ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 62
ตอน subprime พี่ก็ทำตามที่สอนนะครับ พี่ซื้อ pttep 102 หมดพอร์ท ตอนสอนพี่ก็เน้นเรื่องนี้ประจำ ว่าหุ้นที่เราคิดว่าดี พอราคาลงมาจริงๆ เรากล้าซื้อหมดพอร์ทหรือไม่Belffet เขียน:อ่านแล้วนึกถึงตอนไปเรียนรู้เรื่องการลงทุนกับพี่ Jeng
ขอบพระคุณสำหรับความรู้อันเป็นประโยชน์นะครับพี่ ทุกวันนี้ผมยังใช้อยู่เลย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 65
'พิสิฐ'ระบุ'ประชานิยม'ทำลายกลไกเศรษฐกิจบิดเบี้ยว
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
8
Share .TOOLS
เนื่องจากผู้ให้บริการเว็บไซต์ด้าน Social Network (Facebook, Twitter) และ Social bookmarking (Digg.com, delicious.com) ไม่รองรับ URL ที่เป็นภาษาไทยเพื่อคลิกกลับมายังเว็บไซด์ได้ ทางกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ จึงทำ URL แบบย่อที่เป็นภาษาอังกฤษขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถส่ง URL ต่างๆ
ในเว็บ้ให้เพื่อนและสามารถคลิกเพื่อเข้าหน้าเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ-
ออนไลน์ ได้ทันที
คัดลอก URL นี้เเบบย่อhelp
คัดลอก ขนาดตัวอักษร
พิมพ์ข่าวนี้
ส่งต่อให้เพื่อน
แบ่งปันข่าว ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อย่ารอให้รัฐบาล ‘ถังแตก’ จึงหันมาโทษ‘ประชานิยม’
"ค่าจ้าง-ข้าวถุง" ประชานิยม..สะดุด
สับ'ประชานิยม'ทำพิษชาวบ้าน-ทุนใหญ่คุ้ม 2ปีรับ 9หมื่นล้าน
TMBทวงถามนโยบายไม่ประชานิยมที่ถูกลืม
ฤๅ..เป็นประชานิยมแบบลมๆ แล้งๆ
คอลัมน์อื่นๆ
บทวิเคราะห์
เปิดข้อมูลฝ่ายความมั่นคง ไขปมใต้ป่วนช่วงรอมฎอน
4 จุดเปราะบางรัฐบาลใหม่เพื่อไทย
คุณภาพชีวิต
ช่วยลูกสุกรหนีน้ำท่วม
ชาวบ้านวังน้ำเขียวล่าชื่อเสนอรัฐบาล'ยิ่งลักษณ์'แก้กม.ที่ดิน
การศึกษา
หามนักเรียนกว่า 500 คนส่งร.พ.เหตุดื่มนมโรงเรียน
สกอ.แจ้งความเพิ่มเอาผิดอดีตอธิการบดี ม.อีสาน
คณบดีเศรษศาสตร์ มช. ระบุประชานิยมพรรคพท. ทำลายกลไกเศรษฐกิจบิดเบี้ยว ขั้นต่ำ 300 บาทกระทบ"เอสเอ็มอี"รอพัง แต่ธุรกิจใหญ่ยิ้มร่ารอมาร์เก็ตแชร์
ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวในการสัมมนาเรื่องการวิเคราะห์และศึกษาผลกระทบนโยบายประชานิยมค่าแรงและเงินเดือนของนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ทำได้จริงหรือ จัดโดยคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงินวุฒิสภา และคณะอนุกรรมาธิการนโยบายการเงิน การคลัง และงบประมาณ ที่โรงแรมคุ้มพญา รีสอร์ทแอนด์สปา เซ็นทรัล บูติค คอลเลคชั่น จังหวัดเชียงใหม่ ว่า โครงการประชานิยมของรัฐบาลที่ใช้ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถือเป็นประชานิยมสายพันธุ์ใหม่ ไม่เอางบประมาณมาใช้เหมือนล่วงหน้าเหมือนรัฐบาลชุด เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ให้โรงพยาบาลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายไปก่อน แต่สุดท้ายแล้วรัฐก็ไม่เอาเงินไปคืน บางโรงพยาบาลมีเงินค้างจ่ายกว่า 100 ล้านบาท ฯลฯ
ครั้งนี้ เป็นการแทรกแซงการทำงานของภาคธุรกิจ ทั้งค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท การันตีเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ทำให้กลไกเศรษฐกิจบิดเบี้ยว นำมาซึ่งความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจและจะเป็นบรรทัดฐานในอนาคต ทุกพรรคการเมืองต้องนำมาใช้และเสนอในสิ่งที่มากกว่าให้ประชาชน แต่จะทำให้กลไกของการทำธุรกิจพัง ทั้งนี้ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบมากที่สุด จากปัจจุบันนี้ที่อยู่ในภาวะเพอร์เฟค สตรอม (Perfect Storm) รุนแรงและเลวร้ายที่สุด
ทั้งจากดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยตั้งแต่ปี 2553 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับขึ้นดอกเบี้ยรวมแล้วกว่า 8 ครั้ง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายแพงขึ้น และธนาคารปล่อยกู้ยากขึ้น วัตถุดิบที่แพงขึ้น โดยเฉพาะอาหารเนื่องจากเกิดวิกฤตอาหารโลก เชื่อว่าปีนี้จะหนักกว่าปี 2551 แน่นอน รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ทุกประเทศ ทั้งการปรับขึ้นค่าเอฟที การปล่อยลอยตัวก๊าซแอลพีจี และโดยเฉพาะราคาน้ำมันที่แพงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังต้องเจอกับการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นอีกเป็นการซ้ำเติมอย่างมาก
ปัจจุบันแรงงานในประเทศไทยมีทั้งหมด 37 ล้านบาท เป็นแรงงานในระบ 14 ล้านคน ที่เหลืออีกว่า 23 ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบ ซึ่งนโยบายรัฐบาลที่จะให้มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่ยังไม่มีความชัดเจน จะมีการดูแลแรงงานนอกระบบเหล่านี้อย่างไร
ในส่วนของบริษัทขนาดใหญ่จะได้รับประโยชน์ เพราะปัจจุบันจ่ายค่าแรงแพงกว่า 300 บาทอยู่แล้ว การบีบให้มีการใช้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จะทำให้ผู้ประกอบการต่างจังหวัดที่ส่วนใหญ่เป็นขนาดกลางและขนาดเดือดร้อนหนัก เพราะตอนนี้ค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทยแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน กรุงเทพอยู่ที่ 215 บาท ชลบุรีและระยองอยู่ที่ 180 บาท ซึ่งต้องจ่ายส่วนต่างไม่เท่ากัน ดังนั้น ผู้ประกอบการกรุงเทพจะได้เปรียบ เพราะจ่ายค่าส่วนต่างน้อยกว่า
