แชร์กันเพียบ! รถคันแรก...จากมุมมอง พัฒนเดช กูรูเรื่องรถ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4254
- ผู้ติดตาม: 1
แชร์กันเพียบ! รถคันแรก...จากมุมมอง พัฒนเดช กูรูเรื่องรถ
โพสต์ที่ 1
แชร์กันเพียบ! รถคันแรก...จากมุมมอง พัฒนเดช กูรูเรื่องรถ
แม้สิทธิ์การขอคืนภาษีจากนโยบายลดคันแรกจะสิ้นสุดลงไปพร้อมกับปี 2555 แต่หลากหลายประเด็นคำถามก็ยังคงผุดขึ้นในใจของใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็น "โครงการนี้ดีจริงหรือไม่?", "ใครคือผู้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริง?" และคำถามยอดฮิตที่ว่า "แล้วต่อไปรถจะติดขนาดไหน?" ซึ่งหลาย ๆ คนก็คงรู้คำตอบในใจอยู่แล้วล่ะ
นิตยสาร Way Magazine ก็ได้เกาะกระแสเรื่องนี้เช่นกัน โดยได้ไปพูดคุยเรื่องนโยบายรถคันแรกกับ "พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ" หรือที่คนในวงการรถเรียกว่า "น้าเดช" กูรูเรื่องยานยนต์ที่หลาย ๆ คนรู้จักเป็นอย่างดี และบทสัมภาษณ์ของเขาก็ถูกแชร์ในโลกไซเบอร์กันเพียบ เพราะมีมุมมองที่โดนใจใครหลาย ๆ คนไม่น้อย
อย่างแรก ใครล่ะจะเชื่อว่า "น้าเดช" ผู้คร่ำหวอดในวงการรถมาหลายสิบปีก็เป็นหนึ่งในผู้ขอใช้สิทธิ์รถคันแรกกับเขาด้วยเช่นกัน เพราะรถ 8 คันของเขาก่อนหน้านี้ซื้อในนามบริษัท แต่รถกระบะป้ายแดงที่เพิ่งถอยออกมาใหม่ล่าสุด ถือเป็นรถคันแรกในนามชื่อตัวเอง ซึ่ง "น้าเดช" บอกอย่างตรงไปตรงมา ว่า "ก็ผมได้คืนเงิน ได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ และมีกำลังที่จะซื้อด้วย"
แต่สำหรับคนอื่น ๆ เขามีบางข้อมูลและความคิดมาสะกิดเตือนเกี่ยวกับนโยบายรถคันแรกที่กระตุ้นให้หลายคนได้เป็นเจ้าของรถของตัวเอง ลองไปติดตามบทสัมภาษณ์จาก Way Magazine กัน
คุณมีมุมมองและความเห็นต่อนโยบายคืนภาษีรถคันแรกอย่างไร?
ถ้าพูดถึงรถคันแรก ต้องพูดอดีต วันนี้ พรุ่งนี้ อดีตคือตอนที่จะเกิด เป็นธรรมดาของทุกรัฐบาลไม่ว่าฝ่ายไหน ก็ต้องการให้ประชาชนชอบ เลยต้องมีนโยบายที่คิดว่าคนชอบ แต่ว่าการเกิดของโครงการรถคันแรก ด้วยความเห็นส่วนตัวผม แนวคิดดี แต่ข้อบกพร่องค่อนข้างเยอะ เช่น รัฐบาลจะไปช่วยธุรกิจอะไรก็ตาม มันต้องไปช่วยธุรกิจที่เอาตัวไม่รอด แต่ธุรกิจรถยนต์มันเป็นธุรกิจเฟื่องฟู ทำเท่าไหร่ก็ขายไม่พออยู่แล้วสำหรับประเทศไทย จะเห็นว่าแม้จะผ่านน้ำท่วมมาแล้วก็ยังขายถล่มทลาย ไม่มีรถคันแรกก็ตั้งเป้าอยู่แล้วว่า 1,100,000 คัน มันเป็นการไปช่วยธุรกิจที่ยืนได้อยู่แล้ว ทำให้มันเสียระบบ
อย่างบริษัทผมมีพนักงาน 22 คน มีสิทธิ์จริง ๆ แค่ 3 คน ถามว่าทำไมไม่ซื้อ พนักงานผมบอก ไม่มีเงินดาวน์อยู่แล้ว 8 หมื่น ไม่ใช่พอไปซื้อลด 5 หมื่น แล้วจะดาวน์แค่ 3 หมื่น ยังไงต้องหาเงินมาดาวน์ 8 หมื่นอยู่ดี เพื่อรอคืนปีหน้า งั้นก็ต้องไปกู้ ตรงนี้ทำให้เกิดช่องโหว่
ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีการยืมเครดิตและสวมสิทธิ์ เธอไม่ซื้อเหรอ ฉันใช้ชื่อเธอนะ ฉะนั้นพวกเต็นท์ก็มาสวมแบบนี้ ซื้อรถที่ได้ส่วนลดเยอะ ๆ 8 หมื่น แล้วก็ให้ค่าชื่อ 1 หมื่น แล้วเขาบอกว่าห้ามโอน โถ…รถยนต์ร้อยละ 90 ในตลาดน่ะ โอนลอยทั้งนั้น
ถามว่ายอดขายรวมปีนี้ผิดความคาดหมายไหม ไม่ผิดเลยครับ ถ้าคนในวงการจะรู้ว่าตัวเลขจะมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้ากำลังการผลิตมี ถ้ารัฐบาลไม่อั้นไว้ว่าไม่ส่งมอบให้ทันเกิน 30 มิถุนายนนะ ตัวเลขมากกว่านี้อีกบานเลย เพราะคนจะถูกยืมเครดิตมาซื้อเยอะมาก
ไม่ซื้อตอนนี้ก็โง่แล้ว?
