สรุป Money talk@SET 20Apr2013 เสียดายก่อนตายฯ และ กลยุทธ์ยาม
- i-salmon
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 293
- ผู้ติดตาม: 0
สรุป Money talk@SET 20Apr2013 เสียดายก่อนตายฯ และ กลยุทธ์ยาม
โพสต์ที่ 1
สรุป Money talk@SET 20Apr2013 // i-salmon
หัวข้อ "เสียดายก่อนตายคนเล่นหุ้นไม่ได้ฟัง" และ “กลยุทธ์ลงทุนยามหุ้นผันผวน”
Money talk ครั้งต่อไป
เสาร์ ๔ พ.ค.
จอง ๒๗ เม.ย. ผ่าน เฟซบุ๊ค (ผู้สูงอายุจองวันที่ ๒๖)
หัวข้อ ๑ เจาะลึกธุรกิจเหล็กไทย ๓ บริษัท พิธีกร หมอเค
หัวข้อ ๒ สอนลูกหลานเรื่องเงินทอง คุณวิวรรณ อ.ถาวร ดร.สมจินต์ ดร.นิเวศน์
19.00 น. รุมหลังงาน ดร. นิเวศน์
อาทิตย์ ๒ มิ.ย.
หัวข้อ ๑ หุ้นเด่นในกระแสหลักโลก
คาร์มาร์ท เจย์มาร์ท จูบิลี่ และอีกสักบริษัทหนึ่ง (ยังไม่ได้เชิญแขก คิดเอาไว้)
หัวข้อ ๒ สอนลูกหลานเรื่องหุ้น
ช่วงที่ 1 "เสียดายก่อนตายคนเล่นหุ้นไม่ได้ฟัง"
แขกรับเชิญ
ดังตฤณ
ณัฐ พบธรรม
ถาวร โชติชื่น
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ดำเนินรายการ
อ.ไพบูลย์
คนที่เกี่ยวกับหุ้น คนเล่นหุ้น คนที่เลี้ยงชีพโดยเอากำไรจากหุ้น ถือเป็นอาชีพที่ถูกต้องไหม?
คุณดังตฤณ
ถูกต้องครับ ต้องมีหลักเกณฑ์ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส สัมมาชีพ คือ ไม่ทำอะไรที่ผิด เบียดเบียนคนอื่นเป็นอาจิณ ถ้าสำรวจดู ไม่ได้ฆ่าใครเค้า ไม่ได้โกหก ค้าขายสุรา ยาพิษ ขอให้สบายใจได้ว่าเรามีสัมมาอาชีพอยู่
ถ้าเล่นหุ้นไม่ได้ไปหลอกลวงเงินใครมา รู้อินไซด์ แล้วไปบอกให้คนอื่นมาซื้อหุ้น พวกนี้เรียกว่าเล่นหุ้นแล้วบาป
ถ้าความตั้งใจเราคือเอาเงินที่มีไปลงทุน แล้วเอาส่วนต่างมา เหมือนเป็นพ่อค้า ไม่ใช่การบาป
อ.ไพบูลย์
ถ้าให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เป็นบาปใช่ไหม?
คุณดังตฤณ
ใช่ เป็นการปล้น เป็นโจรที่ไม่ได้เอาร่างกายไปฉกชิงคนอื่น แต่เอาปากไปฉกหยิบทรัพย์คนอื่นมาให้ตนทั้งๆที่ไม่สมควร
อ.ถาวร
อย่างเช่น อ.ไพบูลย์ทำรายการ แล้วสมมติผู้บริหารที่มาพูดไม่จริง แต่อ.ไพบูลย์ทำเฉยๆ เป็นการพายเรือให้โจรนั่งไหม ?
คุณดังตฤณ
ขึ้นกับเจตนา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
กรรมของอ.ไพบูลย์ คือ การเชิญบุคคลที่จะมีประโยชน์กับผู้ฟัง
ส่วนเจตนาของผู้มาให้ข้อมูล ต้องการปั้นข้อมูลเพื่อให้ได้ประโยชน์เข้าตัวโดยไสนใจว่าจะถูกหรือผิด
เป็นเจตนาที่ตั้งต้นไม่ดี เป็นการมุสาวาท
ถ้ามีแขกที่พูดไม่จริง ครั้งต่อไปก็ไม่ต้องเชิญคนที่พูดไม่จริง ก็เป็นเรื่องของกรรม เรื่องเจตนา
อ.ไพบูลย์
แล้วถ้าบางคน ตอนที่พูดเราไม่รู้ แต่มาจับได้ทีหลัง
คุณดังตฤณ
สมัยนี้ทุกอย่างก้าวหน้าไปหมด ปัจจุบันคนไม่ได้หลอกกันด้วยการโกหก แต่หลอกกันด้วยของจริง หลอกด้วยข้อมูลที่มีอยู่จริง แต่เอามาปั้นแล้วเป็นการโกหกคำโต เริ่มมาจากทางการเมือง เป็นจิตวิทยามวลชน เป็นกรรมมุสาวาทอยู่ดี
อ.ไพบูลย์
นักลงทุนรู้ข้อมูลบางอย่าง เราคิดว่าหุ้นต้องขึ้นเพราะเหตุนี้ แต่คนมาถามเราไม่บอก เราต้องซื้อให้เสร็จก่อนแล้วคนบอก เป็นบาปไหม?
คุณดังตฤณ
เรื่องพวกนี้เป็นความเอื้อเฟื้อหรือไม่เอื้อเฟื้อ
เป็นเจตนาที่จะอนุเคราะห์ตัวเองก่อน หรืออนุเคราะห์คนอื่นก่อน
โดยมุมมองพุทธศาสนา ถ้าเอาตัวตั้งเป็นเรื่องทานและศีล เจริญสติภาวนา อย่างเวลาคนมาถาม เราต้องการที่จะช่วยตัวเองก่อน หรือช่วยคนอื่นก่อน
และมีข้อแยกย่อยอีกว่าใจลึกๆ เราต้องการช่วยเค้าจริงหรือเปล่า
โดยธรรมชาติของนักธุรกิจ พ่อค้าต้องเก็งกำไรให้ตัวเองก่อน ไม่งั้นจะเรียกว่าพ่อค้าหรอ
อ.ไพบูลย์
การให้ความมั่นใจในหุ้นกับคนอื่น การบอกว่ามั่นใจ ๑๐๐% , ต้องเผื่อเอาไว้บ้าง และบอกให้ตัดสินใจเอาเอง มีวิธีไหนเป็นบาปไหม?
คุณดังตฤณ
การบอกว่ามั่นใจ 100% เป็นเจตนาที่เอาเข้าตัว จูงใจให้คนอื่นมาลงทุนด้วย บาป
เคยได้ยินว่า กู้มาแล้วทำเงินวันเดียวได้ 40 ล้าน เป็นแรงบันดาลใจผิดๆ
คนรู้ว่าเล่นหุ้นให้มีความสุขต้องเล่นหุ้นด้วยเงินเย็น พอเห็นโอกาสก็อยากรวย
พอเจ้าของบริษัทพูดไม่เผื่อโอกาสให้คนฟัง รับรองได้ 100-200%
มีหลายคนที่เสียบ้านเสียรถ จริงๆเพราะไม่เผื่อ
การพูดให้เกิดการเผื่อใจ อย่างน้อยที่สุดคนที่ไม่ค่อยมีจะเจียมตัว ไม่กู้หนี้ยืมสิน ไม่เอาแรงบันดาลใจผิดๆ มาใช้
ส่วนใหญ่พวกที่ได้วันละ 40ล้าน เพราะเค้ามีเป็น 100 ล้าน แล้วเค้าก็ไม่ได้เอามาเล่นหมด
ถ้าเราเห็นคนอื่นได้ แล้วอยากไปทำตามเค้า คือเราไปเลียนแบบวิบากกรรมเขา
แต่ละคนมีวิบากกรรมของตวเอง ถ้าเราไม่โลภ ถึงวันที่จะเสีย ก็ไม่เสียแบบโลภ
อ.ไพบูลย์
ในรายการของเราก็จะเตือนว่า การลงทุนมีควาามเสี่ยง
เงินของท่านท่านรับผิดชอบเอง เราให้ข้อมูล
แต่บางทีผมอยุ่ในสถานะเจ้าของบริษัท เวลาแนะนำผมจะคิดเสมอว่าถ้าคนถามเป็นพี่น้องเราจะทำอย่างไร
ส่วนใหญ่ผมจะแนะนำหลีกๆ ระมัดระวัง เพราะเกรงว่าจะทำให้เค้าเสียหาย
คุณดังตฤณ
คีย์เวิร์ดมันอยู่ที่กลัวว่าเค้าจะเสียหาย สิ่งที่เราทำลงไปอยู่ในเจตนาที่บริสุทธิ์
อ.ไพบูลย์
ถ้าเราตามรายการ มันนี่ทอร์ค อ.เสน่ห์จะทำอะไรก็ผิด ลงทุนอะไรก็ผิด ที่จริงแล้วอ.เสน่ห์ลงทุนอย่างปลอดภัย ออมในสิ่งที่ปลอดภัย แต่เรามาสร้างเรื่องให้อ.เสน่ห์เป็นเหมือนแบบนั้นบาปไหม?
คุณนัด
บาปครับ พูดให้คนเข้าใจผิดจากความจริงที่เป็น
อ.ไพบูลย์
แล้วอย่าง อ.นิเวศน์ถูกรังแก ถูกกระแนะกระแหน เพื่อให้คนดูชอบรายการเรา อาจโดยบังเอิญด้วยเพราะอ.นิเวศน์เป็นคนใจเย็น ไม่ต่อล้อต่อเถียง อ.นิเวศน์เลยกลายเป็นพระเอก อ.เสน่ห์เป็นผู้ร้าย บาปไหม?
คุณนัด
ขึ้นกับความจริงหรือเปล่า แล้วเจตนาพูดให้คนรักหรือเกลียด
ถ้าพูดความจริงแล้วไม่ได้พูดให้เกลียดก็ไม่บาป
เวลามีคนมาถามคำถามกับพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ได้ตอบทุกครั้ง อะไรที่เป็นเรื่องไม่จริงไม่พูด อะไรที่เป็นเรื่องจริงแต่ถ้าพูดแล้วเป็นอกุศลเกิดขึ้น
อะไรที่เป็นเรื่องจริงก็ต้อง พูดตามกาละเทศะที่เหมาะสม
แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง พูดแล้วมีประโยชน์ ก็ต้องเลือกกาละเทศะเวลาที่เหมาะสมด้วย
ถ้าทำแบบนั้นก็ไม่ผิด แม้ว่าทีแรกจะตัดสินใจไม่พูดก็ตาม
อ.ไพบูลย์
มีเพื่อนที่นิด้าแนะนำให้
พูดสิ่งที่เป็นความจริง พูดสิ่งที่เป็นประโยน์ พูดสิ่งที่เค้าอยากฟัง
พอเอาสามข้อรวมกันแล้วก็เลยพูดไม่ได้เลย
คุณนัด
ถูกครับ แต่บางทีสิ่งที่คนอยากฟังมันไม่จริง ตัดสินใจซื้อหุ้นไปแล้ว ไปถามใครก็อยากได้ฟังว่าธุรกิจนี้ดี ทั้งที่ความจริง หุ้นนี้อนาคตอาจไม่ดี พีอีสูงมาก
ตามหลักพระพุทธศาสนาเราต้องตอบสิ่งที่เป็นจริง และเป็นประโยน์ ให้เค้าพัฒนาด้านอื่นและจิตใจด้วย
ดังนั้นเมื่อกี้ต้องตอบว่าธุรกิจไม่ดี ราคาแพงไปแล้ว
อ.ไพบูลย์
ถ้าจะเลือกหุ้นลงทุน ไม่บาปแน่อน จะมีเกณฑ์อย่างไร?
คุณนัด
ใช้หลัก อกุศลกรรม บทสิบ ได้แก่
1) ฆ่าสัตว์
2) ลักทรัพย์ คดโกง โกงบ้านโกงเมือง ธุรกิจที่เกี่ยวกับการประมูลก็อาจคาบเกี่ยวกับข้อนี้ด้วย
หุ้นบริษัทที่จ่ายค่าคอมให้นันกการเมืองก็มีส่วนผิดเป็นการร่วมมือเพื่อให้ได้ผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง
อ.ถาวร ถ้าเราไม่รู้ผิดไหม?
คุณนัด ไม่รู้ไม่เป็นไร แต่ถ้าพยายามไม่รับรู้ อย่าให้คนอื่นบอก คือ เจตนาหลอกตัวเอง
3) ธุรกิจเกี่ยวกับกาม (กาเม) ในตลาดอาจจะไม่มี
อ.ถาวร ถ้าใกล้เคียงเช่นพิมพ์หนังสือแบบนั้น?
คุณนัด ไม่เกี่ยวโดยตรง
4) ผลิตสุรา ขายสุรา
อ.ไพบูลย์ ร้านอาหารในศูนย์การค้า ขายเบียร์ ขายเหล้าด้วย บาปไหม?
คุณนัด น้อยกว่า บางธุรกิจให้เช่าพื้นที่ ต้องดูว่าพื้นที่เอาไปทำอะไร
5) ธุรกิจที่มุสา หรือ โกหก ธุรกิจที่โฆษณาเกินจริง อย่างพรีเซนเตอร์ที่สวยอยู่แล้ว แต่โฆษณาว่ามาใช้เครื่องสำอางค์แล้วสวย แบบนี้คือโกหก ถือว่าบาป
อ.ไพบูลย์ ผมทำวิจัยว่าลงทุนแบบนี้ได้ผลตอบแทนเท่านี้ แต่เรารู้ว่าใช้จริงไม่ได้ แม้จะมีระบุว่าในทางปฏิบัติมีข้อจำกัดอย่างไร
คุณนัด เจตนาเราคือให้ความรู้ อยู่ที่ว่าเราต้องการหลอกหรือเปล่า ก็บอกว่าเป็นข้อมูลทางวิชาการ ผมก็จำได้ว่าอ.บอกว่าเอาไปทำจริงอาจไม่ได้ผลแบบนี้นะ
6) ธุรกิจที่พูดหยาบ ให้คนที่พาดพิงไม่พอใจ เช่น ธุรกิจสื่อ ทั้งเกี่ยวกับธุรกิจ และบันเทิง
7) ส่อเสียด ทำให้คนเกลียดกัน สื่อที่ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำให้สีหนึ่งไม่ชอบอีกสีหนึ่ง
ถ้าเอาตามที่ว่ามาธุรกิจสื่อเกี่ยวเกือบทั้งหมดเลย
8) พยาบาท กระตุ้นให้เกิดความรู้สึก โกรธเกลียดแค้น ต้องการให้เกิดความล่มจม
ซึ่งหลายสื่อสร้างแบบนั้นให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะละคร ทำให้เราเกลียดตัวละครนั้นๆ สื่อนั้นกระตุ้นจิตพยาบาทให้เกิดขึ้น
หลายคนสนใจธุรกิจทีวีดิจิตอล ผมไม่สนใจเลย โอกาสไม่บาปน้อยมาก มีทั้งโฆษณาหลอกลวง ละครบางเรื่องก็ทำให้เกิดความพยาบาท เงินปันผลจากการสร้างบาป
คุณดังตฤณ
ขอเพิ่มเติม การอยู่ในธุรกิจบาปโดยตรง ในฐานะผู้บริหารที่มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางจะมีบาปมากกว่า แต่นักลงทุนก็ติดกลิ่นบาปไปเหมือนกัน แม้จะเข้ามาแล้วไป อย่างไรการลงทุนกับธุรกิจบาปก็ต้องติดกลิ่นบาป อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเงินปันผลมาจากอะไร
แต่ไม่เหมือนธุรกิจที่เราไปถือหุ้นใหญ่ นั่นเราต้องใช้กำลังใจโดยตรงเข้าไปร่วม
นักลงทุนรายย่อย ที่มาลงทุนชั่วคราว เราเจตนาที่จะมาเล่นชั่วคราวเอาเงินมาหยอดโดยไม่สนใจว่าเขาจะทำอะไรบ้าง กำลังใจที่จะผลิตบาปไม่มี มีแต่กำลังใจที่จะเอากำไรจากการลงทุนชั่วคราว
ดังนั้นเวลาจะเอามาทำบุญ เอามาทำให้เกิดประโยชน์ก็จะสบายใจขึ้น เจตนาของเราจริงๆคือไม่ได้ลงทุนแบบผู้บริหาร
อันนี้พูดในแง่ความสะอาดความเปื้อน
ถ้าจะให้สบายใจกว่านั้น ไม่ว่าจะทำธุรกิจแบบไหน ในฐานะฆราวาาาส สามารถบาปได้หมด
ต่อให้ไม่ได้เล่นนหุ้น ต้องมีทางใดทางหนึ่ง ที่เป็นการทำมาค้าขายที่เป็นทางมาของมลทิน พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า ฆราวาสเป็นทางมาของธุลี การเป็นฆราวาสไม่เปื้อนเป็นไปไม่ได้ การเป็นฆราวาสต้องเปื้อนมลทินทางใดทางหนึ่ง ถ้าเราไปคิดแบบนั้นมากๆ ใจของเราก็จะเปื้อนไปด้วย สมมติว่าคุณรู้ชัดว่าเงินส่วนนี้มาจากเงินเปื้อนบาปแล้วคุณเอาไปถวายวัด ไม่เกี่ยวกัน เป็นต่างกรรมต่างวาระ เจตนาเล่นหุ้นเป็นส่วนหนึ่ง เจตนาที่ทำบุญเป็นอีกส่วน ไม่ใช่ว่าเป็นการฟอกเงินเอนเป็นเงินบริสุทธิ์
9) ธุรกิจสร้างความโลภ ไม่ใช่ว่าเราอยากได้อยากมีอยากเป็นมากขึ้น
หมายถึงเราจ้องอยากได้ของคนอื่น วางแผนว่าทำอย่างไรจะได้มือถือเค้ามา
เมืองไทยไม่มีโดยตรง เช่น บ่อนการพนัน
10) มิจฉาทิษฐิ การสอนที่ผิดจากหลักพระพุทธเจ้า หลักความจริง
ในร้านหนังสือที่มีขายหนังสือแบบนี้ก็ผิด
อ.ถาวร
เราควรจะทำอย่างไร ทำเยอะๆจนชิน
คุณดังตฤณ พระทธเจ้าตรัสอยากชัดเจนว่าผู้หญิงไม่ควรเจอเลย ถ้าเจอก็อย่าใกล้ ถ้าใกล้ก็อย่าคลุกคลี สำรวมตัวให้ดี ไม่ได้มีหลักตายยตัว ส่วนถ้ามีความบันเทิงส่วนตัว ถ้าไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ไม่หมกมุ่นเกินไป
อ.ถาวร
วันนี้ฟังดูทั้งหมดจะเหลือหุ้นอะไรที่เก็บไว้ได้ ถ้าตัดสินใจขายก็ขาดทุน ถือต่อก็ไม่สบายใจ บาปอันนี้จะเป็นของใคร ทำอย่างไรจะมีทางออก ?
