ขอบทความ ล่วงทุกข์ด้วยหุ้นครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 795
- ผู้ติดตาม: 0
ขอบทความ ล่วงทุกข์ด้วยหุ้นครับ
โพสต์ที่ 1
เป็นบทความค่อนข้างเก่า ผมหาใน google ไม่เจอครับ
ใครพอจะมี รบกวน ขอด้วยนะครับ
ขอบคุณมากครับ ขอให้ รวยๆ เฮงๆ นะครับ
ใครพอจะมี รบกวน ขอด้วยนะครับ
ขอบคุณมากครับ ขอให้ รวยๆ เฮงๆ นะครับ
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
- Outliers
- Verified User
- โพสต์: 527
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอบทความ ล่วงทุกข์ด้วยหุ้นครับ
โพสต์ที่ 2
อันนี้ป่ะครับ
ล่วงทุกข์ด้วยหุ้น
โลกในมุมมองของ Value Investor
ญาติมิตรและเพื่อนฝูงชอบมาปรับทุกข์กับผมว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่ได้รับนั้นน้อยเหลือเกิน มีช่องทางที่จะหาผลตอบแทนดีขึ้นหรือไม่ แน่นอน คำตอบของผมก็คือ ควรเอาเงินไปลงทุนซื้อหุ้นที่ให้ปันผลอย่างน้อยปีละ 3 – 4% โดยหุ้นที่ซื้อควรเป็นกิจการที่มั่นคง กำไรค่อนข้างจะสม่ำเสมอมาก ๆ มีการจ่ายปันผลมาตลอด ผู้บริหารมีบรรษัทภิบาลที่ดี เลือกซื้อหุ้นและถือหุ้นประเภทนี้ไว้สัก 4 – 5 บริษัท ผมรับประกันว่าได้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินแน่นอน โอกาสที่เงินต้นจะหายมีน้อยมากถ้าถือไว้ไม่น้อยกว่า 3 – 4 ปีขึ้นไป นี่คือวิธีแก้ทุกข์ด้วยหุ้นซึ่งได้ผล แต่คนก็มักไม่ใคร่ทำตามกันและความทุกข์เรื่องดอกเบี้ยต่ำก็ดำรงอยู่ต่อไป
การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มิใช่ว่าจะแก้ทุกข์ได้เฉพาะในเรื่องของเงินฝากดอกเบี้ยต่ำติดดิน แต่ยังช่วยปลดทุกข์ในชีวิตประจำวันเราได้หลาย ๆ เรื่อง และผมเรียนรู้เรื่องนี้เมื่อผมเริ่มชีวิตการเป็น Value Investor หลายปีมาแล้ว เหตุผลก็คือชีวิตเราทุกวันนี้ต้องพึ่งพาสินค้าและบริการหลากหลายมากมายและนี่เป็นเหตุให้บางครั้งเราเกิดทุกข์เพราะรู้สึกว่าถูก “เอาเปรียบ” หรือบางทีก็รู้สึก “อิจฉา” เจ้าของธุรกิจที่ทำกำไรมากมายจากการขายสินค้าหรือบริการให้เราในราคา “แพง” ความสัมพันธ์แบบนี้ทำให้ผู้บริโภคเป็นทุกข์ในขณะที่เจ้าของคงมีความสุขมาก และแน่นอน ถ้าเลือกได้ผมคงอยากเป็นเจ้าของ
โชคดีที่ว่าตลาดหุ้นของเรานั้นประกอบด้วยบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการจำนวนมากที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นโอกาสที่เราจะเป็น “เจ้าของ” ธุรกิจจึงมีมากมาย และดังนั้นโอกาสที่เราจะ “แก้ทุกข์” จึงทำได้ไม่ยากในหลาย ๆ กรณี
วันหนึ่งนานมาแล้ว ผมขับรถเข้าไปใช้บริการในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ก่อนเข้าพนักงานควบคุมที่จอดรถเก็บเงินผม 30 บาทพร้อมกับมอบบัตรจอดรถซึ่งผมต้องเวียนรถหาที่จอดอีกนาน ขากลับผมถูกชาร์จเพิ่มเติมอีกเพราะเขาบอกว่าจอดรถเกิน 4 ชั่วโมง ผมหงุดหงิดมากที่ต้องจ่ายเงินเฉพาะค่าจอดรถหลายสิบบาททั้งที่เป็นลูกค้า ในใจผมคิดว่าเฉพาะค่าจอดรถก็คงทำให้เจ้าของร่ำรวยไม่น้อย โชคดีที่บริษัทนี้เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผมจึงแก้ทุกข์นี้โดยการเข้าไปซื้อหุ้นเป็นเจ้าของกิจการคนหนึ่ง คราวต่อมาที่ผมเข้าไปใช้บริการ ผมควักเงินจ่ายค่าที่จอดรถอย่างเต็มใจและยินดี ผมไม่รู้สึกเป็นทุกข์อีก ในใจผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ถ้ามีคนต้องการเอารถมาจอดมากกว่าที่จอดรถที่มี ราคาก็จะต้องขึ้นไปเพื่อให้เกิดความสมดุล คนใช้รถเขายินดีที่จะจ่าย การคิดค่าจอดรถแพงเป็นเรื่องที่ยุติธรรมและสมควร