คือถ้าคุณคิดว่าคุณเงินเดือน 15,000 ผ่อนรถ 6,000 เหลือ 9,000 คุณคิดว่าไหว ผมว่าคุณล่มตั้งแต่แรก เพราะมันมีค่าน้ำมัน ค่าโน่นนี่อย่างที่บอก พอเข้าปีที่สองคุณจะเปลี่ยนยาง 4 เส้น คุณต้องเริ่มหาร้านผ่อนยาง 0 เปอร์เซ็นต์ล่ะ คุณบอกงั้นจอดทิ้งไว้ที่บ้านเฉย ๆ สิ คุณลองคำนวณเวลาคุณขายต่อสิ ว่าวันหนึ่งเงินคุณหายไปวันละเท่าไหร่
คนที่ไปกู้มาซื้อจะยุ่งมากเลยนะ เอาเป็นว่าคืน หลังจากปีที่สอง หากคุณไม่มีกำลังผ่อนล่ะ ทำไง ไฟแนนซ์ยึด เขาต้องไปดูสภาพรถ คุณยังค้างหนี้อีก 4 แสน รถคันนี้ขายได้ 3 แสน เขาฟ้องคุณ 1 แสน อันนี้ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือเงิน 8 แปดหมื่นที่คุณได้ ต้องคืนรัฐบาลนะครับ เพราะมีการเปลี่ยนมือแล้ว ก็มีคนถาม งั้นก็ไปขายโอนลอยสิ อ๋อ ถ้าโอนลอยตอนนี้เต็นท์รู้แล้วว่าคุณเดือดร้อน คุณจะต้องเสีย 8 หมื่น ราคารถคุณจะหายไปเท่าไหร่ เพราะเขารู้ว่าคุณจะโอนลอยหลังจากผ่านปีแรกแล้ว คุณเดือดร้อนแน่
พวกเจียนอยู่เจียนไปแบบนี้จะทำอย่างไร?
สิ่งที่ผมแนะนำคือ เมื่อคุณได้เงินจากรัฐบาลแล้ว คุณอย่าเอาเงินก้อนนั้นไปทำอะไรเลยนะ คุณเข้าแบงก์ รอจนกว่าจะผ่าน 5 ปี แล้วคุณถึงจะเอาเงินตรงนั้นมาใช้ได้ คือไม่ใช่แค่คุณไม่มีปัญญาผ่อนอย่างเดียวนะ ขับ ๆ ไปรถสิบล้อชน ปัง! ปีที่สองที่สามไม่มีประกันชั้นหนึ่งแล้ว มีแต่ประกันกันชั้นสามแล้ว ได้เงินค่าซากมาคุณจะทำยังไงกับเงินก้อนนั้น ไปตัดไฟแนนซ์ที่เหลือ รถเป็นซากไปแล้วประกันต้องให้คุณโอนทะเบียนให้เขาอยู่แล้วเพื่อเอาเงินค่าซาก การโอนแบบนี้ รัฐบาลจะถือว่าเปลี่ยนมือไหม ถ้าเปลี่ยนมือคุณก็ต้องคืนภาษีสิ ยุ่งตายโหงเลยนะ
เรื่องนายทุนขู่จะย้ายฐานการผลิตหลังจากเหตุน้ำท่วมมีผลทำให้เกิดนโยบายรถคันแรกด้วยใช่ไหม?
ผมว่ามันเป็นเรื่องคิดเอง พูดเอง ถามบริษัทระดับใหญ่ ๆ อย่างฮอนด้า โตโยต้า ก็ได้ เขาไม่อยากให้เกิดโครงการนี้หรอก เพราะหลังน้ำท่วมเขาเร่งผลิตอยู่แล้ว ถ้าหลังน้ำท่วม รถผลิตมากองเต็มตลาดไม่มีคนซื้อ ไอ้นั่นอีกเรื่อง แต่ทุกบริษัทยืนยันว่าปีนี้ทะลุล้านแน่นอนเลย เพราะเขาวางแผนการเติบโตเป็นขั้นเป็นตอนอยู่แล้ว แต่คุณไปเร่งใส่ปุ๋ย ทำให้เขารวน ปีหน้าเกิดอะไรขึ้น โรงงานขนาดใหญ่คุณไม่ต้องห่วงหรอก ทุนเขามี ระบบเขาดีอยู่แล้ว
ถามว่าทำไมเมืองไทยเนื้อหอมสำหรับวงการรถยนต์ ผมบอกได้ว่า 1.โง่จริง 2.แกล้งโง่ ที่ว่าเขาจะหนีไปจากบ้านเรา ไม่หนีหรอกครับมีแต่จะมา โรงงานฟอร์ดที่ฟิลิปปินส์ก็ต้องปิดเพราะสู้เราไม่ได้ ที่ญี่ปุ่นยอดขายเขาตกฮวบทุกปีเลยนะครับ เพราะเขานั่งรถไฟฟ้ากัน ที่จอดรถก็ไม่พอ ขนส่งสาธารณะเขาดี
แต่ SME ได้ผลประโยชน์จากการผลิตอะไหล่?
สิ่งที่คุณต้องห่วงคือพวกโรงงานเล็ก โรงงานน้อย SME ที่รัฐบาลอยากส่งเสริม Subcontract ทั้งหลายนั่นแหละ ปีนี้ (2555) เคยวางแผนว่าปีนี้จะส่งให้โรงงานโตโยต้า 100 ชิ้น ปีหน้าเพิ่มกำลังเป็น 110 ชิ้น อีกปี 130 ชิ้น อยู่ ๆ ปีนี้ปาเข้าไป 150 ชิ้น พวกนี้ทำไง ก็ต้องจ้างคนงานเพิ่ม ค่าแรงก็ถูกบวกเพิ่มเป็น 300 บาท ลงเครื่องจักรใหม่เหรอ ปีเดียวก็ยังไม่คืนทุน ปีหน้าพอกำลังการผลิตเขาถอยลง เขาคาดการณ์อย่างต่ำว่าลดลงแน่ ๆ 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วพวกนี้จะทำยังไง นี่เป็นสิ่งที่คนในวงการรถยนต์เห็นกัน ทุกบริษัทบอกว่าปีหน้า ครึ่งปีแรกไม่มีผลกระทบหรอก เพราะยังผลิตรถส่งต่อ แต่ครึ่งปีหลังมิถุนายน เห็นผลตรงบริษัทเล็กจะดิ้นรนหนีตาย จะเกิดสงครามขึ้นอย่างรุนแรงในวงการ
ธุรกิจรถมือสองในปีหน้าจะเป็นอย่างไร?