คุณดังตฤณ
อย่างที่พูดตอนต้นรายการ หากเราไม่มีกำลังใจในการเบียดเบียนใครเขา ในการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ค้ายาพิษ ค้าสุรา ถือว่าประกอบสัมมาอาชีพอยู่ การที่เราอยู่รอบนอก คือไม่ได้คลุกวงใน
ให้พิจารณาใจของเราเอง หุ้นตัวไหนที่เราไม่สบายใจที่จะเล่น ก็ไม่ต้องไปเล่น แม้จะไม่ได้เป็นบริษัทฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่รู้ว่าเป็นบริษัทที่ผู้บริหารตั้งใจสร้างมาหลอกลวงประชาชน แม้จะรู้ว่าลงไปเดือนเดียวก็จะได้เงินมาเยอะ ไม่สบายใจก็ไม่ต้องซื้อ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เนื้อสัตว์ฉันท์ได้ แต่ถ้ารู้ว่าสัตว์ตายอย่างไรไม่สบายใจ ก็อย่าไปฉันท์
อ.ไพบูลย์
ที่จริงหุ้นที่ผมมีหลายคนก็รู้แล้ว เพราะถือเกิน ๐.๕% ก็จะแสดงรายชื่อ ถ้ามีหุ้นที่ซื้อไว้หลบอยู่บาปไหม ?
คุณดังตฤณ
อยู่ที่เจตนา เท่าที่ทราบเลย เซียนหุ้น คนคอยจ้องว่าเซียนเล่นอะไร จะได้เล่นตาม ในการที่เราไม่สบายใจมี สอง ชั้น กลัวคนเล่นตาม คือ กลัวคนเล่นตามแล้วหุ้นราคาตก กับ อีกอย่างคือ รู้ว่าคนจะเชื่อเรา แล้วมาทำให้คนเสี่ยงตามเรา อันไหนที่เราคิดนั่นคือกรรม แต่ไม่ใช่บาปทั้งคู่ การกลัวคนอื่นมาเสี่ยงตามเราเป็นเจตนาอนุเคราะห์
มีตัวตั้งต้นเป็นเจตนาอนุเคราะห์นอกจากไม่ใช่บาปแล้วเป็นบุญด้วย
อ.ไพบูลย์
พวกที่เล่นหุ้นแล้วเครียด ชาติก่อนทำอะไรมา?
คุณดังตฤณ
เป็นเพราะเราปรับมุมมองไม่เข้ากับหุ้นได้ จึงเป็นทุกข์ ไม่ใช่วิบากกรรม
ถ้าเป็น วิบากกรรม คือ อยู่ดีๆ ไม่ได้ทำผิด โดนจับเข้าคุก
คนเล่นหุ้นแสดงว่ามีเงิน มีบุญ
ถ้ามองตามหลักการเจริญสติตามหลักพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรื่องของพระอย่างเดียว การเจริญสติเอามาใช้ได้กับการเล่นหนุ้น
ถ้าหากเราตั้งต้นมีมุมมองที่ถูกต้องก่อน
ระหว่างจิตกับเงิน อะไรสำคัญกว่ากัน
ถ้าคุณตอบตัวเองได้ เวลาที่เครียด เล่นได้มาเป็นพันเท่าแต่ไม่ได้มีความสุขกว่าเดิม แสดงว่าสิ่งที่มีความสุข ความรู้สึกที่มีค่าตั้งอยู่ที่ไหน ทุกความรู้สึกที่เสียหายตั้งอยู่ที่จิต ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าจะดีใจที่หุ้นขึ้นหรือตก ตั้งอยู่ที่จิต
ถ้าหากจิตเสื่อมทรามลงแสดงว่าเสียสิ่งที่มีค่าไปแล้ว เป็นการตั้งมุมมอง
จากประสบการณ์ตรงของเราเห็นว่าจิตสำคัญมากกว่าเงิน
เงินที่เราใช้ในการเล่นหุ้นต้องเป็นเงินเย็น
ถ้าเป็นเงินร้อน เราจะเครียดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
หากเรามีล้านนึง ลงไปหนึ่งหมื่น ตรงนั้นไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อน
เพราะเรายังมีอีก เก้าแสนเก้าหมื่น
แต่ถ้าเราจดจ่อกับเงินหนึ่งหมื่นบาทที่เสียไป เราเป็นทุกข์ อยู่กับการตั้งมุมมอง
จิตของเรามันโง่ ถ้าไม่ได้แปะป้ายไว้มันจะไม่รู้
ถ้าเป็นเงินเย็นเสียไปเท่าไร ถ้าเล่นเงินร้อนไม่ต้องภาวนา
ตอนที่หุ้นขึ้น คุณจะไม่อยากขาย เพราะมีความคาดหวังมามันจะไปต่อ
บางคนเรียนกราฟมาทำนายได้ว่าจะไปเท่าไร ทั้งๆที่มีความรู้ แต่พอไปถึงจุดนั้นจริงๆ ขอไปอีกนิด
แต่ตอนที่ตกลง เสียไปเป็นล้าน ขาดทุนกำไร มีความรู้สึกหน้ามืด เหมือนกับหมดตัว
นี่เป็นการเล่นกับความฝัน ไม่ใข่ของจริงที่เกิดขึ้น จะเป็นของจริงคือตอนที่แลกเงินกลับมา
แต่หุ้นตกของจริง ยิ่งตกลึกๆ ถ้าหากจะเล่นให้ไม่เครียด สรุปว่า
1) จิตสำคัญกว่าเงิน
2) เงินที่เอามาเล่นหุ้นควรเป็นเงินเย็น
3) อ่านเกมให้ออก เวลาหุ้นขึ้นเป็นความฝัน แต่หุ้นตกเป็นของจริงตั้งแต่มันตก
ถ้าเห็นแบบนี้ คุณจะไม่มีความเครียด
อ.ไพบูย์
ตอนวิกฤติซับไพร์ม ผมไปพักผ่อนที่พัทยา 3-4 คืน หุ้นลงมากไม่รู้กี่จุด ใจหายมาก อย่างที่คุณดังตฤณว่า เริ่มคิดไปว่าเราจะลำบากหรือเปล่าชีวิตนี้ แต่พอมาดูจริงๆ ถ้าลงไป 50%แล้วยังพอมีพอกินใช้ไม่หมด ลูกก็ยังมีกินมีใช้สบาย พอคิดได้ก็ลงไปไหว้น้ำ วันถัดมาหุ้นจะลง 20% ก็ยังถือว่าโชคดี
อ.ถาวร
นั่นเป็นคนที่มีเยอะ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้มีแบบนั้นล่ะ
คุณนัด
ความสุขในการลงทุน เริ่มจากความสุขในการหาเงินก่อน เมื่อก่อนผมก็เคยโกหกได้เงินมา แต่พอเรามีศีล เงินแสนหนึ่งเท่ากัน แต่เป็นเงินหามาแบบสุจริตและไม่ติดบาป มันสุขใจกว่า
การจะลงทุนด้วยความสบายใจ
1) มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจที่ลงทุน ยิ่งเข้าใจดี ความทุกข์ในการลงทุนจะลดลง
2) ความตั้งใจว่าจะอยู้กับธุรกิจนี้นานแค่ไหน ถ้าจะอยู่ หกเดือนเราก็จะลุ้นมาก
แต่ถ้าตั้งใจจะอยู่ ๓ ถึง ๕ ปี ราคาจะขึ้นหรือลง เราก็ไม่ทุกข์
ถ้าลงไปมาก เรายังเห็นว่าดีจะได้ซื้อเพิ่ม
3) ความคาดหวังกำไรในแต่ละปี บางคนคาดปีละ ๑ เด้ง ๒ เด้ง ยิ่งคาดหวังมากจะเครียดมากตามไปด้วย อย่างดร.นิเวศน์ จะหวังปีนี้ ๑๐% ๑๕% อย่าไปคาดหวังมากเกินไป คนส่วนใหญ่จะคาดหวังว่าธุรกิจคนจะชนะตลาด เราคาดหวังแค่เท่ากับตลาด หรือมากกว่าเล็กน้อยก็จะมีความสุขมากขึ้น
4) ความสอดคล้องในการซื้อหุ้น กับการถือหุ้น บางคนซื้อคำนวณจากเงินปันผล แต่พอมีเหตุการณ์เกิดขึ้น เรากลับขายออกไป แม้แต่ตัวเราเองยังสับสนว่าเราซื้อเพราะอะไร
ถ้าความตั้งใจเดิมที่เราซื้อหุ้นยังอยู่ เราก็ถือหุ้นโดยไม่เครียด
5) ความถี่ในการดูราคาหุ้น ผมสังเกตตัวเองดู ถ้าเปิดจอทิ้งไว้ ผมจะไม่ไปไหน จะนั่งดูว่าหุ้นขึ้นยังลงยัง ความทุกข์จะเกิดขึ้น
ปัจจุบัน ผมเปิดดูเฉลี่ยวันละหนึ่งครั้ง ถ้าเราดูให้น้อย ความทุกข์จะลดลง
6) ข้อมูลข่าวสารที่ได้จากธุรกิจนั้น หลังๆ ผมจะลงทุนกับหุ้นที่หาข้อมูลข่าวสารได้ ผู้บริหาร IR ให้ข้อมูล จะทำให้เราลงทุนได้โดยไม่เครียด
ผมคิดว่าการลงทุนวันนี้เรามาฟังแต่ HOW ทำอย่างไรจะมีเงินมากขึ้น
เราทุกคนควรตั้งคำถามควบคู่ด้วย คือ WHY ทำไมเราถึงต้องการได้เงินมากขึ้น
ในมุมฆราวาส จำเป็นต้องมีเงิน ตอบสนองความต้องการพื้นฐาน ระหว่างที่เราใช้ ทำให้คนที่เรารักเป็นอย่างไรบ้าง คนรอบข้างเรามีความสุขไหม
แต่ถ้าเราเครียดกับเงินมากเกินไปจนไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้าง ระหว่างทางเราทำร้ายจิตใจคนที่เรารักตลอดเวลา
เมื่อเราหาเงินได้ระดับหนึ่ง อย่างเช่น เกินห้าสิบล้าน แค่เงินปันผลอย่างเดียวเราก็อยู่ได้สบายๆ แล้ว
เมื่อวันหนึ่ง คำถามคือ เมื่อไปถึง จุดนั้นจะต้องการเงินมากกว่านั้นไปทำไม
แล้วจะมีเป็นร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน เพื่ออะไร เราควรจะถามตัวเอง ด้วย เพราะเกมแห่งการเอาชนะกิเลสตัณหาจะไม่มีวันชนะ
เมื่อได้สิบล้านก็ต้องการร้อยล้าน ได้ร้อยล้านก็จะอยากได้พันล้าน เราจะไม่มีวันรู้สึกว่าเต็ม
อีกเกมที่ผมอยากจะท้าทาย คือ เอาชนะกิเลสตัณหาดู
อ.ถาวร
ขอถามทั้งสามท่านเลยว่า มีคำแนะนำสำหรับนักลงทุนว่าควรใช้ชีวิตอย่างไร เพื่อให้ใช้ชีวิตมีความสุข สมกับการเกิดเป็นมนุษย์?
