คุยโขมง การบรรยายของคุณฉัตรชัย ที่ตลาดหลักทรัพย์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
Tiger
Verified User
โพสต์: 593
ผู้ติดตาม: 0

คุยโขมง การบรรยายของคุณฉัตรชัย ที่ตลาดหลักทรัพย์

โพสต์ที่ 31

โพสต์

:bow:

เผื่อแพร่ทั้งความรู้ และธรรมมะ

ได้ทั้งกล่อง และกุศลครับ
ต้องเรียนรู้ให้ได้
Li .. Zhi .. Ren
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11444
ผู้ติดตาม: 1

คุยโขมง การบรรยายของคุณฉัตรชัย ที่ตลาดหลักทรัพย์

โพสต์ที่ 32

โพสต์

คุณลูกอิสานอย่าถ่อมตัวเลยครับ

ผมเองก็ไม่ใช่ว่าเก่งอะไรหนักหนา  ขี้อายเหมือนกัน

ขึ้นเวทีทีไรก็พูดผิดๆถูกๆ

แต่คิดซะว่า  ถ้าการพูดของเรา  เปลี่ยนนักเก็งกำไรมาลงทุนแนว VI ได้ซักคนสองคนก็โอเคแล้วครับ

อีกอย่างช่วยเป็นการประชาสัมพันธ์เวบด้วยครับ
Supra
Verified User
โพสต์: 479
ผู้ติดตาม: 0

คุยโขมง การบรรยายของคุณฉัตรชัย ที่ตลาดหลักทรัพย์

โพสต์ที่ 33

โพสต์

:roll:  :roll:

          ยังไงรบกวนพี่ web  พี่ลูกอีสาน พี่วิบูลย์และพี่ๆๆที่มีความรู้+ประสบการณ์   มาขึ้นเขียงของพี่มนด้วยน่ะครับ  เอ๊ยยยไม่ใช่มาถ่ายทอดความรู้แก่เพื่อนน  น้องๆๆ ด้วยน่ะครับ  ขึ้นเวทีครั้งแรกอาจจะประหม่าแต่เด้ว สัก 2 ครั้งเนียนแน่ครับ   ใช่ไหมครับพี่ฉัตรชัย  :roll:  :roll:  :wink:
*****
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6483
ผู้ติดตาม: 1

คุยโขมง การบรรยายของคุณฉัตรชัย ที่ตลาดหลักทรัพย์

โพสต์ที่ 34

โพสต์

ขออนุญาตินำแนวคิดการลงทุนของพี่พรชัย มาให้สมาชิกได้อ่านนะครับ :D
คัดลอกจากกรุงเทพบิสวีค
สาวก.."วอร์เร็น บัฟเฟตต์" ผู้ถือหุ้น "เบิร์คไชร์ ฮาธะเวย์" หนึ่งเดียวในไทย

    "พรชัย รัตนนนทชัยสุข"  ยังนำแนวทางของบัฟเฟตต์มาประยุกต์ใช้กับการลงทุนของเขาเอง  แนวคิดของบัฟเฟตต์ได้เปลี่ยนชีวิตคนจำนวนมาก และรวมถึงตัวของพรชัยด้วย "ตอนเริ่มต้นลงทุนครั้งแรกมีเงินในพอร์ตหลักแสน เหมือนกับเราได้ทดลองว่า วิธีการลงทุนแบบนี้ใช้ได้ผล  ทำให้ตอนนี้พอร์ตลงทุนกลายเป็นหลักล้านแล้ว"  พรชัย จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านเภสัชกรเมื่อปี 2537  เริ่มทำงานครั้งแรกในบริษัทยาแห่งหนึ่ง  จากนั้นจึงไปเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจ (MBA)  และได้เข้าทำงานที่ธนาคารซิตี้แบงก์ ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต  และในปี 2538 เขาได้เริ่มเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น  ช่วงนั้นดัชนีอยู่ที่ระดับประมาณ 1,000 จุด "แรกๆ   ผมเลือกหุ้นโดยกางบทวิเคราะห์โบรกเกอร์ว่าเขาเชียร์หุ้นตัวไหนบ้าง  แต่แล้วก็ขาดทุน เพราะเราไม่ได้ดูเลยว่า ราคาหุ้น ค่าพี/อี  ค่าพี/บี ผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร พอซื้อเข้าไปจึงขาดทุน  ช่วงที่เข้าไปดัชนี 1,000 จุดต้นๆ หลังจากนั้นมันตกลงมาต่ำสุด  207 จุด ผมรู้สึกเลยว่าการเชื่อผู้เชี่ยวชาญ  ไม่ใช่วิธีที่ทำกำไรได้"