มันทำให้ธุรกิจรถมือสองตายไปแล้ว ตั้งแต่ประกาศโครงการ ถ้าคุณเป็นเจ้าของเต็นท์ คุณซื้อซีวิคมาไว้ในราคา 400,000 เพื่อรอขาย พอเขาประกาศโครงการรถคันแรก ถามว่าจะมีคนซื้อไหม คุณยอมซื้อซิตี้ดีกว่า ใหม่เอี่ยมเลย ได้ลดตั้งแสน ตลาดรถมือสองมันตายเลยไง
มันจะตายต่อในอีกสองปี ยกตัวอย่าง คุณสองคนซื้อนิสสันมาร์ชรุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน คนหนึ่งไม่ใช้สิทธิ์ซื้อในราคา 520,000 อีกคนหนึ่งใช้สิทธิ์ซื้อได้ในราคา 450,000 อีกสองปีคุณเอารถสองคันนี้ไปขาย ถามว่าตลาดรถมือสองจะตีในราคาต้นทุนเท่าไหร่ เขาจะตีในต้นทุน 420,000 คือคนที่ไม่ใช้สิทธิ์เนี่ย พูดในภาษาไทยว่า เสียค่าโง่ไปแล้ว ทำไมไม่เอาสิทธิคนอื่นใช้วะ ตอนขายยังเสียค่าโง่อีก นี่คือปัญหาใต้พรม
เต็นท์ที่มียอดขายมากๆ ก็จะมีแบงก์เข้ามาอุ้ม ทุกวันนี้เต็นท์มันมีสังกัดหมดแหละครับ เต็นท์ยอดขายต่ำก็มีแต่จะแย่ เวลาแบงก์ยึดมาได้ก็จะเอามาประมูล เต็นท์ที่มีสังกัดก็จะได้ดอกเบี้ยถูก ได้เงินกู้จากเขาไปซื้อสินค้าจากเขา (รถที่ถูกยึด) แต่เต็นท์เล็ก ๆ จะลำบาก
แต่โครงการรถคันแรกถือว่าถูกจริตคนไทยอย่างจัง?
คนที่ซื้อเพราะจำเป็นต้องใช้รถ มีวินัยการเงินดี ตรงนี้โอเคเลย ผมไม่ได้ไปแตะต้อง แต่คนไทย โอ้โห ยิ้มได้ลดตั้งแสน ไม่ซื้อเสียดายตายห่า พวกนี้แหละจะเจ๊ง ทั้งที่จริง ๆ ยังไม่มีความจำเป็นต้องซื้อเลย ยกตัวอย่าง คนที่มีบ้านอยู่บางแค บางใหญ่เริ่มทำงาน ซื้อรถคันแรกได้ส่วนลด ใช้ไปสามปี รถไฟฟ้าไปถึงล่ะ ถามว่าคน ๆ นั้นจะตัดสินใจยังไง 1.จอดรถทิ้งไว้ที่บ้าน ประหยัด นั่งรถไฟฟ้าเข้ามาทำงาน 2.กูมีรถแล้ว ดันทุรังขับเข้ามา น้ำมันก็แพง รถก็ติด 3.ขายรถ ก็นำเงินภาษีไปคืนรัฐบาล เพราะงั้นผู้บริโภคต้องวางแผนให้ชัดเจน ไม่งั้นเดือดร้อน
พฤติกรรมการซื้อรถของคนในบ้านเราเป็นอย่างไร?
ผมพยายามบอกว่าคนไทยถูกหลอกว่าระบบโน้นดี ระบบนี้ดี คุณต้องการรถประหยัด แต่คุณไปซื้อรถที่มี mp3 เล่นซีดี กระจกขึ้นลงไฟฟ้าหมด ไม่มีความจำเป็นในการใช้รถเลย รถหนึ่งคันถ้าคุณถอดพวกนั้นหมดจากราคา 5 แสน เหลือไม่ถึง 4 แสน ไอระบบบ้า ๆ บอ ๆ ช่วยคุณจอด ถ้าคุณยังจอดรถไม่ได้คุณจะไปซื้อรถทำห่าอะไรวะ ระบบไฟฟ้าเปิดอัตโนมัติ ไม่รู้ว่ามันมืดแล้วต้องเปิดไฟเหรอวะ กุญแจอัจฉริยะ หมุนกุญแจแค่นี้จะตายเหรอ
ผมเขียนไปแบบนี้ ฝรั่งเขียนมาด่าผมเช็ดว่าผมขวางการพัฒนาเทคโนโลยี แต่ผมคิดแบบคนไทยไงแบบลูกหลานผม สมมติเรียนมหาวิทยาลัยไกล ๆ หรือที่ทำงาน ถ้ามีรถไปเพื่อไป-กลับแค่นี้ คุณจะไปมี GPS เพื่อห่าอะไร คุณหลงทางเหรอ แค่ไปมหาวิทยาลัย ที่ทำงาน บางคนก็บอกผมว่าพี่ก็พูดได้ ผมอยากมีรถสักคันก็อยากได้ตัวท็อปสุด โอเคผมก็ไม่รู้จะว่าไง
หรือเพราะประเทศไทยปล่อยให้ครอบครองรถง่ายเกินไป?
วัฒนธรรม… การคิดแบบไทยมันสวนโลก ยกตัวอย่างมอเตอร์ไซค์ก็ได้ สมัยผมต้องอายุ 18 ถึงมีใบขับขี่ได้ ต่อมาก็ลดเหลือ 15 ปี เด็ก 15-16 รับผิดชอบอะไรได้ ปัญหามันเลยเกิดไง คนขับรถยนต์ 18 ได้ใบขับขี่ล่ะ ยิ้มซักผ้าเองยังไม่ได้เลย แต่คุณให้ขับรถขึ้นไปบนถนน ผมถึงไม่เคยโทษพวกนี้ไง เพราะสังคมเห็นด้วย อนุมัติเขา สังคมคือกฎหมาย ก็เรายอมให้เกิดแบบนี้ สมมติว่าเซ็นทรัลไม่ให้จอดล่ะ เดี๋ยวเช่าที่แดนเนรมิตให้แล้วเดินมาใกล้ ๆ คุณว่าจะมีคนเข้าห้างเขาไหม ไม่มีหรอก
คือมันผิดตั้งแต่กระบวนการทางความคิด เราส่งเสริมอุตสาหกรรมรถโตขึ้น ให้คนซื้อรถง่ายขึ้น คิดได้ยังไง แทนที่จะโตแบบมีคุณภาพ คนบ่น ไปจำกัดมากเดี๋ยวรถมันขายไม่ได้ คนจะตกงาน คนกลัวรถจะขายไม่ได้ไง เลยทำให้เราได้คนไม่มีคุณภาพเข้ามาอยู่ในรถมากขึ้น ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องขับเก่งหมด แต่รถมันเป็นเครื่องจักรอันตราย ต่อคุณและคนอื่น แล้วเราจะได้ของอันตรายบนท้องถนนอีกเยอะมาก
นิสัยการขับรถก็อีกอย่าง คุณลองคิดสภาพนะ รถจอดรออยู่สามแถว อยู่ ๆ มีคันหนึ่งเลาะไหล่ข้าง คุณคิดล่ะ ยิ้มนี้มารยาทไม่ดี คันที่สองมา พวกนี้เลวเว้ย คันที่สามมา คุณคิด หรือกูต้องไปกับมันวะ พอคนที่ห้ามา คุณคิดล่ะ กูโง่ยิ้มทำไมไม่ไปกับมันวะ แล้วคุณก็ต้องไปกับมัน บางทีผมก็ไปนะ ยอมรับเลย คือสังคมมันกลายเป็นว่า คนโง่เท่านั้นที่ทำตามระเบียบ
คนไทยเราชอบทำตัวเป็นตำรวจ เป็นอัยการ เป็นศาลได้หมดบนถนน กูไม่ให้แซง พอขี่ช้าต้องบีบแตรไล่ พอแซงได้ต้องลงโทษ โฉบปาดหน้า เป็นศาลตัดสิน ไอ้นี่สมควรตาย กูจะเบียดให้ตกถนน ถนนทุกวันนี้มันเหมือนโคลิเซี่ยมสมัยโรมัน สัตว์ร้ายที่เข้มแข็งเท่านั้นจึงจะอยู่รอด ไม่มีการให้อภัยกัน ทุกคนเอาคืนกันหมด
ทำไมบางคนมีคอนโดฯ ติดกับรถไฟฟ้า ก็ยังต้องซื้อรถยนต์อยู่ดี?