หลายเดือนก่อนผมพาลูกสาวไปรักษาสิวที่โรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะต้องไปทำไอออนโตเกือบทุกสัปดาห์ติดต่อกันหลายเดือน แต่ละครั้งผมต้องจ่ายค่าบริการ 750 บาท ผมเองไม่ทราบว่ากระบวนการของโรงพยาบาลจะดีเด่นหรือแตกต่างกับที่อื่นแค่ไหน แต่ดูแล้วไม่น่าจะแตกต่างเพราะเครื่องทำก็คงเหมือนกัน ตัวยาเองก็น่าจะเหมือนกันได้ แต่คลีนิคแถวบ้านผมนั้น เขาคิดค่าบริการเพียงไม่เกิน 200 บาทต่อครั้ง เข้าใจว่าโรงพยาบาลอื่นก็ราคาถูกกว่าพอสมควร แต่ผมคงไม่เปลี่ยนโรงพยาบาล เพียงแต่กำลังคิดว่าจะแก้ทุกข์นี้ด้วยการไปซื้อหุ้นของเขาในตลาดหลักทรัพย์ เพราะดูแล้วบริษัทน่าจะมีกำไรมหาศาล
ผมเป็นคนขี้ร้อนและเหงื่อออกง่ายมากทุกครั้งที่เดินไปรับประทานอาหารกลางวันนอกสำนักงาน ในช่วงฤดูร้อนจะเป็นเวลาที่ผมหงุดหงิดและเป็นทุกข์มากที่สุด ในใจผมคิดว่าประเทศไทยนั้นดีทุกอย่างยกเว้นเรื่องอากาศที่ร้อนจนแทบคลั่ง นั่นคือความคิดก่อนที่ผมจะซื้อหุ้นของบริษัทน้ำอัดลมแห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ เพราะหลังจากที่เป็น “เจ้าของ” บริษัทน้ำอัดลม ผมรู้ว่าวันที่อากาศร้อนจัดคือวันที่น้ำอัดลมขายดีเป็นพิเศษ และปีไหนที่อากาศร้อนผิดปกติ กำไรของบริษัทก็จะมากขึ้น ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่ผมเดินอยู่นอกออฟฟิศ และรู้สึกร้อนผมจะไม่บ่นหรือหงุดหงิดอีกเลย เพราะผมรู้ว่าบริษัทจะได้กำไรดีขึ้น ปันผลของผมจะมากขึ้นและราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น ผมไม่รู้ว่าจะทุกข์ไปทำไม
ตรงกันข้ามกับเรื่องการแก้ทุกข์ ในบางครั้งเรามีความสุขกับการใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทจดทะเบียนมากเกินกว่าราคาที่จ่ายไปโดยที่เหตุผลหลักมักมาจากการแข่งขันของผู้ให้บริการที่มีมากเกินไปและต่างก็อยากได้ธุรกิจจากเรา ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดก็คือ การแข่งขันกันลดราคาค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงที่เปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น ซึ่งบางรายลดกันจนเหลือศูนย์เปอร์เซ็นต์ หรือในกรณีที่อ่อนลงมาหน่อยก็คือ การแข่งขันกันในกรณีของบัตรเครดิตที่มีการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ถือบัตรเป็นต้น ในกรณีเช่นนี้ เราคงไม่อยากเป็นผู้ถือหุ้นแต่อยากเป็นผู้ใช้บริการมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เป็นทุกข์หรือเป็นสุข การเป็นนักลงทุนแบบ Value Investor สามารถที่จะใช้การลงทุนเข้ามาแก้ปัญหา แก้ทุกข์และสร้างความสุขได้ ว่าไปแล้วการลงทุนเป็นเหมือนยาครอบจักรวาลที่รักษาโรคเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินส่วนตัวของแต่ละคนได้ บ่อย ๆ ครั้งก็สามารถบรรเทาทุกข์ที่เกิดจากเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างคาดไม่ถึง
คราวหลังมีทุกข์หรือเดือดเนื้อร้อนใจอะไร ถ้าไม่ใช่เป็นโรคทางกายที่จะต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล ลองคิดดูสิครับว่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะพอช่วยได้ไหม?