คุณดังตฤณ
สไตล์ชีวิตแต่ละคนต่างกัน เราจะไปกะเกณฑ์ไม่ได้ ว่าทำอะไรมีความสุขมากสุด ถ้าเป็นแนวทางแบบพุทธศาสนา จุดมุ่งมายคือทำอย่างไรคือให้ชีวิต จิตวิญญาณพัฒนาขึ้น และเป็นแนวทางเดียวกับที่พระพุทธ์เจ้าเสด็จไว้แล้ว คือทางที่จะพ้นทุกข์
บางคนตั้งคำถามไว้ด้วยซ้ำว่าเล่นหุ้นจะเป็นทุกข์หรือเป็นสุขกัน แน่
ผมเห็นคนใกล้ตัว เล่นหุ้นประสบความสำเร็จ แต่ใจเป็นทุกข์ นั่นถือว่าแพ้ ถือว่าเล่นหุ้นไม่เป็น
วันหนึ่ง ผมได้รับโทรศัพท์ มีคนบอกว่าได้กำไรมา ๓ ล้าน ด้วยความลิงโลด ผมไม่ได้รู้สึกดีใจด้วยเลย ผมก็บอกว่ายินดีด้วย แล้วบอกว่าอาการของใจแบบนี้เป็นต้นเหตุความทุกข์ เป็นการดีใจเกินเหตุ เวลาเสียมันก็จะสวิงเหมือนกัน
แล้วคำเตือนนี้ก็ได้ใช้ กำไรหายไป ช่วงที่ตลาดตก
ความรู้สึกเหมือนหมดตัว ที่เคยฝันหวานไว้แล้ว ว่าจะไปใช้ทำอะไร
ตอนแรกเล่นตามกฏตามกติกา เชื่อกราฟ แต่พอไปถึงจุดหนึ่งเริ่มเชื่อคน เชื่อเสียงยุ พอสวิงกลับเหมือนโลกถล่ม ทั้งๆที่ขาดทุนกำไร เป็นเกมทางจิต ถ้าหากเราอ่านจิตไม่เป็น อย่างไรก็ตามไม่มีทางพ้นทุกข์ ถ้าเริ่มต้นด้วยความเข้าใจเล่นหุ้นอย่างไรให้พ้นทุกข์ เพราะเราไม่อยู่กับต้นเหตุของความุกข์ เราไม่ได้โลภมากเกินเหตุ การพูดเรื่องเจริญสติ หรือการปฏิบัติธรรมเป็นไปได้ แต่ถ้าเล่นกับความฝันไม่เป็น
เห็นจิตสำคัญกว่าเงิน เล่นด้วยเงินเย็น อ่านเกมเป็น มีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา
แล้วค่อยมาพูดกันเรื่องเจริญสติ
ตอนนี้หมกมุ่นไปแล้ว เป็นส่วนเกินในชีวิต มาตัดสินให้ค่ามัน ถ้าอ่านเกมมันออกจะเริ่มเข้าใจว่าใช้ชีวิตให้เป็นสุขไม่กี่ยวกับเล่นหรือไม่เล่นหุ้น ขึ้นกับอ่านเกมทางจิตได้ไหม เป็นบันไดขึ้นแรก ค่อยเป็นขั้นสองขั้นสาม เจริญสติ ปฏิบัติธรรม
คุณนัดพบธรรม
สำหรับสิ่งที่ วีไอทำ คือ ศึกษาข้อมูลบริษัท มองไปในอนาคต รวมทั้งมองอนาคตของตัวเราเองด้วย ว่าเข้าไปร่วมกับบริษัทนี้แล้วจะเป็นอย่างไร คือมองชีวิตของเราไปว่าเมื่อถอยหลังไปสู่ความตายทุกวัน เมื่อลมหายใจของชีวิตหมดลง อยากให้ทุกคนลองค่อยๆคิดดู มีสิ่งให้เราค้นคว้าหาข้อมูล ทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆไป
เมื่อมองการณ์ไกลจากคนอื่น ว่าจบชีวิตนี้ก็จบลง วิถีชีวิตเราจะเปลี่ยนไปอย่างแน่อน
เป็นสิ่งที่เราไม่พบเจอในการเรียนปริญญา ความสุข ถ้าเราค่อยๆหาคำตอบ แล้วสุดท้ายเราจะได้คำตอบของตัวเราเอง ว่าวางแผนให้เดินไปทางไหน
อ.ไพบูลย์
สิบปีที่แล้ว ผมคิดว่าเราเสียเวลามาเยอะแล้ว ต้องเดินทางธรรมให้จริงๆจังๆ
แต่ชีวิตเราส่วนใหญ่ไปหมกมุ่นกับหุ้น ผมก็พยายามจัดพอร์ตที่ระยะยาวเติบโต ผมรู้ว่าหุ้นในระยะยาวมันโตและดีกว่าอย่างอื่น
พยายามจัดพอร์ตให้เหมาะสมจะได้ทิ้งไว้ได้ จัดไปจัดมา สองสามปี หันมาดูผลตอบแทน ทำไมคนอื่นมากกว่าเรา ทำไมเพื่อนเราแซงไปแล้ว ต้องให้เวลามากขึ้น เอาจริงให้เวลามากขึ้น แล้วผลตอบแทนดีขึ้น แซงกลับมาได้ แต่ก็กลับมานั่งนึก ว่าจริงๆคือเราอยากได้อะไร
อย่างที่คุณนัดพูด มีเท่าไรดี ผมว่าสองร้อยล้านนี่คือเกินแล้ว ถ้าเลยตรงนี้ไปแล้ว ก็เกินจำเป็น ทุกวันนี้มานั่งคิดว่าเราทำไปทำไม ยิ่งคิดเวลายิ่งสั้นลง
แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่าจะทำะไร ก็พยายามถ่ายทอดความคิดที่ทำได้
คิดว่าเริ่มศึกษาธรรมะช้า แต่ก้อดีกว่าไม่เริ่ม
ช่วงที่ 2 “กลยุทธ์ลงทุนยามหุ้นผันผวน”
แขกรับเชิญ
อนุรักษ์ บุณแสวง (โจลูกอิสาน) นายกสมาคม Thaivi
วิบูลย์ พึงประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
ชาย มโนภาส (คนขายของ) ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
อ.เสน่ห์
ความผันผวนแปลว่าอะไร?
อ.ไพบูลย์
เป็นตอนที่ตลาดหุ้นวูบวาบ ปรับตัวเร็วต่อกันหลายวัน
บางคนใช้จังหวะกับตลาด ถ้ารู้ว่าหุ้นจะลงก็ขาย หุ้นจะขึ้นก็ซื้อ
ซึ่งถ้าในแนวลงทุนเน้นคุณค่า เราจะอยู่กับหุ้นที่คิดว่าดี ไม่ใช้จังหวะกับตลาด
อ.เสน่ห์
มีความหวั่นไหวไหม ตอนหุ้นวูบวาบ?
คุณโจ
เป็นเรื่องปกติ ที่เราต้องหวั่นไหว มีวิธีการรับมืออย่างไร อาจต้องใช้ธรรมะ
ความผันผวนของหุ้นป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่ขึ้นไม่ลงผิดปกติ
สัญลักษณ์ของตลาดหลักทรัพย์ เป็นรูปหยินหยาง มีขึ้นมีลง สะท้อนสัจธรรมของหุ้น
เราต้องมีหลักการ มีความรู้
หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า สิ่งที่ผันผวนคือราคาหุ้น แต่ตัวกิจการ ยังปกติดี
ทำไมต้องวิตกกังวลด้วย ต้องแยกให้ออก
เคยคิดว่าถ้าตลาดตกทั้งปี จะตกได้เท่าไร มันไม่ตกทั้งร้อยวันหรอก
มันลงแล้วก็ขึ้น มันขึ้นก็ลง
คุณชาย
ก็มีบ้าง แต่ถ้าเราลงทุนมานาน ต้องแยกอารมณ์ออกจากความจริง
อารมณ์เป็นสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด สังเกตตัวเอง
วันแรกหุ้นขึ้นไม่ซื้อ พอขึ้นสองสามวันถึงซื้อแล้วติดหุ้น
ก่อนที่ยังไม่มีหุ้นจิตอยากซื้อ พอซื้อไปแล้วติดหุ้นจิตก็จะรู้สึกว่าแย่ ทำยังไงดี
ตลาดหุ้นถ้าไม่มีความผันผวนจะทำกำไรได้ยาก ถ้าทุกคนมีจิตใจมั่นคงไม่ขาย
เวลาผันผวน ให้เอาอารมณ์ออกไป ตั้งสติให้ดี แล้วจะตัดสินใจได้ดี
อย่างที่สองให้มองหาโอกาส ถ้ามีหุ้นอยู่ตัวหนึ่ง ท่านอาจทำอาร์บิทาจได้
อ.ไพบูลย์ อาร์บิทาจคือการซื้อที่หนึ่งแล้วขายอีกที่หนึ่ง เช่น ขายวอร์แรนต์ซื้อหุ้นแม่ หรือ ซื้อหุ้นเพื่อนคนหนึ่งไปขายให้อีกคนหนึ่ง
คุณชาย
ในความผันผวนจะมีโอกาสอยู่ ต่อไปเมื่อตลาดเปิดกว้างขึ้น
อาจขายหุ้นเดียวกันในตลาดไทย ไปซื้อสิงคโปร์แทนก็ได้
ผมเชื่อว่ามีนักลงทุนหลายคนได้กำไรปี ๒๐๐๘ ช่วยสร้างความมั่งคั่งได้
คุณโจ บอกเสมอ ว่ารถออกทุกวัน โอกาสมีเสมอในตลาดหลักทรัพย์
อ.ไพบูลย์
หวั่นไหวบ้าง แต่น้อยลงเยอะ อยู่ทีใจเรา หากคิดว่าชีวิตเราอยู่ด้วยความมั่งคั่งขนาดไหนเพียงพอแล้ว
ส่วนเกินจะหายไปบ้างก็ไม่เป็นไร
ผมเคยกระเทือนตอนปี ๔๐ มาก่อน
ฝึกให้ชินพอถึงจุดที่เราพอ ก็อย่าไปเสี่ยงอีก
แต่ละคนอาจไม่หมือนกัน
อ. เสน่ห์
มีเพดานไหม แค่ไหนหวั่นไหว?
คุณโจ
ผมดูสถิติตลาดหุ้นไทย เคยตกมากสุด ๘๐% วิกฤติปี ๔๐
ผมจะเตรียมใจไว้เสมอ ว่าผมจะถือหุ้นแม้จะตกลงไปขนาดนั้นก็ตาม
เพราะผมเชื่อว่า ที่ลดลงไปเหลือ ๒๐% สุดท้ายมันจะเติบโตกลับมาได้อีกมาก
Warren เคยบอกว่าถ้าทนเห็นหุ้นตกลง ๕๐% ไม่ได้อย่าเล่นหุ้น
แต่ผมคิดไว้ ๘๐% ถ้าเราเตรียมไว้แบบนี้ก็จะไม่ประมาท
คุณชาย
ถ้านับตั้งแต่ Black Monday ปี ๑๙๘๗
นับจากตอนนั้นเป็นเวลา ๑๓ ปี มีปีที่จุดสูงสุดกับต่ำสุด ต่างกัน ๕๐% ในปีเดียว อยู่ ๕ ปี
แต่ ๑๓ ปีถัดมาหลังจากนั้นมีแค่ปีเดียว แสดงว่าตลาดหุ้นผันผวนน้อยลง
เรื่องความหวั่นไหว ถ้าผมเชื่อมั่นในกิจการ จะลงเท่าไร ผมก็ไม่กลัว ประเด็นสำคัญว่าเราต้องรู้ก่อนว่าสิ่งที่เราซื้อมูลค่าอยู่ที่เท่าไร
ในตลาดหลักทรัพย์ผมเชื่อว่าถ้ามีคนเอาแบงค์พัน ไปเข้า ไอพีโอ ในตลาด
อีกไม่นานจะเหลือแค่ ๘๐๐ หรือ ๙๐๐ ได้
เพราะมีคนมาทำให้ราคามันลงได้ ชอร์ตเซลล ได้
แต่เราก็รู้สามารถรู้มูลค่าจริงได้ว่ามันคือ ๑๐๐๐
ปัญหาของเราคือ เรารู้ไหม บริษัทที่เราถือมันเป็นแบงค์อะไร
ถ้าผันผวนผมจะมองหาโอกาส ก็เจออยู่ตลอด
อ.ไพบูลย์
เวลาผันผวนผมจะเข้าห้องพระ ไม่มีจอ แล้วก็ทำสมฐะกรรมฐาน
ไม่ได้ประโยชน์ทางปัญหาเท่าไร ทำให้เราลืมโลกชั่วคราว
อ.เสน่ห์
คิดว่าถึงสิ้นปีจะเกิดความผันผวนอีกไหม?
คุณโจ
ผมคิดว่าเกิดแน่นอน
ตอนต้นปี ผมคิดว่าจีนจะดี ไทยไม่น่าดี กลายเป็นคนละเรื่อง
ผมคิดว่าการทำนายตลาด เป็นเรื่องที่ยากมาก
หน้าที่นักลงทุนง่ายกว่าเยอะเลย ไปทำนายผลดำเนินงาานบริษัทง่ายกว่าเยอะ
ว่าบริษัทจะเติบโตไหม
คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ทำนายดัชนีได้ว่าจะขึ้นหรือลง
แต่เป็นคนที่ดูได้ว่าบริษัทจะทำกำไรได้เท่าไร เป็นความสามารถในการเลือกบริษัทไม่ใช่ทำนายดัชนี
อ.ไพบูลย์
เวลาเราขับรถ อย่าไปคิดว่าไปถึงจะติดไฟแดงหรือไฟเขียว แต่ให้คิดว่าจะเดินทางไปถึงตรงนั้นจะขับไปทางไหน ตรงไหนสะดวก
อ.เสน่ห์
เสริมถ้าเราไม่ต้องไปเปลี่ยนรถระหว่างทาง
สรุปว่า คุณโจ บอกอย่าไปหวั่นไหวกับ ดัชนี แต่ให้ดูหุ้นกิจการที่ถือไว้ ผลดำเนินการ ซึ่งคาดการณ์ง่ายกว่า
คุณชาย
ขอเสริมคุณโจ ว่าหุ้นที่เหมาะสำหรับนักลงทุนรายย่อย ผมเรียกว่าหุ้นข้าวมันไก่ ส่วนใหญ่กิจการแบบนี้จะมีทุกซอย สิ่งที่ผมจะทำคือ ดูว่าคนจะกินเยอะเหมือนเดิมหรือเปล่า
นักลงทุนรายย่อยเราสามารถโฟกัส ในการลงทุนของเราได้
แต่ฝรั่งส่วนใหญ่ต้องดูเยอะและอ่านจากเปเปอร์ เป็นข้อมูลขั้นที่สอง
ถ้ามีเงินเยอะจำนวนหนึ่ง ราคาจะหลอกราคาอย่างไรก็ทำได้
แต่ถ้าเราอยู่กับร้านข้าวมันไก่ เราก็เห็นอยู่ว่ายังขายดี คนเยอะอยู่
ถ้าราคาลงไป ๕๐% แสดงว่าน่าสนใจ
แต่ถ้าเป็นหุ้นที่เราไม่สามารถประมาณการณ์ได้ ไม่รู้เลย ราคาลงไป ๓๐-๕๐% เราก็ไม่รู้จะทำยังไง
คุณโจ
เสริมพี่ชาย ว่าเราควรรู้มูลค่าของที่เราจะซื้อ ไม่มีป้ายบอกว่าหุ้นนี้มูลค่าเท่าไร มีแต่ป้ายหลอกๆ
ซึ่งเราต้องหามูลค่าที่ควรจะเป็น เป็นแก่นแท้ของการลงทุน
หนึ่ง กิจการที่เราลงทุน ไม่ใช่ราคาหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นธุรกิจ ร้านนข้าวมันไก่
สอง ต้องประเมินมูลค่ธุรกิจให้ออก
สาม ควรซื้อเมื่อมีส่นลดที่เพียงพอ
สี่ ความผันผวน คือโอกาส เป็นเรื่องปกติ อย่าไปสร้างความผันผวนเอง
เวลาหุ้นลงตกใจ ขายตามไปด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่ทำตรงข้าม
อ.เสน่ห์
ร้านข้าวมันไก่ ถ้ามีไข้หวัดนก ขึ้นมาต้องทำไงรึป่าว?
คุณชาย
ถ้าเชื่อว่ากิจการดีในระยะยาวก็ถือได้ เป็นเรื่องระยะสั้น จะมีคนจัดการมันได้
การลงทุนเหมือนปลูกต้นไม้ เวลาเราซื้อหุ้น มีนักลงทุนบางท่านบอกซื้อแล้วกะถือยาว ไม่ดูเลย
หลายคนเปิดมาเป็นเศรษฐี บางคนเปิดมาไม่เหลืออะไร โลกไม่มีอะไรแน่นอน
นักลงทุนรายย่อย เหมือนมีปืนสั้น ยิงได้หกที หรือบางคนยิงได้ทีเดียวก็หมดแล้ว แต่กองทุนใหญ่ๆ ยิงได้หลายครั้ง ลงมาก็ซื้อได้อีก
นักลงทุนรายย่อย ต้องยิงให้แม่น เป็นกิจการดี มีส่วนลด การไปไล่ซื้อตามอารมณ์ตลาด เป็นความเสี่ยงมากของนักลงทุนรายย่อย
พวกกองทุน รู้เยอะ มีข้อมูลมากกว่า แต่เราต้องอดทนให้ได้มากกว่า เข้าใจระยะยาว
อ.เสน่ห์
ความผันผวนตลาดตอนนี้กับในอดีต ต่างกันไหม มีบทเรียนไหม?
อ.ไพบูลย์
ผมรู้ว่าพอความผันผวนมาต้องทำอย่างไร แต่เมื่อก่อนมีผลเยอะ
หลักคือ อะไรที่เราไม่รู้ สมมติเราอยุ่ในบ้าน ไฟดับ คนที่ไม่รู้ก็ตกใจ สิ่งที่เราควรจะทำคือยืนเฉยๆ ถ้าเรายืนซักพักพอมีแสงสลัว ตาเริ่มพอมองเห็น ก็ค่อยขยับไปนั่งที่เก้าอี้
ในภาวะผันผวน หากหุ้นที่เราสนใจลงไปเยอะ แต่ตัวที่เราถือลงไปน้อย
อาจจะเปลี่ยนตัวก็ได้ เหมือนไปหาเก้าอี้ใหม่ที่นั่งสบายกว่า
อ.เสน่ห์
ช่วงตอนนี้เป็นขาลงแล้วหรือยัง?