ผมถึงบอกว่า นโยบายรัฐบาลอยากช่วยประชาชนรากหญ้า แต่มันไม่ใช่ เพราะรถส่วนใหญ่ของโครงการมันเป็นรถใช้ในเมือง รถขนาดเล็ก แต่ถ้าเป็นตัวหลักเลยนะครับ คือวัฒนธรรมไทยเรา คนไทยรอไม่ได้ถ้าแถวยาว อีกอย่างในกรุงเทพฯ มันเป็นเมืองประชากรหลั่งไหล รกรากในกรุงเทพฯ มีอยู่สัก 30 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือจากต่างจังหวัด ทีนี้พวกเทศกาลไทยต่าง ๆ สงกรานต์ฉันต้องกลับบ้าน เข้าพรรษาต้องไปหาแม่ เป็นต้น
ไม่ปลื้มระบบขนส่ง?
เนี่ย คือระบบ Mass Transit ขนส่งมวลชนสาธารณะบ้านเรามันไม่ต่อเชื่อม อย่างที่บอกว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองอพยพไง พอถึงเทศกาลก็กลับบ้านเกิด รถทัวร์เต็ม รถไฟเต็ม เครื่องบินเต็ม กูมีรถดีกว่าวะ ชั่ว ๆ ดี ๆ เอาไว้กลับบ้าน แต่ถ้ารัฐส่งเสริมระบบพวกนี้ดี ๆ
ความจำเป็นในการมีรถจึงจะน้อยลง
ระบบขนส่งมวลชนพวกนี้ก็ไม่วางแผนตัวเอง แม้กระทั่งแบบผูกขาดอย่างรถไฟยังเจ๊ง ไม่น่าเป็นไปได้ อะไรที่รัฐทำเนี่ย เจ๊งหมด บขส. รถร่วมรวยเอา ๆ ผมเห็นนครชัยฯ ซื้อที่วิภาวดี ถามว่าไร่ละเท่าไหร่ การวางแผนของรัฐมากกว่าที่เป็นปัญหา แบบที่ญี่ปุ่น ขนส่งสาธารณะในญี่ปุ่นสบายมาก มีรถบัสบริการตั้งแต่สนามบินถึงโรงแรม แต่บ้านเราไม่ได้หรอกถ้าเอารถบัสมา แท็กซี่ป้ายดำแม่งทุบ แท็กซี่รวมหัวกันปิดสนามบิน คุณเชื่อผมไหม พูดยากเหมือนกัน
ถ้าขยายระยะเวลาของโครงการรถคันแรกให้ยาวออกไป จะเป็นอย่างไร?
ถ้ามีอีกก็ฉิบหายครับ ใครฉิบหาย ก็ทั้งหมดแหละครับ บริษัทรถก็ฉิบหายเพราะสินค้ามันไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เป็นภาพลวง บริษัทที่ไม่มีรถเข้าข่ายเงื่อนไข รถนำเข้าตายสนิท รถมือสองฉิบหายแน่ ไฟแนนซ์ก็เหมือนกัน อันสุดท้ายคือประชาชนแหละครับ ฉิบหายจากอะไร คือคนไทยเราไม่สนใจเรื่องเครดิต พอเข้าปีที่สามรถมันต้องเริ่มซ่อมละ คุณหาทางทิ้งเพื่อซื้อคันใหม่ ถ้ามีต่อแล้วร่างกติกาใหม่ก็อาจจะดีขึ้น ผมก็ไม่รู้ แต่ถ้าภายใต้กติกานี้ก็ฉิบหายแน่
http://men.kapook.com/view53882.html
แม้สิทธิ์การขอคืนภาษีจากนโยบายลดคันแรกจะสิ้นสุดลงไปพร้อมกับปี 2555 แต่หลากหลายประเด็นคำถามก็ยังคงผุดขึ้นในใจของใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็น "โครงการนี้ดีจริงหรือไม่?", "ใครคือผู้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริง?" และคำถามยอดฮิตที่ว่า "แล้วต่อไปรถจะติดขนาดไหน?" ซึ่งหลาย ๆ คนก็คงรู้คำตอบในใจอยู่แล้วล่ะ
นิตยสาร Way Magazine ก็ได้เกาะกระแสเรื่องนี้เช่นกัน โดยได้ไปพูดคุยเรื่องนโยบายรถคันแรกกับ "พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ" หรือที่คนในวงการรถเรียกว่า "น้าเดช" กูรูเรื่องยานยนต์ที่หลาย ๆ คนรู้จักเป็นอย่างดี และบทสัมภาษณ์ของเขาก็ถูกแชร์ในโลกไซเบอร์กันเพียบ เพราะมีมุมมองที่โดนใจใครหลาย ๆ คนไม่น้อย
อย่างแรก ใครล่ะจะเชื่อว่า "น้าเดช" ผู้คร่ำหวอดในวงการรถมาหลายสิบปีก็เป็นหนึ่งในผู้ขอใช้สิทธิ์รถคันแรกกับเขาด้วยเช่นกัน เพราะรถ 8 คันของเขาก่อนหน้านี้ซื้อในนามบริษัท แต่รถกระบะป้ายแดงที่เพิ่งถอยออกมาใหม่ล่าสุด ถือเป็นรถคันแรกในนามชื่อตัวเอง ซึ่ง "น้าเดช" บอกอย่างตรงไปตรงมา ว่า "ก็ผมได้คืนเงิน ได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ และมีกำลังที่จะซื้อด้วย"
แต่สำหรับคนอื่น ๆ เขามีบางข้อมูลและความคิดมาสะกิดเตือนเกี่ยวกับนโยบายรถคันแรกที่กระตุ้นให้หลายคนได้เป็นเจ้าของรถของตัวเอง ลองไปติดตามบทสัมภาษณ์จาก Way Magazine กัน
คุณมีมุมมองและความเห็นต่อนโยบายคืนภาษีรถคันแรกอย่างไร?
