตะวันตกเรามิต้องทำตู้ทำปิดกั้นใส่เครื่องปรับอากาศแล้วผมรู้สึกว่ามันอึดอัด มันไม่ใช่ความพอดี ความสมถะหรือความสันโดษหรือความสง่างามแบบความเป็นตะวันออก แล้วผมรู้สึกว่าคนที่ทำแบบนั้นไม่บรรลุนิติภาวะทางความคิด ไปลอกเอากากเดนความเป็นฝรั่งมา ผมอยู่ในเมืองฝรั่งในครั้งแรกผมไปเรียนหนังสือ ต่อมาผมเป็นผู้สอนหนังสือให้แก่ฝรั่ง ผมจึงไม่ทำตามฝรั่ง ฝรั่งทั้งหลายทั้งปวงมาทำตามผมแล้วเขาชื่นชมยินดีเนี่ยเขามาเป็นคนไทยไม่กี่คนที่ยังเหลือความเป็นตะวันออก ความเป็นคนไทย
ถ้าผมตาย งานเนี่ยเพื่อนผมเขาเตรียมขายตั๋วนะ ตั๋วนั่งตั๋วยืนตั๋วตะแคงดูเขาขายหมดแล้ว แล้วผมไม่ตายสักที เขาขายไปได้ตั้ง 1,500 ใบ แล้วก็ผมจะไม่ไปเผาที่ในอะไรต่างๆ ผมจะเผาในบริเวณบ้านผมเอง แล้วผมก็เตรียมตัวเอาไว้ให้มันงดงาม
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
อ่านอันนี้แล้วคิดยังไงครับ ?????
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณครับที่เอามาให้อ่าน
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==