คุณโจ
ยากที่จะตอบ สี่ห้าปีที่ผ่านมาดัชนีขึ้นมาตลอด คนที่ถือหุ้นยาวๆ มีกำไรทั้งนั้น
แต่เมื่อเห็นว่าโมเมนตัมเปลี่ยนทาง จะมีนักลงทุนส่วนหนึ่ง อานจจะขายหุ้นออกมา
หรือนักเก็งกำไร ถ้าเห็นแนวโน้มเปลี่ยนก็ขาย
นักลงทุนวีไอ ถือหุ้นมาตลอด พอหุ้นชักจะแพงก็มีเหตุผลที่จะขาย
พอแรงเหล่านี้หมดแล้ว ก็อาจไม่ลงมากแล้ว ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีผล
อย่างปัจจัยต่างประเทศ ก็ยากหน่อย อย่างไซปรัส ยังมีผล
วิธีที่ดีคืออย่าไปคาดการณ์
กลับมาที่บริษัทเรา จะได้ผลดีอะไรหรือเปล่า
ก็มีหุ้นหลายกลุ่มที่ได้ประโยชน์ สองล้านล้าน รถคันแรก
ผมนับดูน่าจะเป็นร้อย
บริษัทจะดีก็ดีด้วยตัวมันเอง ไม่ใข่ว่าเราจะต้องไปจับตาดูปัจจัยภายนอกมากมาย ที่เราคาดการณ์ไม่ได้
คุณชาย
ผมเห็นด้วยกับคุณโจ คาดการณ์ดัชนีได้ยาก
ผมขอพูดเรื่องโอกาสกับความเสี่ยงตลาดหุ้นไทย
ความเสี่ยง
1) เงินบาทแข็งค่า
ประเทศไทย อยุ่ในกลุ่ม TIP
สัดส่วนส่งออกต่อจีดีพีของไทย 70% ต้องพึ่งพาส่งออกมากกว่า อินโดนีเซีย กับ ฟิลิปปินส์
ทำให้เห็นว่าตลาดเหล่านั้น new high แล้ว แต่ของเรายัง
เวลาเงินบาทแข็งไม่ได้เห็นผลทันที อาจเห็นผลในสองสามเดือนข้างหน้า
2) หนี้ครัวเรือน เพิ่มมากขึ้น
รถยนต์ขายดี บ้านขายดี อย่าลืมว่าคนไทยไม่ได้รวย ต้องกู้มา
การบริโภคของเราจะเป็นไปในอัตรานี้ต่อไปได้หรือไม่
3) เรื่องแนวโน้มดอกเบี้ย มีรายละเอียดเยอะยังไม่เจาะ
โอกาส
ในปี ๑๙๙๗ ตลาดหุ้นเอเชียเกิดวิกฤติ ลงกันถล่มทลาย แต่ไปดูในอเมริกา ภายในไม่กีปี ขึ้นเยอะมาก ในตอนที่เอเชียมีปัญหาจะมีสภาพคล่องส่วนเกินในโลก เงินที่ย้ายมาจากยุโรปหรือมเมริกา
ขนาดของตลาดพันธัตรมีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้น ประมาณ หนึ่งเท่า
ถ้าดูเงินที่ลงทุนในตลาดสหรัฐ ดอกเบี้ย ๐.๗๕% ยังมีคนซื้อ
ก็อาจมีเงินส่วนหนึ่งที่โยกมาอยู่ในตลาดทุนได้
เราดูสภาพแวดล้อม แล้วมาดูหุ้นที่เราจะลงทุน
เหมือนปลูกต้นไม้ เลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดี อากาศที่ดี ดินที่ดี
อ.เสน่ห์
การที่ทองลง มีผลอย่างไรไหม?
คุณโจ
มีทองตอนแต่งงาน เป็นสินทรัพย์ทางเลือกหนึ่ง
ผมว่าทองดีกว่าหุ้นแย่ๆ แต่โดยทั่วไป หุ้นจะดีกว่าทอง
ตลาดหลักทรัพย์ เปรียบเทียบผลตอบแทน 38 ปีที่ผ่านมา
อันดับหนึ่ง หุ้นให้ผลตอบแทน เก้าสิบเท่า
อันดับสอง พันธบัตรได้ ยี่สิบห้าเท่า
อันดับสาม เงินฝากได้ สิบเท่า
สุดท้าย ทอง ได้ผลอตแบทน แปดเท่า ตอนนี้น่าจะไม่ถึง ไม่น่าเชื่อว่าแย่ที่สุด
ดังนั้นระยะยาวทองไม่น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ราคาเท่าไรที่น่าสนใจ
ต้นทุนผลิตทอง คือ หนึ่งพันเหรียญต่อออนซ์ จะเริ่มมีบางเหมืองที่ปิด
ก็เป็นที่สังเกต ว่ามันมีขั้นต่ำอยู่
แต่ปัญหาคือทองก็เก็บรักษายาก
บางคนไปซื้อโกล์ดฟิวเจอร์ เพราะเราลงเงิน ห้าบาท ซื้อได้ หนึ่งร้อย บาท
สงกรานต์ผ่านไป ทองลง ถ้าไม่มีเงินเติม เจ๊ง เลย แล้วยังมีหนี้ด้วย
ดังนั้น สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือ การกู้เงินมาซื้อ ใช้มาร์จิ้น
การผันผวนเล็กน้อย จะฆ่าเรา ถ้าเราเป็นหนี้
คุณชาย
ผมไม่ได้เป็นผู้รู้เรื่องทอง ขอเอาคำแนะนำจากคุณจิมโรเจอร์ เป็นคู่หู จอร์จ โซรอส
เป็นผู้เชี่ยวชาญสินค้าโภคภัณฑ์ เค้ามองว่า การลงทุน Commodities เป็นเรื่องที่ง่ายมากเลย
ดูแค่ ดีมานด์ กับ ซัพพลาย
เมื่อไร ดีมานด์มากกว่าซัพพลายราคาขึ้น ซัพพลายมากกว่าดีมานด์ราคาลง
ปัญหาของนักลงทุนรายย่อย เราจะรู้ตัวเลขได้ไหม หรือเราซื้อด้วยความเชื่อ
ถ้าท่านมีตัวเลข ดีมาน์ ซัพพลาย ในระดับ โลก แล้วท่านบอกได้ ว่า ดีมานด์มันมากกว่า ซัพพลาย แน่อน ท่านก็ควรลงทุน
หลายท่านก็บอกซื้อไว้เผื่อเกิดวิกฤติ ผมไม่คิดว่าปลอดภัยนะ
อยากให้เข้าใจแรงผลักดันของตลาด ว่าทำไมมันถึงจะขึ้นไปได้
ดร.ไพบูลย์
ผมมีทอง สำหรับถ่วงเรือ ผมเปรียบความมั่งคั่งไว้ไม่ให้แกว่ง เมื่อก่อน เคยมี ๑๐% ๕% ๒% เพราะเรือมันใหญ่ขึ้น ทองผลตอบแทนก็น้อย แต่เมื่อเรามีความมั่งคั่งจุดหนึ่ง ตอนนี้ไม่ต้องถ่วงด้วยทองก็ได้ ถ้าหุ้นไม่เจ๊งหมดทั้งตลาด
อ.เสน่ห์
ระยะหลังหุ้นตัวเล็กมาแรง
ทั้งสองท่านเห็นว่าหุ้นใหญ่กับหุ้นเล็ก ควรเลือกอะไร ใครมีความผันผวนมากกว่ากัน?
คุณโจ
มีงานวิจัยใน อเมริกา
หุ้นเล็ก ให้ผลตอบแทน ทบต้น ๑๔%
หุ้นใหญ่ ๙ ถึง ๑๐%
ในระยะยาวหุ้นเล็ก จะให้ผลตอบแทนดีกว่า
อ.ไพบูลย์
มีแวลูลพรีเมียม กับ สมอลไซส์ พรีเมียม ที่ทำให้ผลตอบแทนดีกว่าเฉลี่ย
คุณโจ(ต่อ)
การเพิ่มยอดขาย สองร้อย เป็น สี่ร้อย ล้าน เพิ่มไม่ยากในไทย
แต่สองแสนล้าน เพิ่มเป็น สี่แสนล้าน มันหนักหนากว่ามาก
การเติบโตหุ้นเล็ก น่าจะมากกว่าหุ้นใหญ่
ถ้าเติบโตได้เยอะ ราคาหุ้นก็ควรขึ้นได้เยอะ
ในตลาดหุ้นไทย หุ้นไหนที่เป็นหุ้นใหญ่ คือ
หุ้นที่ครอง ส่วนแบ่งตลาดได้มาก ทำให้ขยายได้ยาก
ต้องไปรุกต่างประเทศ ไม่ง่าย คามเสี่ยงมากมาย
ในระยะยาวถึงทำให้หุ้นใหญ่ ให้ผลตอบแทนได้น้อย
แต่สังเกตว่าหุ้นขนาดกลางขนาดเล็ก วิ่งกัน มากมาย
ซึ่งมันก็มีความเสี่ยงต้องใช้ความรู้ในการวิเคราะห์ พิจารณา ไม่ได้ยากเย็นมาก และน่าจะคุ้มค่า
คุณชาย
หุ้นไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ผมจะดูโอกาสว่าจะเติบโตต่อไปในอนาคตมีอีกมากไหม
อย่างบริษัทเล็ก แต่ธุรกิจที่ทำได้แชร์ไปเยอะแล้ว หรือคู่แข่งแข็งแกร่งมาก ในระยะยาวอาจนจะเล็กอยู่อย่างนั้น หรือบางบริษัทใหญ่แล้วทำอุปโภคบริโภค
ทำผงซักฟอก จนอิ่มตัว มาออกน้ำยาปรับผ้านุ่ม ก็ขายเพิ่มได้อีกเท่าตัว
สิ่งที่ต้องดู คือ ขนาดของตลาด ธุรกิจนั้นจะโตได้ขนาดไหน
ขอเสริมจากคุณ โจ
ผมดูในหุ้นในตลาดอเมริกา โฮมดีโป ทำกิจการปี ๑๙๙๑ ทำผลตอบแทนดีกว่า
ชนะทั้งวอลมาร์ท และ โค้ก ได้อีก
หุ้นก็เหมือนคน ตอนเด็กๆ จะโตเร็ว พอตอนหลังๆจะเริ่มโตช้า แล้ว
ต้องดูว่าอยู่ในวงจรช่วงวัยรุ่นหรือเปล่า
แต่โตเร็วก็มีความเสี่ยง อาจหุนหันพลันแล่น อย่าลืมมองความเสี่ยงไปด้วย
อ.ไพบูลย์
ถ้ายึดหลักลงทุนเน้นคุณค่า เราก็จะมีความมั่งคั่งเพิ่ม
ยิ่งขนาดการลงทุนไม่ใหญ่จะโตได้เร็ว
สาเหตุหลัก เพราะเราจะสามารถหาหุ้นที่ดีมาก โตได้เยอะ เราสามารถเอาหุ้นที่ดีที่สุด ในตัวเดียวได้ แต่พอเงินลงทุนโตมาก ก็ต้องซื้อหลายๆตัว
คนที่ขนาดพอร์ตใหญ่ขึ้นก็ต้องหาหุ้นที่ใหญ่ขึ้น
อ.เสน่ห์
กระแสหุ้นไอพีโอ มีความเห็นอย่างไร?
คุณโจ
ถ้ามีโอกาสได้ซื้อในช่วงนี้ เหมือนโบรกเกอร์ยัดเงินใส่มือในเรา
มันเหมือนกับหุ้นไอพีโอ ช่วงนี้ให้กำไรทั้งนั้น ถ้ามีโอกาสซื้อก้อซื้อ
แต่ส่วนใหญ่แนะนำให้ขาย เพราะหุ้นไอพีโอ ราคาที่นำมาขาย ค่อนข้างเต็มมูลค่าหรือแพงนิดหน่อย
แถมเข้ามาในตลาดยังราคาขึ้นหนึ่งถึงสองเท่าตัว ในทางวีไอ ถือว่าเกินมูลค่ามาก
แต่มีข้อยกเว้น สังเกตไหม หุ้นบางตัว เพิ่งเข้าตลาด ราคาวันแรก ผ่านไปเป็นปี ราคาขึ้นมากกว่าวันแรกค่อนข้างเยอะ สังเกตว่าเป็นหุ้นที่เติบโตของผลกำไรเยอะ บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันเด่น เช่น วีจีไอ บิวตี้
บริษัทพวกนี้มีการเติบโต ยิ่งถือยาวเท่าไร ยิ่งดี
แต่ตอนนี้เหมือนฟองสบู่หุ้นไอพีโอ ได้มาก็ควรขาย
คุณชาย
อยากให้กลับมาที่หลักการลงทุนดั้งเดิม
ให้ดูว่ากี่ปีจะคืนทุน ซื้อแล้วจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง
บางทีมีบริษัทที่คล้ายๆ กันในตลาด แต่ขายในราคาที่ดีกว่า
ถ้าจะลงทุนระยะยาวก็ให้ดูหลักการลงทุนแบบเดิม และอย่าลืมดูกิจการอื่นที่ใกล้เคียงกัน
ผมจะชอบซื้อกิจการที่ลงทุนมาอย่างหนักหน่วงก่อนที่จะเข้าไอพีโอ
แล้วเอาเงินไอพีโอมาชำระหนี้ จะทำให้เข้าตลาดแล้วกำไรเติบโตได้ทันที
กิจการแบบนี้ถือลงทุนได้ ยกเว้นราคาจะขึ้นไปมากเกิน
กับกิจการอีกแบบ ยังไม่ได้อะไรเลย แต่มาไอพีโอ เพื่อเอาเงินเข้าบริษัทแล้วค่อยไปทำ
แบบนี้ต้องรอ ใช้เวลาเป็นปี กว่ากำไรจะเข้ามา
อย่าละเลยรายละเอียด อ่านเยอะๆ ไม่มีอะไรง่าย
อ.ไพบูลย์
ผมจะร้องเพลงให้ฟัง …สมองมีทำไมไม่คิด
คนได้ราคาจอง ปลอดภัยในระดับหนึ่ง เพราะที่ปรึกษาการเงินประเมิน
หัวข้อ "เสียดายก่อนตายคนเล่นหุ้นไม่ได้ฟัง" และ “กลยุทธ์ลงทุนยามหุ้นผันผวน”
Money talk ครั้งต่อไป
เสาร์ ๔ พ.ค.
จอง ๒๗ เม.ย. ผ่าน เฟซบุ๊ค (ผู้สูงอายุจองวันที่ ๒๖)
หัวข้อ ๑ เจาะลึกธุรกิจเหล็กไทย ๓ บริษัท พิธีกร หมอเค
หัวข้อ ๒ สอนลูกหลานเรื่องเงินทอง คุณวิวรรณ อ.ถาวร ดร.สมจินต์ ดร.นิเวศน์
19.00 น. รุมหลังงาน ดร. นิเวศน์
อาทิตย์ ๒ มิ.ย.
หัวข้อ ๑ หุ้นเด่นในกระแสหลักโลก
คาร์มาร์ท เจย์มาร์ท จูบิลี่ และอีกสักบริษัทหนึ่ง (ยังไม่ได้เชิญแขก คิดเอาไว้)
หัวข้อ ๒ สอนลูกหลานเรื่องหุ้น
ช่วงที่ 1 "เสียดายก่อนตายคนเล่นหุ้นไม่ได้ฟัง"
แขกรับเชิญ
ดังตฤณ
ณัฐ พบธรรม
ถาวร โชติชื่น
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ดำเนินรายการ
อ.ไพบูลย์
คนที่เกี่ยวกับหุ้น คนเล่นหุ้น คนที่เลี้ยงชีพโดยเอากำไรจากหุ้น ถือเป็นอาชีพที่ถูกต้องไหม?