ถ้าพูดถึงรถคันแรก ต้องพูดอดีต วันนี้ พรุ่งนี้ อดีตคือตอนที่จะเกิด เป็นธรรมดาของทุกรัฐบาลไม่ว่าฝ่ายไหน ก็ต้องการให้ประชาชนชอบ เลยต้องมีนโยบายที่คิดว่าคนชอบ แต่ว่าการเกิดของโครงการรถคันแรก ด้วยความเห็นส่วนตัวผม แนวคิดดี แต่ข้อบกพร่องค่อนข้างเยอะ เช่น รัฐบาลจะไปช่วยธุรกิจอะไรก็ตาม มันต้องไปช่วยธุรกิจที่เอาตัวไม่รอด แต่ธุรกิจรถยนต์มันเป็นธุรกิจเฟื่องฟู ทำเท่าไหร่ก็ขายไม่พออยู่แล้วสำหรับประเทศไทย จะเห็นว่าแม้จะผ่านน้ำท่วมมาแล้วก็ยังขายถล่มทลาย ไม่มีรถคันแรกก็ตั้งเป้าอยู่แล้วว่า 1,100,000 คัน มันเป็นการไปช่วยธุรกิจที่ยืนได้อยู่แล้ว ทำให้มันเสียระบบ
อย่างบริษัทผมมีพนักงาน 22 คน มีสิทธิ์จริง ๆ แค่ 3 คน ถามว่าทำไมไม่ซื้อ พนักงานผมบอก ไม่มีเงินดาวน์อยู่แล้ว 8 หมื่น ไม่ใช่พอไปซื้อลด 5 หมื่น แล้วจะดาวน์แค่ 3 หมื่น ยังไงต้องหาเงินมาดาวน์ 8 หมื่นอยู่ดี เพื่อรอคืนปีหน้า งั้นก็ต้องไปกู้ ตรงนี้ทำให้เกิดช่องโหว่
ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีการยืมเครดิตและสวมสิทธิ์ เธอไม่ซื้อเหรอ ฉันใช้ชื่อเธอนะ ฉะนั้นพวกเต็นท์ก็มาสวมแบบนี้ ซื้อรถที่ได้ส่วนลดเยอะ ๆ 8 หมื่น แล้วก็ให้ค่าชื่อ 1 หมื่น แล้วเขาบอกว่าห้ามโอน โถ…รถยนต์ร้อยละ 90 ในตลาดน่ะ โอนลอยทั้งนั้น
ถามว่ายอดขายรวมปีนี้ผิดความคาดหมายไหม ไม่ผิดเลยครับ ถ้าคนในวงการจะรู้ว่าตัวเลขจะมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้ากำลังการผลิตมี ถ้ารัฐบาลไม่อั้นไว้ว่าไม่ส่งมอบให้ทันเกิน 30 มิถุนายนนะ ตัวเลขมากกว่านี้อีกบานเลย เพราะคนจะถูกยืมเครดิตมาซื้อเยอะมาก
ไม่ซื้อตอนนี้ก็โง่แล้ว?
คือถ้าคุณคิดว่าคุณเงินเดือน 15,000 ผ่อนรถ 6,000 เหลือ 9,000 คุณคิดว่าไหว ผมว่าคุณล่มตั้งแต่แรก เพราะมันมีค่าน้ำมัน ค่าโน่นนี่อย่างที่บอก พอเข้าปีที่สองคุณจะเปลี่ยนยาง 4 เส้น คุณต้องเริ่มหาร้านผ่อนยาง 0 เปอร์เซ็นต์ล่ะ คุณบอกงั้นจอดทิ้งไว้ที่บ้านเฉย ๆ สิ คุณลองคำนวณเวลาคุณขายต่อสิ ว่าวันหนึ่งเงินคุณหายไปวันละเท่าไหร่
คนที่ไปกู้มาซื้อจะยุ่งมากเลยนะ เอาเป็นว่าคืน หลังจากปีที่สอง หากคุณไม่มีกำลังผ่อนล่ะ ทำไง ไฟแนนซ์ยึด เขาต้องไปดูสภาพรถ คุณยังค้างหนี้อีก 4 แสน รถคันนี้ขายได้ 3 แสน เขาฟ้องคุณ 1 แสน อันนี้ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือเงิน 8 แปดหมื่นที่คุณได้ ต้องคืนรัฐบาลนะครับ เพราะมีการเปลี่ยนมือแล้ว ก็มีคนถาม งั้นก็ไปขายโอนลอยสิ อ๋อ ถ้าโอนลอยตอนนี้เต็นท์รู้แล้วว่าคุณเดือดร้อน คุณจะต้องเสีย 8 หมื่น ราคารถคุณจะหายไปเท่าไหร่ เพราะเขารู้ว่าคุณจะโอนลอยหลังจากผ่านปีแรกแล้ว คุณเดือดร้อนแน่
พวกเจียนอยู่เจียนไปแบบนี้จะทำอย่างไร?
สิ่งที่ผมแนะนำคือ เมื่อคุณได้เงินจากรัฐบาลแล้ว คุณอย่าเอาเงินก้อนนั้นไปทำอะไรเลยนะ คุณเข้าแบงก์ รอจนกว่าจะผ่าน 5 ปี แล้วคุณถึงจะเอาเงินตรงนั้นมาใช้ได้ คือไม่ใช่แค่คุณไม่มีปัญญาผ่อนอย่างเดียวนะ ขับ ๆ ไปรถสิบล้อชน ปัง! ปีที่สองที่สามไม่มีประกันชั้นหนึ่งแล้ว มีแต่ประกันกันชั้นสามแล้ว ได้เงินค่าซากมาคุณจะทำยังไงกับเงินก้อนนั้น ไปตัดไฟแนนซ์ที่เหลือ รถเป็นซากไปแล้วประกันต้องให้คุณโอนทะเบียนให้เขาอยู่แล้วเพื่อเอาเงินค่าซาก การโอนแบบนี้ รัฐบาลจะถือว่าเปลี่ยนมือไหม ถ้าเปลี่ยนมือคุณก็ต้องคืนภาษีสิ ยุ่งตายโหงเลยนะ
เรื่องนายทุนขู่จะย้ายฐานการผลิตหลังจากเหตุน้ำท่วมมีผลทำให้เกิดนโยบายรถคันแรกด้วยใช่ไหม?