"ต้องยอมรับว่าในประเทศเราธุรกิจเอสเอ็มอีมีจำนวน การปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท จะทำให้เกิดการล้มหายตายจาก โอกาสรอดในธุรกิจเป็นไปได้น้อย แต่บริษัทใหญ่จะได้ประโยชน์มาร์เก็ตแชร์ที่เพิ่มขึ้น มาตรการรองรับด้วยการลดภาษีก็ทำให้บริษัทใหญ่ได้รับอานิสงค์ ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กไม่ได้อะไรเลย เพราะปกติก็เสียน้อยอยู่แล้ว เพราะรายได้น้อย จึงไม่มีประโยชน์เลย ผมคิดว่าค่าแรงยังไงก็ต้องมีการปรับขึ้นอยู่แล้ว แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป" ดร.พิสิฐ กล่าว
ขณะเดียวกันการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน ไม่มีธุรกิจใดจะแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ต้องผลักภาระให้กับผู้บริโภคอย่างแน่นอน ทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะผู้บริโภคในประเทศต้องใช้สินค้า เพราะต้นทุนสินค้าเพิ่ม ผนวกกับหากเป็นสินค้าส่งออกจะไม่สามารถขึ้นราคาได้แน่นอน จะส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน ทำให้ต้องขึ้นราคาสินค้าที่จำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ อำนาจซื้อที่แท้จริงของผู้บริโภคด้อยลง
Tags : พิสิฐ ลี้อาธรรม • ประชานิยม
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... บี้ยว.html
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
8
Share .TOOLS
เนื่องจากผู้ให้บริการเว็บไซต์ด้าน Social Network (Facebook, Twitter) และ Social bookmarking (Digg.com, delicious.com) ไม่รองรับ URL ที่เป็นภาษาไทยเพื่อคลิกกลับมายังเว็บไซด์ได้ ทางกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ จึงทำ URL แบบย่อที่เป็นภาษาอังกฤษขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถส่ง URL ต่างๆ
ในเว็บ้ให้เพื่อนและสามารถคลิกเพื่อเข้าหน้าเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ-
ออนไลน์ ได้ทันที
คัดลอก URL นี้เเบบย่อhelp
คัดลอก ขนาดตัวอักษร
พิมพ์ข่าวนี้
ส่งต่อให้เพื่อน
แบ่งปันข่าว ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อย่ารอให้รัฐบาล ‘ถังแตก’ จึงหันมาโทษ‘ประชานิยม’
"ค่าจ้าง-ข้าวถุง" ประชานิยม..สะดุด
สับ'ประชานิยม'ทำพิษชาวบ้าน-ทุนใหญ่คุ้ม 2ปีรับ 9หมื่นล้าน
TMBทวงถามนโยบายไม่ประชานิยมที่ถูกลืม
ฤๅ..เป็นประชานิยมแบบลมๆ แล้งๆ
คอลัมน์อื่นๆ
บทวิเคราะห์
เปิดข้อมูลฝ่ายความมั่นคง ไขปมใต้ป่วนช่วงรอมฎอน
4 จุดเปราะบางรัฐบาลใหม่เพื่อไทย
คุณภาพชีวิต
ช่วยลูกสุกรหนีน้ำท่วม
ชาวบ้านวังน้ำเขียวล่าชื่อเสนอรัฐบาล'ยิ่งลักษณ์'แก้กม.ที่ดิน
การศึกษา
หามนักเรียนกว่า 500 คนส่งร.พ.เหตุดื่มนมโรงเรียน
สกอ.แจ้งความเพิ่มเอาผิดอดีตอธิการบดี ม.อีสาน
คณบดีเศรษศาสตร์ มช. ระบุประชานิยมพรรคพท. ทำลายกลไกเศรษฐกิจบิดเบี้ยว ขั้นต่ำ 300 บาทกระทบ"เอสเอ็มอี"รอพัง แต่ธุรกิจใหญ่ยิ้มร่ารอมาร์เก็ตแชร์
ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวในการสัมมนาเรื่องการวิเคราะห์และศึกษาผลกระทบนโยบายประชานิยมค่าแรงและเงินเดือนของนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ทำได้จริงหรือ จัดโดยคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงินวุฒิสภา และคณะอนุกรรมาธิการนโยบายการเงิน การคลัง และงบประมาณ ที่โรงแรมคุ้มพญา รีสอร์ทแอนด์สปา เซ็นทรัล บูติค คอลเลคชั่น จังหวัดเชียงใหม่ ว่า โครงการประชานิยมของรัฐบาลที่ใช้ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถือเป็นประชานิยมสายพันธุ์ใหม่ ไม่เอางบประมาณมาใช้เหมือนล่วงหน้าเหมือนรัฐบาลชุด เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ให้โรงพยาบาลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายไปก่อน แต่สุดท้ายแล้วรัฐก็ไม่เอาเงินไปคืน บางโรงพยาบาลมีเงินค้างจ่ายกว่า 100 ล้านบาท ฯลฯ
ครั้งนี้ เป็นการแทรกแซงการทำงานของภาคธุรกิจ ทั้งค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท การันตีเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ทำให้กลไกเศรษฐกิจบิดเบี้ยว นำมาซึ่งความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจและจะเป็นบรรทัดฐานในอนาคต ทุกพรรคการเมืองต้องนำมาใช้และเสนอในสิ่งที่มากกว่าให้ประชาชน แต่จะทำให้กลไกของการทำธุรกิจพัง ทั้งนี้ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบมากที่สุด จากปัจจุบันนี้ที่อยู่ในภาวะเพอร์เฟค สตรอม (Perfect Storm) รุนแรงและเลวร้ายที่สุด
ทั้งจากดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยตั้งแต่ปี 2553 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับขึ้นดอกเบี้ยรวมแล้วกว่า 8 ครั้ง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายแพงขึ้น และธนาคารปล่อยกู้ยากขึ้น วัตถุดิบที่แพงขึ้น โดยเฉพาะอาหารเนื่องจากเกิดวิกฤตอาหารโลก เชื่อว่าปีนี้จะหนักกว่าปี 2551 แน่นอน รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ทุกประเทศ ทั้งการปรับขึ้นค่าเอฟที การปล่อยลอยตัวก๊าซแอลพีจี และโดยเฉพาะราคาน้ำมันที่แพงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังต้องเจอกับการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นอีกเป็นการซ้ำเติมอย่างมาก
ปัจจุบันแรงงานในประเทศไทยมีทั้งหมด 37 ล้านบาท เป็นแรงงานในระบ 14 ล้านคน ที่เหลืออีกว่า 23 ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบ ซึ่งนโยบายรัฐบาลที่จะให้มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่ยังไม่มีความชัดเจน จะมีการดูแลแรงงานนอกระบบเหล่านี้อย่างไร