                 หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มศึกษาแนวทางการลงทุนแบบ "เน้นคุณค่า"   (Value Investment) รวมถึงการลงทุนสไตล์ "ปีเตอร์ ลินช์"  เป็นวิธีคิดที่ใช้หลักเหตุและผล  เมื่อนำหลักคิดนี้มาใช้ลงทุนก็เริ่มเห็นผล..มีกำไร  "บัฟเฟตต์" จะบอกตลอดว่า "หุ้นไม่ใช่เศษกระดาษ มันเป็นธุรกิจ  ถ้าเราซื้อหุ้นเราก็เป็นเจ้าของธุรกิจส่วนหนึ่ง เราต้องดูผลการดำเนินงาน  ภาวะกิจการความแข็งแกร่งด้วยว่าเป็นอย่างไร"  พรชัย เริ่มอ่านหนังสือบัฟเฟตต์เล่มแรก   "กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า" ตั้งแต่ปี 2540  (นำมาแปลเป็นภาษาไทยเมื่อปี 2546) และติดตามเล่มอ่านเล่มอื่นๆ  โดยนำหลักของ "เบนจามิน เกรแฮม", "บัฟเฟตต์" และ "ปีเตอร์ ลินช์"  มาใช้ เนื่องด้วยวิถีการลงทุนแบบนี้ "เห็นผลช้า"   ระหว่างทางเขาจึงเกิดอาการ "วอกแวก" เผลอไปลงทุน "เก็งกำไร"  ตามข่าวจนขาดทุนอีก ต้องกลับย้ำเตือนหลักการเดิมกับตัวเอง

"การลงทุนในตลาดไม่ใช่การ "ซื้อหุ้น" แต่เป็นการ "ซื้อธุรกิจ" ต้องวิเคราะห์ให้ได้และคิดด้วยตัวเองให้เป็น ความเห็นคนอื่นเราเอามาใช้ไม่ได้ แต่อาศัยข้อมูลดิบได้ แล้วเอามาคิดด้วยตัวเอง แต่อย่าไปซื้อหุ้น  เพราะคนอื่นเขาบอกว่าดี"  เพราะฉะนั้นการเลือกหุ้น "จะต้องเลือกหุ้นที่ตัวเรารู้จักดีก่อน  และตัดบางธุรกิจที่ไม่เข้าใจออกไป" สมมติว่าถ้าเราคาดการณ์ (อนาคต)   ผลการดำเนินงานของกิจการนั้นไม่ได้   จะตัดทิ้งออกไปเลย...อย่างไตรมาสนี้ดีจริง  เพราะประมูลงานได้หลายงาน แต่ไตรมาสหน้าอาจจะได้น้อยลง หรือ   ปีหน้าอาจจะไม่ได้งานเลย "อะไรที่ประมาณการไม่ได้ ผมจะตัดทิ้ง"    สำหรับธุรกิจที่เป็น "โภคภัณฑ์"   ราคาสินค้าอิงกับตลาดโลกเขาจะตัดทิ้ง เช่น ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์   ยกเว้นราคาจะถูกจริงๆ และไม่ชอบธุรกิจที่ "เข้าใจยาก" เช่น   ธุรกิจปิโตรเคมี จะเข้าใจยาก  และตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงราคาในตลาดโลก  ส่วนธุรกิจที่ชื่นชอบต้องมีผลการดำเนินงาน "ค่อนข้างสม่ำเสมอ"  ธุรกิจเติบโตไปเรื่อยๆ  เมื่อซื้อแล้วจะต้องสบายใจว่ากำไรของบริษัทจะไม่ผันผวน "บัฟเฟตต์ บอกว่าราคาหุ้นมันสำคัญตอนจะเข้าไปซื้อ และตอนจะขายเท่านั้นเอง แต่ระหว่างที่ซื้อไปแล้ว และก่อนที่จะขาย   จะเป็น "เรื่องราว" ของผลการดำเนินงานมากกว่า  คือราคาหุ้นผันผวนแต่ละวัน
               