คุณดังตฤณ
ถูกต้องครับ ต้องมีหลักเกณฑ์ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส สัมมาชีพ คือ ไม่ทำอะไรที่ผิด เบียดเบียนคนอื่นเป็นอาจิณ ถ้าสำรวจดู ไม่ได้ฆ่าใครเค้า ไม่ได้โกหก ค้าขายสุรา ยาพิษ ขอให้สบายใจได้ว่าเรามีสัมมาอาชีพอยู่
ถ้าเล่นหุ้นไม่ได้ไปหลอกลวงเงินใครมา รู้อินไซด์ แล้วไปบอกให้คนอื่นมาซื้อหุ้น พวกนี้เรียกว่าเล่นหุ้นแล้วบาป
ถ้าความตั้งใจเราคือเอาเงินที่มีไปลงทุน แล้วเอาส่วนต่างมา เหมือนเป็นพ่อค้า ไม่ใช่การบาป
อ.ไพบูลย์
ถ้าให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เป็นบาปใช่ไหม?
คุณดังตฤณ
ใช่ เป็นการปล้น เป็นโจรที่ไม่ได้เอาร่างกายไปฉกชิงคนอื่น แต่เอาปากไปฉกหยิบทรัพย์คนอื่นมาให้ตนทั้งๆที่ไม่สมควร
อ.ถาวร
อย่างเช่น อ.ไพบูลย์ทำรายการ แล้วสมมติผู้บริหารที่มาพูดไม่จริง แต่อ.ไพบูลย์ทำเฉยๆ เป็นการพายเรือให้โจรนั่งไหม ?
คุณดังตฤณ
ขึ้นกับเจตนา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
กรรมของอ.ไพบูลย์ คือ การเชิญบุคคลที่จะมีประโยชน์กับผู้ฟัง
ส่วนเจตนาของผู้มาให้ข้อมูล ต้องการปั้นข้อมูลเพื่อให้ได้ประโยชน์เข้าตัวโดยไสนใจว่าจะถูกหรือผิด
เป็นเจตนาที่ตั้งต้นไม่ดี เป็นการมุสาวาท
ถ้ามีแขกที่พูดไม่จริง ครั้งต่อไปก็ไม่ต้องเชิญคนที่พูดไม่จริง ก็เป็นเรื่องของกรรม เรื่องเจตนา
อ.ไพบูลย์
แล้วถ้าบางคน ตอนที่พูดเราไม่รู้ แต่มาจับได้ทีหลัง
คุณดังตฤณ
สมัยนี้ทุกอย่างก้าวหน้าไปหมด ปัจจุบันคนไม่ได้หลอกกันด้วยการโกหก แต่หลอกกันด้วยของจริง หลอกด้วยข้อมูลที่มีอยู่จริง แต่เอามาปั้นแล้วเป็นการโกหกคำโต เริ่มมาจากทางการเมือง เป็นจิตวิทยามวลชน เป็นกรรมมุสาวาทอยู่ดี
อ.ไพบูลย์
นักลงทุนรู้ข้อมูลบางอย่าง เราคิดว่าหุ้นต้องขึ้นเพราะเหตุนี้ แต่คนมาถามเราไม่บอก เราต้องซื้อให้เสร็จก่อนแล้วคนบอก เป็นบาปไหม?
คุณดังตฤณ
เรื่องพวกนี้เป็นความเอื้อเฟื้อหรือไม่เอื้อเฟื้อ
เป็นเจตนาที่จะอนุเคราะห์ตัวเองก่อน หรืออนุเคราะห์คนอื่นก่อน
โดยมุมมองพุทธศาสนา ถ้าเอาตัวตั้งเป็นเรื่องทานและศีล เจริญสติภาวนา อย่างเวลาคนมาถาม เราต้องการที่จะช่วยตัวเองก่อน หรือช่วยคนอื่นก่อน
และมีข้อแยกย่อยอีกว่าใจลึกๆ เราต้องการช่วยเค้าจริงหรือเปล่า
โดยธรรมชาติของนักธุรกิจ พ่อค้าต้องเก็งกำไรให้ตัวเองก่อน ไม่งั้นจะเรียกว่าพ่อค้าหรอ
อ.ไพบูลย์
การให้ความมั่นใจในหุ้นกับคนอื่น การบอกว่ามั่นใจ ๑๐๐% , ต้องเผื่อเอาไว้บ้าง และบอกให้ตัดสินใจเอาเอง มีวิธีไหนเป็นบาปไหม?
คุณดังตฤณ
การบอกว่ามั่นใจ 100% เป็นเจตนาที่เอาเข้าตัว จูงใจให้คนอื่นมาลงทุนด้วย บาป
เคยได้ยินว่า กู้มาแล้วทำเงินวันเดียวได้ 40 ล้าน เป็นแรงบันดาลใจผิดๆ
คนรู้ว่าเล่นหุ้นให้มีความสุขต้องเล่นหุ้นด้วยเงินเย็น พอเห็นโอกาสก็อยากรวย
พอเจ้าของบริษัทพูดไม่เผื่อโอกาสให้คนฟัง รับรองได้ 100-200%
มีหลายคนที่เสียบ้านเสียรถ จริงๆเพราะไม่เผื่อ
การพูดให้เกิดการเผื่อใจ อย่างน้อยที่สุดคนที่ไม่ค่อยมีจะเจียมตัว ไม่กู้หนี้ยืมสิน ไม่เอาแรงบันดาลใจผิดๆ มาใช้
ส่วนใหญ่พวกที่ได้วันละ 40ล้าน เพราะเค้ามีเป็น 100 ล้าน แล้วเค้าก็ไม่ได้เอามาเล่นหมด
ถ้าเราเห็นคนอื่นได้ แล้วอยากไปทำตามเค้า คือเราไปเลียนแบบวิบากกรรมเขา
แต่ละคนมีวิบากกรรมของตวเอง ถ้าเราไม่โลภ ถึงวันที่จะเสีย ก็ไม่เสียแบบโลภ
อ.ไพบูลย์
ในรายการของเราก็จะเตือนว่า การลงทุนมีควาามเสี่ยง
เงินของท่านท่านรับผิดชอบเอง เราให้ข้อมูล
แต่บางทีผมอยุ่ในสถานะเจ้าของบริษัท เวลาแนะนำผมจะคิดเสมอว่าถ้าคนถามเป็นพี่น้องเราจะทำอย่างไร
ส่วนใหญ่ผมจะแนะนำหลีกๆ ระมัดระวัง เพราะเกรงว่าจะทำให้เค้าเสียหาย
คุณดังตฤณ
คีย์เวิร์ดมันอยู่ที่กลัวว่าเค้าจะเสียหาย สิ่งที่เราทำลงไปอยู่ในเจตนาที่บริสุทธิ์
อ.ไพบูลย์
ถ้าเราตามรายการ มันนี่ทอร์ค อ.เสน่ห์จะทำอะไรก็ผิด ลงทุนอะไรก็ผิด ที่จริงแล้วอ.เสน่ห์ลงทุนอย่างปลอดภัย ออมในสิ่งที่ปลอดภัย แต่เรามาสร้างเรื่องให้อ.เสน่ห์เป็นเหมือนแบบนั้นบาปไหม?
คุณนัด
บาปครับ พูดให้คนเข้าใจผิดจากความจริงที่เป็น
อ.ไพบูลย์
แล้วอย่าง อ.นิเวศน์ถูกรังแก ถูกกระแนะกระแหน เพื่อให้คนดูชอบรายการเรา อาจโดยบังเอิญด้วยเพราะอ.นิเวศน์เป็นคนใจเย็น ไม่ต่อล้อต่อเถียง อ.นิเวศน์เลยกลายเป็นพระเอก อ.เสน่ห์เป็นผู้ร้าย บาปไหม?
คุณนัด
ขึ้นกับความจริงหรือเปล่า แล้วเจตนาพูดให้คนรักหรือเกลียด
ถ้าพูดความจริงแล้วไม่ได้พูดให้เกลียดก็ไม่บาป
เวลามีคนมาถามคำถามกับพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ได้ตอบทุกครั้ง อะไรที่เป็นเรื่องไม่จริงไม่พูด อะไรที่เป็นเรื่องจริงแต่ถ้าพูดแล้วเป็นอกุศลเกิดขึ้น
อะไรที่เป็นเรื่องจริงก็ต้อง พูดตามกาละเทศะที่เหมาะสม
แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง พูดแล้วมีประโยชน์ ก็ต้องเลือกกาละเทศะเวลาที่เหมาะสมด้วย
ถ้าทำแบบนั้นก็ไม่ผิด แม้ว่าทีแรกจะตัดสินใจไม่พูดก็ตาม
อ.ไพบูลย์
มีเพื่อนที่นิด้าแนะนำให้
พูดสิ่งที่เป็นความจริง พูดสิ่งที่เป็นประโยน์ พูดสิ่งที่เค้าอยากฟัง
พอเอาสามข้อรวมกันแล้วก็เลยพูดไม่ได้เลย
คุณนัด
ถูกครับ แต่บางทีสิ่งที่คนอยากฟังมันไม่จริง ตัดสินใจซื้อหุ้นไปแล้ว ไปถามใครก็อยากได้ฟังว่าธุรกิจนี้ดี ทั้งที่ความจริง หุ้นนี้อนาคตอาจไม่ดี พีอีสูงมาก
ตามหลักพระพุทธศาสนาเราต้องตอบสิ่งที่เป็นจริง และเป็นประโยน์ ให้เค้าพัฒนาด้านอื่นและจิตใจด้วย
ดังนั้นเมื่อกี้ต้องตอบว่าธุรกิจไม่ดี ราคาแพงไปแล้ว
อ.ไพบูลย์
ถ้าจะเลือกหุ้นลงทุน ไม่บาปแน่อน จะมีเกณฑ์อย่างไร?
คุณนัด
ใช้หลัก อกุศลกรรม บทสิบ ได้แก่
1) ฆ่าสัตว์
2) ลักทรัพย์ คดโกง โกงบ้านโกงเมือง ธุรกิจที่เกี่ยวกับการประมูลก็อาจคาบเกี่ยวกับข้อนี้ด้วย
หุ้นบริษัทที่จ่ายค่าคอมให้นันกการเมืองก็มีส่วนผิดเป็นการร่วมมือเพื่อให้ได้ผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง
อ.ถาวร ถ้าเราไม่รู้ผิดไหม?
คุณนัด ไม่รู้ไม่เป็นไร แต่ถ้าพยายามไม่รับรู้ อย่าให้คนอื่นบอก คือ เจตนาหลอกตัวเอง
3) ธุรกิจเกี่ยวกับกาม (กาเม) ในตลาดอาจจะไม่มี
อ.ถาวร ถ้าใกล้เคียงเช่นพิมพ์หนังสือแบบนั้น?
คุณนัด ไม่เกี่ยวโดยตรง
4) ผลิตสุรา ขายสุรา
อ.ไพบูลย์ ร้านอาหารในศูนย์การค้า ขายเบียร์ ขายเหล้าด้วย บาปไหม?
คุณนัด น้อยกว่า บางธุรกิจให้เช่าพื้นที่ ต้องดูว่าพื้นที่เอาไปทำอะไร
5) ธุรกิจที่มุสา หรือ โกหก ธุรกิจที่โฆษณาเกินจริง อย่างพรีเซนเตอร์ที่สวยอยู่แล้ว แต่โฆษณาว่ามาใช้เครื่องสำอางค์แล้วสวย แบบนี้คือโกหก ถือว่าบาป
อ.ไพบูลย์ ผมทำวิจัยว่าลงทุนแบบนี้ได้ผลตอบแทนเท่านี้ แต่เรารู้ว่าใช้จริงไม่ได้ แม้จะมีระบุว่าในทางปฏิบัติมีข้อจำกัดอย่างไร
คุณนัด เจตนาเราคือให้ความรู้ อยู่ที่ว่าเราต้องการหลอกหรือเปล่า ก็บอกว่าเป็นข้อมูลทางวิชาการ ผมก็จำได้ว่าอ.บอกว่าเอาไปทำจริงอาจไม่ได้ผลแบบนี้นะ
6) ธุรกิจที่พูดหยาบ ให้คนที่พาดพิงไม่พอใจ เช่น ธุรกิจสื่อ ทั้งเกี่ยวกับธุรกิจ และบันเทิง
7) ส่อเสียด ทำให้คนเกลียดกัน สื่อที่ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำให้สีหนึ่งไม่ชอบอีกสีหนึ่ง
ถ้าเอาตามที่ว่ามาธุรกิจสื่อเกี่ยวเกือบทั้งหมดเลย
8) พยาบาท กระตุ้นให้เกิดความรู้สึก โกรธเกลียดแค้น ต้องการให้เกิดความล่มจม
ซึ่งหลายสื่อสร้างแบบนั้นให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะละคร ทำให้เราเกลียดตัวละครนั้นๆ สื่อนั้นกระตุ้นจิตพยาบาทให้เกิดขึ้น
หลายคนสนใจธุรกิจทีวีดิจิตอล ผมไม่สนใจเลย โอกาสไม่บาปน้อยมาก มีทั้งโฆษณาหลอกลวง ละครบางเรื่องก็ทำให้เกิดความพยาบาท เงินปันผลจากการสร้างบาป
คุณดังตฤณ
ขอเพิ่มเติม การอยู่ในธุรกิจบาปโดยตรง ในฐานะผู้บริหารที่มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางจะมีบาปมากกว่า แต่นักลงทุนก็ติดกลิ่นบาปไปเหมือนกัน แม้จะเข้ามาแล้วไป อย่างไรการลงทุนกับธุรกิจบาปก็ต้องติดกลิ่นบาป อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเงินปันผลมาจากอะไร
แต่ไม่เหมือนธุรกิจที่เราไปถือหุ้นใหญ่ นั่นเราต้องใช้กำลังใจโดยตรงเข้าไปร่วม
นักลงทุนรายย่อย ที่มาลงทุนชั่วคราว เราเจตนาที่จะมาเล่นชั่วคราวเอาเงินมาหยอดโดยไม่สนใจว่าเขาจะทำอะไรบ้าง กำลังใจที่จะผลิตบาปไม่มี มีแต่กำลังใจที่จะเอากำไรจากการลงทุนชั่วคราว
ดังนั้นเวลาจะเอามาทำบุญ เอามาทำให้เกิดประโยชน์ก็จะสบายใจขึ้น เจตนาของเราจริงๆคือไม่ได้ลงทุนแบบผู้บริหาร
อันนี้พูดในแง่ความสะอาดความเปื้อน
ถ้าจะให้สบายใจกว่านั้น ไม่ว่าจะทำธุรกิจแบบไหน ในฐานะฆราวาาาส สามารถบาปได้หมด
ต่อให้ไม่ได้เล่นนหุ้น ต้องมีทางใดทางหนึ่ง ที่เป็นการทำมาค้าขายที่เป็นทางมาของมลทิน พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า ฆราวาสเป็นทางมาของธุลี การเป็นฆราวาสไม่เปื้อนเป็นไปไม่ได้ การเป็นฆราวาสต้องเปื้อนมลทินทางใดทางหนึ่ง ถ้าเราไปคิดแบบนั้นมากๆ ใจของเราก็จะเปื้อนไปด้วย สมมติว่าคุณรู้ชัดว่าเงินส่วนนี้มาจากเงินเปื้อนบาปแล้วคุณเอาไปถวายวัด ไม่เกี่ยวกัน เป็นต่างกรรมต่างวาระ เจตนาเล่นหุ้นเป็นส่วนหนึ่ง เจตนาที่ทำบุญเป็นอีกส่วน ไม่ใช่ว่าเป็นการฟอกเงินเอนเป็นเงินบริสุทธิ์
9) ธุรกิจสร้างความโลภ ไม่ใช่ว่าเราอยากได้อยากมีอยากเป็นมากขึ้น
หมายถึงเราจ้องอยากได้ของคนอื่น วางแผนว่าทำอย่างไรจะได้มือถือเค้ามา
เมืองไทยไม่มีโดยตรง เช่น บ่อนการพนัน
10) มิจฉาทิษฐิ การสอนที่ผิดจากหลักพระพุทธเจ้า หลักความจริง
ในร้านหนังสือที่มีขายหนังสือแบบนี้ก็ผิด
อ.ถาวร
เราควรจะทำอย่างไร ทำเยอะๆจนชิน
คุณดังตฤณ พระทธเจ้าตรัสอยากชัดเจนว่าผู้หญิงไม่ควรเจอเลย ถ้าเจอก็อย่าใกล้ ถ้าใกล้ก็อย่าคลุกคลี สำรวมตัวให้ดี ไม่ได้มีหลักตายยตัว ส่วนถ้ามีความบันเทิงส่วนตัว ถ้าไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ไม่หมกมุ่นเกินไป
อ.ถาวร
วันนี้ฟังดูทั้งหมดจะเหลือหุ้นอะไรที่เก็บไว้ได้ ถ้าตัดสินใจขายก็ขาดทุน ถือต่อก็ไม่สบายใจ บาปอันนี้จะเป็นของใคร ทำอย่างไรจะมีทางออก ?