ในส่วนของบริษัทขนาดใหญ่จะได้รับประโยชน์ เพราะปัจจุบันจ่ายค่าแรงแพงกว่า 300 บาทอยู่แล้ว การบีบให้มีการใช้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จะทำให้ผู้ประกอบการต่างจังหวัดที่ส่วนใหญ่เป็นขนาดกลางและขนาดเดือดร้อนหนัก เพราะตอนนี้ค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทยแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน กรุงเทพอยู่ที่ 215 บาท ชลบุรีและระยองอยู่ที่ 180 บาท ซึ่งต้องจ่ายส่วนต่างไม่เท่ากัน ดังนั้น ผู้ประกอบการกรุงเทพจะได้เปรียบ เพราะจ่ายค่าส่วนต่างน้อยกว่า
"ต้องยอมรับว่าในประเทศเราธุรกิจเอสเอ็มอีมีจำนวน การปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท จะทำให้เกิดการล้มหายตายจาก โอกาสรอดในธุรกิจเป็นไปได้น้อย แต่บริษัทใหญ่จะได้ประโยชน์มาร์เก็ตแชร์ที่เพิ่มขึ้น มาตรการรองรับด้วยการลดภาษีก็ทำให้บริษัทใหญ่ได้รับอานิสงค์ ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กไม่ได้อะไรเลย เพราะปกติก็เสียน้อยอยู่แล้ว เพราะรายได้น้อย จึงไม่มีประโยชน์เลย ผมคิดว่าค่าแรงยังไงก็ต้องมีการปรับขึ้นอยู่แล้ว แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป" ดร.พิสิฐ กล่าว
ขณะเดียวกันการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน ไม่มีธุรกิจใดจะแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ต้องผลักภาระให้กับผู้บริโภคอย่างแน่นอน ทำให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะผู้บริโภคในประเทศต้องใช้สินค้า เพราะต้นทุนสินค้าเพิ่ม ผนวกกับหากเป็นสินค้าส่งออกจะไม่สามารถขึ้นราคาได้แน่นอน จะส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน ทำให้ต้องขึ้นราคาสินค้าที่จำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ อำนาจซื้อที่แท้จริงของผู้บริโภคด้อยลง
Tags : พิสิฐ ลี้อาธรรม • ประชานิยม
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... บี้ยว.html
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 66
ไม่เสมอไปนะครับ เฮียเจ๋งJeng เขียน:ผมเองกลับชอบตอนดอกเบี้ยขึ้น เพราะมีคนมากู้ดอกถึงขึ้น
ถ้าแบงค์ขาดสภาพคล่องหรือไฟแนนท์ขาดสภาพคล่อง ดอกก้ยิ่งไปใหญ่เลยครับ
เพราะ แข่งกันระดมทุน
การกู้อย่างเดียว ไม่ทำให้ดอกขึ้นครับ การที่ดอกขึ้นมากๆในช่วง40 มันเป็นดอกเบี้ยลอยฟ้า
ครับ เรียกง่ายๆคือ แข่งกันหนีตายมากกว่านะครับ
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 67
เศรษฐกิจดีดอกเบี้ยก้สูงได้
เศรษฐกิจไม่ดี ดอกเบี้ยก้สูงได้ (ชั่วคราว)
ดังนั้นต้องแยกให้ออกว่า ตอนนี้ดีหรือไม่ดี อนาคตจะดีหรือไม่ดี มากกว่าครับ
เศรษฐกิจไม่ดี ดอกเบี้ยก้สูงได้ (ชั่วคราว)
ดังนั้นต้องแยกให้ออกว่า ตอนนี้ดีหรือไม่ดี อนาคตจะดีหรือไม่ดี มากกว่าครับ
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14784
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 68
คือดอกมันเพิ่งจะขึ้นครับ ในปีนี้ ขึ้นตั้งหลายรอบ แล้วคนก็กลัวกัน แต่ผมไม่กลัว แค่นั้นเองครับchukieat30 เขียน:ไม่เสมอไปนะครับ เฮียเจ๋งJeng เขียน:ผมเองกลับชอบตอนดอกเบี้ยขึ้น เพราะมีคนมากู้ดอกถึงขึ้น
ถ้าแบงค์ขาดสภาพคล่องหรือไฟแนนท์ขาดสภาพคล่อง ดอกก้ยิ่งไปใหญ่เลยครับ
เพราะ แข่งกันระดมทุน
การกู้อย่างเดียว ไม่ทำให้ดอกขึ้นครับ การที่ดอกขึ้นมากๆในช่วง40 มันเป็นดอกเบี้ยลอยฟ้า
ครับ เรียกง่ายๆคือ แข่งกันหนีตายมากกว่านะครับ
แต่ถ้าขึ้นแล้ว ขึ้นอีก ขึ้นมาหลายปี ขึ้นจนคนที่กู้ไป ก็แบกรับต้นทุนไม่ไหว นั่นก็อีกเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยขึ้นมากๆ แต่บริษัทในตลาด กลับกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพราะอะไร
ก็คงเป็นเพราะสามารถออกหุ้นกู้ได้ หรือเพิ่มทุนได้
แต่บริษัทนอกตลาด ต้องกู้อย่างเดียวเท่านั้น
ผมก็เลยมองบวก สำหรับดอกเบี้ยขึ้น
คล้ายๆกับว่า ถ้ามีคนไปทำสปาร์กันใหม่ๆ ดีหรือไม่ คือมีคนแห่ทำสปาร์กันใหม่ๆ ผมว่าดีนะ
ดีกว่า เราทำเจ้าเดียว จะซื้ออะไร ก็แพงไปหมด เพราะไม่มีใครทำมาขาย
แต่ต่อมา มีคนแห่มาทำสปาร์เยอะขึ้นมาก ก็ถือว่าไม่ดีแล้ว เพราะว่า supple ล้น demand แล้ว
ผมก็เลยมองว่า ดอกเบี้ยขึ้นไม่น่ากลัว เพราะมันเพิ่งขึ้นมาใหม่ๆ
ดีกว่าช่วง ดอกเบี้ยไม่ขึ้น เพราะไม่มีใครไปกู้ แบงค์ก็ไม่กำไร
สุดท้าย หุ้นก็ไม่ขึ้น
และแน่นอนว่า ดอกเบี้ยขึ้นเยอะๆ ก็ไม่ดี เหมือนสปาร์หละครับ ถ้าทำเยอะมาก
ในที่สุด ก็เจ๊งกันเป็นแถว เหลือแต่มืออาชีพ
-
- Verified User
- โพสต์: 150
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 69
เรื่องเงินลงทุนจากต่างประเทศ ผมคิดอย่างนี้ครับ
อเมริกากับยุโรป ไม่ต้องพูดถึง เอาตัวให้รอดก่อน
จีนอัตราการเติบโตสูงมานาน ตอนนี้จีนมีเงินสดเยอะมาก แต่ก่อนคนบอกว่าค่าแรงจีนถูกแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
นโยบายจีนตอนนี้พยายามผลักเงินออกไปลงทุนนอกประเทศให้ได้มากที่สุด จะเห็นว่าจีนลงทุนกับ พม่า เขมร เยอะขึ้น
รวมทั้งประเทศแถบแอฟริกา และซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า
โดยสรุปนโยบายจีนนับจากนี้คือ ผลักเงินออกไปลงทุนนอกประเทศ
ทีนี้ ถ้าผมเป็นจีน มองไปทางไหนดีที่น่าลงทุน อเมริกาก็เน่า ยุโรปแย่ แอฟริกามีทรัพยากรมาก แต่ต่างวัฒนธรรมมาก
อาเซียนล่ะ? มีทรัพยากรมาก อยู่ใกล้ จีนก็เป็นพี่ใหญ่ วัฒนธรรมเดียวกัน คนจีนก็มีกระจายอยู่ทั่วไป ก็น่าสนใจ
