การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
-
TanTai
- Verified User
- โพสต์: 123
- ผู้ติดตาม: 0
ผมอ่านแล้วน่าสนใจดีครับ จากกรุงเทพธุรกิจ Bizweek
ฉบับปัจจุบัน ลองอ่านกันดูนะครับ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ขายหุ้นชิน ภาษีก็เรื่องหนึ่ง บัญชีก็อีกเรื่องหนึ่ง
ดร.ภาพร เอกอรรถพร
ก่อนที่ตระกูลชินวัตรและตระกูลดามาพงศ์จะขายหุ้นชินคอร์ปให้กับบริษัทเทมาเส็กแห่งสิงค์โปร์ ได้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น นั่นคือ อยู่ๆ ก็มีผู้ถือหุ้นรายหนึ่งขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป ให้ลูกชายลูกสาวนายกฯ จำนวน 329.6 ล้านหุ้น ด้วยราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท (เป็นจำนวนเงิน 329.6 ล้านบาท) ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นหุ้นชินคอร์ปมีราคาซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณหุ้นละ 49 บาท (เป็นจำนวนเงินกว่า 15,000 ล้านบาท)
เมื่อซื้อหุ้นชินคอร์ปมาแล้ว ลูกชายลูกสาวนายกฯ ก็นำหุ้นที่ซื้อมาบวกกับหุ้นที่ถืออยู่ไปขายให้กับบริษัทเทมาเส็กในไม่กี่วันต่อมา
การณ์ปรากฏว่า ผู้ถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปรายนี้มีชื่อว่า บริษัทแอมเพิล ริช (รวยเหลือเฟือ) ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ที่เกาะบริติช เวอร์จิน (ที่พึ่งยามมีของนักฟอกหุ้นและฟอกเงิน) ซึ่งคุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นผู้เปิดประเด็นให้สาธารณชนทราบ
หลังจากนั้น คุณสุวรรณ วลัยเสถียร โฆษกประจำตระกูลชินวัตรได้ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน (โดยไม่มีหลักฐานยืนยัน) ข้อมูลที่ได้รับจากคุณสุวรรณ ประกอบกับภาพวาดของท่านอาจารย์แก้วสรร อติโพธิ (ดู ทักษิณละเมิด ธรรมนูญแผ่นดิน!) ทำให้เราสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวเกี่ยวกับเส้นทางการขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปได้ดังนี้
บริษัทแอมเพิล ริช จัดตั้งขึ้นโดยนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 (ขณะนั้นยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ รัฐมนตรี)
นายกฯ ทักษิณนำหุ้นบริษัทชินคอร์ปจำนวน 32.9 ล้านหุ้นๆ ละ 10 บาท (ก่อนที่จะแตกเป็น 329.6 ล้านหุ้นๆ ละ 1 บาท) ไปขายให้บริษัทแอมเพิล ริช (ไม่ทราบว่าเป็นวันที่เท่าไร)
นายกฯ ทักษิณ ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่เหลืออยู่จำนวน 32.9 ล้านหุ้น (จำนวนเท่ากับที่บริษัทแอมเพิล ริช ถืออยู่)
ในเดือนกันยายน 2543 นายกฯ ทักษิณและภริยาถูกกล่าวหาว่าซุกหุ้นไว้กับคนในบ้าน แต่ในที่สุดได้รับคำตัดสินว่า บกพร่องโดยสุจริต
ในเดือนเดียวกัน นายกฯ ทักษิณและภริยาโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้กับนายพานทองแท้ นางสาวยิ่งลักษณ์ และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ในลักษณะของการขายในตลาดบ้าง ขายตรงบ้าง ให้โดยเสน่หาและโดยธรรมจริยาบ้าง ด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด (หรือไม่คิดมูลค่า) โดยที่ผู้ขาย ผู้ซื้อ ผู้โอน และผู้รับโอนไม่ต้องจ่ายภาษีตามคำยืนยันของนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล (ปลัดกระทรวงการคลัง) นายศิโรจน์ สวัสดิพาณิชย์ (อธิบดีกรมสรรพากร) นายทนง พิทยะ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรอื่นๆ
ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2543 นายกฯ ทักษิณได้นำหุ้นบริษัทแอมเพิล ริช (US$ 1) ไปขายให้นายพานทองแท้บุตรชายที่บรรลุนิติภาวะ (ผู้ซึ่งไม่ต้องนำทรัพย์สินของตัวเองมาแสดงร่วมกับนายกฯ ทักษิณ)
ในเดือนมกราคม 2544 ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 นายกฯ ทักษิณ ภริยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทั้งสองคือ นางสาวแพทองธารและพิณทองทา ได้แสดงทรัพย์สินต่อ ปปช. โดยไม่ได้รวมหุ้นของบริษัทชินคอร์ปหรือบริษัทแอมเพิล ริช ไว้ในบัญชี
ถือเป็นอันสิ้นสุดธุรกรรมการถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปของนายกฯ ทักษิณก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันทรงเกียรติของประเทศไทย และถือว่าเป็นความโปร่งใส ไร้มลทิน ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และถูกต้องตามหลักกฎหมายทุกประการ!