ล่วงทุกข์ด้วยหุ้น
โลกในมุมมองของ Value Investor
ญาติมิตรและเพื่อนฝูงชอบมาปรับทุกข์กับผมว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่ได้รับนั้นน้อยเหลือเกิน มีช่องทางที่จะหาผลตอบแทนดีขึ้นหรือไม่ แน่นอน คำตอบของผมก็คือ ควรเอาเงินไปลงทุนซื้อหุ้นที่ให้ปันผลอย่างน้อยปีละ 3 – 4% โดยหุ้นที่ซื้อควรเป็นกิจการที่มั่นคง กำไรค่อนข้างจะสม่ำเสมอมาก ๆ มีการจ่ายปันผลมาตลอด ผู้บริหารมีบรรษัทภิบาลที่ดี เลือกซื้อหุ้นและถือหุ้นประเภทนี้ไว้สัก 4 – 5 บริษัท ผมรับประกันว่าได้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินแน่นอน โอกาสที่เงินต้นจะหายมีน้อยมากถ้าถือไว้ไม่น้อยกว่า 3 – 4 ปีขึ้นไป นี่คือวิธีแก้ทุกข์ด้วยหุ้นซึ่งได้ผล แต่คนก็มักไม่ใคร่ทำตามกันและความทุกข์เรื่องดอกเบี้ยต่ำก็ดำรงอยู่ต่อไป
การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มิใช่ว่าจะแก้ทุกข์ได้เฉพาะในเรื่องของเงินฝากดอกเบี้ยต่ำติดดิน แต่ยังช่วยปลดทุกข์ในชีวิตประจำวันเราได้หลาย ๆ เรื่อง และผมเรียนรู้เรื่องนี้เมื่อผมเริ่มชีวิตการเป็น Value Investor หลายปีมาแล้ว เหตุผลก็คือชีวิตเราทุกวันนี้ต้องพึ่งพาสินค้าและบริการหลากหลายมากมายและนี่เป็นเหตุให้บางครั้งเราเกิดทุกข์เพราะรู้สึกว่าถูก “เอาเปรียบ” หรือบางทีก็รู้สึก “อิจฉา” เจ้าของธุรกิจที่ทำกำไรมากมายจากการขายสินค้าหรือบริการให้เราในราคา “แพง” ความสัมพันธ์แบบนี้ทำให้ผู้บริโภคเป็นทุกข์ในขณะที่เจ้าของคงมีความสุขมาก และแน่นอน ถ้าเลือกได้ผมคงอยากเป็นเจ้าของ
โชคดีที่ว่าตลาดหุ้นของเรานั้นประกอบด้วยบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการจำนวนมากที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นโอกาสที่เราจะเป็น “เจ้าของ” ธุรกิจจึงมีมากมาย และดังนั้นโอกาสที่เราจะ “แก้ทุกข์” จึงทำได้ไม่ยากในหลาย ๆ กรณี
วันหนึ่งนานมาแล้ว ผมขับรถเข้าไปใช้บริการในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ก่อนเข้าพนักงานควบคุมที่จอดรถเก็บเงินผม 30 บาทพร้อมกับมอบบัตรจอดรถซึ่งผมต้องเวียนรถหาที่จอดอีกนาน ขากลับผมถูกชาร์จเพิ่มเติมอีกเพราะเขาบอกว่าจอดรถเกิน 4 ชั่วโมง ผมหงุดหงิดมากที่ต้องจ่ายเงินเฉพาะค่าจอดรถหลายสิบบาททั้งที่เป็นลูกค้า ในใจผมคิดว่าเฉพาะค่าจอดรถก็คงทำให้เจ้าของร่ำรวยไม่น้อย โชคดีที่บริษัทนี้เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผมจึงแก้ทุกข์นี้โดยการเข้าไปซื้อหุ้นเป็นเจ้าของกิจการคนหนึ่ง คราวต่อมาที่ผมเข้าไปใช้บริการ ผมควักเงินจ่ายค่าที่จอดรถอย่างเต็มใจและยินดี ผมไม่รู้สึกเป็นทุกข์อีก ในใจผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ถ้ามีคนต้องการเอารถมาจอดมากกว่าที่จอดรถที่มี ราคาก็จะต้องขึ้นไปเพื่อให้เกิดความสมดุล คนใช้รถเขายินดีที่จะจ่าย การคิดค่าจอดรถแพงเป็นเรื่องที่ยุติธรรมและสมควร
หลายเดือนก่อนผมพาลูกสาวไปรักษาสิวที่โรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะต้องไปทำไอออนโตเกือบทุกสัปดาห์ติดต่อกันหลายเดือน แต่ละครั้งผมต้องจ่ายค่าบริการ 750 บาท ผมเองไม่ทราบว่ากระบวนการของโรงพยาบาลจะดีเด่นหรือแตกต่างกับที่อื่นแค่ไหน แต่ดูแล้วไม่น่าจะแตกต่างเพราะเครื่องทำก็คงเหมือนกัน ตัวยาเองก็น่าจะเหมือนกันได้ แต่คลีนิคแถวบ้านผมนั้น เขาคิดค่าบริการเพียงไม่เกิน 200 บาทต่อครั้ง เข้าใจว่าโรงพยาบาลอื่นก็ราคาถูกกว่าพอสมควร แต่ผมคงไม่เปลี่ยนโรงพยาบาล เพียงแต่กำลังคิดว่าจะแก้ทุกข์นี้ด้วยการไปซื้อหุ้นของเขาในตลาดหลักทรัพย์ เพราะดูแล้วบริษัทน่าจะมีกำไรมหาศาล