ผมว่าอาเซียนจะได้รับอานิสงค์มาก ทีนี้ในอาเซียนใครเด่น ผมว่าประเทศไทยเราน่าสนใจ จากทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์กลาง
สาธารณูปโภคดีกว่า ทรัพยากรธรรมชาติพอมีแต่อาจจะสู้เพื่อนบ้านไม่ได้ แรงงานมีมีฝีมือมากกว่าเพื่อนบ้าน
ดังนั้น จีนน่าจะมองไทยเป็นเป้าหมายหลักอันหนึ่ง ในการมาลงทุน แต่คู่แข่งสำคัญคือเวียดนามที่มีนโยบายรัฐดีกว่า
คนขยันกว่า พูดภาษาแทบจะเดียวกัน ในสายตาจีน เราน่าจะเป็นเบอร์ 2 รองจากเวียดนาม ที่น่าสนใจลงทุน
ญี่ปุ่นละ แต่ก่อนมานมนาน ญี่ปุ่นเป็นพี่เบิ้มในเอเชีย และโดยเฉพาะอาเซียน ไปลาวจะเห็นเก่าที่สะพานสร้างโดยญี่ปุ่น
แต่พักหลังญี่ปุ่นมีปัญหาเศรษฐกิจ จีนกลับมาใหญ่กว่า แน่นอนว่าญี่ปุ่นชอบลงทุนในไทยมานานแล้ว ทีนี้ยิ่งมาเกิด
ซึนามิ แผ่นดินไหว ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ญี่ปุ่นต้องออกมาลงทุนนอกประเทศ มันน่าจะเกิดอะไรขึ้นละทีนี้
คือ ทั้งจีนและญี่ปุ่นรู้ดีว่าอาเซียนมีทรัพยากรที่เค้าต้องการมาก ประกอบกับญี่ปุ่นเป็นพี่เบิ้มเก่า
และเรารู้ดีว่าประวัติศาสตร์จีนกับญี่ปุ่นไม่กินเส้นกันเลย ประเด็นเหล่านี้ทำให้มีแนวโน้มทำให้เกิดการแย่งกันมาลงทุน
ในอาเซียน และโดยเฉพาะเมื่อจะเกิดประชาคมอาเซียนในเร็วๆนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอาเซียนแน่นอน
กลับมามองที่ตัวเราประเทศไทย เราเสียเปรียบพม่า เขมร ลาว ที่ทรัพยากรด้อยกว่า ที่ตั้งไม่อยู่ติดจีน แรงงานแพงกว่า
เราเสียเปรียบเวียดนามที่นโยบายรัฐของเขาดีกว่าสนับสนุนการลงทุนต่างชาติมากกว่า คนเยอะกว่า เศรษฐกิจกำลังโต
ที่เราได้เปรียบคือ ทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์กลางอาเซียน สาธารณูปโภคดีกว่า แรงงานฝีมือดีกว่า คนไทยยิ้มสวยใจดี
สรุป ผมมองว่าในระยะกลาง-ยาว จะมีการรลงทุนมาทางอาเซียนมาก ไทยจะรับอานิสงค์ในอัตราส่วนที่มากด้วย
ความเสี่ยงหรือสิ่งที่ต้องแก้ไขหรือต้องระวัง คือ เรื่องค่าแรงแพงขึ้นเป็นแง่ลบจะรัฐชดเชยด้วยอะไรที่คู่ควรกัน
เรื่องระบบขนส่ง ถ้ารัฐเร่งทำได้จริงโดยเฉพาะระบบข่นส่งรางคู่ไปสู่ลาวและจีนได้ มันจะยอดมาก น้ำมันจะแพงเรื่อยๆ
เรื่องการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ หาที่ยืนยังไง ให้ผู้ประกอบการของเราได้ประโยชน์ จากการเปิดอาเซียน
ส่วน fundflowนั้น จะเป็นตัวบั่นทอนเศรษฐกิจโลก เพราะเป็นตัวสร้างความผันผวนหลัก แต่ว่าอย่างที่ใครเคยพูดไว้
ผมจำไม่ได้ คือ ถ้าเรารู้ว่าลงทุนในบริษัทนั้นๆเพราะอะไร ผมว่าช่วงของมูลค่าแท้จริงจะชนะเสมอ
อันนี้เป็นความเชื่อส่วนตัวนะครับ อยากให้วิเคราะห์ช่วยกันได้เต็มที่เลยนะครับ
อเมริกากับยุโรป ไม่ต้องพูดถึง เอาตัวให้รอดก่อน
จีนอัตราการเติบโตสูงมานาน ตอนนี้จีนมีเงินสดเยอะมาก แต่ก่อนคนบอกว่าค่าแรงจีนถูกแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
นโยบายจีนตอนนี้พยายามผลักเงินออกไปลงทุนนอกประเทศให้ได้มากที่สุด จะเห็นว่าจีนลงทุนกับ พม่า เขมร เยอะขึ้น
รวมทั้งประเทศแถบแอฟริกา และซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า
โดยสรุปนโยบายจีนนับจากนี้คือ ผลักเงินออกไปลงทุนนอกประเทศ
ทีนี้ ถ้าผมเป็นจีน มองไปทางไหนดีที่น่าลงทุน อเมริกาก็เน่า ยุโรปแย่ แอฟริกามีทรัพยากรมาก แต่ต่างวัฒนธรรมมาก
อาเซียนล่ะ? มีทรัพยากรมาก อยู่ใกล้ จีนก็เป็นพี่ใหญ่ วัฒนธรรมเดียวกัน คนจีนก็มีกระจายอยู่ทั่วไป ก็น่าสนใจ
ผมว่าอาเซียนจะได้รับอานิสงค์มาก ทีนี้ในอาเซียนใครเด่น ผมว่าประเทศไทยเราน่าสนใจ จากทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์กลาง
สาธารณูปโภคดีกว่า ทรัพยากรธรรมชาติพอมีแต่อาจจะสู้เพื่อนบ้านไม่ได้ แรงงานมีมีฝีมือมากกว่าเพื่อนบ้าน
ดังนั้น จีนน่าจะมองไทยเป็นเป้าหมายหลักอันหนึ่ง ในการมาลงทุน แต่คู่แข่งสำคัญคือเวียดนามที่มีนโยบายรัฐดีกว่า
คนขยันกว่า พูดภาษาแทบจะเดียวกัน ในสายตาจีน เราน่าจะเป็นเบอร์ 2 รองจากเวียดนาม ที่น่าสนใจลงทุน
ญี่ปุ่นละ แต่ก่อนมานมนาน ญี่ปุ่นเป็นพี่เบิ้มในเอเชีย และโดยเฉพาะอาเซียน ไปลาวจะเห็นเก่าที่สะพานสร้างโดยญี่ปุ่น
แต่พักหลังญี่ปุ่นมีปัญหาเศรษฐกิจ จีนกลับมาใหญ่กว่า แน่นอนว่าญี่ปุ่นชอบลงทุนในไทยมานานแล้ว ทีนี้ยิ่งมาเกิด
ซึนามิ แผ่นดินไหว ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ญี่ปุ่นต้องออกมาลงทุนนอกประเทศ มันน่าจะเกิดอะไรขึ้นละทีนี้
คือ ทั้งจีนและญี่ปุ่นรู้ดีว่าอาเซียนมีทรัพยากรที่เค้าต้องการมาก ประกอบกับญี่ปุ่นเป็นพี่เบิ้มเก่า
และเรารู้ดีว่าประวัติศาสตร์จีนกับญี่ปุ่นไม่กินเส้นกันเลย ประเด็นเหล่านี้ทำให้มีแนวโน้มทำให้เกิดการแย่งกันมาลงทุน
ในอาเซียน และโดยเฉพาะเมื่อจะเกิดประชาคมอาเซียนในเร็วๆนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอาเซียนแน่นอน
กลับมามองที่ตัวเราประเทศไทย เราเสียเปรียบพม่า เขมร ลาว ที่ทรัพยากรด้อยกว่า ที่ตั้งไม่อยู่ติดจีน แรงงานแพงกว่า
เราเสียเปรียบเวียดนามที่นโยบายรัฐของเขาดีกว่าสนับสนุนการลงทุนต่างชาติมากกว่า คนเยอะกว่า เศรษฐกิจกำลังโต
ที่เราได้เปรียบคือ ทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์กลางอาเซียน สาธารณูปโภคดีกว่า แรงงานฝีมือดีกว่า คนไทยยิ้มสวยใจดี
สรุป ผมมองว่าในระยะกลาง-ยาว จะมีการรลงทุนมาทางอาเซียนมาก ไทยจะรับอานิสงค์ในอัตราส่วนที่มากด้วย
ความเสี่ยงหรือสิ่งที่ต้องแก้ไขหรือต้องระวัง คือ เรื่องค่าแรงแพงขึ้นเป็นแง่ลบจะรัฐชดเชยด้วยอะไรที่คู่ควรกัน
เรื่องระบบขนส่ง ถ้ารัฐเร่งทำได้จริงโดยเฉพาะระบบข่นส่งรางคู่ไปสู่ลาวและจีนได้ มันจะยอดมาก น้ำมันจะแพงเรื่อยๆ