คุณดังตฤณ
อย่างที่พูดตอนต้นรายการ หากเราไม่มีกำลังใจในการเบียดเบียนใครเขา ในการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ค้ายาพิษ ค้าสุรา ถือว่าประกอบสัมมาอาชีพอยู่ การที่เราอยู่รอบนอก คือไม่ได้คลุกวงใน
ให้พิจารณาใจของเราเอง หุ้นตัวไหนที่เราไม่สบายใจที่จะเล่น ก็ไม่ต้องไปเล่น แม้จะไม่ได้เป็นบริษัทฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่รู้ว่าเป็นบริษัทที่ผู้บริหารตั้งใจสร้างมาหลอกลวงประชาชน แม้จะรู้ว่าลงไปเดือนเดียวก็จะได้เงินมาเยอะ ไม่สบายใจก็ไม่ต้องซื้อ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เนื้อสัตว์ฉันท์ได้ แต่ถ้ารู้ว่าสัตว์ตายอย่างไรไม่สบายใจ ก็อย่าไปฉันท์
อ.ไพบูลย์
ที่จริงหุ้นที่ผมมีหลายคนก็รู้แล้ว เพราะถือเกิน ๐.๕% ก็จะแสดงรายชื่อ ถ้ามีหุ้นที่ซื้อไว้หลบอยู่บาปไหม ?
คุณดังตฤณ
อยู่ที่เจตนา เท่าที่ทราบเลย เซียนหุ้น คนคอยจ้องว่าเซียนเล่นอะไร จะได้เล่นตาม ในการที่เราไม่สบายใจมี สอง ชั้น กลัวคนเล่นตาม คือ กลัวคนเล่นตามแล้วหุ้นราคาตก กับ อีกอย่างคือ รู้ว่าคนจะเชื่อเรา แล้วมาทำให้คนเสี่ยงตามเรา อันไหนที่เราคิดนั่นคือกรรม แต่ไม่ใช่บาปทั้งคู่ การกลัวคนอื่นมาเสี่ยงตามเราเป็นเจตนาอนุเคราะห์
มีตัวตั้งต้นเป็นเจตนาอนุเคราะห์นอกจากไม่ใช่บาปแล้วเป็นบุญด้วย
อ.ไพบูลย์
พวกที่เล่นหุ้นแล้วเครียด ชาติก่อนทำอะไรมา?
คุณดังตฤณ
เป็นเพราะเราปรับมุมมองไม่เข้ากับหุ้นได้ จึงเป็นทุกข์ ไม่ใช่วิบากกรรม
ถ้าเป็น วิบากกรรม คือ อยู่ดีๆ ไม่ได้ทำผิด โดนจับเข้าคุก
คนเล่นหุ้นแสดงว่ามีเงิน มีบุญ
ถ้ามองตามหลักการเจริญสติตามหลักพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรื่องของพระอย่างเดียว การเจริญสติเอามาใช้ได้กับการเล่นหนุ้น
ถ้าหากเราตั้งต้นมีมุมมองที่ถูกต้องก่อน
ระหว่างจิตกับเงิน อะไรสำคัญกว่ากัน
ถ้าคุณตอบตัวเองได้ เวลาที่เครียด เล่นได้มาเป็นพันเท่าแต่ไม่ได้มีความสุขกว่าเดิม แสดงว่าสิ่งที่มีความสุข ความรู้สึกที่มีค่าตั้งอยู่ที่ไหน ทุกความรู้สึกที่เสียหายตั้งอยู่ที่จิต ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่ว่าจะดีใจที่หุ้นขึ้นหรือตก ตั้งอยู่ที่จิต
ถ้าหากจิตเสื่อมทรามลงแสดงว่าเสียสิ่งที่มีค่าไปแล้ว เป็นการตั้งมุมมอง
จากประสบการณ์ตรงของเราเห็นว่าจิตสำคัญมากกว่าเงิน
เงินที่เราใช้ในการเล่นหุ้นต้องเป็นเงินเย็น
ถ้าเป็นเงินร้อน เราจะเครียดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
หากเรามีล้านนึง ลงไปหนึ่งหมื่น ตรงนั้นไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อน
เพราะเรายังมีอีก เก้าแสนเก้าหมื่น
แต่ถ้าเราจดจ่อกับเงินหนึ่งหมื่นบาทที่เสียไป เราเป็นทุกข์ อยู่กับการตั้งมุมมอง
จิตของเรามันโง่ ถ้าไม่ได้แปะป้ายไว้มันจะไม่รู้
ถ้าเป็นเงินเย็นเสียไปเท่าไร ถ้าเล่นเงินร้อนไม่ต้องภาวนา
ตอนที่หุ้นขึ้น คุณจะไม่อยากขาย เพราะมีความคาดหวังมามันจะไปต่อ
บางคนเรียนกราฟมาทำนายได้ว่าจะไปเท่าไร ทั้งๆที่มีความรู้ แต่พอไปถึงจุดนั้นจริงๆ ขอไปอีกนิด
แต่ตอนที่ตกลง เสียไปเป็นล้าน ขาดทุนกำไร มีความรู้สึกหน้ามืด เหมือนกับหมดตัว
นี่เป็นการเล่นกับความฝัน ไม่ใข่ของจริงที่เกิดขึ้น จะเป็นของจริงคือตอนที่แลกเงินกลับมา
แต่หุ้นตกของจริง ยิ่งตกลึกๆ ถ้าหากจะเล่นให้ไม่เครียด สรุปว่า
1) จิตสำคัญกว่าเงิน
2) เงินที่เอามาเล่นหุ้นควรเป็นเงินเย็น
3) อ่านเกมให้ออก เวลาหุ้นขึ้นเป็นความฝัน แต่หุ้นตกเป็นของจริงตั้งแต่มันตก
ถ้าเห็นแบบนี้ คุณจะไม่มีความเครียด
อ.ไพบูย์
ตอนวิกฤติซับไพร์ม ผมไปพักผ่อนที่พัทยา 3-4 คืน หุ้นลงมากไม่รู้กี่จุด ใจหายมาก อย่างที่คุณดังตฤณว่า เริ่มคิดไปว่าเราจะลำบากหรือเปล่าชีวิตนี้ แต่พอมาดูจริงๆ ถ้าลงไป 50%แล้วยังพอมีพอกินใช้ไม่หมด ลูกก็ยังมีกินมีใช้สบาย พอคิดได้ก็ลงไปไหว้น้ำ วันถัดมาหุ้นจะลง 20% ก็ยังถือว่าโชคดี
อ.ถาวร
นั่นเป็นคนที่มีเยอะ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้มีแบบนั้นล่ะ
คุณนัด
ความสุขในการลงทุน เริ่มจากความสุขในการหาเงินก่อน เมื่อก่อนผมก็เคยโกหกได้เงินมา แต่พอเรามีศีล เงินแสนหนึ่งเท่ากัน แต่เป็นเงินหามาแบบสุจริตและไม่ติดบาป มันสุขใจกว่า
การจะลงทุนด้วยความสบายใจ
1) มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจที่ลงทุน ยิ่งเข้าใจดี ความทุกข์ในการลงทุนจะลดลง
2) ความตั้งใจว่าจะอยู้กับธุรกิจนี้นานแค่ไหน ถ้าจะอยู่ หกเดือนเราก็จะลุ้นมาก
แต่ถ้าตั้งใจจะอยู่ ๓ ถึง ๕ ปี ราคาจะขึ้นหรือลง เราก็ไม่ทุกข์
ถ้าลงไปมาก เรายังเห็นว่าดีจะได้ซื้อเพิ่ม
3) ความคาดหวังกำไรในแต่ละปี บางคนคาดปีละ ๑ เด้ง ๒ เด้ง ยิ่งคาดหวังมากจะเครียดมากตามไปด้วย อย่างดร.นิเวศน์ จะหวังปีนี้ ๑๐% ๑๕% อย่าไปคาดหวังมากเกินไป คนส่วนใหญ่จะคาดหวังว่าธุรกิจคนจะชนะตลาด เราคาดหวังแค่เท่ากับตลาด หรือมากกว่าเล็กน้อยก็จะมีความสุขมากขึ้น
4) ความสอดคล้องในการซื้อหุ้น กับการถือหุ้น บางคนซื้อคำนวณจากเงินปันผล แต่พอมีเหตุการณ์เกิดขึ้น เรากลับขายออกไป แม้แต่ตัวเราเองยังสับสนว่าเราซื้อเพราะอะไร
ถ้าความตั้งใจเดิมที่เราซื้อหุ้นยังอยู่ เราก็ถือหุ้นโดยไม่เครียด
5) ความถี่ในการดูราคาหุ้น ผมสังเกตตัวเองดู ถ้าเปิดจอทิ้งไว้ ผมจะไม่ไปไหน จะนั่งดูว่าหุ้นขึ้นยังลงยัง ความทุกข์จะเกิดขึ้น
ปัจจุบัน ผมเปิดดูเฉลี่ยวันละหนึ่งครั้ง ถ้าเราดูให้น้อย ความทุกข์จะลดลง
6) ข้อมูลข่าวสารที่ได้จากธุรกิจนั้น หลังๆ ผมจะลงทุนกับหุ้นที่หาข้อมูลข่าวสารได้ ผู้บริหาร IR ให้ข้อมูล จะทำให้เราลงทุนได้โดยไม่เครียด
ผมคิดว่าการลงทุนวันนี้เรามาฟังแต่ HOW ทำอย่างไรจะมีเงินมากขึ้น
เราทุกคนควรตั้งคำถามควบคู่ด้วย คือ WHY ทำไมเราถึงต้องการได้เงินมากขึ้น
ในมุมฆราวาส จำเป็นต้องมีเงิน ตอบสนองความต้องการพื้นฐาน ระหว่างที่เราใช้ ทำให้คนที่เรารักเป็นอย่างไรบ้าง คนรอบข้างเรามีความสุขไหม
แต่ถ้าเราเครียดกับเงินมากเกินไปจนไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้าง ระหว่างทางเราทำร้ายจิตใจคนที่เรารักตลอดเวลา
เมื่อเราหาเงินได้ระดับหนึ่ง อย่างเช่น เกินห้าสิบล้าน แค่เงินปันผลอย่างเดียวเราก็อยู่ได้สบายๆ แล้ว
เมื่อวันหนึ่ง คำถามคือ เมื่อไปถึง จุดนั้นจะต้องการเงินมากกว่านั้นไปทำไม
แล้วจะมีเป็นร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน เพื่ออะไร เราควรจะถามตัวเอง ด้วย เพราะเกมแห่งการเอาชนะกิเลสตัณหาจะไม่มีวันชนะ
เมื่อได้สิบล้านก็ต้องการร้อยล้าน ได้ร้อยล้านก็จะอยากได้พันล้าน เราจะไม่มีวันรู้สึกว่าเต็ม
อีกเกมที่ผมอยากจะท้าทาย คือ เอาชนะกิเลสตัณหาดู
อ.ถาวร
ขอถามทั้งสามท่านเลยว่า มีคำแนะนำสำหรับนักลงทุนว่าควรใช้ชีวิตอย่างไร เพื่อให้ใช้ชีวิตมีความสุข สมกับการเกิดเป็นมนุษย์?
คุณดังตฤณ
สไตล์ชีวิตแต่ละคนต่างกัน เราจะไปกะเกณฑ์ไม่ได้ ว่าทำอะไรมีความสุขมากสุด ถ้าเป็นแนวทางแบบพุทธศาสนา จุดมุ่งมายคือทำอย่างไรคือให้ชีวิต จิตวิญญาณพัฒนาขึ้น และเป็นแนวทางเดียวกับที่พระพุทธ์เจ้าเสด็จไว้แล้ว คือทางที่จะพ้นทุกข์
บางคนตั้งคำถามไว้ด้วยซ้ำว่าเล่นหุ้นจะเป็นทุกข์หรือเป็นสุขกัน แน่
ผมเห็นคนใกล้ตัว เล่นหุ้นประสบความสำเร็จ แต่ใจเป็นทุกข์ นั่นถือว่าแพ้ ถือว่าเล่นหุ้นไม่เป็น
วันหนึ่ง ผมได้รับโทรศัพท์ มีคนบอกว่าได้กำไรมา ๓ ล้าน ด้วยความลิงโลด ผมไม่ได้รู้สึกดีใจด้วยเลย ผมก็บอกว่ายินดีด้วย แล้วบอกว่าอาการของใจแบบนี้เป็นต้นเหตุความทุกข์ เป็นการดีใจเกินเหตุ เวลาเสียมันก็จะสวิงเหมือนกัน
แล้วคำเตือนนี้ก็ได้ใช้ กำไรหายไป ช่วงที่ตลาดตก
ความรู้สึกเหมือนหมดตัว ที่เคยฝันหวานไว้แล้ว ว่าจะไปใช้ทำอะไร
ตอนแรกเล่นตามกฏตามกติกา เชื่อกราฟ แต่พอไปถึงจุดหนึ่งเริ่มเชื่อคน เชื่อเสียงยุ พอสวิงกลับเหมือนโลกถล่ม ทั้งๆที่ขาดทุนกำไร เป็นเกมทางจิต ถ้าหากเราอ่านจิตไม่เป็น อย่างไรก็ตามไม่มีทางพ้นทุกข์ ถ้าเริ่มต้นด้วยความเข้าใจเล่นหุ้นอย่างไรให้พ้นทุกข์ เพราะเราไม่อยู่กับต้นเหตุของความุกข์ เราไม่ได้โลภมากเกินเหตุ การพูดเรื่องเจริญสติ หรือการปฏิบัติธรรมเป็นไปได้ แต่ถ้าเล่นกับความฝันไม่เป็น
เห็นจิตสำคัญกว่าเงิน เล่นด้วยเงินเย็น อ่านเกมเป็น มีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา
แล้วค่อยมาพูดกันเรื่องเจริญสติ
ตอนนี้หมกมุ่นไปแล้ว เป็นส่วนเกินในชีวิต มาตัดสินให้ค่ามัน ถ้าอ่านเกมมันออกจะเริ่มเข้าใจว่าใช้ชีวิตให้เป็นสุขไม่กี่ยวกับเล่นหรือไม่เล่นหุ้น ขึ้นกับอ่านเกมทางจิตได้ไหม เป็นบันไดขึ้นแรก ค่อยเป็นขั้นสองขั้นสาม เจริญสติ ปฏิบัติธรรม
คุณนัดพบธรรม
สำหรับสิ่งที่ วีไอทำ คือ ศึกษาข้อมูลบริษัท มองไปในอนาคต รวมทั้งมองอนาคตของตัวเราเองด้วย ว่าเข้าไปร่วมกับบริษัทนี้แล้วจะเป็นอย่างไร คือมองชีวิตของเราไปว่าเมื่อถอยหลังไปสู่ความตายทุกวัน เมื่อลมหายใจของชีวิตหมดลง อยากให้ทุกคนลองค่อยๆคิดดู มีสิ่งให้เราค้นคว้าหาข้อมูล ทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆไป
เมื่อมองการณ์ไกลจากคนอื่น ว่าจบชีวิตนี้ก็จบลง วิถีชีวิตเราจะเปลี่ยนไปอย่างแน่อน
เป็นสิ่งที่เราไม่พบเจอในการเรียนปริญญา ความสุข ถ้าเราค่อยๆหาคำตอบ แล้วสุดท้ายเราจะได้คำตอบของตัวเราเอง ว่าวางแผนให้เดินไปทางไหน
อ.ไพบูลย์
สิบปีที่แล้ว ผมคิดว่าเราเสียเวลามาเยอะแล้ว ต้องเดินทางธรรมให้จริงๆจังๆ
แต่ชีวิตเราส่วนใหญ่ไปหมกมุ่นกับหุ้น ผมก็พยายามจัดพอร์ตที่ระยะยาวเติบโต ผมรู้ว่าหุ้นในระยะยาวมันโตและดีกว่าอย่างอื่น
พยายามจัดพอร์ตให้เหมาะสมจะได้ทิ้งไว้ได้ จัดไปจัดมา สองสามปี หันมาดูผลตอบแทน ทำไมคนอื่นมากกว่าเรา ทำไมเพื่อนเราแซงไปแล้ว ต้องให้เวลามากขึ้น เอาจริงให้เวลามากขึ้น แล้วผลตอบแทนดีขึ้น แซงกลับมาได้ แต่ก็กลับมานั่งนึก ว่าจริงๆคือเราอยากได้อะไร
อย่างที่คุณนัดพูด มีเท่าไรดี ผมว่าสองร้อยล้านนี่คือเกินแล้ว ถ้าเลยตรงนี้ไปแล้ว ก็เกินจำเป็น ทุกวันนี้มานั่งคิดว่าเราทำไปทำไม ยิ่งคิดเวลายิ่งสั้นลง
แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่าจะทำะไร ก็พยายามถ่ายทอดความคิดที่ทำได้
คิดว่าเริ่มศึกษาธรรมะช้า แต่ก้อดีกว่าไม่เริ่ม
ช่วงที่ 2 “กลยุทธ์ลงทุนยามหุ้นผันผวน”
แขกรับเชิญ
อนุรักษ์ บุณแสวง (โจลูกอิสาน) นายกสมาคม Thaivi
วิบูลย์ พึงประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
ชาย มโนภาส (คนขายของ) ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
อ.เสน่ห์
ความผันผวนแปลว่าอะไร?