ผมว่ามันเป็นเรื่องคิดเอง พูดเอง ถามบริษัทระดับใหญ่ ๆ อย่างฮอนด้า โตโยต้า ก็ได้ เขาไม่อยากให้เกิดโครงการนี้หรอก เพราะหลังน้ำท่วมเขาเร่งผลิตอยู่แล้ว ถ้าหลังน้ำท่วม รถผลิตมากองเต็มตลาดไม่มีคนซื้อ ไอ้นั่นอีกเรื่อง แต่ทุกบริษัทยืนยันว่าปีนี้ทะลุล้านแน่นอนเลย เพราะเขาวางแผนการเติบโตเป็นขั้นเป็นตอนอยู่แล้ว แต่คุณไปเร่งใส่ปุ๋ย ทำให้เขารวน ปีหน้าเกิดอะไรขึ้น โรงงานขนาดใหญ่คุณไม่ต้องห่วงหรอก ทุนเขามี ระบบเขาดีอยู่แล้ว
ถามว่าทำไมเมืองไทยเนื้อหอมสำหรับวงการรถยนต์ ผมบอกได้ว่า 1.โง่จริง 2.แกล้งโง่ ที่ว่าเขาจะหนีไปจากบ้านเรา ไม่หนีหรอกครับมีแต่จะมา โรงงานฟอร์ดที่ฟิลิปปินส์ก็ต้องปิดเพราะสู้เราไม่ได้ ที่ญี่ปุ่นยอดขายเขาตกฮวบทุกปีเลยนะครับ เพราะเขานั่งรถไฟฟ้ากัน ที่จอดรถก็ไม่พอ ขนส่งสาธารณะเขาดี
แต่ SME ได้ผลประโยชน์จากการผลิตอะไหล่?
สิ่งที่คุณต้องห่วงคือพวกโรงงานเล็ก โรงงานน้อย SME ที่รัฐบาลอยากส่งเสริม Subcontract ทั้งหลายนั่นแหละ ปีนี้ (2555) เคยวางแผนว่าปีนี้จะส่งให้โรงงานโตโยต้า 100 ชิ้น ปีหน้าเพิ่มกำลังเป็น 110 ชิ้น อีกปี 130 ชิ้น อยู่ ๆ ปีนี้ปาเข้าไป 150 ชิ้น พวกนี้ทำไง ก็ต้องจ้างคนงานเพิ่ม ค่าแรงก็ถูกบวกเพิ่มเป็น 300 บาท ลงเครื่องจักรใหม่เหรอ ปีเดียวก็ยังไม่คืนทุน ปีหน้าพอกำลังการผลิตเขาถอยลง เขาคาดการณ์อย่างต่ำว่าลดลงแน่ ๆ 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วพวกนี้จะทำยังไง นี่เป็นสิ่งที่คนในวงการรถยนต์เห็นกัน ทุกบริษัทบอกว่าปีหน้า ครึ่งปีแรกไม่มีผลกระทบหรอก เพราะยังผลิตรถส่งต่อ แต่ครึ่งปีหลังมิถุนายน เห็นผลตรงบริษัทเล็กจะดิ้นรนหนีตาย จะเกิดสงครามขึ้นอย่างรุนแรงในวงการ
ธุรกิจรถมือสองในปีหน้าจะเป็นอย่างไร?
มันทำให้ธุรกิจรถมือสองตายไปแล้ว ตั้งแต่ประกาศโครงการ ถ้าคุณเป็นเจ้าของเต็นท์ คุณซื้อซีวิคมาไว้ในราคา 400,000 เพื่อรอขาย พอเขาประกาศโครงการรถคันแรก ถามว่าจะมีคนซื้อไหม คุณยอมซื้อซิตี้ดีกว่า ใหม่เอี่ยมเลย ได้ลดตั้งแสน ตลาดรถมือสองมันตายเลยไง
มันจะตายต่อในอีกสองปี ยกตัวอย่าง คุณสองคนซื้อนิสสันมาร์ชรุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน คนหนึ่งไม่ใช้สิทธิ์ซื้อในราคา 520,000 อีกคนหนึ่งใช้สิทธิ์ซื้อได้ในราคา 450,000 อีกสองปีคุณเอารถสองคันนี้ไปขาย ถามว่าตลาดรถมือสองจะตีในราคาต้นทุนเท่าไหร่ เขาจะตีในต้นทุน 420,000 คือคนที่ไม่ใช้สิทธิ์เนี่ย พูดในภาษาไทยว่า เสียค่าโง่ไปแล้ว ทำไมไม่เอาสิทธิคนอื่นใช้วะ ตอนขายยังเสียค่าโง่อีก นี่คือปัญหาใต้พรม
เต็นท์ที่มียอดขายมากๆ ก็จะมีแบงก์เข้ามาอุ้ม ทุกวันนี้เต็นท์มันมีสังกัดหมดแหละครับ เต็นท์ยอดขายต่ำก็มีแต่จะแย่ เวลาแบงก์ยึดมาได้ก็จะเอามาประมูล เต็นท์ที่มีสังกัดก็จะได้ดอกเบี้ยถูก ได้เงินกู้จากเขาไปซื้อสินค้าจากเขา (รถที่ถูกยึด) แต่เต็นท์เล็ก ๆ จะลำบาก
แต่โครงการรถคันแรกถือว่าถูกจริตคนไทยอย่างจัง?
คนที่ซื้อเพราะจำเป็นต้องใช้รถ มีวินัยการเงินดี ตรงนี้โอเคเลย ผมไม่ได้ไปแตะต้อง แต่คนไทย โอ้โห ยิ้มได้ลดตั้งแสน ไม่ซื้อเสียดายตายห่า พวกนี้แหละจะเจ๊ง ทั้งที่จริง ๆ ยังไม่มีความจำเป็นต้องซื้อเลย ยกตัวอย่าง คนที่มีบ้านอยู่บางแค บางใหญ่เริ่มทำงาน ซื้อรถคันแรกได้ส่วนลด ใช้ไปสามปี รถไฟฟ้าไปถึงล่ะ ถามว่าคน ๆ นั้นจะตัดสินใจยังไง 1.จอดรถทิ้งไว้ที่บ้าน ประหยัด นั่งรถไฟฟ้าเข้ามาทำงาน 2.กูมีรถแล้ว ดันทุรังขับเข้ามา น้ำมันก็แพง รถก็ติด 3.ขายรถ ก็นำเงินภาษีไปคืนรัฐบาล เพราะงั้นผู้บริโภคต้องวางแผนให้ชัดเจน ไม่งั้นเดือดร้อน
พฤติกรรมการซื้อรถของคนในบ้านเราเป็นอย่างไร?