เรื่องการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ หาที่ยืนยังไง ให้ผู้ประกอบการของเราได้ประโยชน์ จากการเปิดอาเซียน
ส่วน fundflowนั้น จะเป็นตัวบั่นทอนเศรษฐกิจโลก เพราะเป็นตัวสร้างความผันผวนหลัก แต่ว่าอย่างที่ใครเคยพูดไว้
ผมจำไม่ได้ คือ ถ้าเรารู้ว่าลงทุนในบริษัทนั้นๆเพราะอะไร ผมว่าช่วงของมูลค่าแท้จริงจะชนะเสมอ
อันนี้เป็นความเชื่อส่วนตัวนะครับ อยากให้วิเคราะห์ช่วยกันได้เต็มที่เลยนะครับ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 70
เข้ามาอ่านครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
-
- Verified User
- โพสต์: 262
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 73
ตอนนี้ผมยังรู้สึกเหมือนตอนปี 2534-2535 น่ะครับ คือฟองสบู่เพิ่งเริ่มจะก่อตัว สมัยนั้น มีรถBenz ป้ายแดงวิ่งกันเต็มถนนไปหมด กว่าฟองสบู่จะแตกจริงๆ ก็มาถึงปี 2540 มาถึงสมัยนี้ 2554 ก็เห็นมีรถBenz ป้ายแดงเริ่มจะวิ่งกันเกลื่อนเหมือนกับช่วงโน้นเปี๊ยบ หนักว่าตรงที่ เป็นBenz สปอร์ตเยอะทีเดียว ทั้ง E-Class Coupe ทั้ง SLK ทั้ง CLS รวมทั้งรุ่นอื่นๆอีก Mini, Beatle, BMW Z4 ส่วนรถระดับทั่วๆไป อย่าง Camry, Accord, Teana, Altis, Civic, March, Fiesta, Vios ฯลฯ ไม่ต้องพูดถึง มากันล้นหลาม ส่วนด้านอสังหาริมทรัพย์ก็มีการขยับ ที่ดินแถวๆบ้านผมที่หาดใหญ่ ที่มันเคยรกร้าง เงียบเหงามาเป็นสิบๆปี ตอนนี้ทั้งตอกเสาเข็ม ทั้งเริ่มเทรากฐาน, บางแ่ห่งก็เิริ่มสร้างเสร็จ แถมยังมีคอนโดผุดขึ้นมาอีกต่างหากเหลือเชื่อจริงๆ ทั้งๆที่ ที่ดินแนวราบในหาดใหญ่ยังเหลืออีกตั้งเยอะแยะ สงสัยมองกลุ่มลูกค้าที่กลัวน้ำท่วม อิอิ อีกอย่างนึงที่ผมเห็นด้วย ก็เรื่องการค้ำประกันเงินฝาก ซึ่งจะมาเต็มรูปแบบในปีหน้า น่าจะส่งเสริมให้เงินเข้ามาในตลาดหุ้นเป็นฐานแน่นๆอีกส่วนนึงด้วย อีกอย่างถึงตอนนี้ดอกเบี้ยจะเริ่มขึ้นๆ มาบ้าง แต่เมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากเงินปันผลของหุ้น(ที่ผมถืออยู่)ยังห่างอยู่พอประมาณ (แต่ไม่รู้เิงินปันผลของตลาดหุ้นโดยรวมจะเป็นยังไงนะครับไม่ได้ตามเลย) ผมว่าหุ้นมันน่าจะยังไปได้อีกสักระยะ กว่าฟองสบู่จะแตกนะครับ ทั้งหมดนี้ จากการสังเกตุและเปรียบเทียบแบบไร้ความรู้โดยสิ้นเชิง แค่เอามาเปรียบเทียบดูจากที่เคยผ่านช่วงโน้นมาน่ะครับ ยังไงก็เชื่อว่าสุดท้ายฟองมันต้องแตกกระจุยกระจายแน่นอน แต่ขอไ้ด้รับอะไรดีๆ ก่อนฟองมันจะแตกสักรอบเหอะครับ ครั้งหนึ่งในชีวิตก็ยังดี แฮๆ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1046
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 75
ผมมือใหม่ลงทุนมาไม่กี่ปีมองตลาดไม่ออกครับ ผมเลยเลือกดูเป็นตัวๆ แต่ช่วงนี้ วันนี้หุ้นไทยบวกแต่พรุ่งนี้น่าจะลบตาม ตปท ที่คืนนี้แดงยกแผง คงต้องถือโอกาสปรับพอร์ทมั่งล่ะ
ซื้อเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่า ขายเมื่อมูลค่าต่ำกว่าราคา
-
- Verified User
- โพสต์: 551
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 76
วิเคราะห์ดีครับ เห็นด้วย และส่วนที่จะชดเชยกับค่าแรงสูงคือ ภาษีถูกลง น่าจะเกี่ยวมั๊ย? แต่ถ้าคนที่ได้ BOI อาจจะมีผลบ้างnetirut เขียน:เรื่องเงินลงทุนจากต่างประเทศ ผมคิดอย่างนี้ครับ
อเมริกากับยุโรป ไม่ต้องพูดถึง เอาตัวให้รอดก่อน
จีนอัตราการเติบโตสูงมานาน ตอนนี้จีนมีเงินสดเยอะมาก แต่ก่อนคนบอกว่าค่าแรงจีนถูกแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
นโยบายจีนตอนนี้พยายามผลักเงินออกไปลงทุนนอกประเทศให้ได้มากที่สุด จะเห็นว่าจีนลงทุนกับ พม่า เขมร เยอะขึ้น
รวมทั้งประเทศแถบแอฟริกา และซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า
โดยสรุปนโยบายจีนนับจากนี้คือ ผลักเงินออกไปลงทุนนอกประเทศ
ทีนี้ ถ้าผมเป็นจีน มองไปทางไหนดีที่น่าลงทุน อเมริกาก็เน่า ยุโรปแย่ แอฟริกามีทรัพยากรมาก แต่ต่างวัฒนธรรมมาก
อาเซียนล่ะ? มีทรัพยากรมาก อยู่ใกล้ จีนก็เป็นพี่ใหญ่ วัฒนธรรมเดียวกัน คนจีนก็มีกระจายอยู่ทั่วไป ก็น่าสนใจ
ผมว่าอาเซียนจะได้รับอานิสงค์มาก ทีนี้ในอาเซียนใครเด่น ผมว่าประเทศไทยเราน่าสนใจ จากทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์กลาง
สาธารณูปโภคดีกว่า ทรัพยากรธรรมชาติพอมีแต่อาจจะสู้เพื่อนบ้านไม่ได้ แรงงานมีมีฝีมือมากกว่าเพื่อนบ้าน
ดังนั้น จีนน่าจะมองไทยเป็นเป้าหมายหลักอันหนึ่ง ในการมาลงทุน แต่คู่แข่งสำคัญคือเวียดนามที่มีนโยบายรัฐดีกว่า
คนขยันกว่า พูดภาษาแทบจะเดียวกัน ในสายตาจีน เราน่าจะเป็นเบอร์ 2 รองจากเวียดนาม ที่น่าสนใจลงทุน
ญี่ปุ่นละ แต่ก่อนมานมนาน ญี่ปุ่นเป็นพี่เบิ้มในเอเชีย และโดยเฉพาะอาเซียน ไปลาวจะเห็นเก่าที่สะพานสร้างโดยญี่ปุ่น
แต่พักหลังญี่ปุ่นมีปัญหาเศรษฐกิจ จีนกลับมาใหญ่กว่า แน่นอนว่าญี่ปุ่นชอบลงทุนในไทยมานานแล้ว ทีนี้ยิ่งมาเกิด
ซึนามิ แผ่นดินไหว ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ญี่ปุ่นต้องออกมาลงทุนนอกประเทศ มันน่าจะเกิดอะไรขึ้นละทีนี้
คือ ทั้งจีนและญี่ปุ่นรู้ดีว่าอาเซียนมีทรัพยากรที่เค้าต้องการมาก ประกอบกับญี่ปุ่นเป็นพี่เบิ้มเก่า
และเรารู้ดีว่าประวัติศาสตร์จีนกับญี่ปุ่นไม่กินเส้นกันเลย ประเด็นเหล่านี้ทำให้มีแนวโน้มทำให้เกิดการแย่งกันมาลงทุน
ในอาเซียน และโดยเฉพาะเมื่อจะเกิดประชาคมอาเซียนในเร็วๆนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอาเซียนแน่นอน