อ.ไพบูลย์
เป็นตอนที่ตลาดหุ้นวูบวาบ ปรับตัวเร็วต่อกันหลายวัน
บางคนใช้จังหวะกับตลาด ถ้ารู้ว่าหุ้นจะลงก็ขาย หุ้นจะขึ้นก็ซื้อ
ซึ่งถ้าในแนวลงทุนเน้นคุณค่า เราจะอยู่กับหุ้นที่คิดว่าดี ไม่ใช้จังหวะกับตลาด
อ.เสน่ห์
มีความหวั่นไหวไหม ตอนหุ้นวูบวาบ?
คุณโจ
เป็นเรื่องปกติ ที่เราต้องหวั่นไหว มีวิธีการรับมืออย่างไร อาจต้องใช้ธรรมะ
ความผันผวนของหุ้นป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่ขึ้นไม่ลงผิดปกติ
สัญลักษณ์ของตลาดหลักทรัพย์ เป็นรูปหยินหยาง มีขึ้นมีลง สะท้อนสัจธรรมของหุ้น
เราต้องมีหลักการ มีความรู้
หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า สิ่งที่ผันผวนคือราคาหุ้น แต่ตัวกิจการ ยังปกติดี
ทำไมต้องวิตกกังวลด้วย ต้องแยกให้ออก
เคยคิดว่าถ้าตลาดตกทั้งปี จะตกได้เท่าไร มันไม่ตกทั้งร้อยวันหรอก
มันลงแล้วก็ขึ้น มันขึ้นก็ลง
คุณชาย
ก็มีบ้าง แต่ถ้าเราลงทุนมานาน ต้องแยกอารมณ์ออกจากความจริง
อารมณ์เป็นสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด สังเกตตัวเอง
วันแรกหุ้นขึ้นไม่ซื้อ พอขึ้นสองสามวันถึงซื้อแล้วติดหุ้น
ก่อนที่ยังไม่มีหุ้นจิตอยากซื้อ พอซื้อไปแล้วติดหุ้นจิตก็จะรู้สึกว่าแย่ ทำยังไงดี
ตลาดหุ้นถ้าไม่มีความผันผวนจะทำกำไรได้ยาก ถ้าทุกคนมีจิตใจมั่นคงไม่ขาย
เวลาผันผวน ให้เอาอารมณ์ออกไป ตั้งสติให้ดี แล้วจะตัดสินใจได้ดี
อย่างที่สองให้มองหาโอกาส ถ้ามีหุ้นอยู่ตัวหนึ่ง ท่านอาจทำอาร์บิทาจได้
อ.ไพบูลย์ อาร์บิทาจคือการซื้อที่หนึ่งแล้วขายอีกที่หนึ่ง เช่น ขายวอร์แรนต์ซื้อหุ้นแม่ หรือ ซื้อหุ้นเพื่อนคนหนึ่งไปขายให้อีกคนหนึ่ง
คุณชาย
ในความผันผวนจะมีโอกาสอยู่ ต่อไปเมื่อตลาดเปิดกว้างขึ้น
อาจขายหุ้นเดียวกันในตลาดไทย ไปซื้อสิงคโปร์แทนก็ได้
ผมเชื่อว่ามีนักลงทุนหลายคนได้กำไรปี ๒๐๐๘ ช่วยสร้างความมั่งคั่งได้
คุณโจ บอกเสมอ ว่ารถออกทุกวัน โอกาสมีเสมอในตลาดหลักทรัพย์
อ.ไพบูลย์
หวั่นไหวบ้าง แต่น้อยลงเยอะ อยู่ทีใจเรา หากคิดว่าชีวิตเราอยู่ด้วยความมั่งคั่งขนาดไหนเพียงพอแล้ว
ส่วนเกินจะหายไปบ้างก็ไม่เป็นไร
ผมเคยกระเทือนตอนปี ๔๐ มาก่อน
ฝึกให้ชินพอถึงจุดที่เราพอ ก็อย่าไปเสี่ยงอีก
แต่ละคนอาจไม่หมือนกัน
อ. เสน่ห์
มีเพดานไหม แค่ไหนหวั่นไหว?
คุณโจ
ผมดูสถิติตลาดหุ้นไทย เคยตกมากสุด ๘๐% วิกฤติปี ๔๐
ผมจะเตรียมใจไว้เสมอ ว่าผมจะถือหุ้นแม้จะตกลงไปขนาดนั้นก็ตาม
เพราะผมเชื่อว่า ที่ลดลงไปเหลือ ๒๐% สุดท้ายมันจะเติบโตกลับมาได้อีกมาก
Warren เคยบอกว่าถ้าทนเห็นหุ้นตกลง ๕๐% ไม่ได้อย่าเล่นหุ้น
แต่ผมคิดไว้ ๘๐% ถ้าเราเตรียมไว้แบบนี้ก็จะไม่ประมาท
คุณชาย
ถ้านับตั้งแต่ Black Monday ปี ๑๙๘๗
นับจากตอนนั้นเป็นเวลา ๑๓ ปี มีปีที่จุดสูงสุดกับต่ำสุด ต่างกัน ๕๐% ในปีเดียว อยู่ ๕ ปี
แต่ ๑๓ ปีถัดมาหลังจากนั้นมีแค่ปีเดียว แสดงว่าตลาดหุ้นผันผวนน้อยลง
เรื่องความหวั่นไหว ถ้าผมเชื่อมั่นในกิจการ จะลงเท่าไร ผมก็ไม่กลัว ประเด็นสำคัญว่าเราต้องรู้ก่อนว่าสิ่งที่เราซื้อมูลค่าอยู่ที่เท่าไร
ในตลาดหลักทรัพย์ผมเชื่อว่าถ้ามีคนเอาแบงค์พัน ไปเข้า ไอพีโอ ในตลาด
อีกไม่นานจะเหลือแค่ ๘๐๐ หรือ ๙๐๐ ได้
เพราะมีคนมาทำให้ราคามันลงได้ ชอร์ตเซลล ได้
แต่เราก็รู้สามารถรู้มูลค่าจริงได้ว่ามันคือ ๑๐๐๐
ปัญหาของเราคือ เรารู้ไหม บริษัทที่เราถือมันเป็นแบงค์อะไร
ถ้าผันผวนผมจะมองหาโอกาส ก็เจออยู่ตลอด
อ.ไพบูลย์
เวลาผันผวนผมจะเข้าห้องพระ ไม่มีจอ แล้วก็ทำสมฐะกรรมฐาน
ไม่ได้ประโยชน์ทางปัญหาเท่าไร ทำให้เราลืมโลกชั่วคราว
อ.เสน่ห์
คิดว่าถึงสิ้นปีจะเกิดความผันผวนอีกไหม?
คุณโจ
ผมคิดว่าเกิดแน่นอน
ตอนต้นปี ผมคิดว่าจีนจะดี ไทยไม่น่าดี กลายเป็นคนละเรื่อง
ผมคิดว่าการทำนายตลาด เป็นเรื่องที่ยากมาก
หน้าที่นักลงทุนง่ายกว่าเยอะเลย ไปทำนายผลดำเนินงาานบริษัทง่ายกว่าเยอะ
ว่าบริษัทจะเติบโตไหม
คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ทำนายดัชนีได้ว่าจะขึ้นหรือลง
แต่เป็นคนที่ดูได้ว่าบริษัทจะทำกำไรได้เท่าไร เป็นความสามารถในการเลือกบริษัทไม่ใช่ทำนายดัชนี
อ.ไพบูลย์
เวลาเราขับรถ อย่าไปคิดว่าไปถึงจะติดไฟแดงหรือไฟเขียว แต่ให้คิดว่าจะเดินทางไปถึงตรงนั้นจะขับไปทางไหน ตรงไหนสะดวก
อ.เสน่ห์
เสริมถ้าเราไม่ต้องไปเปลี่ยนรถระหว่างทาง
สรุปว่า คุณโจ บอกอย่าไปหวั่นไหวกับ ดัชนี แต่ให้ดูหุ้นกิจการที่ถือไว้ ผลดำเนินการ ซึ่งคาดการณ์ง่ายกว่า
คุณชาย
ขอเสริมคุณโจ ว่าหุ้นที่เหมาะสำหรับนักลงทุนรายย่อย ผมเรียกว่าหุ้นข้าวมันไก่ ส่วนใหญ่กิจการแบบนี้จะมีทุกซอย สิ่งที่ผมจะทำคือ ดูว่าคนจะกินเยอะเหมือนเดิมหรือเปล่า
นักลงทุนรายย่อยเราสามารถโฟกัส ในการลงทุนของเราได้
แต่ฝรั่งส่วนใหญ่ต้องดูเยอะและอ่านจากเปเปอร์ เป็นข้อมูลขั้นที่สอง
ถ้ามีเงินเยอะจำนวนหนึ่ง ราคาจะหลอกราคาอย่างไรก็ทำได้
แต่ถ้าเราอยู่กับร้านข้าวมันไก่ เราก็เห็นอยู่ว่ายังขายดี คนเยอะอยู่
ถ้าราคาลงไป ๕๐% แสดงว่าน่าสนใจ
แต่ถ้าเป็นหุ้นที่เราไม่สามารถประมาณการณ์ได้ ไม่รู้เลย ราคาลงไป ๓๐-๕๐% เราก็ไม่รู้จะทำยังไง
คุณโจ
เสริมพี่ชาย ว่าเราควรรู้มูลค่าของที่เราจะซื้อ ไม่มีป้ายบอกว่าหุ้นนี้มูลค่าเท่าไร มีแต่ป้ายหลอกๆ
ซึ่งเราต้องหามูลค่าที่ควรจะเป็น เป็นแก่นแท้ของการลงทุน
หนึ่ง กิจการที่เราลงทุน ไม่ใช่ราคาหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นธุรกิจ ร้านนข้าวมันไก่
สอง ต้องประเมินมูลค่ธุรกิจให้ออก
สาม ควรซื้อเมื่อมีส่นลดที่เพียงพอ
สี่ ความผันผวน คือโอกาส เป็นเรื่องปกติ อย่าไปสร้างความผันผวนเอง
เวลาหุ้นลงตกใจ ขายตามไปด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่ทำตรงข้าม
อ.เสน่ห์
ร้านข้าวมันไก่ ถ้ามีไข้หวัดนก ขึ้นมาต้องทำไงรึป่าว?
คุณชาย
ถ้าเชื่อว่ากิจการดีในระยะยาวก็ถือได้ เป็นเรื่องระยะสั้น จะมีคนจัดการมันได้
การลงทุนเหมือนปลูกต้นไม้ เวลาเราซื้อหุ้น มีนักลงทุนบางท่านบอกซื้อแล้วกะถือยาว ไม่ดูเลย
หลายคนเปิดมาเป็นเศรษฐี บางคนเปิดมาไม่เหลืออะไร โลกไม่มีอะไรแน่นอน
นักลงทุนรายย่อย เหมือนมีปืนสั้น ยิงได้หกที หรือบางคนยิงได้ทีเดียวก็หมดแล้ว แต่กองทุนใหญ่ๆ ยิงได้หลายครั้ง ลงมาก็ซื้อได้อีก
นักลงทุนรายย่อย ต้องยิงให้แม่น เป็นกิจการดี มีส่วนลด การไปไล่ซื้อตามอารมณ์ตลาด เป็นความเสี่ยงมากของนักลงทุนรายย่อย
พวกกองทุน รู้เยอะ มีข้อมูลมากกว่า แต่เราต้องอดทนให้ได้มากกว่า เข้าใจระยะยาว
อ.เสน่ห์
ความผันผวนตลาดตอนนี้กับในอดีต ต่างกันไหม มีบทเรียนไหม?
อ.ไพบูลย์
ผมรู้ว่าพอความผันผวนมาต้องทำอย่างไร แต่เมื่อก่อนมีผลเยอะ
หลักคือ อะไรที่เราไม่รู้ สมมติเราอยุ่ในบ้าน ไฟดับ คนที่ไม่รู้ก็ตกใจ สิ่งที่เราควรจะทำคือยืนเฉยๆ ถ้าเรายืนซักพักพอมีแสงสลัว ตาเริ่มพอมองเห็น ก็ค่อยขยับไปนั่งที่เก้าอี้
ในภาวะผันผวน หากหุ้นที่เราสนใจลงไปเยอะ แต่ตัวที่เราถือลงไปน้อย
อาจจะเปลี่ยนตัวก็ได้ เหมือนไปหาเก้าอี้ใหม่ที่นั่งสบายกว่า
อ.เสน่ห์
ช่วงตอนนี้เป็นขาลงแล้วหรือยัง?
คุณโจ
ยากที่จะตอบ สี่ห้าปีที่ผ่านมาดัชนีขึ้นมาตลอด คนที่ถือหุ้นยาวๆ มีกำไรทั้งนั้น
แต่เมื่อเห็นว่าโมเมนตัมเปลี่ยนทาง จะมีนักลงทุนส่วนหนึ่ง อานจจะขายหุ้นออกมา
หรือนักเก็งกำไร ถ้าเห็นแนวโน้มเปลี่ยนก็ขาย
นักลงทุนวีไอ ถือหุ้นมาตลอด พอหุ้นชักจะแพงก็มีเหตุผลที่จะขาย
พอแรงเหล่านี้หมดแล้ว ก็อาจไม่ลงมากแล้ว ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีผล
อย่างปัจจัยต่างประเทศ ก็ยากหน่อย อย่างไซปรัส ยังมีผล
วิธีที่ดีคืออย่าไปคาดการณ์
กลับมาที่บริษัทเรา จะได้ผลดีอะไรหรือเปล่า
ก็มีหุ้นหลายกลุ่มที่ได้ประโยชน์ สองล้านล้าน รถคันแรก
ผมนับดูน่าจะเป็นร้อย
บริษัทจะดีก็ดีด้วยตัวมันเอง ไม่ใข่ว่าเราจะต้องไปจับตาดูปัจจัยภายนอกมากมาย ที่เราคาดการณ์ไม่ได้
คุณชาย
ผมเห็นด้วยกับคุณโจ คาดการณ์ดัชนีได้ยาก
ผมขอพูดเรื่องโอกาสกับความเสี่ยงตลาดหุ้นไทย
ความเสี่ยง
1) เงินบาทแข็งค่า
ประเทศไทย อยุ่ในกลุ่ม TIP
สัดส่วนส่งออกต่อจีดีพีของไทย 70% ต้องพึ่งพาส่งออกมากกว่า อินโดนีเซีย กับ ฟิลิปปินส์
ทำให้เห็นว่าตลาดเหล่านั้น new high แล้ว แต่ของเรายัง
เวลาเงินบาทแข็งไม่ได้เห็นผลทันที อาจเห็นผลในสองสามเดือนข้างหน้า
2) หนี้ครัวเรือน เพิ่มมากขึ้น
รถยนต์ขายดี บ้านขายดี อย่าลืมว่าคนไทยไม่ได้รวย ต้องกู้มา
การบริโภคของเราจะเป็นไปในอัตรานี้ต่อไปได้หรือไม่
3) เรื่องแนวโน้มดอกเบี้ย มีรายละเอียดเยอะยังไม่เจาะ
โอกาส
ในปี ๑๙๙๗ ตลาดหุ้นเอเชียเกิดวิกฤติ ลงกันถล่มทลาย แต่ไปดูในอเมริกา ภายในไม่กีปี ขึ้นเยอะมาก ในตอนที่เอเชียมีปัญหาจะมีสภาพคล่องส่วนเกินในโลก เงินที่ย้ายมาจากยุโรปหรือมเมริกา
ขนาดของตลาดพันธัตรมีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้น ประมาณ หนึ่งเท่า
ถ้าดูเงินที่ลงทุนในตลาดสหรัฐ ดอกเบี้ย ๐.๗๕% ยังมีคนซื้อ
ก็อาจมีเงินส่วนหนึ่งที่โยกมาอยู่ในตลาดทุนได้
เราดูสภาพแวดล้อม แล้วมาดูหุ้นที่เราจะลงทุน
เหมือนปลูกต้นไม้ เลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดี อากาศที่ดี ดินที่ดี
อ.เสน่ห์
การที่ทองลง มีผลอย่างไรไหม?