ผมพยายามบอกว่าคนไทยถูกหลอกว่าระบบโน้นดี ระบบนี้ดี คุณต้องการรถประหยัด แต่คุณไปซื้อรถที่มี mp3 เล่นซีดี กระจกขึ้นลงไฟฟ้าหมด ไม่มีความจำเป็นในการใช้รถเลย รถหนึ่งคันถ้าคุณถอดพวกนั้นหมดจากราคา 5 แสน เหลือไม่ถึง 4 แสน ไอระบบบ้า ๆ บอ ๆ ช่วยคุณจอด ถ้าคุณยังจอดรถไม่ได้คุณจะไปซื้อรถทำห่าอะไรวะ ระบบไฟฟ้าเปิดอัตโนมัติ ไม่รู้ว่ามันมืดแล้วต้องเปิดไฟเหรอวะ กุญแจอัจฉริยะ หมุนกุญแจแค่นี้จะตายเหรอ
ผมเขียนไปแบบนี้ ฝรั่งเขียนมาด่าผมเช็ดว่าผมขวางการพัฒนาเทคโนโลยี แต่ผมคิดแบบคนไทยไงแบบลูกหลานผม สมมติเรียนมหาวิทยาลัยไกล ๆ หรือที่ทำงาน ถ้ามีรถไปเพื่อไป-กลับแค่นี้ คุณจะไปมี GPS เพื่อห่าอะไร คุณหลงทางเหรอ แค่ไปมหาวิทยาลัย ที่ทำงาน บางคนก็บอกผมว่าพี่ก็พูดได้ ผมอยากมีรถสักคันก็อยากได้ตัวท็อปสุด โอเคผมก็ไม่รู้จะว่าไง
หรือเพราะประเทศไทยปล่อยให้ครอบครองรถง่ายเกินไป?
วัฒนธรรม… การคิดแบบไทยมันสวนโลก ยกตัวอย่างมอเตอร์ไซค์ก็ได้ สมัยผมต้องอายุ 18 ถึงมีใบขับขี่ได้ ต่อมาก็ลดเหลือ 15 ปี เด็ก 15-16 รับผิดชอบอะไรได้ ปัญหามันเลยเกิดไง คนขับรถยนต์ 18 ได้ใบขับขี่ล่ะ ยิ้มซักผ้าเองยังไม่ได้เลย แต่คุณให้ขับรถขึ้นไปบนถนน ผมถึงไม่เคยโทษพวกนี้ไง เพราะสังคมเห็นด้วย อนุมัติเขา สังคมคือกฎหมาย ก็เรายอมให้เกิดแบบนี้ สมมติว่าเซ็นทรัลไม่ให้จอดล่ะ เดี๋ยวเช่าที่แดนเนรมิตให้แล้วเดินมาใกล้ ๆ คุณว่าจะมีคนเข้าห้างเขาไหม ไม่มีหรอก
คือมันผิดตั้งแต่กระบวนการทางความคิด เราส่งเสริมอุตสาหกรรมรถโตขึ้น ให้คนซื้อรถง่ายขึ้น คิดได้ยังไง แทนที่จะโตแบบมีคุณภาพ คนบ่น ไปจำกัดมากเดี๋ยวรถมันขายไม่ได้ คนจะตกงาน คนกลัวรถจะขายไม่ได้ไง เลยทำให้เราได้คนไม่มีคุณภาพเข้ามาอยู่ในรถมากขึ้น ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องขับเก่งหมด แต่รถมันเป็นเครื่องจักรอันตราย ต่อคุณและคนอื่น แล้วเราจะได้ของอันตรายบนท้องถนนอีกเยอะมาก
นิสัยการขับรถก็อีกอย่าง คุณลองคิดสภาพนะ รถจอดรออยู่สามแถว อยู่ ๆ มีคันหนึ่งเลาะไหล่ข้าง คุณคิดล่ะ ยิ้มนี้มารยาทไม่ดี คันที่สองมา พวกนี้เลวเว้ย คันที่สามมา คุณคิด หรือกูต้องไปกับมันวะ พอคนที่ห้ามา คุณคิดล่ะ กูโง่ยิ้มทำไมไม่ไปกับมันวะ แล้วคุณก็ต้องไปกับมัน บางทีผมก็ไปนะ ยอมรับเลย คือสังคมมันกลายเป็นว่า คนโง่เท่านั้นที่ทำตามระเบียบ
คนไทยเราชอบทำตัวเป็นตำรวจ เป็นอัยการ เป็นศาลได้หมดบนถนน กูไม่ให้แซง พอขี่ช้าต้องบีบแตรไล่ พอแซงได้ต้องลงโทษ โฉบปาดหน้า เป็นศาลตัดสิน ไอ้นี่สมควรตาย กูจะเบียดให้ตกถนน ถนนทุกวันนี้มันเหมือนโคลิเซี่ยมสมัยโรมัน สัตว์ร้ายที่เข้มแข็งเท่านั้นจึงจะอยู่รอด ไม่มีการให้อภัยกัน ทุกคนเอาคืนกันหมด
ทำไมบางคนมีคอนโดฯ ติดกับรถไฟฟ้า ก็ยังต้องซื้อรถยนต์อยู่ดี?
ผมถึงบอกว่า นโยบายรัฐบาลอยากช่วยประชาชนรากหญ้า แต่มันไม่ใช่ เพราะรถส่วนใหญ่ของโครงการมันเป็นรถใช้ในเมือง รถขนาดเล็ก แต่ถ้าเป็นตัวหลักเลยนะครับ คือวัฒนธรรมไทยเรา คนไทยรอไม่ได้ถ้าแถวยาว อีกอย่างในกรุงเทพฯ มันเป็นเมืองประชากรหลั่งไหล รกรากในกรุงเทพฯ มีอยู่สัก 30 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือจากต่างจังหวัด ทีนี้พวกเทศกาลไทยต่าง ๆ สงกรานต์ฉันต้องกลับบ้าน เข้าพรรษาต้องไปหาแม่ เป็นต้น
ไม่ปลื้มระบบขนส่ง?