กลับมามองที่ตัวเราประเทศไทย เราเสียเปรียบพม่า เขมร ลาว ที่ทรัพยากรด้อยกว่า ที่ตั้งไม่อยู่ติดจีน แรงงานแพงกว่า
เราเสียเปรียบเวียดนามที่นโยบายรัฐของเขาดีกว่าสนับสนุนการลงทุนต่างชาติมากกว่า คนเยอะกว่า เศรษฐกิจกำลังโต
ที่เราได้เปรียบคือ ทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์กลางอาเซียน สาธารณูปโภคดีกว่า แรงงานฝีมือดีกว่า คนไทยยิ้มสวยใจดี
สรุป ผมมองว่าในระยะกลาง-ยาว จะมีการรลงทุนมาทางอาเซียนมาก ไทยจะรับอานิสงค์ในอัตราส่วนที่มากด้วย
ความเสี่ยงหรือสิ่งที่ต้องแก้ไขหรือต้องระวัง คือ เรื่องค่าแรงแพงขึ้นเป็นแง่ลบจะรัฐชดเชยด้วยอะไรที่คู่ควรกัน
เรื่องระบบขนส่ง ถ้ารัฐเร่งทำได้จริงโดยเฉพาะระบบข่นส่งรางคู่ไปสู่ลาวและจีนได้ มันจะยอดมาก น้ำมันจะแพงเรื่อยๆ
เรื่องการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ หาที่ยืนยังไง ให้ผู้ประกอบการของเราได้ประโยชน์ จากการเปิดอาเซียน
ส่วน fundflowนั้น จะเป็นตัวบั่นทอนเศรษฐกิจโลก เพราะเป็นตัวสร้างความผันผวนหลัก แต่ว่าอย่างที่ใครเคยพูดไว้
ผมจำไม่ได้ คือ ถ้าเรารู้ว่าลงทุนในบริษัทนั้นๆเพราะอะไร ผมว่าช่วงของมูลค่าแท้จริงจะชนะเสมอ
อันนี้เป็นความเชื่อส่วนตัวนะครับ อยากให้วิเคราะห์ช่วยกันได้เต็มที่เลยนะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 77
ขอคาราวะให้อย่างงามๆ ครับ พี่คาดการณ์ได้ถูกเป๊ะเรื่องหุ้นจะบูม ล่วงหน้าเกือบ 2 ปี สุดยอดจริงๆ ครับJeng เขียน:แต่ไม่ได้หมายความว่า หุ้นจะไม่ปรับฐาน
ผมคิดว่าหุ้นจะบูมมาก
1. การลงทุนต่างประเทศ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้เกิดการสร้างงาน
2. สมัยก่อน ค่าเงินบาทอ่อน 40 กว่าบาท และแข็งขึ้นเป็น 30 ผมคิดว่า
ส่งออกตายแน่ๆ แต่สุดท้าย ตัวเลขออกมาส่งออก ก็โตขึ้นมาก
2. การท่องเที่ยว แต่ก่อนก็มีปัญหากีฬาสี และระเบิดภาคใต้ ผมก็นึกว่า
คนจะมาเที่ยวกันน้อยลง ปรากฎว่า มาเที่ยวกันมากขึ้นอีก
3. การใช้จ่ายในประเทศ คนไทยก็ใช้จ่ายเก่ง เงิน 1 บาท หมุนหลายรอบ
4. การลดภาษีบริษัทจาก 30 เหลือ 23 % ครั้งแรกของประเทศไทย ที่ทุกบริษัทในตลาดหุ้นจะกำไรโตขึ้นพร้อมๆกัน
5. การไม่รับประกันเงินฝาก ที่จะลดจากบัญชีละ 50 ล้านเหลือ 1 ล้านบาท เงินไม่ปลอดภัย ซื้อหุ้น ซื้ออสังหาริมทรัพย์ดีกว่า
6. ตลาดหุ้นเมืองไทย เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะนักลงทุนมีความรู้ความสามารถมากขึ้น จะลงทุน รู้จักอ่านงบการเงิน รู้จักการวิเคราะห์บริษัท ซึ่งก็ต้องยกให้ ปรมาจารย์ อาจารย์นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่เป็นท่านเป็นตัวอย่างความสำเร็จ เป็นแรงบันดาลใจ ให้นักลงทุนหน้าใหม่ หลายๆคน กล้าคิด กล้าลงทุน ทั้งจากการที่ท่าน เขียนบทความ ไปบรรยายตามสถานที่ต่างๆ ตลอดจน ออกรายการ money channel และอื่นๆ ว่างๆ พวกเราควรส่งการ์ดอวยพร วันเกิด หรือวันขึ้นปีใหม่ ไปที่บ้านท่านบ้างก็ดีนะครับ เป็นกำลังใจให้ท่าน เป็นตัวอย่างความสำเร็จแบบนี้ไปนานๆ
7. ตลาดหุ้นบ้านเรายังเล็ก และสามารถเติบโตไปได้อีกมาก ตอนนี้เรามี market cap 9.2 ล้านๆบาท มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียน ไม่ถึง 600 บริษัท ซึ่งเล็กกว่า apple ที่มีมูลค่า 11 ล้านๆบาท
บริษัทที่เข้ามาจดทะเบียน เพื่อหวังแต่กำไร เริ่มโดนตรวจสอบจากนักลงทุนผ่านทางเว็บบอร์ด และอื่นๆ นักลงทุนรุ่นใหม่ ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะลงทุนไป ก็ไม่รู้ว่าจะขาดทุนเมื่อไร หุ้นดีๆ ก็เริ่มทยอยเข้าตลาด เพราะรู้แล้วว่า ที่นี่ระดมทุนง่ายมาก เงินเพรียบ
สรุป ผมมองว่า ตลาดหุ้นบ้านเราอนาคตสดใส และนักลงทุนฝากความหวัง อิสรภาพทางการเงิน กับการลงทุนในตลาดหุ้นได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับใจรักที่จะลงทุน หากคุณมีใจรักจริง คุณก็ไม่ต้องเหนื่อย เพราะคุณไม่ได้ทำงาน และคุณมันส์ในอารมณ์ในการลงทุนในตลาดหุ้น
หมายเหตุ ผมคิดว่า ตลาดหุ้นบ้านเราราคาแกว่งมาก เนื่องจากเราไม่มี capital gain ซึ่งดีแล้วที่ไม่มี การที่ราคาแกว่งมาก ทำให้เรามีโอกาสซื้อได้สมเหตุสมผลเสมอ แต่ก็มีข้อเสีย หากเราศึกษาไม่ดีพอ เราก็อาจจะขายหมู
อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยที่แพงขึ้น สำหรับผมแล้ว เป็นสัญญาเศรษฐกิจดี หากเศรษฐกิจไม่ดี ดอกถูกแค่ไหน ก็ไม่มีคนไปกู้
นโยบายประชานิยมของเรา ตอนนี้ก็เพิ่งเริ่มมาไม่นาน เพื่อให้ได้ฐานเสียง หนี้สารธารณะของเราแค่ 41 % นิดๆ ทำให้ยังไม่ใช่ปัญหาแบบเดียวกับที่อเมริกาเจอ ณ เวลานี้
แต่อเมริกาเองก็ไม่ใช่ประเทศที่มีหนี้สารธารณะ มากเป็นอันดับหนึ่ง อเมริกามีหนี้สาธารณะอยู่อันดับ 11
ผมนั่งคิดว่า เมกา เคยมียุคที่ value investor เลิกเล่น เพราะ pe เฉลี่ย ของตลาดขึ้นไปสูงมากๆ แต่เมืองไทย ตั้งแต่เข้ายุค value investor ก็ยังไม่เคยเห็น เลิกเล่นกัน แสดงว่า ตลาดน่าจะยังไปได้ต่อครับ
คิดต่างได้นะครับ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ความเห็นก็คือความเห็น ไม่ต้องขอบคุณอะไรมากมาย พี่ไม่ใช่เซียน ก็แค่นักลงทุนคนหนึ่ง
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 78
ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆที่อุตส่าห์ขุดมานะครับ
พี่เจ๋งเองก็ทำนายได้แม่นเลยทีเดียวครับ
พี่เจ๋งเองก็ทำนายได้แม่นเลยทีเดียวครับ
ลงทุนเพื่อชีวิต
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 83
ยอดผู้เข้าชม Opportunity Day ทุบสถิติเพิ่มขึ้น 80% เตรียมต่อยอดบน Android
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 มีนาคม 2556 13:27 น.