อย่าไปสนใจตราบใดที่บริษัทยังมีผลการดำเนินงานดีอยู่" ในการคัดเลือกหุ้น พรชัยจะพิจารณาหุ้นเป็นรายตัว หรือใช้วิธี  "Bottom Up" ไม่ได้ดูเป็นรายกลุ่ม และต้องดูราคาด้วยว่าไม่แพง  มีแก๊ปค่อนข้างสูง โดยไม่ได้กำหนดว่าจะมีหุ้นในพอร์ตกี่ตัว ขึ้นอยู่กับราคาว่าถูกแค่ไหน ซึ่งปัจจุบันพอร์ตลงทุนของเขามีหุ้น 2-3 ตัว ซึ่งผลการดำเนินงานไม่มีผลขาดทุน และเชื่อว่าเลือกหุ้นถูกตัว ส่วนการจะตัดสินใจซื้อหุ้นเมื่อไรนั้น พรชัย จะมองที่  "เรื่องราว" (Story) ของหุ้นมากกว่า  "บางครั้งตัดสินใจง่ายนิดเดียว เพราะบริษัทมีเรื่องราวชัดมาก  เช่น หุ้นราคา 8 บาท มีเงินสด 6 บาท ผลงานไตรมาสแรกขาดทุน  แต่บริษัทมีกิจการ 2 อย่าง อันหนึ่งมีกำไร และอีกกิจการขาดทุน  แต่ส่วนที่ขาดทุนมากกว่าทำให้ผลรวมขาดทุน แต่บริษัทบอกว่า  ธุรกิจที่ขาดทุนจะเลิกทำแล้ว เราอ่านแล้วพบว่า  ปีหน้าจะต้องกำไรแน่ แล้วบริษัทไม่มีหนี้ เราซื้อ 8บาท  ในขณะที่บริษัทมีเงินสด 6 บาท แล้วปีหน้าบริษัทน่าจะมีกำไรต่อหุ้นไม่น้อย 1.50-2 บาท  ซึ่งเขาสามารถปันผลได้ ถ้าปันผล 1 บาทก็เท่ากับได้ 10% ถ้าเป็น 2 บาท จะได้ปันผลมากเลย เราเห็นปุ๊บก็ซื้อได้เลย  อย่างนี้ใช้เวลาน้อยมาก "
               
พรชัย บอกว่า หลักในการพิจารณาลงทุนของเขา  จะเน้นต้องดูความสม่ำเสมอของรายได้ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น  และจะต้องเป็นกิจการที่ดีระดับนึง  "ไม่ใช่ทำอะไรที่ไม่มีจุดเด่น เราจะดูว่ากำไรที่ดีปีนี้ ปีหน้าอาจจะไม่ได้เหมือนปีนี้ มันต้องมีจุดเด่น  และมีแนวโน้มกำไรเพิ่มขึ้น" อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ  ราคาหุ้นต้อง "ถูกมากๆ"  เขาบอกว่า บริษัทดีกับหุ้นดีมันแยกกันคนละอย่าง ถ้าบริษัทดี แต่ราคาหุ้นแพงเกินไป ก็ไม่ใช่หุ้นที่ดี  ส่วนจะตัดสินใจขายก็ต่อเมื่อ ถ้ารู้ว่า "คิดผิด เลือกหุ้นผิด"  ต้องตัดใจขายแน่นอน แม้ขาดทุนมากก็ต้องขาย ตรงนี้เขาบอกว่า เป็น  "กับดัก" อันหนึ่งที่นักลงทุนจะทำใจไม่ค่อยได้  "แนว Value กับการเก็งกำไรจะต่างกันตรงที่  นักเก็งกำไรเวลาเขาจะซื้อเมื่อเห็นว่าตลาดจะขึ้น พอตลาดขาลง  เขาจะ Cut Loss ทันที แต่แนว Value เราจะซื้อด้วยมูลค่าบริษัท  ถ้าบริษัทยังดีเหมือนเดิม เวลาหุ้นลงมีเงินก็ต้องซื้อเพิ่ม  ไม่มีเงินก็ถือไว้ แต่ถ้ามันลงเพราะปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไปในทางแย่ลง  เวลาหุ้นลงขายขาดทุน 50% ก็ต้องขาย แล้วเปลี่ยนตัวเล่น  คือเราไม่จำเป็นต้องได้เงินกลับมาจากตัวเดิมที่เราขาดทุน  ตรงนี้เป็นกับดับตัวหนึ่งที่มือใหม่ทำใจไม่ได้  เพราะเขาจำต้นทุนเดิมตลอดเวลา"

