พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
โพสต์ที่ 31
Buffett หลักๆ รวยมาจากอะไร
Coca cola Company 200,000,000 หุ้น ซื้อเมื่อปี 1988 ด้วยต้นทุน $1,299 ล้าน ตอนนี้มีมูลค่าตลาดประมาณ $8,328 ล้าน ไม่นับเงินปันผลอีกปีละ $258 ล้านทุกปี
ปีที่ซื้อ ต้นทุน มูลค่าตลาดปี 2004
Coca-cola 1988 1299m 8328m
Washington Post 1973 1m 1698m
American Express 1993 1470m 8546m
Well Fargo Bank 1989 63m 3508m
Gillette 1990 600m 4299m
ถือไว้เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยเป็นสิบๆ ปี ทั้งน้าน...
เหมือนใครที่ซื้อ PTT ไว้ที่ 35 บาทแล้วถึงตอนนี้ยังไม่ขายไม่ได้รวยทางบัญชีแน่นอน ถึงตอนนี้จะขายหรือไม่ขายก็ได้ยังไงหนีไม่พ้นยังไงก็รวย รวยตั้งแต่ตอนซื้อแล้ว ใครซื้อ PICNI ไว้ตอน 17 บาท จนตั้งแต่วันที่ซื้อแล้ว
Coca cola Company 200,000,000 หุ้น ซื้อเมื่อปี 1988 ด้วยต้นทุน $1,299 ล้าน ตอนนี้มีมูลค่าตลาดประมาณ $8,328 ล้าน ไม่นับเงินปันผลอีกปีละ $258 ล้านทุกปี
ปีที่ซื้อ ต้นทุน มูลค่าตลาดปี 2004
Coca-cola 1988 1299m 8328m
Washington Post 1973 1m 1698m
American Express 1993 1470m 8546m
Well Fargo Bank 1989 63m 3508m
Gillette 1990 600m 4299m
ถือไว้เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยเป็นสิบๆ ปี ทั้งน้าน...
เหมือนใครที่ซื้อ PTT ไว้ที่ 35 บาทแล้วถึงตอนนี้ยังไม่ขายไม่ได้รวยทางบัญชีแน่นอน ถึงตอนนี้จะขายหรือไม่ขายก็ได้ยังไงหนีไม่พ้นยังไงก็รวย รวยตั้งแต่ตอนซื้อแล้ว ใครซื้อ PICNI ไว้ตอน 17 บาท จนตั้งแต่วันที่ซื้อแล้ว
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
โพสต์ที่ 32
ทองคำถือยาวสู้หุ้นไม่ได้หรอกครับ โดนเงินเฟ้อทำลายค่าของมันหมด
http://us.f1.yahoofs.com/users/29a56c01 ... DBuKT4wo2v
http://us.f1.yahoofs.com/users/29a56c01 ... DBuKT4wo2v
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
โพสต์ที่ 33
นั่นสิ ทำไมไม่ค่อยมีเวบเกี่ยวกับ Zen เลยBoring Stock Lover เขียน: คุณสุมาอี้ครับ มีเวบไหนที่เกี่ยวกับเซนมั้งครับ ช่วยแนะนำหน่อย
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
โพสต์ที่ 34
ที่เจอก็เป็นแบบ hard core เกินไป ไม่งั้นก็เป็นเวบภาษาฝรั่ง ตอนนี้ก็อ่านของท่านพุทธทาสอีกรอบ ก็ยังไม่แจ้งซักทีนั่นสิ ทำไมไม่ค่อยมีเวบเกี่ยวกับ Zen เลย
-
- Verified User
- โพสต์: 363
- ผู้ติดตาม: 0
พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
โพสต์ที่ 35
ผมเคยอ่านหนังสือเซนฉบับการ์ตูน ชื่อ "วงกลมกลับหัว"
อ่านแล้วสนุก เพลิดเพลิน ชวนคิดครับ
เล่มไม่หนามาก แต่ผมอ่านเป็นเดือนเลยครับ
(อ่านๆคิดๆ อ่านซ้ำไปซ้ำมาบางบท)
มีบางช่วงที่อ่านแล้วเหมือนจะคิดอะไรออก สุดยอดเลยครับ
เมื่อวานลองไปดูหนังสือเซนที่ SE-ED โลตัสพระราม4 ไม่เจอเลยครับ
(ผมดูไม่ถูกหิ้งหรือเปล่า? ไม่ได้ถามพนักงาน)
จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน มีอยู่ช่วงนึง หนังสือเกี่ยวกับเซนออกมากเยอะมาก
เดี๋ยวนี้ไม่ฮิตแล้วกระมัง
อ่านแล้วสนุก เพลิดเพลิน ชวนคิดครับ
เล่มไม่หนามาก แต่ผมอ่านเป็นเดือนเลยครับ
(อ่านๆคิดๆ อ่านซ้ำไปซ้ำมาบางบท)
มีบางช่วงที่อ่านแล้วเหมือนจะคิดอะไรออก สุดยอดเลยครับ
เมื่อวานลองไปดูหนังสือเซนที่ SE-ED โลตัสพระราม4 ไม่เจอเลยครับ
(ผมดูไม่ถูกหิ้งหรือเปล่า? ไม่ได้ถามพนักงาน)
จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน มีอยู่ช่วงนึง หนังสือเกี่ยวกับเซนออกมากเยอะมาก
เดี๋ยวนี้ไม่ฮิตแล้วกระมัง
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
โพสต์ที่ 36
นั่นเป็นสเนห์ของเซน ขอบคุณที่แนะนำ เดี่ยวจะลองไปดูMonet เขียน:มีบางช่วงที่อ่านแล้วเหมือนจะคิดอะไรออก สุดยอดเลยครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
โพสต์ที่ 38
เมื่อมีการอ้างถึง ก็ขุดมาดูกันใหม่
คุณสุมาอี้ครับ ผมยังติดใจ ประเด็นหนึ่งในงานที่คุณสุมาอี้จะพูดแล้วไม่ได้พูด เพราะเวลาไม่เอื้ออำนวย คือ เรื่องหุ้นตัวหนึ่งที่บอกไว้ว่า ทำไมถึงเขาซื้อแล้วทำไมถึงขาย แถมขายผิดไปแค่หนึ่งวันเอง ไม่งั้นก็ :D
อยากรู้มากครับว่าทำไม
ไม่ทราบว่าจะเล่าได้หรือเปล่าครับ ขอบคุณครับ
คุณสุมาอี้ครับ ผมยังติดใจ ประเด็นหนึ่งในงานที่คุณสุมาอี้จะพูดแล้วไม่ได้พูด เพราะเวลาไม่เอื้ออำนวย คือ เรื่องหุ้นตัวหนึ่งที่บอกไว้ว่า ทำไมถึงเขาซื้อแล้วทำไมถึงขาย แถมขายผิดไปแค่หนึ่งวันเอง ไม่งั้นก็ :D
อยากรู้มากครับว่าทำไม
ไม่ทราบว่าจะเล่าได้หรือเปล่าครับ ขอบคุณครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
โพสต์ที่ 39
เรื่อง GMMM ครับ
ผมซื้อ GMMM เพราะเห็นว่ามีเงินสด 1000 ล้านไม่มีหนี้ แต่มี mkt cap 2500 ล้าน แสดงว่ามูลค่าของตัวธุรกิจเองเท่ากับ 1500 ล้าน
ธุรกิจ 1500 ล้าน ควรกำไร 150 ล้านต่อปี แต่ตอนนั้น GMMM กำไร 200 ล้านต่อปี เลยคิดว่าเป็น undervalued stock
ซื้อตอน 12 บาท หลังจากนั้นร่วงไป 11.4 บาท จนกระทั้งมีข่าว take over มติชน ว่าอากู๋จะเอาเงิน 1000 ล้านใน GMMM ไปซื้อ MATI
ข่าวนี้ทำให้ราคา GMMM ขึ้นมาเป็น 12.4 บาท แต่ผมมาดูแล้วเงินสดของ GMMM จะหายไปหมด แถมยังได้หนี้แบงก์ SCB มาอีกหลายร้อยล้านบาท ซึ่งทำให้เหตุผลที่ผมใช้ซื้อ GMMM ในตอนแรกหายไปแล้ว ผมจึงขายออกไป กำไร 0.4 บาท
พอขายเสร็จวันรุ่งขึ้น GMMM วิ่งไป 15.5 บาท หรือขึ้น 25% ในวันเดียว วันนั้นกินข้าวกลางวันไม่ลงเลย กำไรหายไป 3.1 บาท เพราะขายเร็วไป 1 วัน ทั้งทีทนถือมาตั้งนาน
แต่มาคิดดูอีกทีช่วยนั้นราคา GMMM ผันผวนมากเพราะเป็นการเล่นข่าว ซึ่งเราไม่มีทางทำนายราคาช่วงนั้นได้หรอก ดังนั้นก็อย่าเสียใจเลยที่ไม่ได้ขายที่ยอดดอย
ปล.: ตอนนั้นมีบางคนเห็นว่าการเอาเงินสดไปซื้อ MATI เป็นสิ่งดีเพราะเงินสดอยู่เฉยๆ ไม่ให้ผลตอบแทน แต่ผมคิดตรงกันข้ามเพราะตอนนั้น MATI ราคา 7-8 บาท แต่ GMMM ซื้อที่ 11 บาท น่าจะเป็นการซื้อเกินราคา ซึ่งน่าจะทำให้ firm value ลดลงมากกว่าที่จะเพิ่มขึ้น
ผมซื้อ GMMM เพราะเห็นว่ามีเงินสด 1000 ล้านไม่มีหนี้ แต่มี mkt cap 2500 ล้าน แสดงว่ามูลค่าของตัวธุรกิจเองเท่ากับ 1500 ล้าน
ธุรกิจ 1500 ล้าน ควรกำไร 150 ล้านต่อปี แต่ตอนนั้น GMMM กำไร 200 ล้านต่อปี เลยคิดว่าเป็น undervalued stock
ซื้อตอน 12 บาท หลังจากนั้นร่วงไป 11.4 บาท จนกระทั้งมีข่าว take over มติชน ว่าอากู๋จะเอาเงิน 1000 ล้านใน GMMM ไปซื้อ MATI
ข่าวนี้ทำให้ราคา GMMM ขึ้นมาเป็น 12.4 บาท แต่ผมมาดูแล้วเงินสดของ GMMM จะหายไปหมด แถมยังได้หนี้แบงก์ SCB มาอีกหลายร้อยล้านบาท ซึ่งทำให้เหตุผลที่ผมใช้ซื้อ GMMM ในตอนแรกหายไปแล้ว ผมจึงขายออกไป กำไร 0.4 บาท
พอขายเสร็จวันรุ่งขึ้น GMMM วิ่งไป 15.5 บาท หรือขึ้น 25% ในวันเดียว วันนั้นกินข้าวกลางวันไม่ลงเลย กำไรหายไป 3.1 บาท เพราะขายเร็วไป 1 วัน ทั้งทีทนถือมาตั้งนาน
แต่มาคิดดูอีกทีช่วยนั้นราคา GMMM ผันผวนมากเพราะเป็นการเล่นข่าว ซึ่งเราไม่มีทางทำนายราคาช่วงนั้นได้หรอก ดังนั้นก็อย่าเสียใจเลยที่ไม่ได้ขายที่ยอดดอย
ปล.: ตอนนั้นมีบางคนเห็นว่าการเอาเงินสดไปซื้อ MATI เป็นสิ่งดีเพราะเงินสดอยู่เฉยๆ ไม่ให้ผลตอบแทน แต่ผมคิดตรงกันข้ามเพราะตอนนั้น MATI ราคา 7-8 บาท แต่ GMMM ซื้อที่ 11 บาท น่าจะเป็นการซื้อเกินราคา ซึ่งน่าจะทำให้ firm value ลดลงมากกว่าที่จะเพิ่มขึ้น
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
โพสต์ที่ 40
ผมมีโอกาสศึกษาหุ้น GMMM เหมือนกัน พบว่าตั้งแต่ GMMM เข้าตลาดมา ธุรกิจก็มีกำไรลดลงโดยตลอด เนื่องจากฐานธุรกิจหลักนั้นมาจากธุรกิจสือวิทยุ แต่การแข่งขันที่สูงมากทำให้กำไรหดตัวตลอด จากปันผลปีละ 2 บาท เหลือ 1.35 บาท และล่าสุดเหลือ 0.8 บาทต่อหุ้น และกำไรก็ลดลงต่อเนื่องอย่างน่าใจหาย
ทางออกของ GMMM จึงอยู่ที่ทางเลือกที่ผ่านมาคือ
1. ตั้งรับ รอให้ธุรกิจฟื้น ซึ่งต้องเอาอนาคตไปฝากไว้กับธุรกิจที่เป็นอยู่ในอดีต เพื่อรอ Cycle ให้ฟื้น ซึ่งอากู๋ไม่เลือกทางนี้
2. ขยายธุรกิจใหม่เพิ่มเติม ซึ่งที่ผ่านมา 2 ปี GMMM พยายามขยายธุรกิจไปสู่สื่อรายการโทรทัศน์ ซึ่งก็ทำได้ค่อนข้างดี โดยสามารถเพิ่มจำนวนชั่วโมง Rating รายการ และพยายามรักษา Margin ให้สูง แต่ยังไม่สามารถ Cover Margin ของรายการวิทยุที่ลดลงอย่างมากได้ และล่าสุดก็กำลังขยายงานไปสู่ธุรกิจสิ่งพิมพ์ให้ครบวงจรขึ้น โดยทำนิตยสารหัวนอก และขยายธุรกิจไปสู่สื่อใหม่ ๆ ได้แก่ Index Event ซึ่งกำลังขยายตัวค่อนข้างสูง แต่รายได้ส่วนนี้ก็ถือว่ายังเป็นสัดส่วนน้อย แต่ในระยะยาวน่าจะยั่งยืนพอควร
3. ขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจหนังสือพิมพ์ ได้แก่ มติชน และ บางกอกโพสต์
4. แผนงานในอนาคตทราบจากที่ให้สัมภาษณ์จะพยายามขยายไปทำธุรกิจด้านฟรีทีวี ถ้ากทช.มีการเปิดให้ดำเนินการได้ นอกจากนี้ยังจะขยายงานไปในสื่อสิ่งพิมพ์ทางด้านกีฬา จากปีที่ผ่านมาได้พยายามเข้าไปยังสื่อประเภทข่าว โดยเพิ่มรายการวิทยุข่าว FM 94
เงินทุนในอนาคตที่จะขยายงานไปทีวีและด้านกีฬา ตามข่าวก็คืออาจเอาธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ และ Index Event เข้าตลาด เพื่อระดมเงินมาขยายงานต่อไปครับ
ในการขยายงานดังกล่าว สามารถทำได้ 2 ทางคือ การเลือกที่จะทำเอง หรือเข้าไปร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อให้เกิด Synergy การทำงาน
ที่ผมสงสัยก็คือ การที่ธุรกิจมีเงินสดจำนวนมาก แต่ไม่บริหารเงินสดให้เกิดดอกผล กับการนำเงินสดไปซื้อกิจการเพื่อขยายงาน โดยพยายามเลือกถือหุ้นพันธมิตรที่ดีที่สุด เพราะถ้าไปเปิดหนังสือพิมพ์เองโอกาสล้มเหลวก็สูง สู้ลงทุนกับธุรกิจดั้งเดิมที่แข็งแกร่ง แต่อาจต้องใช้เงินลงทุนที่สูงในช่วงแรก เพราะหากไปซื้อในภายหลังเมื่อธุรกิจมีผลงานที่ดีขึ้น เช่น ตอนที่ Grammy ไปซื้อหุ้นจาก Se-ed ก็ซื้อตอนช่วงที่ Se-ed ขยายงานทำให้ผลการดำเนินงาน Drop ลงชั่วคราว แต่ไม่นานเช่นปีนี้ Se-ed ก็กลับมาโชว์ผลงานที่โดดเด่นขึ้น สามารถจ่ายปันผลในอัตราที่สูงพอควร ดังนั้นการเลือกจังหวะในการซื้อหุ้นมติชนและบางกอกโพสต์ในจังหวะที่อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ในปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างหนักจากราคากระดาษที่ขึ้นสูงมาก ทำให้ผลการดำเนินงานของทั้ง 2 บริษัทดูไม่ค่อยดีในช่วงนี้ (แต่หนังสือพิมพ์ก็เริ่มมีการปรับราคากันแล้ว) ทำให้ดูเหมือนว่าจะซื้อในราคาแพงกว่าปัจจัยพื้นฐาน แต่การซื้อหุ้นพันธมิตรที่เก่าแก่ น่าเชื่อถือ และมีการขยายงานที่ดี และถือว่าเป็นหนังสือพิมพ์ทางธุรกิจที่ดีมากได้รับการยอมรับจากนักธุรกิจมาเป็นเวลานาน โดยเป็นการถือเพื่อลงทุนระยะยาวต่อไป
คำถามคือ ทำไมคุณสุมาอี้ถึงได้มองว่าจะเป็นการทำให้ธุรกิจของเขามีมูลค่า Firm ที่ลดลง ทำไมเราถึงไม่มองระยะยาวแบบเดียวกับที่ Buffet เวลาซื้อหุ้นระยะหลัง ๆ ก็ยอมซื้อในราคาที่สมเหตุสมผล แต่ไม่ใช่ราคาที่ถูกนะครับ ตรงนี้ไม่ทราบว่าคุณสุมาอี้มีความเห็นเพิ่มเติมอย่างไรหรือไม่ครับ
ทางออกของ GMMM จึงอยู่ที่ทางเลือกที่ผ่านมาคือ
1. ตั้งรับ รอให้ธุรกิจฟื้น ซึ่งต้องเอาอนาคตไปฝากไว้กับธุรกิจที่เป็นอยู่ในอดีต เพื่อรอ Cycle ให้ฟื้น ซึ่งอากู๋ไม่เลือกทางนี้
2. ขยายธุรกิจใหม่เพิ่มเติม ซึ่งที่ผ่านมา 2 ปี GMMM พยายามขยายธุรกิจไปสู่สื่อรายการโทรทัศน์ ซึ่งก็ทำได้ค่อนข้างดี โดยสามารถเพิ่มจำนวนชั่วโมง Rating รายการ และพยายามรักษา Margin ให้สูง แต่ยังไม่สามารถ Cover Margin ของรายการวิทยุที่ลดลงอย่างมากได้ และล่าสุดก็กำลังขยายงานไปสู่ธุรกิจสิ่งพิมพ์ให้ครบวงจรขึ้น โดยทำนิตยสารหัวนอก และขยายธุรกิจไปสู่สื่อใหม่ ๆ ได้แก่ Index Event ซึ่งกำลังขยายตัวค่อนข้างสูง แต่รายได้ส่วนนี้ก็ถือว่ายังเป็นสัดส่วนน้อย แต่ในระยะยาวน่าจะยั่งยืนพอควร
3. ขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจหนังสือพิมพ์ ได้แก่ มติชน และ บางกอกโพสต์
4. แผนงานในอนาคตทราบจากที่ให้สัมภาษณ์จะพยายามขยายไปทำธุรกิจด้านฟรีทีวี ถ้ากทช.มีการเปิดให้ดำเนินการได้ นอกจากนี้ยังจะขยายงานไปในสื่อสิ่งพิมพ์ทางด้านกีฬา จากปีที่ผ่านมาได้พยายามเข้าไปยังสื่อประเภทข่าว โดยเพิ่มรายการวิทยุข่าว FM 94
เงินทุนในอนาคตที่จะขยายงานไปทีวีและด้านกีฬา ตามข่าวก็คืออาจเอาธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ และ Index Event เข้าตลาด เพื่อระดมเงินมาขยายงานต่อไปครับ
ในการขยายงานดังกล่าว สามารถทำได้ 2 ทางคือ การเลือกที่จะทำเอง หรือเข้าไปร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อให้เกิด Synergy การทำงาน
ที่ผมสงสัยก็คือ การที่ธุรกิจมีเงินสดจำนวนมาก แต่ไม่บริหารเงินสดให้เกิดดอกผล กับการนำเงินสดไปซื้อกิจการเพื่อขยายงาน โดยพยายามเลือกถือหุ้นพันธมิตรที่ดีที่สุด เพราะถ้าไปเปิดหนังสือพิมพ์เองโอกาสล้มเหลวก็สูง สู้ลงทุนกับธุรกิจดั้งเดิมที่แข็งแกร่ง แต่อาจต้องใช้เงินลงทุนที่สูงในช่วงแรก เพราะหากไปซื้อในภายหลังเมื่อธุรกิจมีผลงานที่ดีขึ้น เช่น ตอนที่ Grammy ไปซื้อหุ้นจาก Se-ed ก็ซื้อตอนช่วงที่ Se-ed ขยายงานทำให้ผลการดำเนินงาน Drop ลงชั่วคราว แต่ไม่นานเช่นปีนี้ Se-ed ก็กลับมาโชว์ผลงานที่โดดเด่นขึ้น สามารถจ่ายปันผลในอัตราที่สูงพอควร ดังนั้นการเลือกจังหวะในการซื้อหุ้นมติชนและบางกอกโพสต์ในจังหวะที่อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ในปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบอย่างหนักจากราคากระดาษที่ขึ้นสูงมาก ทำให้ผลการดำเนินงานของทั้ง 2 บริษัทดูไม่ค่อยดีในช่วงนี้ (แต่หนังสือพิมพ์ก็เริ่มมีการปรับราคากันแล้ว) ทำให้ดูเหมือนว่าจะซื้อในราคาแพงกว่าปัจจัยพื้นฐาน แต่การซื้อหุ้นพันธมิตรที่เก่าแก่ น่าเชื่อถือ และมีการขยายงานที่ดี และถือว่าเป็นหนังสือพิมพ์ทางธุรกิจที่ดีมากได้รับการยอมรับจากนักธุรกิจมาเป็นเวลานาน โดยเป็นการถือเพื่อลงทุนระยะยาวต่อไป
คำถามคือ ทำไมคุณสุมาอี้ถึงได้มองว่าจะเป็นการทำให้ธุรกิจของเขามีมูลค่า Firm ที่ลดลง ทำไมเราถึงไม่มองระยะยาวแบบเดียวกับที่ Buffet เวลาซื้อหุ้นระยะหลัง ๆ ก็ยอมซื้อในราคาที่สมเหตุสมผล แต่ไม่ใช่ราคาที่ถูกนะครับ ตรงนี้ไม่ทราบว่าคุณสุมาอี้มีความเห็นเพิ่มเติมอย่างไรหรือไม่ครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
โพสต์ที่ 41
ถ้าเชื่อว่าตลาดตีราคาหุ้นได้เหมาะสม การซื้อแพงกว่าตลาดย่อมขาดทุนแม้ว่าจะเป็นของที่ดีก็ตาม ตลาดก็มองระยะยาวเป็นเหมือนกันthawattt เขียน: คำถามคือ ทำไมคุณสุมาอี้ถึงได้มองว่าจะเป็นการทำให้ธุรกิจของเขามีมูลค่า Firm ที่ลดลง ทำไมเราถึงไม่มองระยะยาวแบบเดียวกับที่ Buffet เวลาซื้อหุ้นระยะหลัง ๆ ก็ยอมซื้อในราคาที่สมเหตุสมผล แต่ไม่ใช่ราคาที่ถูกนะครับ ตรงนี้ไม่ทราบว่าคุณสุมาอี้มีความเห็นเพิ่มเติมอย่างไรหรือไม่ครับ
แต่ถ้าเชื่อว่าตลาดตีราคา MATI ต่ำไป และคิดว่าราคา 11 บาทไม่แพงเมื่อเทียบกับอนาคตที่สดใส ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ธุรกิจนสพ.จะเป็น high growth business สมกับที่มีพีอี 20 เท่าได้อย่างไร ผมไม่เชี่ยวชาญ มองไม่ออก
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
โพสต์ที่ 42
ผมลองไปค้นข้อมูล Research ของอุตสาหกรรมด้านสื่อต่างๆ โดยใช้ข้อมูลที่วงการอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาเขาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงคือ ของ นิลเซ็น มีเดีย รีเสริซ์ พบข้อมูลการเติบโตของอุตสาหกรรม สรุปเฉพาะสื่อหลัก ๆ ที่น่าสนใจได้ดังนี้ครับ
1. ปี 2005 มูลค่าโฆษณาผ่านสื่อทั้งหมดมีขนาดตลาดอยู่ที่ 88,931 ล้านบาท โดยปี 02 - 05 มีอัตราการเติบโตของตลาดอยู่ที่ร้อยละ 15.38 16.72 17.76 5.7 และ 2 เดือนล่าสุดของปี 06 เทียบกับปี 05 เติบโตอยู่ที่ 6.45
2. ตลาดของสื่อทีวี มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ 50,016 ล้านบาท รองลงมาคือ หนังสือพิมพ์อยู่ที่ 18,159 ล้านบาท อันดับ 3 คือ วิทยุอยู่ที่ 7,055 ล้านบาท และอันดับ 4 คือ นิตยสารอยู่ที่ 6,638 ล้านบาท
3. ที่ผ่านมาตลาดสื่อ TV มีอัตราเติบโตในช่วงปี 02 - 04 ประมาณ 11 - 13.50% และชลอตัวลงเหลือ 6.03% ในปี 2005 แต่ 2 เดือนแรกปี 06 เติบโต 8.08% สำหรับหนังสือพิมพ์ เติบโตสูงอย่างต่อเนื่องในปี 02 - 04 จาก 16.30% เป็น 35.14% แต่ชะลอตัวอย่างมากในปี 05 เติบโตอยู่ที่ 0.72% และสำหรับ 2 เดือนแรกสถานการณ์เริ่มดีขึ้นตามลำดับอยู่ที่ 2.63% ครับ
3. สำหรับสื่อวิทยุ เติบโตสูงมากในปี 02 หลังจากนั้นโตชะลอตลอด จากปี 02 เติบโตอยู่ที่ 20.13% เติบโตชะลอตัวอยู่ที่ 2.99% ในปี 05 แต่แนวโน้ม 2 เดือนแรกเติบสูงมาก ๆ อยู่ที่ 9.96% สูงกว่า TV ด้วยซ้ำไปครับ
4. สื่อนิตยสาร เติบโตสูงเช่นกันจากปี 02 อยู่ที่ 17% ขึ้นมาเป็น 34.23% ในปี 04 และเริ่มชะลอตัวลงในปี 05 อยู่ที่ 8.45% และ 2 เดือนสุดท้ายยังเติบโตแบบชะลอตัวอยู่ที่ 4.50% ครับ
โดยสรุปสถานการณ์ด้านสื่อใน 2 เดือนแรกแสดงแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดย วิทยุ และ TV มีอัตราการเติบโตที่สูง ในขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์หลังจากที่ชะลอตัวลงในปี 05 เริ่มมีแนวโน้มเขยิบตัวดีขึ้นบ้างครับ ตรงกับที่ผมเรียนคุณสุมาอี้ไว้ครับว่า อากู๋ไปซื้อสื่อสิ่งพิมพ์หนังสือพิมพ์ในช่วงที่โฆษณาในสื่อดังกล่าวชะลอตัวต่ำสุด ๆ หรือไปขยายการลงทุนในนิตยสารก็อยู่ตรงช่วงที่อุตสาหกรรมต่ำสุดเช่นกัน ซึ่งคงต้องลุ้นว่าจะฟื้นตัวหรือไม่ในปีถัดไปครับ ไม่รู้จะเหมือนกลุ่มเรือที่ก่อนหน้านี้ก็ต่ำสุดแล้วฟื้นตัวขึ้นหรือไม่นะครับ ต้องดูกันต่อไปครับ
1. ปี 2005 มูลค่าโฆษณาผ่านสื่อทั้งหมดมีขนาดตลาดอยู่ที่ 88,931 ล้านบาท โดยปี 02 - 05 มีอัตราการเติบโตของตลาดอยู่ที่ร้อยละ 15.38 16.72 17.76 5.7 และ 2 เดือนล่าสุดของปี 06 เทียบกับปี 05 เติบโตอยู่ที่ 6.45
2. ตลาดของสื่อทีวี มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ 50,016 ล้านบาท รองลงมาคือ หนังสือพิมพ์อยู่ที่ 18,159 ล้านบาท อันดับ 3 คือ วิทยุอยู่ที่ 7,055 ล้านบาท และอันดับ 4 คือ นิตยสารอยู่ที่ 6,638 ล้านบาท
3. ที่ผ่านมาตลาดสื่อ TV มีอัตราเติบโตในช่วงปี 02 - 04 ประมาณ 11 - 13.50% และชลอตัวลงเหลือ 6.03% ในปี 2005 แต่ 2 เดือนแรกปี 06 เติบโต 8.08% สำหรับหนังสือพิมพ์ เติบโตสูงอย่างต่อเนื่องในปี 02 - 04 จาก 16.30% เป็น 35.14% แต่ชะลอตัวอย่างมากในปี 05 เติบโตอยู่ที่ 0.72% และสำหรับ 2 เดือนแรกสถานการณ์เริ่มดีขึ้นตามลำดับอยู่ที่ 2.63% ครับ
3. สำหรับสื่อวิทยุ เติบโตสูงมากในปี 02 หลังจากนั้นโตชะลอตลอด จากปี 02 เติบโตอยู่ที่ 20.13% เติบโตชะลอตัวอยู่ที่ 2.99% ในปี 05 แต่แนวโน้ม 2 เดือนแรกเติบสูงมาก ๆ อยู่ที่ 9.96% สูงกว่า TV ด้วยซ้ำไปครับ
4. สื่อนิตยสาร เติบโตสูงเช่นกันจากปี 02 อยู่ที่ 17% ขึ้นมาเป็น 34.23% ในปี 04 และเริ่มชะลอตัวลงในปี 05 อยู่ที่ 8.45% และ 2 เดือนสุดท้ายยังเติบโตแบบชะลอตัวอยู่ที่ 4.50% ครับ
โดยสรุปสถานการณ์ด้านสื่อใน 2 เดือนแรกแสดงแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดย วิทยุ และ TV มีอัตราการเติบโตที่สูง ในขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์หลังจากที่ชะลอตัวลงในปี 05 เริ่มมีแนวโน้มเขยิบตัวดีขึ้นบ้างครับ ตรงกับที่ผมเรียนคุณสุมาอี้ไว้ครับว่า อากู๋ไปซื้อสื่อสิ่งพิมพ์หนังสือพิมพ์ในช่วงที่โฆษณาในสื่อดังกล่าวชะลอตัวต่ำสุด ๆ หรือไปขยายการลงทุนในนิตยสารก็อยู่ตรงช่วงที่อุตสาหกรรมต่ำสุดเช่นกัน ซึ่งคงต้องลุ้นว่าจะฟื้นตัวหรือไม่ในปีถัดไปครับ ไม่รู้จะเหมือนกลุ่มเรือที่ก่อนหน้านี้ก็ต่ำสุดแล้วฟื้นตัวขึ้นหรือไม่นะครับ ต้องดูกันต่อไปครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
โพสต์ที่ 43
สำหรับถ้าต้องการดูรายละเอียดของสื่อโฆษณาทั้งหมดอ่านได้จากข้อมูล Web site นี้นะครับ
http://www.settrade.com/brokerpage/IPO/ ... 403061.pdf
http://www.settrade.com/brokerpage/IPO/ ... 403061.pdf
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
พี่สุมาอี้ครับ ถ้าซื้อแล้วไม่ขาย จะได้กำไร จากไหนละครับ
โพสต์ที่ 44
ขอบคุณทั้งสองท่านครับ
แต่ที่สำคัญผมว่าปีที่กลุ่มหนังสือจะมีรายได้มากขึ้นจากการปรับราคาหนังสือครับ เพราะหนังสือพิมพ์บางฉบับขึ้นไปแล้ว นิตยสารก็มีขึ้นบางแล้วด้วย
คงรอรายใหญ่อย่างไทยรัฐ เดลินิวส์ขึ้นก็ได้เฮโลขึ้นตามไปด้วยครับ
และผมคาดว่าน่าจะปรับขึ้นถึง 25%
แต่ที่สำคัญผมว่าปีที่กลุ่มหนังสือจะมีรายได้มากขึ้นจากการปรับราคาหนังสือครับ เพราะหนังสือพิมพ์บางฉบับขึ้นไปแล้ว นิตยสารก็มีขึ้นบางแล้วด้วย
คงรอรายใหญ่อย่างไทยรัฐ เดลินิวส์ขึ้นก็ได้เฮโลขึ้นตามไปด้วยครับ
และผมคาดว่าน่าจะปรับขึ้นถึง 25%
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์