ประเด็นที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือ นายกฯ ทักษิณและครอบครัวได้แสดงทรัพย์สินเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช. หรือไม่?
ถ้าอยากทราบก็ต้องลองเดินบัญชีตามธุรกรรมที่เกิดขึ้น
รายการที่ 1 วันที่ 11 มิถุนายน 2542 นายกฯ จัดตั้งบริษัทแอมเพิล ริช ด้วยทุนจดทะเบียนจำนวน 1 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 40 บาทในขณะนั้น)
ธุรกรรมนี้ทำให้ เงินสด ในบัญชีนายกฯ ลดลงจำนวน 40 บาท และ เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช เพิ่มขึ้นจำนวน 40 บาท นั่นหมายความว่า บัญชีทรัพย์สินของนายกฯ ย่อมที่จะต้องแสดง เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช จำนวน 40 บาท
รายการที่ 2 ในวันที่เท่าไรไม่ปรากฏ นายกฯ ได้ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้แก่บริษัทแอมเพิล ริช ด้วยราคาพาร์เป็นเงินจำนวน 329.6 ล้านบาท แต่บริษัทแอมเพิล ริช มีเงินสดในมือจำนวน 40 บาท ปัญหาคือ บริษัทแอมเพิล ริช นำเงินจากไหนมาซื้อหุ้นจากนายกฯ
สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้มี 4 กรณีคือ
กรณีที่หนึ่ง บริษัทแอมเพิล ริช กู้ยืมเงินจากบุคคลที่สามมาซื้อหุ้น
กรณีที่สอง บริษัทแอมเพิล ริช กู้ยืมเงินจากนายกฯ มาซื้อหุ้น
กรณีที่สาม บริษัทแอมเพิล ริช ติดหนี้ค่าหุ้นกับนายกฯ
กรณีที่สี่ นายกฯ โอนหุ้นให้บริษัทแอมเพิล ริชไปฟรีๆ (ข้อนี้ตัดออกเพราะคุณสุวรรณได้แถลงว่า นายกฯ ขายหุ้นให้บริษัทแอมเพิล ริช ด้วยราคาพาร์)
สำหรับกรณีต่างๆ นี้ เราสามารถเดินบัญชีทรัพย์สินของนายกฯ ได้ ดังนี้
กรณีที่หนึ่ง นายกฯ ต้องแสดง เงินสด เพิ่มขึ้นจำนวน 329.6 ล้านบาท (ต้องมีหลักฐานในการได้รับเงินสดจากบริษัทแอมเพิล ริช ณ วันที่ขาย) และต้องแสดงให้ได้ว่า บริษัทแอมเพิล ริช กู้ยืมเงินจากใครมาซื้อหุ้น ถ้ายืมจากนายพานทองแท้ นายพานทองแท้ต้องแสดงหลักฐานการโอนเงินสดให้บริษัทแอมเพิล ริช และต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า นายพานทองแท้นำเงินสดจากที่ใดมาให้บริษัทแอมเพิล ริช กู้ยืม (ภาระในการพิสูจน์ความจริงนี้ควรตกอยู่ที่นายกฯ และนายพานทองแท้)
ถ้านายพานทองแท้ยืมเงินจากนายกฯ มาให้บริษัทแอมเพิล ริช ยืม นายกฯ ต้องแสดงทรัพย์สิน ลูกหนี้-นายพานทองแท้ ควบคู่ไปกับ เงินสด ที่ลดลงจำนวน 329.6 ล้านบาท พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ นายกฯ ต้องแสดงบัญชี ลูกหนี้-นายพานทองแท้ แทนบัญชี เงินสด
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด นายกฯ จะไม่แสดง เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ในบัญชี แต่จะแสดง เงินสด หรือ ลูกหนี้-นายพานทองแท้จำนวน 329.6 ล้านบาทแทน (ถ้าไม่แสดง ก็แสดงว่านายกฯ แจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ)
กรณีที่สอง เมื่อนายกฯ ให้บริษัทแอมเพิล ริช ยืมเงิน นายกฯ ต้องแสดง เงินสด ลดลงจำนวน 329.6 ล้านบาท (ต้องมีหลักฐานในการโอนเงินสดไปให้บริษัทแอมเพิล ริช) ในขณะเดียวกัน นายกฯ จะบันทึกบริษัทแอมเพิล ริช เป็น ลูกหนี้-บริษัทแอมเปิลริช จำนวน 329.6 ล้านบาท และเมื่อนายกฯ ขายหุ้นชินคอร์ปให้บริษัทแอมเพิล ริช นายกฯ ต้องบันทึกตัด เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ออก ในขณะเดียวกับที่บันทึก เงินสด จำนวน 329.6 ล้านบาทในบัญชี (ต้องมีหลักฐานการรับเงินจากบริษัทแอมเพิล ริช ณ วันที่ขายหุ้น)
