PrasertsakK เขียน:ผมคิดว่าทั้งสองวิธีมีปัญหาในบางส่วนครับ
อย่างข้อ 1 ปัญหาก็คือเราไม่มีทางรู้ว่าอารมณ์ของตลาดจะดีต่อเนื่องนานแค่ไหน อาจจะ 1 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี หรือหลายปี ถ้าเราขายไปเลย เราก็จะเสียโอกาสในการทำกำไรที่ควรจะได้ไปพอสมควรเลย แถมเราก็ไม่รู้ว่าที่เราประเมินว่า 10 บาทในตอนแรก คือราคาที่ถูกต้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ นั้นคือ พอราคาขึ้นมา 20 บาท เราก็ไม่แน่ใจว่ามันเกินมูลค่าไปมากขนาดไหน ถ้าเราขาย ราคาอาจจะขึ้นต่อไปอีกยาวนาน หรือว่า อาจจะลงมาเหมือนที่เราคิดก็ได้ ซึ่งมันยากที่จะบอก แต่การขายเลยก็มีข้อดีอย่างหนึ่งครับคือ เราได้กำไรแน่ ๆ (ประมาณว่าสบายใจดี)
ตรงจุดนี้ผมใช้วิธีคำนวนย้อนกลับครับ คือเวลาผมประเมินราคาหุ้นผมจะใช้ PE ที่ต้องการ เช่น ใช้ PE 15 แล้วได้ราคามา 10 บาท ก็ขื้อให้ถูกกว่า 10 บาท
แต่ถ้ามันขึ้นไปถึง 20 บาท ผมจะคำนวนย้อนกลับว่า ณ ราคานี้ ถ้ากำไรเท่าเดิม PE จะได้เท่าไร แล้วเรามองว่ามันสูงไปหรือเปล่า??
กับอีกแบบนึงคือ ยึด PE 15 เท่าเดิมแล้วคำนวนหากำไร/หุ้น ว่าบริษัทจะสามารถทำได้แบบที่คำนวนหรือเปล่าในอนาคตหนะครับ...^^)
PrasertsakK เขียน:ส่วนของ 2 : ก็มีปัญหาว่า เมื่อเราขายเมื่อตัวธุรกิจเปลี่ยน เราขายไม่ทันเมื่อกิจการเปลี่ยนจริง ๆ นั้นคือ ถ้าเราจะใช้วิธีนี้ เราต้องมีความสามารถประเมินคุณภาพของกิจการให้เร็วกว่าคนอื่นได้สองสามก้าว (นั้นคือปัญหาครับ เพราะ เราอาจจะไม่มีความสามารถนี้)
ตรงส่วนนี้ผมยังไม่เคยเจอครับ แต่จะพยายามศึกษาและเรียนรู้ต่อไปครับ...^^)
PrasertsakK เขียน:จากประสพการณ์จริง ผมซื้อ MCS ทุนประมาณ 3 บาท ราคาขึ้นมา 10 บาท เพื่อนแนะนำว่าขายเพราะว่าดูมันเกินมูลค่ามากไปแล้ว(ซื้อมาด้วยกัน) แต่ผมคิดว่ากิจการไม่ได้เปลี่ยนอะไร แถมยังคิดว่ากิจการน่าจะมีอัตตรากำไรเพิ่มขึ้นจากมาตราฐานใหม่ที่จะได้รับ แถมทุนเราก็ถูกมาก ถือไปเรื่อยก็ไม่เสียหายอะไร วันดีคืนดี ราคาขยับลงมา เราก็รู้สึกว่าดีจัง ถ้าลงมาเยอะ ๆ จะซื้อเพิ่มไปอีก แต่พองบออก พื้นฐานที่เคยคิดว่าดี ก็มีคนมาบอกเรามากมายว่ามันห่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ราคาก็ไหลลงมา แล้วผมก็เริ่มทำตัวไร้สติ T T ซื้อเพิ่มบาง ขายบาง งง ๆ กับตัวเองไปหมด
ปัจจุบันพยายามใช้วิธีการดูแบบองค์รวม คือ ดูว่าตัวที่เราถืออยู่กับตัวที่เราจะซื้อ(watching list)ตัวไหนดีกว่ากัน โดยให้คะแนนในมุมต่าง ๆ ทั้งเชิงคุณภาพแล้วปริมาณ ออกมาเป็นตัวเลข โดยตัวwatching list ต้องมีคะแนนสูงกว่าอย่างน้อย 10 % ถึงทำการสลับตัว
แต่ปัญหาของวิธีนี้ก็มีตรงที่ ในสภาวะแบบนี้ watching list ของผมมันมีคะแนนต่ำเตี้ย แถม หุ้นที่ถือคะแนนก็เริ่มต่ำลงต่ำลง แม้บางตัวจะเข้ากฎของตัวเอง ก็ทำใจซื้อไม่ได้ แถมผมเลยต้องตั้งกฎเพิ่มว่า ถ้าจะซื้อ จะมีคะแนนขั้นต่ำไปด้วย เลยทำให้ผมเริ่มไปใช้ข้อ 1 บาง เพื่อเพิ่มความสบายใจ
ผมก็เริ่มงงๆกับความเห็นของคุณ "Prasertsakk" แล้วเหมือนกันครับ(ป่อย!!) 555+
แต่พอจับประเด็นได้ว่าการที่เราจะซื้อเพิ่มเพราะราคามันลงต่ำกว่าที่ประเมิน ต้องมั่นใจก่อนว่าสิ่งที่เราคิดว่าดีมันดีต่อธุรกิจจริงๆ ไม่ใช่เรามองว่าดีอยู่คนเดียวแต่คนอื่น
เขามองว่าไม่ดีและมีผลต่อธุรกิจในทางที่ไม่ดีด้วย ตัว MCS ผมไม่เคยวิเคราะห์ครับเลยไม่รู้เป็นยังไง...^^)
ปกติเวลาผมลงทุน ผมจะใช้แนวทางของ ปีเตอร์ลินซ์ครับ โดยแบ่งหุ้นที่เราจะลงทุนออกมาว่าอยากลงทุนในหุ้นเติบโต หุ้นแข็งแกร่ง หุ้นโตช้า
หุ้นวัฐจักร หุ้นทรัพย์สินมาก หุ้น Turnaround อย่างละกี่%ของเงินลงทุนทั้งหมดหนะครับ ดังนั้นมันจึงมี Limit ในการซื้อหุ้นแต่ละตัวแต่ละกลุ่มตาม
จำนวนเงินทุนครับ และเวลาจะเปลี่ยนการถือหุ้นก็จะมีหลักของมันที่เราตั้งไว้แล้วครับ ขอแชร์ไอเดียการลงทุนบ้างนะครับ ขอบคุณครับ...^^)
ปล. แต่ผมก็ลงทุนอยู่แค่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเติบโต กับกลุ่มแข็งแกร่งเท่านั้นแหละครับ กลุ่มอื่นๆผมไม่สันทัด...^^)