                 อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องตัดขายก็ต่อเมื่อ...เห็นหุ้นตัวอื่นที่น่าสนใจกว่า   นอกจากนั้น หากราคาหุ้นขึ้นจน "แพงเกินไป" การถือหุ้นตัวนี้ต่อไป  โอกาสจะปรับตัวขึ้นอีกได้ไม่มาก  "ถ้าพอร์ตเราไม่ใหญ่ บางครั้งต้องเปลี่ยนตัวเล่น  เพราะเมื่อราคาหุ้นแพงแล้วราคาหุ้นจะไม่ขึ้น"  พรชัย อธิบายว่า   นักลงทุนต้องซื้อในสิ่งที่เรารู้ว่ามันถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง  ซึ่งมูลค่าที่แท้จริงก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะวิเคราะห์ออกมายังไง  "คนที่ลงทุนต้องรู้วิธีหาหุ้นเองให้ได้ ถ้ารอพึ่งคนอื่น  ก็ต้องพึ่งเขาไปตลอด เขาบอกเราตอนซื้อ แต่ไม่บอกเราตอนขาย  ผู้ที่จะอยู่รอดในตลาดต้องมีหลักการของเราเอง สำคัญที่สุด  คือเอาชนะความโลภในใจให้ได้" พรชัยกล่าวทิ้งท้าย
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
jaychou
ผู้ติดตาม: 0

คุยโขมง การบรรยายของคุณฉัตรชัย ที่ตลาดหลักทรัพย์

โพสต์ที่ 35

โพสต์

ปีนี้มีคนซื้อตามแล้วครับ ให้เจ้าตัวมารายงานเองดีกว่า อิๆๆๆๆ
ธานี
Verified User
โพสต์: 4
ผู้ติดตาม: 0

คุยโขมง การบรรยายของคุณฉัตรชัย ที่ตลาดหลักทรัพย์

โพสต์ที่ 36

โพสต์

วันนั้นเป็นวันที่ดีของผม  วันที่ผมได้ไปตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก

       วันที่ได้ฟังคุณฉัตรชัยบรรยาย แล้วมั่นใจแนว VI มากขึ้น

        รู้สึกได้ถึงความมีวินัย นอกเหนือจากความรู้ และความอดทน
       
       จบบรรยาย ยังได้พบคุณพรชัย นักแปลหนังสือเล่มเขียวที่ผมชอบอ่าน
       
       ผมอ่านไม่เก่ง แต่อ่านเล่มนี้เข้าใจง่ายและเกิดจินตนาการในการลงทุน
       
       
       ขอชื่นชมและขอบคุณ    สมาชิกใหม่(ขอฝากตัว)
ภาพประจำตัวสมาชิก
moo
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1150
ผู้ติดตาม: 0

คุยโขมง การบรรยายของคุณฉัตรชัย ที่ตลาดหลักทรัพย์

โพสต์ที่ 37

โพสต์

:bow:  :bow:  :bow:
ถ้าคุณหัวเสีย คุณจะเสียหัว