เนี่ย คือระบบ Mass Transit ขนส่งมวลชนสาธารณะบ้านเรามันไม่ต่อเชื่อม อย่างที่บอกว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองอพยพไง พอถึงเทศกาลก็กลับบ้านเกิด รถทัวร์เต็ม รถไฟเต็ม เครื่องบินเต็ม กูมีรถดีกว่าวะ ชั่ว ๆ ดี ๆ เอาไว้กลับบ้าน แต่ถ้ารัฐส่งเสริมระบบพวกนี้ดี ๆ
ความจำเป็นในการมีรถจึงจะน้อยลง
ระบบขนส่งมวลชนพวกนี้ก็ไม่วางแผนตัวเอง แม้กระทั่งแบบผูกขาดอย่างรถไฟยังเจ๊ง ไม่น่าเป็นไปได้ อะไรที่รัฐทำเนี่ย เจ๊งหมด บขส. รถร่วมรวยเอา ๆ ผมเห็นนครชัยฯ ซื้อที่วิภาวดี ถามว่าไร่ละเท่าไหร่ การวางแผนของรัฐมากกว่าที่เป็นปัญหา แบบที่ญี่ปุ่น ขนส่งสาธารณะในญี่ปุ่นสบายมาก มีรถบัสบริการตั้งแต่สนามบินถึงโรงแรม แต่บ้านเราไม่ได้หรอกถ้าเอารถบัสมา แท็กซี่ป้ายดำแม่งทุบ แท็กซี่รวมหัวกันปิดสนามบิน คุณเชื่อผมไหม พูดยากเหมือนกัน
ถ้าขยายระยะเวลาของโครงการรถคันแรกให้ยาวออกไป จะเป็นอย่างไร?
ถ้ามีอีกก็ฉิบหายครับ ใครฉิบหาย ก็ทั้งหมดแหละครับ บริษัทรถก็ฉิบหายเพราะสินค้ามันไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เป็นภาพลวง บริษัทที่ไม่มีรถเข้าข่ายเงื่อนไข รถนำเข้าตายสนิท รถมือสองฉิบหายแน่ ไฟแนนซ์ก็เหมือนกัน อันสุดท้ายคือประชาชนแหละครับ ฉิบหายจากอะไร คือคนไทยเราไม่สนใจเรื่องเครดิต พอเข้าปีที่สามรถมันต้องเริ่มซ่อมละ คุณหาทางทิ้งเพื่อซื้อคันใหม่ ถ้ามีต่อแล้วร่างกติกาใหม่ก็อาจจะดีขึ้น ผมก็ไม่รู้ แต่ถ้าภายใต้กติกานี้ก็ฉิบหายแน่
http://men.kapook.com/view53882.html
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
- Highway_Star
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 452
- ผู้ติดตาม: 1
Re: แชร์กันเพียบ! รถคันแรก...จากมุมมอง พัฒนเดช กูรูเรื่องรถ
โพสต์ที่ 3
อยากจะบอกว่าเมื่อก่อนผมฟังเค้าบ่อยมาก หลายๆ ครั้งผมรู้สึกว่าเค้าก้าวร้าวและให้คำแนะนำไม่ตรงประเด็นเท่าไหร่ สุดท้ายก็เลิกฟังไป
วันนี้กลับมาอ่านเรื่องนี้ โดนมากกกกกกกกกกก อยากกด like ซักร้อยที
อยากจะบอกว่าบริษัทใหญ่ก็มีปัญหาครับ
โรงงานผมงี้ order โคตรอภิมหาทะลัก ทะลักชนิดที่ว่าทำงานกันทุกวันก็ไม่มีทางส่งได้ทัน เมื่อเช้า MD เรียกพนักงานทุกคนมาคุย
บอกว่า "ช่วยกันทำนะ ได้เพิ่มมาลูกเดียวก็ยังดี" ด้านเซลล์ต้องวิ่งไปเจรจากับลูกค้าเยอะมาก
เครื่องจักรต้องสั่งมาเพิ่ม สั่งมาทั้ง line การผลิต line นึงราคาเป็นร้อยล้าน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่พอเอา
ลงทุนไป กว่าจะคืนทุน มิหนำซ้ำตอนนี้ปัญหาใหญ่สุดคือผลิตให้ไม่ทัน
รู้มั้ยครับ ค่าที่ไปทำ line การผลิตลูกค้า short มันเท่าไหร่.... 2-3 ล้านบาทต่อชั่วโมง
อ่านไม่ผิดหรอกครับ 2-3 ล้านบาทต่อชั่วโมง ทำเค้า short ไปวันนึง สวัสดีโบนัสพนักงานได้เลย
ปัญหาเยอะครับ
ถึงผมจะชอบขับรถเอามากๆ (ดูชื่อซะก่อน) แต่ถ้าระบบขนส่งมวลชนมันดีเหมือนเมืองนอก ผมก็ยอมนั่งแบบขนส่งมวลชนนะ
เพราะถ้าเป็นแบบนั้นประเทศเรามันไปได้อีกเยอะมากครับ
เสียดายคนไทยส่วนใหญ่มักง่ายไปหน่อย
วันนี้กลับมาอ่านเรื่องนี้ โดนมากกกกกกกกกกก อยากกด like ซักร้อยที
อยากจะบอกว่าบริษัทใหญ่ก็มีปัญหาครับ
โรงงานผมงี้ order โคตรอภิมหาทะลัก ทะลักชนิดที่ว่าทำงานกันทุกวันก็ไม่มีทางส่งได้ทัน เมื่อเช้า MD เรียกพนักงานทุกคนมาคุย
บอกว่า "ช่วยกันทำนะ ได้เพิ่มมาลูกเดียวก็ยังดี" ด้านเซลล์ต้องวิ่งไปเจรจากับลูกค้าเยอะมาก
เครื่องจักรต้องสั่งมาเพิ่ม สั่งมาทั้ง line การผลิต line นึงราคาเป็นร้อยล้าน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่พอเอา
ลงทุนไป กว่าจะคืนทุน มิหนำซ้ำตอนนี้ปัญหาใหญ่สุดคือผลิตให้ไม่ทัน
รู้มั้ยครับ ค่าที่ไปทำ line การผลิตลูกค้า short มันเท่าไหร่.... 2-3 ล้านบาทต่อชั่วโมง
อ่านไม่ผิดหรอกครับ 2-3 ล้านบาทต่อชั่วโมง ทำเค้า short ไปวันนึง สวัสดีโบนัสพนักงานได้เลย
ปัญหาเยอะครับ
ถึงผมจะชอบขับรถเอามากๆ (ดูชื่อซะก่อน) แต่ถ้าระบบขนส่งมวลชนมันดีเหมือนเมืองนอก ผมก็ยอมนั่งแบบขนส่งมวลชนนะ
เพราะถ้าเป็นแบบนั้นประเทศเรามันไปได้อีกเยอะมากครับ
เสียดายคนไทยส่วนใหญ่มักง่ายไปหน่อย
-
- Verified User
- โพสต์: 297
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แชร์กันเพียบ! รถคันแรก...จากมุมมอง พัฒนเดช กูรูเรื่องรถ
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับ