พอร์ต 'สวย' เพราะ 'รวย' หุ้น 'ญี่ปุ่น & ไทย''ปุณยวีร์ จันทรข
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
พอร์ต 'สวย' เพราะ 'รวย' หุ้น 'ญี่ปุ่น & ไทย''ปุณยวีร์ จันทรข
โพสต์ที่ 1
พอร์ต 'สวย' เพราะ 'รวย' หุ้น 'ญี่ปุ่น & ไทย''ปุณยวีร์ จันทรขจร' (ตอน1)
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, August 05, 2013 07:01
"เจแปน ฟีเวอร์" ได้นำพาเงินของ "หนุ่มวาไรตี้" วัย 30 ปี "เป๊ก" ปุณยวีร์ จันทรขจร นักลงทุนแนววีไอ สังกัด Stock2morrow ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ใสกิ๊ก ไปกระจุกตัวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ นิกเกอิ (Nikkei) ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ประจำคลื่น FM93.75 เป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นญี่ปุ่นหลัก "สิบล้านบาท" หลังหุ้น GUngHO online entertainment ที่เขาซื้อไว้เพียง 1 หุ้น ราคา 900,000 เยนต่อหุ้น "พุ่งพรวด" เป็น 4 ล้านเยนต่อหุ้น ภายในระยะเวลา 3 เดือน
ประทับใจทุกสิ่งที่เป็นญี่ปุ่น!!
เปิดหน้า "เป๊ก" ปุณยวีร์ จันทรขจร "ดีเจ-ครีเอทีฟ" นักลงทุนประจำ Stock2morrow ผู้ปลาบปลื้มตลาดหุ้นญี่ปุ่น & ไทย เข้ากระดูกดำ เล่นหุ้น GUngHO ตัวเดียว โกยกำไรหุ้นแดนซากุระ "อื้อซ่า"
"เจแปน ฟีเวอร์"
ความหลงใหลใน "วัฒนธรรม-สินค้าแฟชั่น-ดนตรี" ประเทศญี่ปุ่น ได้นำพาเงินของ "หนุ่มวาไรตี้" วัย 30 ปี "เป๊ก" ปุณยวีร์ จันทรขจร นักลงทุนแนววีไอ สังกัด Stock2morrow ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ใสกิ๊ก ไปกระจุกตัวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ นิกเกอิ (Nikkei) ประเทศญี่ปุ่น
ปัจจุบัน "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ประจำคลื่น FM93.75 เป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นญี่ปุ่นหลัก "สิบล้านบาท" หลังหุ้น GUngHO online entertainment ผู้ผลิตเกมส์ออนไลน์ ที่เขาซื้อไว้เพียง 1 หุ้น ราคา 900,000 เยนต่อหุ้น "พุ่งพรวด" เป็น 4 ล้านเยนต่อหุ้น ภายในระยะเวลา 3-4 เดือน แถมยังมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยมูลค่า "6 หลัก"ประดับใจทุกสิ่งที่เป็นญี่ปุ่น!!ทำให้ "บุรุษอารมณ์ดี" ตัดสินใจเอาดีเรื่องภาษาญี่ปุ่น ด้วยการสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น ก่อนจะมาสอบชิงทุนปริญญาโท มหาวิทยาลัย Tsukuba ประเทศญี่ปุ่น
"ผมไม่ใช่ "Full time investors " การเสพข้อมูลทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความพิถีพิถัน การที่เรามีไอดอลเรื่องการลงทุนหลายหลากสไตล์ไม่ใช่เรื่องผิด แต่จงพยายามเลือกในสิ่งที่เหมาะกับตัวเองให้มากที่สุด" ประโยคเด็ดของ "เป๊ก-ปุณยวีร์"
เขา รำลึกความหลังให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ฟังว่า "ผมเป็นพี่ชายคนโต มีน้องสาว 1 คน อายุ 26 ปี ชีวิตเด็กๆ ค่อนข้างสบายมีเงินใช้ตลอด คุณปู่รับราชการตำรวจ คุณอาเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้กับคนดังในแวดวงการเมือง (ดังมากๆ แอบบอกชื่อนอกรอบ) ตอนเด็กน้อยไม่เคยอยากรู้ว่าครอบครัวทำธุรกิจอะไรถึงได้มีเงินให้ลูกหลานใช้ไม่ขาดมือ แถมยังพาไปต่างประเทศ ต่างจังหวัดบ่อยมากๆ
"ครอบครัวเราร่ำรวยจากมรดกเก่า เรามีรายได้จากการเก็บค่าเช่าที่ดินย่านฝั่งธนบุรี โดยเฉพาะ ตลาดพลู และเดอะมอลล์ท่าพระ ที่ดินแถบนั้นเป็นของตระกูลเราทั้งหมด แถมเรายังลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และเล่นหุ้นด้วย"นี่คือ คำตอบที่ผู้ใหญ่บอกเราตอนโน้น
"ผมค่อนข้างมีชีวิตวาไรตี้" เปลี่ยนงานมาหลายรูปแบบ ตอนเรียนจบใหม่ๆ ยังไม่ได้ทำงาน ทั้งๆ ที่ได้งานประจำแล้ว เพราะอยากออกไปท่องเที่ยวและทำงานร้องเพลงตามสถานบันเทิงย่านเอกมัยก่อน ทำได้ 6 เดือน ก็ตัดสินใจเดินทางไปทำงานใน "เอสโซ่" ผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศญี่ปุ่น
แรกๆ เขาให้เราทำแผนกบัญชี จริงๆไม่มีความรู้ด้านนี้เลย ทำให้ต้องเรียนรู้ทั้งหมดใหม่นาน 2 เดือน ทำได้ 3 เดือน "โชคชะตาพลิกผัน"โดนหัวหน้าดึงตัวให้มาทำงานในแผนกจัดการเดินรถขนส่งน้ำมัน "สนุกมาก" ทำงานเหมือนเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์ เขาให้เรารับผิดชอบ 1 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ทำงานได้ 2 ปี ก็ลาออก ย้ายมาเป็นผู้จัดการขององค์กรเกี่ยวกับการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองไทย ทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนของรัฐบาลญี่ปุ่นในเมืองไทย เพื่อให้ความรู้ด้านเกี่ยวกับการศึกษาในญี่ปุ่น
จริงๆ ก็ไม่ได้อยากลาออก แต่ช่วงนั้นไปขอหัวหน้างานย้ายไปทำแผนกอื่น เพราะงานที่ทำอยู่ไม่ค่อยท้าทาย แต่เขาไม่ยอม เพราะตามกฎระเบียบต้องทำงานให้ครบ 3 ปีก่อนจึงจะย้ายแผนกได้ ด้วยความที่มี "เลือดวัยรุ่นเต็มตัว" อายุ 24 ปีเอง "ความใจร้อน" จึงบังเกิด ไม่อยู่รอถึง 3 ปี ลาออกซะเลย
"ผมเป็นคนเรียนรู้งานเร็วมาก สามารถทำสถิติใหม่ในการขนส่งน้ำมันได้ พนักงานคนเก่าทำไว้ 85% แต่ผมทำได้ 98%"
หลังจากย้ายมาทำงานในองค์กรการศึกษา เดิมตั้งใจจะทำให้นานที่สุด เพราะงานนี้ค่อนข้างท้าทายเปลี่ยนฟิวส์จากงานเดิมอย่างสิ้นเชิง เราต้องทำเกือบทุกอย่าง ดูเรื่องภาษี และเดินทางไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
ทำงานที่นี่ละ ทำให้มีโอกาสไปสอบชิงทุนปริญญาโท เลขาท่านทูตท่านแนะนำให้ไปลองสอบดู เขาเห็นว่าเรามีความรู้เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นดีมาก ใช้เวลาตัดสินใจ 2-3 เดือน ก็ไปสอบทุนการศึกษาของเขาดีมาก เขามีเงินเดือนให้นักศึกษา 50,000-60,000 บาทต่อเดือน เรียนภาษาญี่ปุ่น เสมือนได้ "กุญแจความรู้" เราสามารถไขหีบสมบัติ เปิดออกมามีความรู้เต็มหีบไปหมด"
เรียนจบปริญญาโท ก็ไปทำงานเป็นไกด์ 8-9 เดือน ก่อนจะเดินทางกลับมาเมืองไทย จากนั้นก็ไปสมัครงานในธนาคารกสิกรไทย ตำแหน่งช่วยเหลือคนญี่ปุ่นที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย สอบสัมภาษณ์ผ่านแล้วด้วย แต่บังเอิญ (เสียงสูง) มาเจองาน "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ในคลื่น 93.75 สถานีนี้เน้นเปิดแต่เพลงญี่ปุ่น ทำให้เกิดความรู้สึกว่า "มันช่างตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองจริง" หน้าที่หลักๆ คือ วิเคราะห์ข่าวจากญี่ปุ่นเป็นไทย จากไทยเป็นญี่ปุ่น และอื่นๆอีกมากมาย (หัวเราะ) สนุกดี ชอบๆ
สาธยายประวัติมาสักระยะ "ชายผู้คลั่งไคล้ภาษาญี่ปุ่น" เริ่มเล่า "จุดเริ่มต้น" การลงทุนในตลาดหุ้นว่า ช่วงปี 2549 ที่ทำงานในองค์กรการศึกษา สำนักงานใหญ่อยู่แถวอโศก บริเวณนั้นมีแบงก์เยอะมาก กรมสรรพากรก็อยู่ตรงนั้น เดินไปเดินมาทุกวันเหลือบตาไปเห็นป้ายเกี่ยวกับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เขาโฆษณาว่า ลงทุนกองทุนเหล่านี้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีไปลดหย่อนภาษีได้ ตอนนั้นเราเงินเดือน 47,000 บาท ถ้าไม่ทำอะไรเลยคงโดนภาษีบาน!!
"ผมซื้อกองทุน LTM และ RMF" ด้วยเงินลงทุนก้อนแรก 50,000 ล้านบาท ช่วงแรกได้ผลตอบแทนคืนกลับมาประมาณ 10% หรือราวๆ 5,000 บาท "ตื่นเต้นมาก" คิดในใจ "กำไรดีจัง"คราวนี้ "ปีศาจ" สิงตัว เริ่มหันไปศึกษาการลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศตามเว็บไซต์พันทิป อ่านข้อมูลทุกวันจนซึมเข้าหัวสมอง
ตัดสินใจควักเงิน 500,000 บาท มากองตรงหน้า เพื่อแบ่งเงินไปซื้อกองทุน LTF จำนวน 50,000 บาท และกองทุนพลังงานของบล.บัวหลวง 100,000 บาท เชื่อมั้ย!!อ่านข้อมูลจากเว็บไซต์พันทิปเยอะก็จริง แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซื้อแล้วจะดีอย่างไร คนในเว็บเขาบอกว่า "ซื้อกองทุนเหล่านี้จะได้ผลตอบแทนดี" ผ่านมา 1 ปี "ดีจริงๆ อะ ผมได้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) เพิ่มขึ้นจาก 10 บาท เป็น 13-14 บาท"
"อารมณ์สนุกเกิดขึ้นละ" คราวนี้ในปี 2550 โดดไปซื้อกองทุนต่างประเทศของ บล.กสิกรไทย มูลค่าประมาณ 50,000 บาท กองทุนนี้จะเน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ช่วงนั้นคิดเพียงแค่ว่าอเมริกาเขาเป็นยักษ์ใหญ่ไม่มีทางล้มแน่นอน อีกอย่างลงทุนตลาดต่างประเทศมันดู "โก้" ดี (ยิ้ม) ลงทุนกองทุนต่างประเทศสักระยะ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเริ่มลดลงเรื่อยๆ
ตอนนั้นคิดในใจ "เฮ้ยผลตอบแทนกองทุนมีติดลบด้วยหรอ" ที่ผ่านมาเข้าใจผิดมาตลอดว่าลงทุนกองทุนมีแต่กำไร "รึเราจะโดนหลอก" สมองผุดความคิดตลกๆ แบบนี้ออกมาหน้าตาเฉย
"เซียนหุ้นหนุ่ม" เล่าต่อว่า สติเริ่มกลับมา หลังเงินลงทุนหายไปหลักหมื่นบาท ออกแนวเงินหายสติคืน (ฮ่าฮ่า) ด้วยความที่เราเป็นมุนษย์เงินเดือน เงินหายไปเป็นหมื่นจะไม่ใจหายได้ไงมันเยอะมากนะ
"ผมเริ่มเข้ามาศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้นจริงจังมากขึ้น" ด้วยการไปสอยหนังสือ "ตีแตก"ของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย ไม่อยากจะบอก "อ่านไปงงไป"อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ ในหนังสือจะบอกว่า หากอยากเป็นนักลงทุนวีไอที่ดีต้องศึกษา"พื้นฐาน" ของบริษัทนั้นๆ ก่อน จากนั้นค่อยมาดูค่า P/E เน้นสอยหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำๆ เป็นหลัก เจอศัพท์หุ้น ก็งงเป็นไก่ตาแตก เปิดไป 3 หน้า ปิดแทบไม่ทัน
แม้จะอ่านไม่รู้เรื่อง แต่ก็บอกตัวเองเสมอว่า "สักวันต้องเป็นนักลงทุนแนววีไอให้ได้" เราจะซื้อหุ้นเพื่อการลงทุน อ่านโน่นนี่ นาน 6 เดือน เริ่มรู้สึก "เออ!!เราเริ่มมีความรู้ละ""รอให้เป็น ตลาดหุ้นไม่หนีไปไหน เทรดได้ทุกวัน นี่คือ คติประจำใจในการลงทุนของผม"เขาเกริ่นนำสไลต์การลงทุน
ติดตามพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นไทย รวมถึงกลยุทธ์การลงทุนสไตล์หนุ่มทันสมัยในสัปดาห์หน้า บอกได้คำเดียว"ผู้ชายคนนี้แซ่บเวอร์"
"ซื้อกองทุนได้ผลตอบแทนดี" ผ่านมา 1 ปี ดีจริงๆ ได้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) เพิ่มขึ้นจาก 10 บาทเป็น 13-14 บาท"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, August 05, 2013 07:01
"เจแปน ฟีเวอร์" ได้นำพาเงินของ "หนุ่มวาไรตี้" วัย 30 ปี "เป๊ก" ปุณยวีร์ จันทรขจร นักลงทุนแนววีไอ สังกัด Stock2morrow ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ใสกิ๊ก ไปกระจุกตัวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ นิกเกอิ (Nikkei) ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ประจำคลื่น FM93.75 เป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นญี่ปุ่นหลัก "สิบล้านบาท" หลังหุ้น GUngHO online entertainment ที่เขาซื้อไว้เพียง 1 หุ้น ราคา 900,000 เยนต่อหุ้น "พุ่งพรวด" เป็น 4 ล้านเยนต่อหุ้น ภายในระยะเวลา 3 เดือน
ประทับใจทุกสิ่งที่เป็นญี่ปุ่น!!
เปิดหน้า "เป๊ก" ปุณยวีร์ จันทรขจร "ดีเจ-ครีเอทีฟ" นักลงทุนประจำ Stock2morrow ผู้ปลาบปลื้มตลาดหุ้นญี่ปุ่น & ไทย เข้ากระดูกดำ เล่นหุ้น GUngHO ตัวเดียว โกยกำไรหุ้นแดนซากุระ "อื้อซ่า"
"เจแปน ฟีเวอร์"
ความหลงใหลใน "วัฒนธรรม-สินค้าแฟชั่น-ดนตรี" ประเทศญี่ปุ่น ได้นำพาเงินของ "หนุ่มวาไรตี้" วัย 30 ปี "เป๊ก" ปุณยวีร์ จันทรขจร นักลงทุนแนววีไอ สังกัด Stock2morrow ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ใสกิ๊ก ไปกระจุกตัวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ นิกเกอิ (Nikkei) ประเทศญี่ปุ่น
ปัจจุบัน "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ประจำคลื่น FM93.75 เป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นญี่ปุ่นหลัก "สิบล้านบาท" หลังหุ้น GUngHO online entertainment ผู้ผลิตเกมส์ออนไลน์ ที่เขาซื้อไว้เพียง 1 หุ้น ราคา 900,000 เยนต่อหุ้น "พุ่งพรวด" เป็น 4 ล้านเยนต่อหุ้น ภายในระยะเวลา 3-4 เดือน แถมยังมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยมูลค่า "6 หลัก"ประดับใจทุกสิ่งที่เป็นญี่ปุ่น!!ทำให้ "บุรุษอารมณ์ดี" ตัดสินใจเอาดีเรื่องภาษาญี่ปุ่น ด้วยการสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น ก่อนจะมาสอบชิงทุนปริญญาโท มหาวิทยาลัย Tsukuba ประเทศญี่ปุ่น
"ผมไม่ใช่ "Full time investors " การเสพข้อมูลทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความพิถีพิถัน การที่เรามีไอดอลเรื่องการลงทุนหลายหลากสไตล์ไม่ใช่เรื่องผิด แต่จงพยายามเลือกในสิ่งที่เหมาะกับตัวเองให้มากที่สุด" ประโยคเด็ดของ "เป๊ก-ปุณยวีร์"
เขา รำลึกความหลังให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ฟังว่า "ผมเป็นพี่ชายคนโต มีน้องสาว 1 คน อายุ 26 ปี ชีวิตเด็กๆ ค่อนข้างสบายมีเงินใช้ตลอด คุณปู่รับราชการตำรวจ คุณอาเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้กับคนดังในแวดวงการเมือง (ดังมากๆ แอบบอกชื่อนอกรอบ) ตอนเด็กน้อยไม่เคยอยากรู้ว่าครอบครัวทำธุรกิจอะไรถึงได้มีเงินให้ลูกหลานใช้ไม่ขาดมือ แถมยังพาไปต่างประเทศ ต่างจังหวัดบ่อยมากๆ
"ครอบครัวเราร่ำรวยจากมรดกเก่า เรามีรายได้จากการเก็บค่าเช่าที่ดินย่านฝั่งธนบุรี โดยเฉพาะ ตลาดพลู และเดอะมอลล์ท่าพระ ที่ดินแถบนั้นเป็นของตระกูลเราทั้งหมด แถมเรายังลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และเล่นหุ้นด้วย"นี่คือ คำตอบที่ผู้ใหญ่บอกเราตอนโน้น
"ผมค่อนข้างมีชีวิตวาไรตี้" เปลี่ยนงานมาหลายรูปแบบ ตอนเรียนจบใหม่ๆ ยังไม่ได้ทำงาน ทั้งๆ ที่ได้งานประจำแล้ว เพราะอยากออกไปท่องเที่ยวและทำงานร้องเพลงตามสถานบันเทิงย่านเอกมัยก่อน ทำได้ 6 เดือน ก็ตัดสินใจเดินทางไปทำงานใน "เอสโซ่" ผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศญี่ปุ่น
แรกๆ เขาให้เราทำแผนกบัญชี จริงๆไม่มีความรู้ด้านนี้เลย ทำให้ต้องเรียนรู้ทั้งหมดใหม่นาน 2 เดือน ทำได้ 3 เดือน "โชคชะตาพลิกผัน"โดนหัวหน้าดึงตัวให้มาทำงานในแผนกจัดการเดินรถขนส่งน้ำมัน "สนุกมาก" ทำงานเหมือนเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์ เขาให้เรารับผิดชอบ 1 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ทำงานได้ 2 ปี ก็ลาออก ย้ายมาเป็นผู้จัดการขององค์กรเกี่ยวกับการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองไทย ทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนของรัฐบาลญี่ปุ่นในเมืองไทย เพื่อให้ความรู้ด้านเกี่ยวกับการศึกษาในญี่ปุ่น
จริงๆ ก็ไม่ได้อยากลาออก แต่ช่วงนั้นไปขอหัวหน้างานย้ายไปทำแผนกอื่น เพราะงานที่ทำอยู่ไม่ค่อยท้าทาย แต่เขาไม่ยอม เพราะตามกฎระเบียบต้องทำงานให้ครบ 3 ปีก่อนจึงจะย้ายแผนกได้ ด้วยความที่มี "เลือดวัยรุ่นเต็มตัว" อายุ 24 ปีเอง "ความใจร้อน" จึงบังเกิด ไม่อยู่รอถึง 3 ปี ลาออกซะเลย
"ผมเป็นคนเรียนรู้งานเร็วมาก สามารถทำสถิติใหม่ในการขนส่งน้ำมันได้ พนักงานคนเก่าทำไว้ 85% แต่ผมทำได้ 98%"
หลังจากย้ายมาทำงานในองค์กรการศึกษา เดิมตั้งใจจะทำให้นานที่สุด เพราะงานนี้ค่อนข้างท้าทายเปลี่ยนฟิวส์จากงานเดิมอย่างสิ้นเชิง เราต้องทำเกือบทุกอย่าง ดูเรื่องภาษี และเดินทางไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
ทำงานที่นี่ละ ทำให้มีโอกาสไปสอบชิงทุนปริญญาโท เลขาท่านทูตท่านแนะนำให้ไปลองสอบดู เขาเห็นว่าเรามีความรู้เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นดีมาก ใช้เวลาตัดสินใจ 2-3 เดือน ก็ไปสอบทุนการศึกษาของเขาดีมาก เขามีเงินเดือนให้นักศึกษา 50,000-60,000 บาทต่อเดือน เรียนภาษาญี่ปุ่น เสมือนได้ "กุญแจความรู้" เราสามารถไขหีบสมบัติ เปิดออกมามีความรู้เต็มหีบไปหมด"
เรียนจบปริญญาโท ก็ไปทำงานเป็นไกด์ 8-9 เดือน ก่อนจะเดินทางกลับมาเมืองไทย จากนั้นก็ไปสมัครงานในธนาคารกสิกรไทย ตำแหน่งช่วยเหลือคนญี่ปุ่นที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย สอบสัมภาษณ์ผ่านแล้วด้วย แต่บังเอิญ (เสียงสูง) มาเจองาน "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ในคลื่น 93.75 สถานีนี้เน้นเปิดแต่เพลงญี่ปุ่น ทำให้เกิดความรู้สึกว่า "มันช่างตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองจริง" หน้าที่หลักๆ คือ วิเคราะห์ข่าวจากญี่ปุ่นเป็นไทย จากไทยเป็นญี่ปุ่น และอื่นๆอีกมากมาย (หัวเราะ) สนุกดี ชอบๆ
สาธยายประวัติมาสักระยะ "ชายผู้คลั่งไคล้ภาษาญี่ปุ่น" เริ่มเล่า "จุดเริ่มต้น" การลงทุนในตลาดหุ้นว่า ช่วงปี 2549 ที่ทำงานในองค์กรการศึกษา สำนักงานใหญ่อยู่แถวอโศก บริเวณนั้นมีแบงก์เยอะมาก กรมสรรพากรก็อยู่ตรงนั้น เดินไปเดินมาทุกวันเหลือบตาไปเห็นป้ายเกี่ยวกับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เขาโฆษณาว่า ลงทุนกองทุนเหล่านี้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีไปลดหย่อนภาษีได้ ตอนนั้นเราเงินเดือน 47,000 บาท ถ้าไม่ทำอะไรเลยคงโดนภาษีบาน!!
"ผมซื้อกองทุน LTM และ RMF" ด้วยเงินลงทุนก้อนแรก 50,000 ล้านบาท ช่วงแรกได้ผลตอบแทนคืนกลับมาประมาณ 10% หรือราวๆ 5,000 บาท "ตื่นเต้นมาก" คิดในใจ "กำไรดีจัง"คราวนี้ "ปีศาจ" สิงตัว เริ่มหันไปศึกษาการลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศตามเว็บไซต์พันทิป อ่านข้อมูลทุกวันจนซึมเข้าหัวสมอง
ตัดสินใจควักเงิน 500,000 บาท มากองตรงหน้า เพื่อแบ่งเงินไปซื้อกองทุน LTF จำนวน 50,000 บาท และกองทุนพลังงานของบล.บัวหลวง 100,000 บาท เชื่อมั้ย!!อ่านข้อมูลจากเว็บไซต์พันทิปเยอะก็จริง แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซื้อแล้วจะดีอย่างไร คนในเว็บเขาบอกว่า "ซื้อกองทุนเหล่านี้จะได้ผลตอบแทนดี" ผ่านมา 1 ปี "ดีจริงๆ อะ ผมได้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) เพิ่มขึ้นจาก 10 บาท เป็น 13-14 บาท"
"อารมณ์สนุกเกิดขึ้นละ" คราวนี้ในปี 2550 โดดไปซื้อกองทุนต่างประเทศของ บล.กสิกรไทย มูลค่าประมาณ 50,000 บาท กองทุนนี้จะเน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ช่วงนั้นคิดเพียงแค่ว่าอเมริกาเขาเป็นยักษ์ใหญ่ไม่มีทางล้มแน่นอน อีกอย่างลงทุนตลาดต่างประเทศมันดู "โก้" ดี (ยิ้ม) ลงทุนกองทุนต่างประเทศสักระยะ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเริ่มลดลงเรื่อยๆ
ตอนนั้นคิดในใจ "เฮ้ยผลตอบแทนกองทุนมีติดลบด้วยหรอ" ที่ผ่านมาเข้าใจผิดมาตลอดว่าลงทุนกองทุนมีแต่กำไร "รึเราจะโดนหลอก" สมองผุดความคิดตลกๆ แบบนี้ออกมาหน้าตาเฉย
"เซียนหุ้นหนุ่ม" เล่าต่อว่า สติเริ่มกลับมา หลังเงินลงทุนหายไปหลักหมื่นบาท ออกแนวเงินหายสติคืน (ฮ่าฮ่า) ด้วยความที่เราเป็นมุนษย์เงินเดือน เงินหายไปเป็นหมื่นจะไม่ใจหายได้ไงมันเยอะมากนะ
"ผมเริ่มเข้ามาศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้นจริงจังมากขึ้น" ด้วยการไปสอยหนังสือ "ตีแตก"ของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย ไม่อยากจะบอก "อ่านไปงงไป"อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ ในหนังสือจะบอกว่า หากอยากเป็นนักลงทุนวีไอที่ดีต้องศึกษา"พื้นฐาน" ของบริษัทนั้นๆ ก่อน จากนั้นค่อยมาดูค่า P/E เน้นสอยหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำๆ เป็นหลัก เจอศัพท์หุ้น ก็งงเป็นไก่ตาแตก เปิดไป 3 หน้า ปิดแทบไม่ทัน
แม้จะอ่านไม่รู้เรื่อง แต่ก็บอกตัวเองเสมอว่า "สักวันต้องเป็นนักลงทุนแนววีไอให้ได้" เราจะซื้อหุ้นเพื่อการลงทุน อ่านโน่นนี่ นาน 6 เดือน เริ่มรู้สึก "เออ!!เราเริ่มมีความรู้ละ""รอให้เป็น ตลาดหุ้นไม่หนีไปไหน เทรดได้ทุกวัน นี่คือ คติประจำใจในการลงทุนของผม"เขาเกริ่นนำสไลต์การลงทุน
ติดตามพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นไทย รวมถึงกลยุทธ์การลงทุนสไตล์หนุ่มทันสมัยในสัปดาห์หน้า บอกได้คำเดียว"ผู้ชายคนนี้แซ่บเวอร์"
"ซื้อกองทุนได้ผลตอบแทนดี" ผ่านมา 1 ปี ดีจริงๆ ได้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) เพิ่มขึ้นจาก 10 บาทเป็น 13-14 บาท"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
- thaloengsak
- Verified User
- โพสต์: 2716
- ผู้ติดตาม: 1
Re: พอร์ต 'สวย' เพราะ 'รวย' หุ้น 'ญี่ปุ่น & ไทย''ปุณยวีร์ จั
โพสต์ที่ 3
เปิดออฟชอร์ครับthian เขียน:ไม่ทราบว่าการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น เราต้องเปิกพอร์ตลงทุนแบบไหนค่ะ มีใครพอทราบรายละเอียดบ้างค่ะ
ลองติดต่อโบรกดู ว่ามีญีปุ่นไหม
ลงทุนเพื่อชีวิต
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พอร์ต 'สวย' เพราะ 'รวย' หุ้น 'ญี่ปุ่น & ไทย''ปุณยวีร์ จั
โพสต์ที่ 4
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พอร์ต 'สวย' เพราะ 'รวย' หุ้น 'ญี่ปุ่น & ไทย''ปุณยวีร์ จั
โพสต์ที่ 5
-
- Verified User
- โพสต์: 678
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พอร์ต 'สวย' เพราะ 'รวย' หุ้น 'ญี่ปุ่น & ไทย''ปุณยวีร์ จั
โพสต์ที่ 6
มีของ โนมูระ ครับผมเปิดอยู่ เค้าจะเป็นตัวแทนไปซื้อหุ้นให้อีก ต่อนึง มีค่าธรรมเนียมบางthian เขียน:ไม่ทราบว่าการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น เราต้องเปิกพอร์ตลงทุนแบบไหนค่ะ มีใครพอทราบรายละเอียดบ้างค่ะ
แต่สะดวกครับ
และสามารถลงได้เกือบทั่วโลก ของประเทศใหญ่ๆเลยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 47266
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พอร์ต 'สวย' เพราะ 'รวย' หุ้น 'ญี่ปุ่น & ไทย''ปุณยวีร์ จั
โพสต์ที่ 7
โตแบบ 'พอเพียง' ปีละ40% นิยามเล่นหุ้น'ปุณยวีร์ จันทรขจร'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, August 12, 2013 07:19
ควักเงินตั้งต้น 2.7 แสนบาท สอยหุ้น GUngHO หนึ่งตัว จากตลาดหุ้น Nikkei ผ่านมา 4 เดือน ทะยานแตะ 1.2 ล้านบาท พลิกพอร์ต หุ้นญี่ปุ่น "เป๊ก ปุณยวีร์ จันทรขจร" เซียนหุ้น Stock2morrow จาก "หลักล้าน" เป็น "หลักสิบล้าน"!!
"เป๊ก-ปุณยวีร์ จันทรขจร"
นักลงทุนแนววีไอ ในฐานะนักเขียนมือใหม่ สังกัด Stock2morrow "ชายหนุ่มวัย 30 ปี" ผู้มากประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปัจจุบันเป็นเจ้าของพอร์ตลงทุนหลัก "สิบล้านบาท"ในดัชนีนิกเกอิ (Nikkei) ประเทศญี่ปุ่น
หลังหุ้น GUngHO online entertainment ผู้ผลิตเกมส์ออนไลน์ ที่เขาซื้อไว้เพียง 1 หุ้น ราคา 900,000 เยนต่อหุ้น "พุ่งพรวด" เป็น 4 ล้านเยน ต่อหุ้น ภายในระยะเวลา 3-4 เดือน และ ยังมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลัก "แสนบาท" หนุ่มมากความสามารถ "หลงรัก" วัฒนธรรมจากประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาฝังรากลึกในเมืองไทย ตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เขาตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น ก่อนจะมาสอบชิงทุนปริญญาโท มหาวิทยาลัย Tsukuba ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างทำงานในองค์กรการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น ตามคำแนะนำของเลขาท่านทูต
"ชีวิตชอบความท้าทาย" ทำให้ "หนุ่มเป็ก" ตัดสินใจเปลี่ยนงานประจำไปเรื่อยๆ เริ่มแรกเขานั่งทำงานอยู่ใน "เอสโซ่" ผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะโยกมาทำงานในองค์กรเกี่ยวกับการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่บนถนนอโศก เพียงเพราะเบื่องานซ้ำซากจำเจ ก่อนจะลาออกไปเรียนปริญญาโท เมื่อจบการศึกษา เขาเลือกยึดอาชีพไกด์ 8-9 เดือน และบินกลับเมืองไทย ปัจจุบันทำงานเป็น "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ประจำคลื่น 93.75 สถานีที่เน้นเปิดแต่เพลงญี่ปุ่น
"ความโลภ-ความกลัว" คือ อุปสรรคในการลงทุน""เซียนหุ้นอารมณ์ดี" บอกกับ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ก่อนจะเล่าถึงเส้นทางการลงทุนในตลาดหุ้น Nikkei ให้ฟังว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้มีหุ้นซื้อขายประมาณ 225 ตัว ทุกตัวล้วนเป็นหุ้นพื้นฐานดี อาทิ หุ้น TOYOTA และหุ้น Honda เป็นต้น เปรียบเสมือน SET 50 บ้านเรา
เริ่มลงทุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 2554 เงินตั้งต้นราวๆ 300,000 บาท โดยการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต แต่มาลงทุนจริงจังช่วง ครึ่งหลังปี 2555 เริ่มต้นสอย หุ้น Oriental land ซึ่งเป็นเจ้าของดีสนีย์แลนด์ และดิสนีย์ซี "ชอบหุ้นตัวนี้" เพราะเป็นสวนสนุกที่มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทุกปี เขาลงทุนแค่ครั้งเดียว เน้นเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ เพื่อเพิ่มมาร์จิ้นเป็นหลัก
จากนั้นก็มาซื้อ หุ้น JR ธุรกิจรถไฟฟ้า ตัดสินใจซื้อ เพราะเชื่อว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรรถไฟฟ้าในญี่ปุ่นไม่มีวันตาย ประชาชนส่วนใหญ่ ใช้รถไฟฟ้าทุกวัน เราเองก็ใช้บริการอยู่ทุกวันเพื่อเดินทางไปเรียน ฉะนั้นเราสัมผัสได้ ตอนเช้า คนแน่นยิ่งกว่าปลากระป๋อง แถมเป็นธุรกิจที่ไม่มีคู่แข่งอีกต่างหาก ใครถือหุ้น JR 100 หุ้นขึ้นไป จะได้รับบัตรส่วนลด 30%
ต่อมาก็มาซื้อ หุ้น TOYOTA ตัวนี้ไม่ต้องบอก ก็รู้ว่าเขาเป็นเจ้าตลาดรถยนต์ ข้อดีเพียบ จากนั้น ก็ซื้อ หุ้น UNIQLO เจ้าของเสื้อผ้าญี่ปุ่น แบรนด์ "ยูนิโคล่" เมื่อก่อนเคยทำงานอยู่ในยูนิโคล่ระยะหนึ่ง "ผมรู้ว่าเขามีมาร์จิ้นดีมาก ขนาดไหน" เพราะบริษัทประหยัดต้นทุน ทุกอย่าง เราในฐานะนักลงทุนจะได้ประโยชน์เต็มๆ
หุ้นเหล่านี้ขอยกให้เป็น "หุ้นกองหลัง"บอกตรงๆ ไม่กล้าให้เป็น "หุ้นกองหน้า" หรือ "กองกลาง" เพราะเราไม่ได้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ตัวอยู่เมืองไทยทำให้ความมั่นใจ ไม่เต็มร้อย ขอเน้นชัวร์ๆ ดีกว่า หลายคนคง ตั้งคำถามอะไรคือ "หุ้นกองหลัง-กองหน้า-กองกลาง" เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
"ผมหวังผลตอบแทนจากดัชนี Nikkei เฉลี่ย 30-40% ได้แค่นี้ก็พอใจละ !!"
"หนุ่มเป๊ก" เล่าว่า พอร์ตหุ้นญี่ปุ่น เริ่ม เปลี่ยนจาก "หลักล้าน" เป็น "หลักสิบล้าน" เพราะ "หุ้น GUngHO online entertainment " ผู้ผลิตเกมส์ออนไลน์ แม้จะซื้อเพียง 1 หุ้น ราคา 900,000 เยน หรือประมาณ 270,000 บาท ในช่วงสิ้นปี 2555 แต่หลังจากถือมา 3-4 เดือน ราคาทะยานมาแตะ 4 ล้านเยนต่อหุ้น หรือประมาณ 1.2 ล้านบาท จากนั้นบริษัทก็แตกพาร์จาก 1 หุ้น เป็น 10 หุ้น เพื่อจูงใจ นักลงทุน ทำให้ผมมีหุ้นเพิ่มเป็น 10 ตัว ตกตัวละ 400,000 เยน
"ไม่อยากจะเชื่อจาก "เงินตั้งต้น" 270,000 บาท วันนี้พอร์ตเพิ่มเป็น 4.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,500%"
ครั้งหนึ่งราคาหุ้น GUngHO เคยทำ "นิวไฮ" ระดับ 1.5 ล้านเยนต่อหุ้น เพราะบริษัทมีกำไรเติบโต 75% หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท แถมยอดขายยังโตตั้ง 9 เท่า หรือประมาณ เดือนละ 3,000 ล้านบาทต่อเดือน เขามีพนักงาน 980 คน และมีค่า P/E ประมาณ145 เท่า หากวันไหนยอดดาวน์โหลดเกมส์ลดลง อาจทยอยขายหุ้นตัวนี้ออกมา หุ้น GUngHO ไม่เหมาะที่จะถือนานๆ
จากการค้นข้อมูล พบว่า เมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา บริษัทมียอดดาวน์โหลดรวม 13 ล้านคน และราคาเพิ่มขึ้น 10 เท่าตัว มาร์เก็ตแคปทะลุ 1 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 300,000 ล้านบาท ใหญ่พอๆ กับดีแทค แต่เนื่องจากบริษัทนี้พึ่งพาเกมออนไลน์มากถึง 95% ของยอดขาย ทำให้เราจำเป็นต้องจัดหุ้นตัวนี้ไปอยู่กลุ่ม "เล่นรอบ" เพราะอีก 5 ปีข้างหน้า เขาคงไม่มีโอกาสเติบโตแบบ "ก้าวกระโดด" อีกแล้ว ซึ่งตัวบริษัทเองก็รู้ดี ฉะนั้นเขาถึงไปหารายได้จากทางอื่นแทน
"หลายคนบอกว่า เข้ามาเทรดหุ้น เพื่อจะเอาชนะตลาด ด้วยการได้กำไรมากกว่าตลาดทุกปี แต่ผมเข้าตลาดหุ้น เพราะต้องการชนะตัวเอง และสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ฉะนั้นการที่ตลาดหุ้นผันผวนไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผม แต่ที่เป็นปัญหา คือ สภาพจิตใจตัวเองที่ยังคงผันผวนตามตลาด ดังนั้นหากเราชนะตัวเองได้ ชัยชนะในตลาดหุ้นคงไม่หนีหายไปไหน"
"นักลงทุนหนุ่ม" เล่าถึงพอร์ตหุ้นเมืองไทย ว่า เปิดพอร์ตครั้งแรกกับบล.เอเซีย พลัส ด้วยเงินตั้งต้น 500,000 บาท ตอนนั้นเดินเข้าไปหาโบรกเกอร์ด้วย "ความมั่นใจสุดๆ" หุ้น ผลิตไฟฟ้า (EGCO) คือ หุ้นตัวแรกของพอร์ต "สอยตัวนี้" เพราะเห็นว่าค่า P/E ต่ำ
เข้าสูตรนักลงทุนวีไอเป๊ะ!
ซื้อมา 113 บาท ผ่านไป 1 เดือน ราคาหุ้นร่วง 20-30% แต่ไม่ยอมขาย ด้วยความอยากเป็นนักลงทุนวีไอไง ถือคติถือยาวๆ สุดท้ายราคาก็ไม่ไปไหน จริงๆ ต้องขาดทุนหนัก แต่โชคดีตรงที่ไปซื้อหุ้น ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ผ่านมา 3 วัน กำไร 7% ได้ส่วนต่างคืนมาหลายพันบาท
"เริ่มรู้สึกสนุกกับการเก็งกำไร" ทำให้ช่วงแรกๆ เกิดอารมณ์คึก เปลี่ยนแนวจาก "ถือยาว" มาเป็น "เล่นสั้นๆ" แบบนี้เรียกว่า "โลภ" ซึ่งล้วนแล้วทำให้เราล้มเหลว พูดง่ายๆ คุณเข้าไปซื้อไม้แรกแล้วดันเกิดสัญญาณ ทางเทคนิค อาทิ new high price pattern และ Golden cross เป็นต้น เมื่อไม่อยากได้กำไรน้อย หรือกลัวกำไรช้า ทนถือต่อไป สุดท้ายหุ้นเบรกไม่ไปไหน หรือไปช้า คุณเกิด อาการทนไม่ไหวขายทิ้ง แบบนี้คงยากที่จะเจอกับความสำเร็จ
เล่นไปเล่นมา ดันไปสอย "หุ้น บ้านปู (BANPU)" ช่วงหุ้นกำลังวิ่ง ราคาขึ้นเร็วมาก "ยิ่งขึ้นยิ่งซื้อ" ถือมาเรื่อยจนปี 2551 เกิดเหตุการณ์ ล้มละลายของวาณิชธนกิจชั้นนำของสหรัฐอเมริกาอย่าง "เลแมน บราเดอร์ส"บังเอิญช่วงนั้นเดินทางไปเรียนปริญญาโทที่ประเทศญี่ปุ่นพอดี ก่อนไปไม่ยอมล้างพอร์ต เพราะเชื่อว่า BANPU เป็นหุ้นพื้นฐาน
เป็นหุ้นพื้นฐาน
ก่อนซื้อหุ้น BANPU ศึกษามาดีมาก เห็นว่าเมืองจีนต้องการถ่านหินมหาศาล แถมเศรษฐกิจจะแซงหน้าญี่ปุ่นอีก หุ้นขึ้นไปแตะ 800 บาท ยังไม่ขายเลยคิดดู แถมซื้อถัวเฉลี่ยอีก 1 ไม้ด้วย ตอนนั้นเชื่อว่าจะขึ้นไปถึง 1,000 บาท
สุดท้ายได้รับรู้ว่า อากาศบน "ยอดเขาเอเวอเรสต์" มันหนาวเหน็บเพียงไหน (หัวเราะ)
ราคาหุ้น BANPU ร่วงมาอยู่ 500 บาท เงินเก็บทั้งชีวิตหายไปในพริบตา เพราะดันให้น้ำหนักในหุ้น BANPU มากถึง 70% ของพอร์ต ตอนนั้นเกิดอาการพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดๆ เพราะเพื่อนๆ ก็พากันขึ้นมายืนชมวิวบนยอดดอยเหมือนเรา (ฮ่าฮ่า) ทุกวันนี้ หุ้น BANPUก็ยังอยู่ในพอร์ตเหมือนเดิม เก็บไว้เตือนสติตัวเองว่า หากเล่นหุ้น commodity คุณต้องรู้จักคำว่า "ตัดขาดทุน" (Cut loss) คราวนี้เริ่มปฏิบัติการโหลดงบการเงิน เพื่อดูพื้นฐานของบริษัทต่างๆ ทยอยจัดหมวดหมู่ หุ้นที่ต้องการซื้อลงทุน ที่สำคัญเริ่มเรียนรู้จิตวิทยาการลงทุนมากขึ้น"ผมจะเรียงลำดับความสำคัญของการลงทุนออกเป็น 3 ข้อ"
ข้อแรก คือ จิตวิทยาในการลงทุน ข้อสองบริหารพอร์ตลงทุนและเงินลงทุนให้เหมาะสม สุดท้าย คือ การวิเคราะห์พื้นฐานและเทคนิคหุ้นให้ถูกต้อง คนส่วนใหญ่เน้นการศึกษาข้อสุดท้ายอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งๆที่มันมีความสำคัญน้อยที่สุด
"จะดีใจมากหากได้รับผลตอบแทน 100% ภายใน 1 ปี แต่จะดีใจมากกว่าถ้าโกยกำไรกว่า 30-40% ทุกปี"
ถามถึงการออกแบบพอร์ตลงทุน "นักลงทุน หนุ่ม" บอกว่า อยากให้นึกถึงทีมฟุตบอล "ผมจะเปรียบตัวเองเป็นผู้จัดการทีม" เป้าหมายของ "กุนซือคนนี้" คือ นำพาทีมคว้า "ชัยชนะ" ต่อเนื่องทุกปี "ความมั่นคงในระยะยาว"แน่นอนผู้นำทีมย่อมอยากได้ แม้บางครั้งต้องเปลี่ยนตัวผู้เล่นบ้าง เพื่อความเหมาะสมก็ต้องทำ
ทีมฟุตบอลของผมจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน โดยส่วนแรก คือ "ผู้รักษาประตู" ส่วนนี้ เราจะเว้นพื้นที่ไว้ เพื่อเงินสด จำเป็นต้องมีอย่างน้อย 5-10% ของพอร์ต
ส่วนที่สอง คือ "กองหลัง" เราจะให้พื้นที่นี้ประมาณ 20% กับหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่ดี และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน เน้นไปทางฝั่งสื่อสาร รถไฟฟ้า ประปา เป็นต้น ถือยาวไม่ต่ำกว่า 10 ปี
"หวังผลตอบแทนจาก "หุ้นกองหลัง" เฉลี่ยปีละ 20-30%"
หน้าที่หลักของ "กองหลัง" คือ ถือกินเงิน ปันผลและเอาไว้สู้กับเงินเฟ้อ หากช่วงไหนมีเงินสดเยอะจะนำมาซื้อหุ้นกลุ่มนี้เป็นตัวแรกๆ เพราะมีราคาถูก ทุกครั้งที่ได้กำไรจากหุ้นกลุ่มนี้ มักนำกลับมาลงทุนใหม่ ด้วยการซื้อหนังสือดีๆ สักเล่มมาอ่านเสริมความรู้ในสมอง หรือลงคอร์ส สัมมนา ที่ผ่านมาแทบไม่ขายหุ้นกองหลังแม้แต่ครั้งเดียว ตรงข้ามมีแต่เก็บเพิ่มตลอด
ส่วนที่สาม คือ "กองกลาง" วางน้ำหนักไปเลย 40% ส่วนใหญ่จะให้พื้นที่กับหุ้นที่เล่นเป็นรอบๆ อาทิ หุ้น commodity โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เดินเรือ และหุ้นที่เคลื่อนไหวตามเศรษฐกิจโลก หุ้นเหล่านี้มีกำไรเยอะมาก ถือเป็นตัวหลักในการเพิ่มฐานเงินให้พอร์ต ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
"หวังจะมีกำไรจากหุ้นกองกลาง 40-50%"
"สตอรี่" ถือเป็นปัจจัยแรกที่ใช้เลือกซื้อหุ้นกองกลาง "สนุกดี" เหมือนคัดเลือกนางงามเข้ารอบ ปกติจะเลือกมา 2-3 ตัว เน้นตัวเด่นๆประจำอุตสาหกรรม เมื่อได้ตัวที่ดีที่สุดจะใช้เส้นกราฟรายสัปดาห์ของหุ้นตัวนั้นเข้าช่วยในการตัดสินใจ อาทิ technical Chart ราย sector เป็นต้น
สุดท้าย คือ "กองหน้า" วางน้ำหนักราวๆ 20% ของพอร์ต กองนี้ออกแนวบู๊ ลงทุนแบบไม่ต้องดูพื้นฐานบริษัท เน้นเก็งกำไรระยะสั้นอย่างเดียว โดยจะใช้เทคนิคเข้าช่วย ส่วนใหญ่จะซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์" (DW) Futures และ Options
"หวังโกยกำไรในช่วงขาขึ้นประมาณ 20-30%"
"นักลงทุนวัย 30 ปี" วิเคราะห์หุ้นกองหลัง 3 ตัวประจำพอร์ตให้ฟังว่า หุ้นซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) ตอนแรกที่ซื้อ เพราะเห็นเขาจ่ายเงินปันผลดีเฉลี่ย 8% ทั้งๆที่โบรกเกอร์ หลายรายมองว่า "หุ้นอิ่มตัวแล้ว" ซื้อมา 80,000 หุ้น ราคา 5-6 บาท "ผมเชื่อว่าผลประกอบการจะอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยอัตราเติบโต 10-15%
หุ้นเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ซื้อมา 20,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 30 บาท ถือมาตั้งแต่ยังไม่มีห้างสรรพสินค้าพารากอน ก่อนจะซื้อหุ้น CPN เคยนำหุ้น เอ็ม บี เค (MBK) มาเทียบพื้นฐานด้วย แต่บังเอิญใช้บริการ CPN มากกว่า (หัวเราะ) ตอนตัดสินใจซื้อไม่ได้คำนึงว่าเขาจะจ่ายเงินปันผลมากเท่าไร คิดเพียงว่าเขาเป็นหุ้น Grown Stock (หุ้นเติบโต)
ตัวสุดท้าย คือ หุ้น กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) ตั้งใจจะซื้อเอาไว้ป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน พูดง่ายๆซื้อตามคำแนะนำของ "ดร.นิเวศน์" ท่านเขียนไว้ในหนังสือ ตีแตก ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นทั้ง "หุ้น Grown Stock" และ "หุ้น Dividend Stock" (หุ้นปันผล) ในคราวเดียวกัน ปัจจุบันราคาหุ้น BGH ขึ้นมาเยอะมาก ต้นทุนต่ำแค่ 30 บาท หุ้นขึ้นมา 5 เด้ง ตอนนั้นซื้อมา 10,000 หุ้น เขา วิเคราะห์ "หุ้นกองกลาง" ที่มีอยู่ 4 ตัว ต่อว่า หุ้น เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG)ซื้อเพื่อรับข่าวประมูลทีวีดิจิทัล ต้นทุน 2 บาท ได้กำไรมา 10% หุ้น ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ช้อนรับข่าวประมูล 3G และ 4G เขาเป็นผู้ประกอบการรายแรกที่หลุดจากสัญญาสัมปทาน ตัวนี้ "สตอรี่ดีสุด" ผลตอบแทนเยอะมาก ต้นทุน 6 บาท หุ้น ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ซื้อมา 140 บาท หุ้น ผลิตไฟฟ้า (EGCO) ซื้อมา 113 บาท ส่วน "หุ้นกองหน้า" เปลี่ยนหน้าทุกวัน เน้นหุ้นใหญ่ๆ อาทิ ปตท.ซื้อ 340 บาท ขาย 345 บาท ปกติจะนั่งดูหุ้นกองหน้าอยู่ที่ออฟฟิตตลอด เพราะพวกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์" Futures และ Options ไม่ดูไม่ได้เลยเหมือนเป็นการถูกตลาดมากๆ (หัวเราะ)
"อย่าฝ่าดงระเบิดเก็บเหรียญบาท""หนุ่มเป๊ก" ทิ้งท้ายบทสนทนาด้วยคำคม...--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, August 12, 2013 07:19
ควักเงินตั้งต้น 2.7 แสนบาท สอยหุ้น GUngHO หนึ่งตัว จากตลาดหุ้น Nikkei ผ่านมา 4 เดือน ทะยานแตะ 1.2 ล้านบาท พลิกพอร์ต หุ้นญี่ปุ่น "เป๊ก ปุณยวีร์ จันทรขจร" เซียนหุ้น Stock2morrow จาก "หลักล้าน" เป็น "หลักสิบล้าน"!!
"เป๊ก-ปุณยวีร์ จันทรขจร"
นักลงทุนแนววีไอ ในฐานะนักเขียนมือใหม่ สังกัด Stock2morrow "ชายหนุ่มวัย 30 ปี" ผู้มากประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปัจจุบันเป็นเจ้าของพอร์ตลงทุนหลัก "สิบล้านบาท"ในดัชนีนิกเกอิ (Nikkei) ประเทศญี่ปุ่น
หลังหุ้น GUngHO online entertainment ผู้ผลิตเกมส์ออนไลน์ ที่เขาซื้อไว้เพียง 1 หุ้น ราคา 900,000 เยนต่อหุ้น "พุ่งพรวด" เป็น 4 ล้านเยน ต่อหุ้น ภายในระยะเวลา 3-4 เดือน และ ยังมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลัก "แสนบาท" หนุ่มมากความสามารถ "หลงรัก" วัฒนธรรมจากประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาฝังรากลึกในเมืองไทย ตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เขาตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น ก่อนจะมาสอบชิงทุนปริญญาโท มหาวิทยาลัย Tsukuba ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างทำงานในองค์กรการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น ตามคำแนะนำของเลขาท่านทูต
"ชีวิตชอบความท้าทาย" ทำให้ "หนุ่มเป็ก" ตัดสินใจเปลี่ยนงานประจำไปเรื่อยๆ เริ่มแรกเขานั่งทำงานอยู่ใน "เอสโซ่" ผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะโยกมาทำงานในองค์กรเกี่ยวกับการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่บนถนนอโศก เพียงเพราะเบื่องานซ้ำซากจำเจ ก่อนจะลาออกไปเรียนปริญญาโท เมื่อจบการศึกษา เขาเลือกยึดอาชีพไกด์ 8-9 เดือน และบินกลับเมืองไทย ปัจจุบันทำงานเป็น "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ประจำคลื่น 93.75 สถานีที่เน้นเปิดแต่เพลงญี่ปุ่น
"ความโลภ-ความกลัว" คือ อุปสรรคในการลงทุน""เซียนหุ้นอารมณ์ดี" บอกกับ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ก่อนจะเล่าถึงเส้นทางการลงทุนในตลาดหุ้น Nikkei ให้ฟังว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้มีหุ้นซื้อขายประมาณ 225 ตัว ทุกตัวล้วนเป็นหุ้นพื้นฐานดี อาทิ หุ้น TOYOTA และหุ้น Honda เป็นต้น เปรียบเสมือน SET 50 บ้านเรา
เริ่มลงทุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 2554 เงินตั้งต้นราวๆ 300,000 บาท โดยการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต แต่มาลงทุนจริงจังช่วง ครึ่งหลังปี 2555 เริ่มต้นสอย หุ้น Oriental land ซึ่งเป็นเจ้าของดีสนีย์แลนด์ และดิสนีย์ซี "ชอบหุ้นตัวนี้" เพราะเป็นสวนสนุกที่มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทุกปี เขาลงทุนแค่ครั้งเดียว เน้นเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ เพื่อเพิ่มมาร์จิ้นเป็นหลัก
จากนั้นก็มาซื้อ หุ้น JR ธุรกิจรถไฟฟ้า ตัดสินใจซื้อ เพราะเชื่อว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรรถไฟฟ้าในญี่ปุ่นไม่มีวันตาย ประชาชนส่วนใหญ่ ใช้รถไฟฟ้าทุกวัน เราเองก็ใช้บริการอยู่ทุกวันเพื่อเดินทางไปเรียน ฉะนั้นเราสัมผัสได้ ตอนเช้า คนแน่นยิ่งกว่าปลากระป๋อง แถมเป็นธุรกิจที่ไม่มีคู่แข่งอีกต่างหาก ใครถือหุ้น JR 100 หุ้นขึ้นไป จะได้รับบัตรส่วนลด 30%
ต่อมาก็มาซื้อ หุ้น TOYOTA ตัวนี้ไม่ต้องบอก ก็รู้ว่าเขาเป็นเจ้าตลาดรถยนต์ ข้อดีเพียบ จากนั้น ก็ซื้อ หุ้น UNIQLO เจ้าของเสื้อผ้าญี่ปุ่น แบรนด์ "ยูนิโคล่" เมื่อก่อนเคยทำงานอยู่ในยูนิโคล่ระยะหนึ่ง "ผมรู้ว่าเขามีมาร์จิ้นดีมาก ขนาดไหน" เพราะบริษัทประหยัดต้นทุน ทุกอย่าง เราในฐานะนักลงทุนจะได้ประโยชน์เต็มๆ
หุ้นเหล่านี้ขอยกให้เป็น "หุ้นกองหลัง"บอกตรงๆ ไม่กล้าให้เป็น "หุ้นกองหน้า" หรือ "กองกลาง" เพราะเราไม่ได้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ตัวอยู่เมืองไทยทำให้ความมั่นใจ ไม่เต็มร้อย ขอเน้นชัวร์ๆ ดีกว่า หลายคนคง ตั้งคำถามอะไรคือ "หุ้นกองหลัง-กองหน้า-กองกลาง" เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
"ผมหวังผลตอบแทนจากดัชนี Nikkei เฉลี่ย 30-40% ได้แค่นี้ก็พอใจละ !!"
"หนุ่มเป๊ก" เล่าว่า พอร์ตหุ้นญี่ปุ่น เริ่ม เปลี่ยนจาก "หลักล้าน" เป็น "หลักสิบล้าน" เพราะ "หุ้น GUngHO online entertainment " ผู้ผลิตเกมส์ออนไลน์ แม้จะซื้อเพียง 1 หุ้น ราคา 900,000 เยน หรือประมาณ 270,000 บาท ในช่วงสิ้นปี 2555 แต่หลังจากถือมา 3-4 เดือน ราคาทะยานมาแตะ 4 ล้านเยนต่อหุ้น หรือประมาณ 1.2 ล้านบาท จากนั้นบริษัทก็แตกพาร์จาก 1 หุ้น เป็น 10 หุ้น เพื่อจูงใจ นักลงทุน ทำให้ผมมีหุ้นเพิ่มเป็น 10 ตัว ตกตัวละ 400,000 เยน
"ไม่อยากจะเชื่อจาก "เงินตั้งต้น" 270,000 บาท วันนี้พอร์ตเพิ่มเป็น 4.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,500%"
ครั้งหนึ่งราคาหุ้น GUngHO เคยทำ "นิวไฮ" ระดับ 1.5 ล้านเยนต่อหุ้น เพราะบริษัทมีกำไรเติบโต 75% หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท แถมยอดขายยังโตตั้ง 9 เท่า หรือประมาณ เดือนละ 3,000 ล้านบาทต่อเดือน เขามีพนักงาน 980 คน และมีค่า P/E ประมาณ145 เท่า หากวันไหนยอดดาวน์โหลดเกมส์ลดลง อาจทยอยขายหุ้นตัวนี้ออกมา หุ้น GUngHO ไม่เหมาะที่จะถือนานๆ
จากการค้นข้อมูล พบว่า เมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา บริษัทมียอดดาวน์โหลดรวม 13 ล้านคน และราคาเพิ่มขึ้น 10 เท่าตัว มาร์เก็ตแคปทะลุ 1 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 300,000 ล้านบาท ใหญ่พอๆ กับดีแทค แต่เนื่องจากบริษัทนี้พึ่งพาเกมออนไลน์มากถึง 95% ของยอดขาย ทำให้เราจำเป็นต้องจัดหุ้นตัวนี้ไปอยู่กลุ่ม "เล่นรอบ" เพราะอีก 5 ปีข้างหน้า เขาคงไม่มีโอกาสเติบโตแบบ "ก้าวกระโดด" อีกแล้ว ซึ่งตัวบริษัทเองก็รู้ดี ฉะนั้นเขาถึงไปหารายได้จากทางอื่นแทน
"หลายคนบอกว่า เข้ามาเทรดหุ้น เพื่อจะเอาชนะตลาด ด้วยการได้กำไรมากกว่าตลาดทุกปี แต่ผมเข้าตลาดหุ้น เพราะต้องการชนะตัวเอง และสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ฉะนั้นการที่ตลาดหุ้นผันผวนไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผม แต่ที่เป็นปัญหา คือ สภาพจิตใจตัวเองที่ยังคงผันผวนตามตลาด ดังนั้นหากเราชนะตัวเองได้ ชัยชนะในตลาดหุ้นคงไม่หนีหายไปไหน"
"นักลงทุนหนุ่ม" เล่าถึงพอร์ตหุ้นเมืองไทย ว่า เปิดพอร์ตครั้งแรกกับบล.เอเซีย พลัส ด้วยเงินตั้งต้น 500,000 บาท ตอนนั้นเดินเข้าไปหาโบรกเกอร์ด้วย "ความมั่นใจสุดๆ" หุ้น ผลิตไฟฟ้า (EGCO) คือ หุ้นตัวแรกของพอร์ต "สอยตัวนี้" เพราะเห็นว่าค่า P/E ต่ำ
เข้าสูตรนักลงทุนวีไอเป๊ะ!
ซื้อมา 113 บาท ผ่านไป 1 เดือน ราคาหุ้นร่วง 20-30% แต่ไม่ยอมขาย ด้วยความอยากเป็นนักลงทุนวีไอไง ถือคติถือยาวๆ สุดท้ายราคาก็ไม่ไปไหน จริงๆ ต้องขาดทุนหนัก แต่โชคดีตรงที่ไปซื้อหุ้น ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ผ่านมา 3 วัน กำไร 7% ได้ส่วนต่างคืนมาหลายพันบาท
"เริ่มรู้สึกสนุกกับการเก็งกำไร" ทำให้ช่วงแรกๆ เกิดอารมณ์คึก เปลี่ยนแนวจาก "ถือยาว" มาเป็น "เล่นสั้นๆ" แบบนี้เรียกว่า "โลภ" ซึ่งล้วนแล้วทำให้เราล้มเหลว พูดง่ายๆ คุณเข้าไปซื้อไม้แรกแล้วดันเกิดสัญญาณ ทางเทคนิค อาทิ new high price pattern และ Golden cross เป็นต้น เมื่อไม่อยากได้กำไรน้อย หรือกลัวกำไรช้า ทนถือต่อไป สุดท้ายหุ้นเบรกไม่ไปไหน หรือไปช้า คุณเกิด อาการทนไม่ไหวขายทิ้ง แบบนี้คงยากที่จะเจอกับความสำเร็จ
เล่นไปเล่นมา ดันไปสอย "หุ้น บ้านปู (BANPU)" ช่วงหุ้นกำลังวิ่ง ราคาขึ้นเร็วมาก "ยิ่งขึ้นยิ่งซื้อ" ถือมาเรื่อยจนปี 2551 เกิดเหตุการณ์ ล้มละลายของวาณิชธนกิจชั้นนำของสหรัฐอเมริกาอย่าง "เลแมน บราเดอร์ส"บังเอิญช่วงนั้นเดินทางไปเรียนปริญญาโทที่ประเทศญี่ปุ่นพอดี ก่อนไปไม่ยอมล้างพอร์ต เพราะเชื่อว่า BANPU เป็นหุ้นพื้นฐาน
เป็นหุ้นพื้นฐาน
ก่อนซื้อหุ้น BANPU ศึกษามาดีมาก เห็นว่าเมืองจีนต้องการถ่านหินมหาศาล แถมเศรษฐกิจจะแซงหน้าญี่ปุ่นอีก หุ้นขึ้นไปแตะ 800 บาท ยังไม่ขายเลยคิดดู แถมซื้อถัวเฉลี่ยอีก 1 ไม้ด้วย ตอนนั้นเชื่อว่าจะขึ้นไปถึง 1,000 บาท
สุดท้ายได้รับรู้ว่า อากาศบน "ยอดเขาเอเวอเรสต์" มันหนาวเหน็บเพียงไหน (หัวเราะ)
ราคาหุ้น BANPU ร่วงมาอยู่ 500 บาท เงินเก็บทั้งชีวิตหายไปในพริบตา เพราะดันให้น้ำหนักในหุ้น BANPU มากถึง 70% ของพอร์ต ตอนนั้นเกิดอาการพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดๆ เพราะเพื่อนๆ ก็พากันขึ้นมายืนชมวิวบนยอดดอยเหมือนเรา (ฮ่าฮ่า) ทุกวันนี้ หุ้น BANPUก็ยังอยู่ในพอร์ตเหมือนเดิม เก็บไว้เตือนสติตัวเองว่า หากเล่นหุ้น commodity คุณต้องรู้จักคำว่า "ตัดขาดทุน" (Cut loss) คราวนี้เริ่มปฏิบัติการโหลดงบการเงิน เพื่อดูพื้นฐานของบริษัทต่างๆ ทยอยจัดหมวดหมู่ หุ้นที่ต้องการซื้อลงทุน ที่สำคัญเริ่มเรียนรู้จิตวิทยาการลงทุนมากขึ้น"ผมจะเรียงลำดับความสำคัญของการลงทุนออกเป็น 3 ข้อ"
ข้อแรก คือ จิตวิทยาในการลงทุน ข้อสองบริหารพอร์ตลงทุนและเงินลงทุนให้เหมาะสม สุดท้าย คือ การวิเคราะห์พื้นฐานและเทคนิคหุ้นให้ถูกต้อง คนส่วนใหญ่เน้นการศึกษาข้อสุดท้ายอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งๆที่มันมีความสำคัญน้อยที่สุด
"จะดีใจมากหากได้รับผลตอบแทน 100% ภายใน 1 ปี แต่จะดีใจมากกว่าถ้าโกยกำไรกว่า 30-40% ทุกปี"
ถามถึงการออกแบบพอร์ตลงทุน "นักลงทุน หนุ่ม" บอกว่า อยากให้นึกถึงทีมฟุตบอล "ผมจะเปรียบตัวเองเป็นผู้จัดการทีม" เป้าหมายของ "กุนซือคนนี้" คือ นำพาทีมคว้า "ชัยชนะ" ต่อเนื่องทุกปี "ความมั่นคงในระยะยาว"แน่นอนผู้นำทีมย่อมอยากได้ แม้บางครั้งต้องเปลี่ยนตัวผู้เล่นบ้าง เพื่อความเหมาะสมก็ต้องทำ
ทีมฟุตบอลของผมจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน โดยส่วนแรก คือ "ผู้รักษาประตู" ส่วนนี้ เราจะเว้นพื้นที่ไว้ เพื่อเงินสด จำเป็นต้องมีอย่างน้อย 5-10% ของพอร์ต
ส่วนที่สอง คือ "กองหลัง" เราจะให้พื้นที่นี้ประมาณ 20% กับหุ้นที่มีอัตราการเติบโตที่ดี และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน เน้นไปทางฝั่งสื่อสาร รถไฟฟ้า ประปา เป็นต้น ถือยาวไม่ต่ำกว่า 10 ปี
"หวังผลตอบแทนจาก "หุ้นกองหลัง" เฉลี่ยปีละ 20-30%"
หน้าที่หลักของ "กองหลัง" คือ ถือกินเงิน ปันผลและเอาไว้สู้กับเงินเฟ้อ หากช่วงไหนมีเงินสดเยอะจะนำมาซื้อหุ้นกลุ่มนี้เป็นตัวแรกๆ เพราะมีราคาถูก ทุกครั้งที่ได้กำไรจากหุ้นกลุ่มนี้ มักนำกลับมาลงทุนใหม่ ด้วยการซื้อหนังสือดีๆ สักเล่มมาอ่านเสริมความรู้ในสมอง หรือลงคอร์ส สัมมนา ที่ผ่านมาแทบไม่ขายหุ้นกองหลังแม้แต่ครั้งเดียว ตรงข้ามมีแต่เก็บเพิ่มตลอด
ส่วนที่สาม คือ "กองกลาง" วางน้ำหนักไปเลย 40% ส่วนใหญ่จะให้พื้นที่กับหุ้นที่เล่นเป็นรอบๆ อาทิ หุ้น commodity โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เดินเรือ และหุ้นที่เคลื่อนไหวตามเศรษฐกิจโลก หุ้นเหล่านี้มีกำไรเยอะมาก ถือเป็นตัวหลักในการเพิ่มฐานเงินให้พอร์ต ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
"หวังจะมีกำไรจากหุ้นกองกลาง 40-50%"
"สตอรี่" ถือเป็นปัจจัยแรกที่ใช้เลือกซื้อหุ้นกองกลาง "สนุกดี" เหมือนคัดเลือกนางงามเข้ารอบ ปกติจะเลือกมา 2-3 ตัว เน้นตัวเด่นๆประจำอุตสาหกรรม เมื่อได้ตัวที่ดีที่สุดจะใช้เส้นกราฟรายสัปดาห์ของหุ้นตัวนั้นเข้าช่วยในการตัดสินใจ อาทิ technical Chart ราย sector เป็นต้น
สุดท้าย คือ "กองหน้า" วางน้ำหนักราวๆ 20% ของพอร์ต กองนี้ออกแนวบู๊ ลงทุนแบบไม่ต้องดูพื้นฐานบริษัท เน้นเก็งกำไรระยะสั้นอย่างเดียว โดยจะใช้เทคนิคเข้าช่วย ส่วนใหญ่จะซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์" (DW) Futures และ Options
"หวังโกยกำไรในช่วงขาขึ้นประมาณ 20-30%"
"นักลงทุนวัย 30 ปี" วิเคราะห์หุ้นกองหลัง 3 ตัวประจำพอร์ตให้ฟังว่า หุ้นซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) ตอนแรกที่ซื้อ เพราะเห็นเขาจ่ายเงินปันผลดีเฉลี่ย 8% ทั้งๆที่โบรกเกอร์ หลายรายมองว่า "หุ้นอิ่มตัวแล้ว" ซื้อมา 80,000 หุ้น ราคา 5-6 บาท "ผมเชื่อว่าผลประกอบการจะอยู่ในเกณฑ์ดีเฉลี่ยอัตราเติบโต 10-15%
หุ้นเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ซื้อมา 20,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 30 บาท ถือมาตั้งแต่ยังไม่มีห้างสรรพสินค้าพารากอน ก่อนจะซื้อหุ้น CPN เคยนำหุ้น เอ็ม บี เค (MBK) มาเทียบพื้นฐานด้วย แต่บังเอิญใช้บริการ CPN มากกว่า (หัวเราะ) ตอนตัดสินใจซื้อไม่ได้คำนึงว่าเขาจะจ่ายเงินปันผลมากเท่าไร คิดเพียงว่าเขาเป็นหุ้น Grown Stock (หุ้นเติบโต)
ตัวสุดท้าย คือ หุ้น กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) ตั้งใจจะซื้อเอาไว้ป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน พูดง่ายๆซื้อตามคำแนะนำของ "ดร.นิเวศน์" ท่านเขียนไว้ในหนังสือ ตีแตก ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นทั้ง "หุ้น Grown Stock" และ "หุ้น Dividend Stock" (หุ้นปันผล) ในคราวเดียวกัน ปัจจุบันราคาหุ้น BGH ขึ้นมาเยอะมาก ต้นทุนต่ำแค่ 30 บาท หุ้นขึ้นมา 5 เด้ง ตอนนั้นซื้อมา 10,000 หุ้น เขา วิเคราะห์ "หุ้นกองกลาง" ที่มีอยู่ 4 ตัว ต่อว่า หุ้น เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG)ซื้อเพื่อรับข่าวประมูลทีวีดิจิทัล ต้นทุน 2 บาท ได้กำไรมา 10% หุ้น ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ช้อนรับข่าวประมูล 3G และ 4G เขาเป็นผู้ประกอบการรายแรกที่หลุดจากสัญญาสัมปทาน ตัวนี้ "สตอรี่ดีสุด" ผลตอบแทนเยอะมาก ต้นทุน 6 บาท หุ้น ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ซื้อมา 140 บาท หุ้น ผลิตไฟฟ้า (EGCO) ซื้อมา 113 บาท ส่วน "หุ้นกองหน้า" เปลี่ยนหน้าทุกวัน เน้นหุ้นใหญ่ๆ อาทิ ปตท.ซื้อ 340 บาท ขาย 345 บาท ปกติจะนั่งดูหุ้นกองหน้าอยู่ที่ออฟฟิตตลอด เพราะพวกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์" Futures และ Options ไม่ดูไม่ได้เลยเหมือนเป็นการถูกตลาดมากๆ (หัวเราะ)
"อย่าฝ่าดงระเบิดเก็บเหรียญบาท""หนุ่มเป๊ก" ทิ้งท้ายบทสนทนาด้วยคำคม...--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