http://www.manager.co.th/iBizChannel/Vi ... 0000037722
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยกิจกรรม Opportunity Day ซึ่งเป็นเวทีสำหรับบริษัทจดทะเบียนนำเสนอข้อมูลผลประกอบการ สิ้นสุด ธ.ค.2555 ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน และนักวิเคราะห์เพิ่มขึ้นอย่างมาก มีผู้เข้าชมทางเว็บไซต์ และสมาร์ทโฟนกว่า 90,000 viewers เพิ่มขึ้น 80% พร้อมเริ่มทดสอบ App OppDay บน Android ในรอบหน้า
น.ส.ปวีณา ศรีโพธิ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์ และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกิจกรรม Opportunity Day” ในรอบนี้เริ่มตั้งแต่ 18 ก.พ.-29 มี.ค.2556 มีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมถึง 122 บริษัท คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) รวมกว่า 6 ล้านล้านบาท ครอบคลุมผู้ชม 90,000 viewers จาก 124 ประเทศ เช่น ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์
ยอดผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นนี้ส่วนหนึ่งมาจากการเข้าชมผ่าน App OppDay บน iPad ซึ่งพัฒนาและให้บริการมาตั้งแต่ ก.ย.2555 และได้รับความนิยมอย่างสูงในเวลาอันรวดเร็ว โดยปัจจุบัน มีผู้เข้าชมถึง 13,500 viewers และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างพัฒนา App OppDay บน Android ต่อ โดยให้มีการนำเสนอข้อมูลครบถ้วนเช่นเดียวกับการชมผ่าน iPad ซึ่งจะเริ่มทดสอบในกิจกรรม Opportunity Day ครั้งต่อไป และคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในปีนี้ เพื่อให้มีช่องทางการนำเสนอข้อมูลเพิ่มขึ้น
จากข้อมูลผู้เข้าชมจนถึงวันที่ 25 มี.ค.2556 บริษัทที่มีผู้รับชมการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์สูงสุด 10 ลำดับแรก ได้แก่ บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) บมจ.เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ (SNC) บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ.แสนสิริ (SIRI) บมจ.ไฮโดรเท็ค (HYDRO) บมจ.ออฟฟิศเมท (OFM) บมจ.ไทยคม (THCOM) บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) และ บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV)
ปัจจุบัน มีผู้ดาวน์โหลด App OppDay บน iPad กว่า 50,000 คน ผู้เข้าชมสามารถรับชมกิจกรรม Opportunity Day ได้ทั้งถ่ายทอดสด และเทป พร้อมทั้งยังมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน เช่น ข้อมูลบริษัทจดทะเบียน หรือ factsheet ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลผลการดำเนินงาน และค่าสถิติสำคัญต่างๆ ให้เป็นปัจจุบันทุกสิ้นสัปดาห์ annual report ฉบับล่าสุดของบริษัทจดทะเบียน และในรอบนี้ ยังอำนวยความสะดวกแก่ผู้ถือหุ้นที่จะเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี ด้วยการนำเสนอข้อมูลวันประชุมผู้ถือหุ้น และข้อมูล corporate actions อื่นๆ ของบริษัทจดทะเบียนใน event calendar ด้วย
-จบ-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 มีนาคม 2556 13:27 น.
http://www.manager.co.th/iBizChannel/Vi ... 0000037722
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยกิจกรรม Opportunity Day ซึ่งเป็นเวทีสำหรับบริษัทจดทะเบียนนำเสนอข้อมูลผลประกอบการ สิ้นสุด ธ.ค.2555 ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุน และนักวิเคราะห์เพิ่มขึ้นอย่างมาก มีผู้เข้าชมทางเว็บไซต์ และสมาร์ทโฟนกว่า 90,000 viewers เพิ่มขึ้น 80% พร้อมเริ่มทดสอบ App OppDay บน Android ในรอบหน้า
น.ส.ปวีณา ศรีโพธิ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์ และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกิจกรรม Opportunity Day” ในรอบนี้เริ่มตั้งแต่ 18 ก.พ.-29 มี.ค.2556 มีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมถึง 122 บริษัท คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) รวมกว่า 6 ล้านล้านบาท ครอบคลุมผู้ชม 90,000 viewers จาก 124 ประเทศ เช่น ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์
ยอดผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นนี้ส่วนหนึ่งมาจากการเข้าชมผ่าน App OppDay บน iPad ซึ่งพัฒนาและให้บริการมาตั้งแต่ ก.ย.2555 และได้รับความนิยมอย่างสูงในเวลาอันรวดเร็ว โดยปัจจุบัน มีผู้เข้าชมถึง 13,500 viewers และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างพัฒนา App OppDay บน Android ต่อ โดยให้มีการนำเสนอข้อมูลครบถ้วนเช่นเดียวกับการชมผ่าน iPad ซึ่งจะเริ่มทดสอบในกิจกรรม Opportunity Day ครั้งต่อไป และคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในปีนี้ เพื่อให้มีช่องทางการนำเสนอข้อมูลเพิ่มขึ้น
จากข้อมูลผู้เข้าชมจนถึงวันที่ 25 มี.ค.2556 บริษัทที่มีผู้รับชมการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์สูงสุด 10 ลำดับแรก ได้แก่ บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) บมจ.เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ (SNC) บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ.แสนสิริ (SIRI) บมจ.ไฮโดรเท็ค (HYDRO) บมจ.ออฟฟิศเมท (OFM) บมจ.ไทยคม (THCOM) บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) และ บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV)
ปัจจุบัน มีผู้ดาวน์โหลด App OppDay บน iPad กว่า 50,000 คน ผู้เข้าชมสามารถรับชมกิจกรรม Opportunity Day ได้ทั้งถ่ายทอดสด และเทป พร้อมทั้งยังมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน เช่น ข้อมูลบริษัทจดทะเบียน หรือ factsheet ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลผลการดำเนินงาน และค่าสถิติสำคัญต่างๆ ให้เป็นปัจจุบันทุกสิ้นสัปดาห์ annual report ฉบับล่าสุดของบริษัทจดทะเบียน และในรอบนี้ ยังอำนวยความสะดวกแก่ผู้ถือหุ้นที่จะเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี ด้วยการนำเสนอข้อมูลวันประชุมผู้ถือหุ้น และข้อมูล corporate actions อื่นๆ ของบริษัทจดทะเบียนใน event calendar ด้วย
-จบ-
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- Verified User
- โพสต์: 1426
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
โพสต์ที่ 84
"บิ๊ก" ตลาดทุนส่งซิก "เม็ดเงิน" ก้อนใหญ่ในตลาดบอนด์จ่อโยกเข้าตลาดหุ้น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 มีนาคม 2556 16:01 น.