สรุปว่า บัญชีทรัพย์สินของนายกฯ จะไม่แสดง เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทชินคอร์ป แต่จะแสดง ลูกหนี้-บริษัทแอมเพิล ริช แทน
กรณีที่สาม นายกฯ ต้องแสดงบริษัทแอมเพิล ริช เป็น ลูกหนี้-บริษัทแอมเพิล ริช จำนวน 329.6 ล้านบาท เมื่อนายกฯ ตัด เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ออกจากบัญชี (ผลลัพธ์จะคล้ายกับกรณีที่สอง)
แต่ในทั้งสามกรณี นายกฯ ยังคงเป็นเจ้าของ เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช ซึ่งในขณะนั้นไม่ได้มีมูลค่าเพียง 1 เหรียญสหรัฐ เพราะบริษัทแอมเพิล ริช มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นคือ เงินลงทุนเผื่อขาย-หุ้นบริษัทชินคอร์ป เงินลงทุนนี้ต้องแสดงในบัญชีด้วยราคาตลาด ส่วนต่างระหว่างราคาตลาดและราคาทุนในหุ้นชินคอร์ปถือเป็น กำไรที่ยังไม่เกิดจริงจากเงินลงทุนเผื่อขาย ซึ่งจะบันทึกในส่วนทุนของบริษัทแอมเพิล ริช (ควรเป็นจำนวนเดียวกับ เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช ในบัญชีทรัพย์สินของนายกฯ)
ดังนั้น ถ้านายกฯ แสดง เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช ด้วยราคา 1 เหรียญสหรัฐ บัญชีทรัพย์สินของนายกฯ ก็จะไม่สะท้อนจำนวนทรัพย์สินที่แท้จริงที่มีอยู่ในบริษัทแอมเพิล ริช (ทั้งนี้ต้องไปดูมาตรฐานการบัญชีที่เกาะฟอกเงินนั้น ถ้าบัญชีไม่มีมาตรฐาน รายการบัญชีนี้อาจไม่เกิดขึ้น)
รายการที่ 3 วันที่ 1 ธันวาคม 2543 นายกฯ ขายหุ้นบริษัทแอมเพิล ริช ให้กับนายพานทองแท้ โดยไม่ได้ระบุว่าขายไปด้วยจำนวนเงินเท่าไร
ธุรกรรมนี้จะทำให้นายกฯ ต้องบันทึกตัด เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช ออกจากบัญชี และบันทึก เงินสด ที่ได้รับจากนายพานทองแท้ขึ้นมาแทน (ในเมื่อไม่ทราบจำนวนเงินที่ซื้อขาย จึงไม่สามารถระบุจำนวนที่ต้องนำมาบันทึกบัญชี) หากการซื้อขายระหว่างนายกฯ และนายพานทองแท้ไม่มีการโอนเงินสดเกิดขึ้น การซื้อขายนี้น่าจะถือว่านายพานทองแท้ยังไม่ได้ชำระค่าหุ้นให้แก่นายกฯ และนายกฯ ก็ควรบันทึก ลูกหนี้-นายพานทองแท้ แทนการบันทึกเป็นเงินสด
นั่นหมายความว่า การตัด เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช ออกจากบัญชีจะทำให้นายกฯ ต้องบันทึก เงินสด หรือบันทึกนายพานทองแท้เป็น ลูกหนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้านายกฯ ไม่บันทึก บัญชีทรัพย์สินที่แสดงต่อ ป.ป.ช. ก็จะเป็นเท็จ
อย่าลืมว่า สสารย่อมไม่สูญสลายไปจากโลกนี้ โดยเฉพาะในสมการบัญชีที่สสารนั้น ถ้าไม่ปรากฏอยู่ในรูปหนึ่ง ก็ต้องปรากฏอยู่ในอีกรูปหนึ่ง
ถ้านายกฯ ไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ต่อ ป.ป.ช. หรือนำบัญชีทรัพย์สินของบริษัทแอมเพิล ริช และของนายพานทองแท้มาแสดงร่วมกับทรัพย์สินของตัวเอง (โดยลืมไปว่า บุคคลทั้งสามเป็นอิสระจากกัน) นั่นอาจชี้ให้เห็นว่า นายกฯ ได้จัดฉากให้เกิดการทำนิติกรรมอำพรางขึ้น ซึ่งอาจมีผลต่อการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. เป็นเท็จได้เช่นกัน
ครั้งหนึ่ง เสธ. หนั่นเคยถูกตัดสินให้เว้นวรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจาก หนี้สิน ที่แจ้งในบัญชีไม่ปรากฏตัวตนที่แท้จริง
ครั้งนี้ หากนายกฯ ไม่ระมัดระวังในการเดินบัญชีและเตรียมหลักฐานสนับสนุนการทำธุรกรรมทางบัญชี (เช่น สัญญาและหลักฐานการโอนเงินสด) การแสดงบัญชีทรัพย์สินของนายกฯ จะฟ้องให้เห็นถึงความไม่โปร่งใสและความไม่ชอบด้วยจริยธรรม รวมถึงการกระทำอันผิดกฎหมายที่จะทำให้นายกฯ ขาดคุณสมบัติในฐานะผู้นำประเทศ
ใครที่เป็นกุนซือทางด้านบัญชีของท่านนายกฯ น่าจะออกมาแถลงข่าวกับสื่อมวลชนบ้าง ไม่น่าจะปล่อยให้กุนซือทางด้านภาษีออกมาแถลงข่าวแต่เพียงผู้เดียว
*************************
"ถ้านายกฯ ไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ต่อ ป.ป.ช. หรือนำบัญชีทรัพย์สินของบริษัทแอมเพิล ริช และของนายพานทองแท้มาแสดงร่วมกับทรัพย์สินของตัวเอง (โดยลืมไปว่า บุคคลทั้งสามเป็นอิสระจากกัน) นั่นอาจชี้ให้เห็นว่า นายกฯ ได้จัดฉากให้เกิดการทำนิติกรรมอำพรางขึ้น"
-
worapong
- Verified User
- โพสต์: 929
- ผู้ติดตาม: 0
ดร.ภาพร อธิบายง่ายดีนะครับ คนที่ไม่มีความรู้ด้านบัญชีก็เข้าใจได้ แล้วก็การอธิบายไม่ได้เป็นแบบจับแพะชนแกะ ยกแม่น้ำทั้งห้า พยายามแสดงถึงเจตนาของนายก อาจารย์ภาพรไม่ได้ใส่ความรู้สึกเข้าไปในบทความ แต่แยกแยะข้อเท็จ-จริง ว่าแต่ละเหตุการณ์จะต้องมีหลักฐาน เอกสารอะไรประกอบบ้าง บทความก็ไม่ยาว ง่ายๆสั้นๆ ยากที่จะต่อต้าน ฟังแล้วนึกถึงคำพูดของพระอภัยมณีตอนนึงเลยครับ "พระฟังคำอ้ำอึ้งตะลึงคิด จะเบือนบิดป้องปัดก็ขัดขวาง" ที่จริงอยากให้หน่วยงานราชการทำตัวเป็นกลางสักหน่อยครับ เช่นคนหาว่านายกซุกหุ้น ก็เอาเอกสารออกมาให้ดูเลยว่าไม่ได้ซุก นายกมีเอกสาร 1 2 3...ครบถ้วน สมบูรณ์ เรื่องราวต่างๆก็จะจบได้โดยง่าย นายกจะได้เอาเวลาไปบริหารประเทศ คนไทยจะได้เอาเวลาไปทำมาหากิน ชาววีไอจะได้เอาเวลาไปหาหุ้นต่อครับ
margin of safety
circle of competence
waiting for the perfect pitch
-
CK
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณคุณ worapong มากเลยครับ
ตอนแรกผมเห็นบทความ ก็คิดในใจ "เอาอีกแล้ว"
กรุงเทพธุรกิจ เขียนมั่วโจมตีนายกแหงม เลยไม่อ่าน :lovl:
พอเห็นคุณ worapong comment ว่า unbiassed เลยตัดสินใจอ่านดู
ไม่ผิดหวังครับ เขียนได้ตรงมากครับ และไม่ได้ใส่อารมณ์
หรือจับแพะชนแกะเลย วิเคราะห์ตามหลัก logic ล้วนๆ
จริงๆ กลายเป็นว่า ทำให้ง่ายกับท่านนายกมากเลยนะครับ
ในการแสดงหลักฐานชี้แจงกับสาธารณชน
-
คนเรือ VI
- Verified User
- โพสต์: 1647
- ผู้ติดตาม: 0
อืมมมม เกิดกรณีอย่างงี้ได้มั้ยครับ
นายกโอนหุ้นชินให้ แอมเปิ้ลริช ด้วยราคา พาร์
แอมเปิ้ลริช ติดค่าหุ้นนายก
แอมเปิ้ลริชไม่จ่ายค่าหุ้นนายก
นายกจัดหนี้แอมเปิ้ลริชเป็นหนี้สงสัยจะสูญ
นายกตัดหนี้แอมเปิ้ลริชเป็นหนี้สูญ !!!!!! โดยไม่ฟ้องร้อง ??? หรือยกหนี้ให้เฉยๆ เป็นอันว่าธุรกรรมจบ
แอมเปิ้ลริช โอนหุ้นให้พานทองแท้
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นระหว่างปี 2542 ที่ตั้ง แอมเปิ้ล ริช กับเวลาที่ท่านนายกรับตำแหน่ง ในบัญชีของนายกก็จะหายไปแล้ว เพราะ นายกไม่ใช่ บริษัท ไม่จำเป็นต้องมี มาตรฐานบัญชี??
ดร คนนี้เป็นคนที่เขียนเรื่องบัญชีศรีธนญชัยหรือเปล่าครับ ผทเคยอ่านเคส เอนรอน ที่ท่านเขียนเหมือนกัน
-
worapong
- Verified User
- โพสต์: 929
- ผู้ติดตาม: 0
แกแต่งหลายเรื่องเลยครับ ส่วนใหญ่จะเข้าใจได้ง่าย แม้แต่คนที่โง่ๆอย่างผมยังเข้าใจได้เลยครับ ลองไปหาอ่านดูนะครับ ผมว่าคุ้มราคามากๆเลยครับ ดีกว่าไปเจอหุ้นที่ผู้บริหารตกแต่งบัญชี ตอนนั้นค่าเทอมแพงมากครับ
margin of safety
circle of competence
waiting for the perfect pitch
-
ForrestGump
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณ คุณ worapong ณ เชียงใหม่
สำหรับบทความดีๆ แบบนี้
เห็นภาพได้ชัดเจน
ส่วนการทำแบบที่คุณ คนเรือ VI ทำได้ครับ
แต่ได้แค่ "เพื่อให้ถูกกฎหมาย" แต่"เจตนาไม่สุจริต" ครับ
ใครมีความเห็นว่ายังไงว่า แจ้งบัญชีเท็จ เพื่อหลบภาษีหรือไม่ หรือว่า เป็นฉัน ฉันก็ทำแบบนี้ เงินตั้งเยอะนี่นา
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
qingwen
- Verified User
- โพสต์: 487
- ผู้ติดตาม: 0
ช่วยคิดครับ
ตอนขายหุ้นในแอมเพิลริช
- เงินลงทุนในแอมเพิลริช 40 บาท
- ลูกหนี้-แอมเพิลริช 329.6 ล้านบาท
ตอนขายหุ้นแอมเพิลริชให้ลูกชาย ขายในราคาพาร์ ได้แบงค์ 20 มาสองใบ
พร้อมกับขายลูกหนี้ให้ลูกชายด้วย ในราคา 200 บาท ได้แบงค์ร้อยมาสองใบ
ขายลูกหนี้นี่ คงไม่ห้ามขายถูกๆมั้ง สงสัยต้องตามเก็บภาษีจากพานทองแท้อีกแล้ว
ผมมั่วๆนะครับ เดาว่าเขาคงคิดไว้หมดแล้วละครับ เหมือนตอนขายหุ้นราคาพาร์ให้ลูก ไม่เห็นมีปัญหาว่าเงินมาจากไหน
对不起,请问一下.
存货是什么意思 ?
-
CK
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ยังไงก็ต้องมีลงรายการครับ
ผมมีบริษัทส่วนตัวเหมือนกัน เล็กๆ เอาไว้ทำพวกอสังหาและอื่นๆ
เป็นเจ้าของ 100%
แต่เวลามีการซื้อทรัพย์สินเข้าบริษัท จะอยู่ๆ จ่ายเงินแทนบริษัทไม่ได้
ถึงแม้ผมจะถือหุ้นทั้ง 99.97% ก็ตาม
ต้องมีลงบัญชีเงินกู้กรรมการ เอาเงินจากบัญชีส่วนตัวโอนเข้าบัญชีบริษัท
บันทึกเป็นเงินยืมกรรมการ จะกี่เดือนกี่ปีก็แล้วแต่ ดอกเบี้ยเป็น 0% ก็ได้
แต่ต้องมี record ครับ เพราะสรรพากรตรวจไม่เจอ record
จะมองว่าเป็นการทำธุรกรรมลวง เข้าข่ายกฎหมายฟอกเงินได้ครับ
โดยปกติ สรรพากรจะขอหลักฐานแค่ว่า มีการโอนเงินเกิดขึ้นจริง
และตรงกับยอดเงินการซื้อขาย
-
Jeng
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ถ้านายกฯ ไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ต่อ ป.ป.ช. หรือนำบัญชีทรัพย์สินของบริษัทแอมเพิล ริช และของนายพานทองแท้มาแสดงร่วมกับทรัพย์สินของตัวเอง (โดยลืมไปว่า บุคคลทั้งสามเป็นอิสระจากกัน) นั่นอาจชี้ให้เห็นว่า นายกฯ ได้จัดฉากให้เกิดการทำนิติกรรมอำพรางขึ้น ซึ่งอาจมีผลต่อการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. เป็นเท็จได้เช่นกัน
ว่าแล้วนิติกรรมอำพราง
-
worapong
- Verified User
- โพสต์: 929
- ผู้ติดตาม: 0
[quote="ForrestGump"]ขอบคุณ คุณ worapong ณ เชียงใหม่
สำหรับบทความดีๆ แบบนี้
เห็นภาพได้ชัดเจน
ส่วนการทำแบบที่คุณ คนเรือ VI ทำได้ครับ
แต่ได้แค่ "เพื่อให้ถูกกฎหมาย"
margin of safety
circle of competence
waiting for the perfect pitch
-
CK
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณคุณ TanTai ครับ ที่โพสต์ให้อ่าน
-
Dech
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
ขอบคุณครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
Viewtiful Investor
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบคุณด้วยคน
ดร. ภาพร เขียนหนังสือหลายเล่ม เขียนอ่านง่ายและสนุกครับ
นานๆขอแบบ Unbiased ก็ดีครับ
I do not sleep. I dream.
-
Supra
- Verified User
- โพสต์: 479
- ผู้ติดตาม: 0
:twisted:
องค์กรที่ตรวจสอบเป็นไรไปหมดหนอ แม้แต่ ขอ ยังยอมให้แอร์เอเชีย ซึ่งทำผิดกฎหมายการบินในการใช้สิทธิของไทย และยืดเวลาจนแอร์เอเชียกลายร่างเป็นสัญชาติไทยได้ 8) 8) :?: :?:
*****
-
v_sukit
- Verified User
- โพสต์: 153
- ผู้ติดตาม: 0
-
ลูกอิสาน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
อ่านบทความล่าสุดแล้ว
คิดว่า ดร.ไม่ใช่นักบัญชีซะแล้วครับ
เพราะมีความรู้สึกมากเกินไปหน่อย
ข้อสมมุติฐานก็ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล
ลองอ่านดูใน bizweek ครับ
ผมกำลังคิดว่ากรุงเทพธุรกิจ กำลังเดิมพันผิดข้างแล้วครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
TanTai
- Verified User
- โพสต์: 123
- ผู้ติดตาม: 0
บทความตอนต่อมาของ ดร.ภาพร ที่คุณลูกอิสานกล่าวถึงไว้นะครับ จากกรุงเทพธุรกิจ BIZWEEK
ฉบับ 24 ก.พ. 2549
โค้ด: เลือกทั้งหมด
แก้กฎหมายโทรคมนาคม: ประโยชน์ที่ได้ในการขายหุ้นชิน
ดร. ภาพร เอกอรรถพร
กฎหมายขยายเพดานการถือหุ้นของชาวต่างชาติในบริษัทโทรคมนาคมของประเทศไทย มีผลบังคับใช้วันที่ 21 มกราคม 2549 สองวันต่อมา ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ก็ขายหุ้นชินคอร์ป ให้กับบริษัทเทมาเส็ก แห่งประเทศสิงคโปร์ เป็นจำนวนเงิน 73,300 ล้านบาท
หลังจากนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังขรมว่า การแก้กฎหมายนี้ถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้เกี่ยวข้องกับนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร จนผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวง............ นาย............ ต้องออกมาแถลงข่าวว่า การแก้ กฎหมายขยายเพดานการถือหุ้นของชาวต่างชาติครั้งนี้ไม่ได้เอื้อประโยชน์แก่การขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้กับสิงคโปร์
การแก้กฎหมายโทรคมนาคมครั้งนี้มีผลอย่างไร เราลองมาดูกัน...
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า บริษัทโทรคมนาคมของประเทศไทยนั้นสงวนไว้สำหรับคนไทย ทั้งนี้เนื่องจากการสื่อสารเกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงของชาติและเป็นหัวใจในการบริหารประเทศ (นอกจากนั้น สื่อยังมีความสามารถในการบิดเบือนข่าวและมอมเมาประชาชน)
ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดให้บริษัทโทรคมนาคมไทยต้องมีสัญชาติไทย
ในอดีต บริษัทโทรคมนาคมจะมีสัญชาติเป็นไทยได้ ถ้าบริษัทนั้นถือหุ้นโดยชาวต่างชาติไม่เกินร้อยละ 25 แต่หลังจากที่ได้มีการแก้ไขกฎหมายขยายเพดานการถือหุ้นให้แก่ชาวต่างชาติ บริษัทโทรคมนาคมจะถือว่ามีสัญชาติเป็นไทยตราบที่ชาวต่างชาติถือหุ้นของบริษัทไว้ไม่เกินร้อยละ 49
การแก้ กฎหมายขยายเพดาน จากร้อยละ 25 ไปเป็นร้อยละ 49นี้ ฟังดูแล้วไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติ แม้ว่าสัดส่วนการถือหุ้น 51 ต่อ 49 จะดูหมิ่นเหม่ไปหน่อย แต่ถ้าดูจากตัวเลขกันจริงๆ บริษัทโทรคมนาคมก็ยังอยู่ในมือของคนไทย เพราะการถือหุ้นด้วยสัดส่วนร้อยละ 51 ถือเป็นเสียงข้างมากที่ทำให้ผู้ถือหุ้นไทยยังคงสามารถควบคุมนโยบายในการบริหารบริษัทได้
นั่นเป็นคำอธิบายที่ให้ข้อเท็จจริงไม่ถึง 49%!
เพราะสัดส่วนการถือหุ้นที่หมิ่นเหม่ขนาดนี้มีโอกาสที่จะทำให้บริษัทโทรคมนาคมไทยตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของคนต่างชาติ นอกจากว่าผู้ถือหุ้นไทยจะพร้อมใจกันเทคะแนนให้คนไทยด้วยกันเอง (แพ้ชนะกันที่ 1%) แต่ถ้าผู้ถือหุ้นไทยกลับใจไปเทคะแนนให้ผู้ถือหุ้นชาวต่างชาติ การบริหารบริษัทโทรคมนาคมไทยอาจจำเป็นต้องเดินตามการบงการของประเทศสิงคโปร์
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมในอดีต กฎหมายจึงเขียน กัน ไม่ให้ชาวต่างชาติถือหุ้นเกิน 25% เพราะการ ซื้อ ใจผู้ถือหุ้นไทย 24% นั้น ย่อมทำได้ยากกว่าการ ซื้อ ใจผู้ถือหุ้นไทยเพียง 1%
ดังนั้น การแก้กฎหมายโทรคมนาคมให้หลวมขึ้นจึงฟังไม่เข้าทีมาตั้งแต่ต้น (ความจริง กฎหมายควรจะลดเพดานการถือหุ้นของชาวต่างชาติลง มากกว่าที่จะขยายเพดานให้สูงขึ้น เนื่องจากในปัจจุบัน บริษัทโทรคมนาคมกลายเป็นบริษัทเอกชนที่สามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จนทำให้ มีผู้ถือหุ้นหลากหลาย ดังนั้น บริษัทจดทะเบียนอาจถูกครอบงำได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เสียงข้างมากถึง 51% บางครั้ง การถือหุ้นเพียง 25-30% ก็อาจทำให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ออกเสียงชนะจนสามารถกำหนดนโยบายของบริษัทได้)
การขยายเพดานการถือหุ้นจึงถือเป็นการเอื้อประโยชน์โดยตรงให้แก่ชาวต่างชาติเงินหนาที่จ้องจะมาครอบงำบริษัทจดทะเบียนไทย (ไม่เพียงแต่บริษัทโทรคมนาคมเท่านั้นที่ตกเป็นเหยื่อ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่รัฐบาลอุตส่าห์สงวนที่ทำกินบนแผ่นดินไทยไว้สำหรับคนไทย หรือบริษัทสาธารณูปโภคที่เป็นหัวใจในการบริหารประเทศก็สามารถตกอยู่ในเงื้อมมือของชาวต่างชาติได้)
ในเมื่อ การครอบงำบริษัทจดทะเบียนสามารถทำได้ด้วยการถือหุ้นเพียง 25-30% แล้วทำไมคนจึงกล่าวหาว่า การออกกฎหมายขยายเพดานการถือหุ้นเอื้อประโยชน์ต่อการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป?
นั่นเป็นเพราะบริษัทชินคอร์ปมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่ง ดังนั้น การเข้าถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปด้วยสัดส่วนเพียงร้อยละ 25-30 จะไม่สามารถทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้าครอบงำบริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือได้
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้เกี่ยวข้องกับนายกฯ ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปอยู่ในมือมากเกินไป มากจนกระทั่งนักลงทุนต่างชาติจะไม่สามารถกลืนบริษัทชินคอร์ปได้ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นเพียงร้อยละ 25 ดังนั้น ถ้ากฎหมายยังไม่ขยายเพดานการถือหุ้นให้ชาวต่างชาติ โอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะสนใจซื้อหุ้นชินคอร์ปแบบยกล็อตก็คงเป็นไปไม่ได้ (ไม่มีชาวต่างชาติคนไหนจะกล้าเสี่ยงซื้อบริษัทที่ตัวเองสามารถครองหุ้นได้เพียง 25% ในขณะที่ผู้ถือหุ้นไทยยังคงครองหุ้นส่วนใหญ่และสามารถซื้อหุ้นเพิ่มได้ถึงร้อยละ 75)
ดังนั้น การจะขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้ชาวต่างชาติได้ กฎหมายจึงต้องอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถถือครองหุ้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในขณะเดียวกับที่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นบริษัทไทย (นั่นคือ 49%)
คำถามที่ตามมาคือ... ทำไมผู้เกี่ยวข้องกับนายกจึงอยากขายหุ้นให้ชาวต่างชาติ? ทำไมจึงไม่ขายหุ้นให้กับคนไทย?
เหตุผลน่าจะมีอยู่ 2 ประการ
หนึ่ง ราคาหุ้นที่ขายให้คนไทยอาจไม่สูงเท่ากับราคาที่จะขายให้ชาวต่างชาติ
สอง คนไทยไม่มีเงินสดมากมายขนาดนั้นมาเทให้
ดังนั้น การแก้ไข กฎหมายขยายเพดาน จึงน่าจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้การขายหุ้นชินคอร์ปเป็นไปได้อย่างที่เป็นไปและได้ราคาอย่างที่อยากได้
แต่นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกรัฐบาลได้ออกมายืนยันว่า การแก้ กฎหมายขยายเพดาน เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2544 แต่การขายหุ้นชินคอร์ปเกิดขึ้นในปี 2549 ดังนั้น กฎหมายขยายเพดาน นี้จึงไม่เกี่ยวข้องหรือเอื้อประโยชน์ต่อการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป
คำแก้ต่างนี้ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากตามรูปการ แผนการขายหุ้นชินคอร์ปน่าจะได้วางกันมาตั้งแต่ปี 2544 หรือก่อนหน้านั้น (นายกทักษิณเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ก่อนหน้านั้น ท่านได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและหัวหน้าพรรคพลังธรรม)
รูปการทำให้เชื่อได้ว่า ตลอดเวลาที่ พ.ต.ท. ทักษิณ เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ท่านไม่เคยปล่อยวางจากการทำธุรกิจครอบครัว ทั้งนี้ดูได้จากพฤติกรรมการนำหุ้นไปซุกไว้กับคนในบ้าน การโอนหุ้นไปไว้ในเกาะฟอกเงิน การขายหุ้นให้ลูกชายในราคาพาร์ การโอนหุ้นให้พี่ชายต่างมารดาของคุณหญิงโดยไม่คิดมูลค่า การผ่องถ่ายหุ้นให้ลูกสาวที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะ (เพื่อที่สัดส่วนการถือหุ้นของลูกชายจะได้ไม่เกินร้อยละ 25 ที่ต้องทำการเสนอซื้อและเพื่อที่จะได้ไม่ต้องนำทรัพย์สินของลูกสาวมาแสดงรวมในบัญชีทรัพย์สินของตน) การตระเวนไปเจรจาการค้ากับสิงคโปร์ จีน พม่า และอีกหลายๆ ประเทศ (โดยมีลูกชายติดตามไปด้วย) รวมถึงการไปฉลองปีใหม่ที่ประเทศสิงคโปร์ก่อนที่การขายหุ้นชินคอร์ปจะเกิดขึ้น
แถมตลอดปี 2548 ผู้เกี่ยวข้องกับนายกฯได้ทยอยขายหุ้นชินคอร์ปออกมากวาดกำไรจนทำให้หุ้นชินคอร์ปที่เหลืออยู่ในมือของตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์มีจำนวนเท่ากับ 49% พอดิบพอดี (ตามที่ กฎหมายขยายเพดาน อนุญาตให้ชาวต่างชาติถือหุ้นในบริษัทไทย)
ข้อสังเกตนี้มาจากการคำนวณคร่าวๆ ตามข้อมูลที่มีอยู่คือ การขายหุ้นชินคอร์ปเกิดขึ้นด้วยราคา 73,300 ล้านบาท หุ้นที่ขายมีราคาประมาณหุ้นละ 49.25บาท โอ๊คซื้อหุ้นจากบริษัทแอมเพิล ริช จำนวน 164.9 ล้านหุ้น ถือเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.49 ดังนั้น จำนวนหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดที่ขายให้บริษัทเทมาเส็กจึงควรมีสัดส่วนประมาณ 49% (73,300/49.25 x 5.49/164.9)
การขายหุ้นชินคอร์ปตลอดปี 2548 เพื่อให้หุ้นที่เหลืออยู่มีสัดส่วนเท่ากับหุ้นที่ต้องขายให้บริษัทเทมาเส็กแสดงให้ถึงแผนการที่วางไว้เป็นอย่างดี แผนการเช่นนี้ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ และต้องปฏิบัติอย่างรัดกุม เป็นระบบ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดภาษีส่วนต่างราคา การประหยัดภาษีหัก ณ ที่จ่าย การประหยัดเงินจากการที่ไม่ต้องทำคำเสนอซื้อ (ถือหุ้นด้วยสัดส่วนร้อยละ 24.99 แทนที่จะเป็น 25%) การแก้กฎหมายขยายเพดานให้ชาวต่างชาติถือหุ้นในบริษัทไทยด้วยสัดส่วนสูงสุด (49%) การขายหุ้นชินคอร์ปให้ บริษัทเทมาเส็กด้วยจำนวนที่สูงที่สุด (49%) ด้วยราคาที่สูงที่สุด (73,300 ล้านบาท) และการทยอยขายหุ้นในปี 2548 จนเหลือหุ้นในมือเท่ากับจำนวนที่สามารถขายให้บริษัทเทมาเส็ก (49%)
เห็นอย่างนี้...ได้แต่ทึ่งแกมเศร้า
ทำไมหนอ.. คนที่เก่งขนาดนี้จึงมีแต่ความโลภจนกลายเป็นคนตาบอดตาใสมองเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม
ทำไมหนอ... ประเทศไทยจึงไม่มีวาสนาที่จะเห็นคนเก่ง คนดี คนมีศีลธรรมจริยธรรม มาช่วยพัฒนาประเทศชาติอย่างจริงจังกันสักที
-----------------------------
โค้ด
"พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้เกี่ยวข้องกับนายกฯ ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปอยู่ในมือมากเกินไป มากจนกระทั่งนักลงทุนต่างชาติจะไม่สามารถกลืนบริษัทชินคอร์ปได้ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นเพียงร้อยละ 25"