ผมเป็นคนขี้ร้อนและเหงื่อออกง่ายมากทุกครั้งที่เดินไปรับประทานอาหารกลางวันนอกสำนักงาน ในช่วงฤดูร้อนจะเป็นเวลาที่ผมหงุดหงิดและเป็นทุกข์มากที่สุด ในใจผมคิดว่าประเทศไทยนั้นดีทุกอย่างยกเว้นเรื่องอากาศที่ร้อนจนแทบคลั่ง นั่นคือความคิดก่อนที่ผมจะซื้อหุ้นของบริษัทน้ำอัดลมแห่งหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ เพราะหลังจากที่เป็น “เจ้าของ” บริษัทน้ำอัดลม ผมรู้ว่าวันที่อากาศร้อนจัดคือวันที่น้ำอัดลมขายดีเป็นพิเศษ และปีไหนที่อากาศร้อนผิดปกติ กำไรของบริษัทก็จะมากขึ้น ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่ผมเดินอยู่นอกออฟฟิศ และรู้สึกร้อนผมจะไม่บ่นหรือหงุดหงิดอีกเลย เพราะผมรู้ว่าบริษัทจะได้กำไรดีขึ้น ปันผลของผมจะมากขึ้นและราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น ผมไม่รู้ว่าจะทุกข์ไปทำไม
ตรงกันข้ามกับเรื่องการแก้ทุกข์ ในบางครั้งเรามีความสุขกับการใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทจดทะเบียนมากเกินกว่าราคาที่จ่ายไปโดยที่เหตุผลหลักมักมาจากการแข่งขันของผู้ให้บริการที่มีมากเกินไปและต่างก็อยากได้ธุรกิจจากเรา ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดก็คือ การแข่งขันกันลดราคาค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงที่เปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น ซึ่งบางรายลดกันจนเหลือศูนย์เปอร์เซ็นต์ หรือในกรณีที่อ่อนลงมาหน่อยก็คือ การแข่งขันกันในกรณีของบัตรเครดิตที่มีการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ถือบัตรเป็นต้น ในกรณีเช่นนี้ เราคงไม่อยากเป็นผู้ถือหุ้นแต่อยากเป็นผู้ใช้บริการมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เป็นทุกข์หรือเป็นสุข การเป็นนักลงทุนแบบ Value Investor สามารถที่จะใช้การลงทุนเข้ามาแก้ปัญหา แก้ทุกข์และสร้างความสุขได้ ว่าไปแล้วการลงทุนเป็นเหมือนยาครอบจักรวาลที่รักษาโรคเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงินส่วนตัวของแต่ละคนได้ บ่อย ๆ ครั้งก็สามารถบรรเทาทุกข์ที่เกิดจากเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างคาดไม่ถึง
คราวหลังมีทุกข์หรือเดือดเนื้อร้อนใจอะไร ถ้าไม่ใช่เป็นโรคทางกายที่จะต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล ลองคิดดูสิครับว่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะพอช่วยได้ไหม?
The Miracle of 10,000 hrs
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 795
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอบทความ ล่วงทุกข์ด้วยหุ้นครับ
โพสต์ที่ 3
ใช่เลยครับ ขอบพระคุณมากครับ คุณ outlier ขอให้รวยๆ เฮงๆ นะครับ
บทความนี้ ดร.เขียนมานาน แต่ผมคิดว่า ก็ยังทันสมัยอยู่เสมอนะครับ
บทความนี้ ดร.เขียนมานาน แต่ผมคิดว่า ก็ยังทันสมัยอยู่เสมอนะครับ
Miracle Happens Everyday !
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
"ปาฎิหารย์คือการเดินบนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2448
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขอบทความ ล่วงทุกข์ด้วยหุ้นครับ
โพสต์ที่ 5
คล้ายกับแนวทาง ในหนังสือ ตีแตก นั่นเอง....หุ้นมี 4 ร้อยกว่าตัว ขอตีแตกปีละ 1-2 ตัว ผมก็พอใจแล้วครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่