สภาธุรกิจตลาดทุนฯ มองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นแรง คาดภาวะกระทิงยังคงอยู่ต่อเนื่องอีก 2-3 ปี หากไม่มีปัญหาการเมือง หรือเกิดวิกฤต ศก. อีกรอบ เผยสัญญาณ ศก.ไทย-โลก ดีขึ้น ส่งผลต่อการขึ้น ดบ. อาจได้เห็นการโยกเงินครั้งใหญ่ 8 แสนล้านจากตลาดบอนด์ ปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า ลั่นหากคิดจะเข้าลุยในช่วงนี้ ถือว่ายังไม่สายเกินไป แม้หุ้นไทยจะมีราคาแพง
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทย โดยย้ำว่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือเป็นตลาดกระทิงต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี จากการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และแนวโน้มเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่จะโยกจากตลาดตราสารหนี้เข้าสู่ตลาดหุ้น บนพื้นฐานไม่มีปัญหาทางการเมือง และไม่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าสภาพคล่องในระบบจะมีจำนวนมาก จากการอัดฉีดเม็ดเงินของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะการอัดฉีดคิวอีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่เม็ดเงินเหล่านั้นไหลเข้าตลาดพันธบัตรมากกว่าตลาดหุ้น โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีเม็ดเงินใหม่ๆไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 0.5% ขณะที่มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดตราสารหนี้เพิ่มขึ้นปีละกว่า 10% ในเอเชียและไทยก็มีลักษณะที่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจโลกรวมทั้งเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น จึงมีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาพันธบัตรและตราสารหนี้ต่างๆ จะปรับลดลง จึงมีโอกาสที่จะเห็นการโยกเงินครั้งใหญ่ หรือ Great rotation จากตลาดตราสารหนี้มายังตลาดหุ้น โดยคาดว่าจะได้เห็นในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า
"สภาพคล่องที่เข้ามา มีผลต่อตลาดหุ้นไทยน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่เข้าตลาดบอนด์ แต่มีแนวโน้มว่าเม็ดเงินเหล่านั้นจะโยกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้มีโอกาสที่หุ้นไทยจะทะลุจุดสูงสุดเดิมที่อยู่ที่ 1,798 จุดในช่วงที่มีการโยกเงิน แม้ว่าในอนาคตเฟดจะหยุดอัดฉีดคิวอี ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยากับตลาดหุ้นในช่วงแรก แต่ในระยะต่อไปตลาดหุ้นก็ยังปรับขึ้นได้ จากความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น และจากเม็ดเงินที่จะโยกจากตลาดบอนด์เข้ามาในตลาดหุ้น"
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังไม่แพง และยังไม่สายเกินไปที่จะเข้าลงทุน แม้ว่าปัจจุบันดัชนีจะปรับขึ้นสูงมาก แต่ก็มีปัจัยพื้นฐานรองรับ โดยเฉพาะการเติบโตของกำไร บจ. หรือ อีพีเอส (EPS) ที่เติบโตในระดับที่ไกล้เคียงกับดัชนี เห็นได้จากเมื่อเทียบกับปี 2552 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมา 107% แต่กำไร บจ.ก็เติบโตในระดับ 99% ขณะที่เมื่อเทียบกับปี 2554 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น 49% กำไร บจ.ปรับขึ้น 40%
นายไพบูลย์ มองว่าเงินทุนที่เข้ามาในตลาดหุ้นรอบนี้ ตนเองขอยืนยันว่ามาดี โดยเข้าซื้อในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เช่น กลุ่มสื่อสาร อาหาร ธนาคารและพลังงาน และขายในกลุ่มที่ราคาปรับขึ้นแรง เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มพาณิชย์ ก่อสร้าง และท่องเที่ยว เป็นต้น
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 มีนาคม 2556 16:01 น.
สภาธุรกิจตลาดทุนฯ มองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นแรง คาดภาวะกระทิงยังคงอยู่ต่อเนื่องอีก 2-3 ปี หากไม่มีปัญหาการเมือง หรือเกิดวิกฤต ศก. อีกรอบ เผยสัญญาณ ศก.ไทย-โลก ดีขึ้น ส่งผลต่อการขึ้น ดบ. อาจได้เห็นการโยกเงินครั้งใหญ่ 8 แสนล้านจากตลาดบอนด์ ปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า ลั่นหากคิดจะเข้าลุยในช่วงนี้ ถือว่ายังไม่สายเกินไป แม้หุ้นไทยจะมีราคาแพง
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทย โดยย้ำว่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือเป็นตลาดกระทิงต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี จากการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และแนวโน้มเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่จะโยกจากตลาดตราสารหนี้เข้าสู่ตลาดหุ้น บนพื้นฐานไม่มีปัญหาทางการเมือง และไม่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าสภาพคล่องในระบบจะมีจำนวนมาก จากการอัดฉีดเม็ดเงินของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะการอัดฉีดคิวอีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่เม็ดเงินเหล่านั้นไหลเข้าตลาดพันธบัตรมากกว่าตลาดหุ้น โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีเม็ดเงินใหม่ๆไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 0.5% ขณะที่มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดตราสารหนี้เพิ่มขึ้นปีละกว่า 10% ในเอเชียและไทยก็มีลักษณะที่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจโลกรวมทั้งเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น จึงมีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาพันธบัตรและตราสารหนี้ต่างๆ จะปรับลดลง จึงมีโอกาสที่จะเห็นการโยกเงินครั้งใหญ่ หรือ Great rotation จากตลาดตราสารหนี้มายังตลาดหุ้น โดยคาดว่าจะได้เห็นในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า
"สภาพคล่องที่เข้ามา มีผลต่อตลาดหุ้นไทยน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่เข้าตลาดบอนด์ แต่มีแนวโน้มว่าเม็ดเงินเหล่านั้นจะโยกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้มีโอกาสที่หุ้นไทยจะทะลุจุดสูงสุดเดิมที่อยู่ที่ 1,798 จุดในช่วงที่มีการโยกเงิน แม้ว่าในอนาคตเฟดจะหยุดอัดฉีดคิวอี ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยากับตลาดหุ้นในช่วงแรก แต่ในระยะต่อไปตลาดหุ้นก็ยังปรับขึ้นได้ จากความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น และจากเม็ดเงินที่จะโยกจากตลาดบอนด์เข้ามาในตลาดหุ้น"
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังไม่แพง และยังไม่สายเกินไปที่จะเข้าลงทุน แม้ว่าปัจจุบันดัชนีจะปรับขึ้นสูงมาก แต่ก็มีปัจัยพื้นฐานรองรับ โดยเฉพาะการเติบโตของกำไร บจ. หรือ อีพีเอส (EPS) ที่เติบโตในระดับที่ไกล้เคียงกับดัชนี เห็นได้จากเมื่อเทียบกับปี 2552 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมา 107% แต่กำไร บจ.ก็เติบโตในระดับ 99% ขณะที่เมื่อเทียบกับปี 2554 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น 49% กำไร บจ.ปรับขึ้น 40%
นายไพบูลย์ มองว่าเงินทุนที่เข้ามาในตลาดหุ้นรอบนี้ ตนเองขอยืนยันว่ามาดี โดยเข้าซื้อในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เช่น กลุ่มสื่อสาร อาหาร ธนาคารและพลังงาน และขายในกลุ่มที่ราคาปรับขึ้นแรง เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มพาณิชย์ ก่อสร้าง และท่องเที่ยว เป็นต้น