คุณโจ
มีทองตอนแต่งงาน เป็นสินทรัพย์ทางเลือกหนึ่ง
ผมว่าทองดีกว่าหุ้นแย่ๆ แต่โดยทั่วไป หุ้นจะดีกว่าทอง
ตลาดหลักทรัพย์ เปรียบเทียบผลตอบแทน 38 ปีที่ผ่านมา
อันดับหนึ่ง หุ้นให้ผลตอบแทน เก้าสิบเท่า
อันดับสอง พันธบัตรได้ ยี่สิบห้าเท่า
อันดับสาม เงินฝากได้ สิบเท่า
สุดท้าย ทอง ได้ผลอตแบทน แปดเท่า ตอนนี้น่าจะไม่ถึง ไม่น่าเชื่อว่าแย่ที่สุด
ดังนั้นระยะยาวทองไม่น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ราคาเท่าไรที่น่าสนใจ
ต้นทุนผลิตทอง คือ หนึ่งพันเหรียญต่อออนซ์ จะเริ่มมีบางเหมืองที่ปิด
ก็เป็นที่สังเกต ว่ามันมีขั้นต่ำอยู่
แต่ปัญหาคือทองก็เก็บรักษายาก
บางคนไปซื้อโกล์ดฟิวเจอร์ เพราะเราลงเงิน ห้าบาท ซื้อได้ หนึ่งร้อย บาท
สงกรานต์ผ่านไป ทองลง ถ้าไม่มีเงินเติม เจ๊ง เลย แล้วยังมีหนี้ด้วย
ดังนั้น สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือ การกู้เงินมาซื้อ ใช้มาร์จิ้น
การผันผวนเล็กน้อย จะฆ่าเรา ถ้าเราเป็นหนี้
คุณชาย
ผมไม่ได้เป็นผู้รู้เรื่องทอง ขอเอาคำแนะนำจากคุณจิมโรเจอร์ เป็นคู่หู จอร์จ โซรอส
เป็นผู้เชี่ยวชาญสินค้าโภคภัณฑ์ เค้ามองว่า การลงทุน Commodities เป็นเรื่องที่ง่ายมากเลย
ดูแค่ ดีมานด์ กับ ซัพพลาย
เมื่อไร ดีมานด์มากกว่าซัพพลายราคาขึ้น ซัพพลายมากกว่าดีมานด์ราคาลง
ปัญหาของนักลงทุนรายย่อย เราจะรู้ตัวเลขได้ไหม หรือเราซื้อด้วยความเชื่อ
ถ้าท่านมีตัวเลข ดีมาน์ ซัพพลาย ในระดับ โลก แล้วท่านบอกได้ ว่า ดีมานด์มันมากกว่า ซัพพลาย แน่อน ท่านก็ควรลงทุน
หลายท่านก็บอกซื้อไว้เผื่อเกิดวิกฤติ ผมไม่คิดว่าปลอดภัยนะ
อยากให้เข้าใจแรงผลักดันของตลาด ว่าทำไมมันถึงจะขึ้นไปได้
ดร.ไพบูลย์
ผมมีทอง สำหรับถ่วงเรือ ผมเปรียบความมั่งคั่งไว้ไม่ให้แกว่ง เมื่อก่อน เคยมี ๑๐% ๕% ๒% เพราะเรือมันใหญ่ขึ้น ทองผลตอบแทนก็น้อย แต่เมื่อเรามีความมั่งคั่งจุดหนึ่ง ตอนนี้ไม่ต้องถ่วงด้วยทองก็ได้ ถ้าหุ้นไม่เจ๊งหมดทั้งตลาด
อ.เสน่ห์
ระยะหลังหุ้นตัวเล็กมาแรง
ทั้งสองท่านเห็นว่าหุ้นใหญ่กับหุ้นเล็ก ควรเลือกอะไร ใครมีความผันผวนมากกว่ากัน?
คุณโจ
มีงานวิจัยใน อเมริกา
หุ้นเล็ก ให้ผลตอบแทน ทบต้น ๑๔%
หุ้นใหญ่ ๙ ถึง ๑๐%
ในระยะยาวหุ้นเล็ก จะให้ผลตอบแทนดีกว่า
อ.ไพบูลย์
มีแวลูลพรีเมียม กับ สมอลไซส์ พรีเมียม ที่ทำให้ผลตอบแทนดีกว่าเฉลี่ย
คุณโจ(ต่อ)
การเพิ่มยอดขาย สองร้อย เป็น สี่ร้อย ล้าน เพิ่มไม่ยากในไทย
แต่สองแสนล้าน เพิ่มเป็น สี่แสนล้าน มันหนักหนากว่ามาก
การเติบโตหุ้นเล็ก น่าจะมากกว่าหุ้นใหญ่
ถ้าเติบโตได้เยอะ ราคาหุ้นก็ควรขึ้นได้เยอะ
ในตลาดหุ้นไทย หุ้นไหนที่เป็นหุ้นใหญ่ คือ
หุ้นที่ครอง ส่วนแบ่งตลาดได้มาก ทำให้ขยายได้ยาก
ต้องไปรุกต่างประเทศ ไม่ง่าย คามเสี่ยงมากมาย
ในระยะยาวถึงทำให้หุ้นใหญ่ ให้ผลตอบแทนได้น้อย
แต่สังเกตว่าหุ้นขนาดกลางขนาดเล็ก วิ่งกัน มากมาย
ซึ่งมันก็มีความเสี่ยงต้องใช้ความรู้ในการวิเคราะห์ พิจารณา ไม่ได้ยากเย็นมาก และน่าจะคุ้มค่า
คุณชาย
หุ้นไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ผมจะดูโอกาสว่าจะเติบโตต่อไปในอนาคตมีอีกมากไหม
อย่างบริษัทเล็ก แต่ธุรกิจที่ทำได้แชร์ไปเยอะแล้ว หรือคู่แข่งแข็งแกร่งมาก ในระยะยาวอาจนจะเล็กอยู่อย่างนั้น หรือบางบริษัทใหญ่แล้วทำอุปโภคบริโภค
ทำผงซักฟอก จนอิ่มตัว มาออกน้ำยาปรับผ้านุ่ม ก็ขายเพิ่มได้อีกเท่าตัว
สิ่งที่ต้องดู คือ ขนาดของตลาด ธุรกิจนั้นจะโตได้ขนาดไหน
ขอเสริมจากคุณ โจ
ผมดูในหุ้นในตลาดอเมริกา โฮมดีโป ทำกิจการปี ๑๙๙๑ ทำผลตอบแทนดีกว่า
ชนะทั้งวอลมาร์ท และ โค้ก ได้อีก
หุ้นก็เหมือนคน ตอนเด็กๆ จะโตเร็ว พอตอนหลังๆจะเริ่มโตช้า แล้ว
ต้องดูว่าอยู่ในวงจรช่วงวัยรุ่นหรือเปล่า
แต่โตเร็วก็มีความเสี่ยง อาจหุนหันพลันแล่น อย่าลืมมองความเสี่ยงไปด้วย
อ.ไพบูลย์
ถ้ายึดหลักลงทุนเน้นคุณค่า เราก็จะมีความมั่งคั่งเพิ่ม
ยิ่งขนาดการลงทุนไม่ใหญ่จะโตได้เร็ว
สาเหตุหลัก เพราะเราจะสามารถหาหุ้นที่ดีมาก โตได้เยอะ เราสามารถเอาหุ้นที่ดีที่สุด ในตัวเดียวได้ แต่พอเงินลงทุนโตมาก ก็ต้องซื้อหลายๆตัว
คนที่ขนาดพอร์ตใหญ่ขึ้นก็ต้องหาหุ้นที่ใหญ่ขึ้น
อ.เสน่ห์
กระแสหุ้นไอพีโอ มีความเห็นอย่างไร?
คุณโจ
ถ้ามีโอกาสได้ซื้อในช่วงนี้ เหมือนโบรกเกอร์ยัดเงินใส่มือในเรา
มันเหมือนกับหุ้นไอพีโอ ช่วงนี้ให้กำไรทั้งนั้น ถ้ามีโอกาสซื้อก้อซื้อ
แต่ส่วนใหญ่แนะนำให้ขาย เพราะหุ้นไอพีโอ ราคาที่นำมาขาย ค่อนข้างเต็มมูลค่าหรือแพงนิดหน่อย
แถมเข้ามาในตลาดยังราคาขึ้นหนึ่งถึงสองเท่าตัว ในทางวีไอ ถือว่าเกินมูลค่ามาก
แต่มีข้อยกเว้น สังเกตไหม หุ้นบางตัว เพิ่งเข้าตลาด ราคาวันแรก ผ่านไปเป็นปี ราคาขึ้นมากกว่าวันแรกค่อนข้างเยอะ สังเกตว่าเป็นหุ้นที่เติบโตของผลกำไรเยอะ บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันเด่น เช่น วีจีไอ บิวตี้
บริษัทพวกนี้มีการเติบโต ยิ่งถือยาวเท่าไร ยิ่งดี
แต่ตอนนี้เหมือนฟองสบู่หุ้นไอพีโอ ได้มาก็ควรขาย
คุณชาย
อยากให้กลับมาที่หลักการลงทุนดั้งเดิม
ให้ดูว่ากี่ปีจะคืนทุน ซื้อแล้วจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง
บางทีมีบริษัทที่คล้ายๆ กันในตลาด แต่ขายในราคาที่ดีกว่า
ถ้าจะลงทุนระยะยาวก็ให้ดูหลักการลงทุนแบบเดิม และอย่าลืมดูกิจการอื่นที่ใกล้เคียงกัน
ผมจะชอบซื้อกิจการที่ลงทุนมาอย่างหนักหน่วงก่อนที่จะเข้าไอพีโอ
แล้วเอาเงินไอพีโอมาชำระหนี้ จะทำให้เข้าตลาดแล้วกำไรเติบโตได้ทันที
กิจการแบบนี้ถือลงทุนได้ ยกเว้นราคาจะขึ้นไปมากเกิน
กับกิจการอีกแบบ ยังไม่ได้อะไรเลย แต่มาไอพีโอ เพื่อเอาเงินเข้าบริษัทแล้วค่อยไปทำ
แบบนี้ต้องรอ ใช้เวลาเป็นปี กว่ากำไรจะเข้ามา
อย่าละเลยรายละเอียด อ่านเยอะๆ ไม่มีอะไรง่าย
อ.ไพบูลย์
ผมจะร้องเพลงให้ฟัง …สมองมีทำไมไม่คิด
คนได้ราคาจอง ปลอดภัยในระดับหนึ่ง เพราะที่ปรึกษาการเงินประเมิน
Go against and stay alive.
-
- Verified User
- โพสต์: 18364
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุป Money talk@SET 20Apr2013 เสียดายก่อนตายฯ และ กลยุทธ
โพสต์ที่ 5
รูปแบบรายการช่วงที่สองไม่ค่อยได้พบเจอเท่าไร
อาจารย์เสน่ห์เป็นพิธีกรแทนอาจารย์ไพบูลย์
รายการลื่นไหล และ เรียกเสียงฮาได้
แถมมีวิธีแก้ไขให้ค่าเงินบาทอ่อนอีกต่างหาก
ห้ามพลาดครั้งถัดไปเป็นเรื่องของหนักละ
อาจารย์เสน่ห์เป็นพิธีกรแทนอาจารย์ไพบูลย์
รายการลื่นไหล และ เรียกเสียงฮาได้
แถมมีวิธีแก้ไขให้ค่าเงินบาทอ่อนอีกต่างหาก
ห้ามพลาดครั้งถัดไปเป็นเรื่องของหนักละ
- Duckcovery
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 640
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป Money talk@SET 20Apr2013 เสียดายก่อนตายฯ และ กลยุทธ
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณครับ
แหม่ พี่ทำได้งัยเนี่ย เก็บรายละเอียดทุกเม็ดเลย
ตอนเรียนมหาลัย มีเพื่อนมาขอซีล็อกเลคเชอร์บ่อยแหงๆฮะ ..
แหม่ พี่ทำได้งัยเนี่ย เก็บรายละเอียดทุกเม็ดเลย
ตอนเรียนมหาลัย มีเพื่อนมาขอซีล็อกเลคเชอร์บ่อยแหงๆฮะ ..
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป Money talk@SET 20Apr2013 เสียดายก่อนตายฯ และ กลยุทธ
โพสต์ที่ 7
ละเอียดได้สุดยอด ขอบคุณมากๆครับ
------------------------------------------------
ปฏิบัติการปลดหนี้ สู่วิถีพอเพียง
http://thorfun.com/#chanchai/story/5159 ... bd24001056
------------------------------------------------
ปฏิบัติการปลดหนี้ สู่วิถีพอเพียง
http://thorfun.com/#chanchai/story/5159 ... bd24001056
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป Money talk@SET 20Apr2013 เสียดายก่อนตายฯ และ กลยุทธ
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณมากครับ
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
- 1154
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 894
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป Money talk@SET 20Apr2013 เสียดายก่อนตายฯ และ กลยุทธ
โพสต์ที่ 10
ขอบคุณครับ Bigs^^
-
- Verified User
- โพสต์: 480
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุป Money talk@SET 20Apr2013 เสียดายก่อนตายฯ และ กลยุทธ
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณมากครับ ตอนแรกผมจะเขียนสรุป แต่เห็นคุณบิ๊กเขียนแล้ว และเก็บรายละเอียดได้ดีกว่าผมอีก สุดยอดครับ
Add Facebook มาคุยกันเรื่องลงทุนกันได้ครับ:
https://www.facebook.com/profile.php?id=100009287180353
https://www.facebook.com/profile.php?id=100009287180353
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป Money talk@SET 20Apr2013 เสียดายก่อนตายฯ และ กลยุทธ
โพสต์ที่ 20
ขอบคุณมากครับ
Let it Be
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 962
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุป Money talk@SET 20Apr2013 เสียดายก่อนตายฯ และ กลยุทธ
โพสต์ที่ 29
โห สรุปมาละเอียดมากๆนะครับ ถือว่าขยันมากๆ ขอบคุณนะครับ
จริงๆผมไปงานมา ในหัวข้อแรกนี่ ฟังแล้วต้องคิดเยอะมาก สรุปแทบไม่มีตัวไหนในตลาดสะอาด 100% แต่คุณดังตฤณก็บอกไว้ชัดเจนว่า เมื่อยังเป็นฆราวาสอยู่ก็อย่าไปคิดมากมาย ขอให้มีเจตนาที่ดีก็พอ
ส่วนช่วงที่สองนี่ ผมเหนื่อยมาก คือหัวเราะเหนื่อย น้ำตาไหลตลอดเวลา
จริงๆผมไปงานมา ในหัวข้อแรกนี่ ฟังแล้วต้องคิดเยอะมาก สรุปแทบไม่มีตัวไหนในตลาดสะอาด 100% แต่คุณดังตฤณก็บอกไว้ชัดเจนว่า เมื่อยังเป็นฆราวาสอยู่ก็อย่าไปคิดมากมาย ขอให้มีเจตนาที่ดีก็พอ
ส่วนช่วงที่สองนี่ ผมเหนื่อยมาก คือหัวเราะเหนื่อย น้ำตาไหลตลอดเวลา