10 เกร็ดการลงทุน (ตอนที่ 2)- ร่วมฉลอง 10ปี THAIVI /คนขายของ
- คนขายของ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 792
- ผู้ติดตาม: 0
10 เกร็ดการลงทุน (ตอนที่ 2)- ร่วมฉลอง 10ปี THAIVI /คนขายของ
โพสต์ที่ 1
6) เปลี่ยนม้ากลางศึก: กลยุทธ์นี้คือการเปลี่ยนหุ้นไปมา จากตัวที่ถืออยู่ไปเป็นตัวที่นักลงทุนคาดว่ามีศักยภาพมากกว่า ซึ่งอาจจะดูหวือหวากว่าการซื้อ และถือยาวแบบไม่สนใจสองข้างทางมากนัก จากประสบกาณ์จริงที่บริหารพอร์ต 2 พอร์ต โดยใช้ช่วงเวลาประมาณสิบปีที่ผ่านมาเป็นเกณฑ์ โดยทั้งสองพอร์ตใช้หลักการการเลือกหุ้นใกล้เคียงกัน แต่พอร์ต (1) ลงทุนแบบถือยาวมากๆ สิบปีเปลี่ยนหุ้นไปไม่น่าเกินห้าครั้ง ส่วนพอร์ต (2) ลงทุนแบบเปลี่ยนหุ้นไปเรื่อยๆ โดยใช้หลักการ (ขอยกมาหนึ่งอย่างก่อน) ขายหุ้นที่มี PBV สูงไปซื้อหุ้นที่มี PBV ต่ำแต่มี Growth + Dividend Yield สูงกว่า บนพื้นฐานที่ว่า หุ้นทั้งสองมี DCA ใกล้เคียงกันในอุตสาหกรรมของตนเอง ผมพบว่า พอร์ต (2) โตกว่าพอร์ต (1) ถึงแปดเท่า ก็ขอฝากกรณีศึกษานี้ไว้ให้เพื่อนนักลงทุนที่สนใจ อาจนำไปศึกษาเพิ่มเติม
7) ทุกอย่างล้วนเป็นวัฏฏะ: หากเราศึกษา Super Bull Cycle ในช่วงหกสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น US stock Boom ช่วง 60s Commodity Boom ชาวงปี 70s Nikkei Boom ช่วง 80s Tech Bubble ช่วง 90s และ China Bubble ช่วง 2005-2007 เราจะพบว่าทุก Super Bull Cycle ล้วนจบด้วย Super Bear Cycle ทั้งนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบ 23 ปีแล้ว Nikkei ยังห่างไกลจากจุดสูงสุด ตอนปี 1989 ที่ 38,900 จุดอยู่อีกมาก หลังจาก NASDAQ peak ที่ 5000 จุดตอนต้นปี 2000 ตลาดก็เปลี่ยนเป็นขาลงอยู่เกือบสามปีจึงจะเจอจุด Bottom ตลาดไทยเรา ทำ All Time High ที่ 1754 ในเดือนมกราคม 2536 กว่าจะหา Bottom เจอก็อีก 5 ปีต่อมา ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมเชื่อว่า Super Bull Cycle เป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนจะถอนทุน ออกมา ปรากฏการณ์ Super Bull นั้นก็ไม่ได้เกิดกันบ่อยๆ และอย่าไปกลัวว่าจะไม่มีโอกาส ทำเงินจากตลาดอีกเพราะว่า โอกาสมีอยู่เสมอในตลาดหลักทรัพย์ ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความรู้พอ ที่จะเห็นมันหรือเปล่าเท่านั้นเองครับ
8) คุณคือ CEO: นักลงทุนส่วนมากจะเน้นศึกษาข้อมูลทางด้าน “การเงิน” และ ความนิยมของผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทที่เขาลงทุน แต่อาจจะมีน้อยรายที่มองเข้าไปถึง “Function” อื่นๆของหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เข้าใจถึงความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน ได้อย่างแท้จริง เช่น บริษัทผลิตขนมปังปอนด์แห่งหนึ่ง หากมองในแง่ของผลิตภัณฑ์ เพียงอย่างเดียวเราอาจไม่เข้าใจว่าเขาขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดนี้ได้อย่างไร แต่เมื่อเรามองเข้าไป ในระบบกระจายสินค้าทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้น หรืออีกเรื่องที่ผมได้ยินมาว่า บริษัทไก่ทอด ยักษ์ใหญ่ ที่เป็น Quick Service Restaurant ที่ขายดีที่สุดในจีนนั้น เป็นเพราะว่ามีระบบจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพมากเหนือคู่แข่ง ไม่ใช่เฉพาะรสชาติอาหารเพียงอย่างเดียว และการที่บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง สามารถมี Market Cap มากกว่า บริษัทรถยนต์อันดับหนึ่ง และสองของอเมริการวมกัน คงไม่ได้เป็นเพราะผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับมากกว่าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะความสามารถการจัดการทางด้านการผลิต และการบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) การตัดสินใจของคนที่เป็น CEO นั้น มักผ่านมุมมอง ของทุกๆ Function ในบริษัทรวมกัน ผ่านมาเป็นกลยุทธ์ และการตัดสินใจทางธุรกิจ ผมเชื่อว่า นักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์ก็ไม่ต่างกัน
9) จินตนาการสำคัญกว่าความรู้:ผมเคยลองคิดย้อนกลับไปสมัยก่อนที่จะมีธนาคารแห่งแรกเกิดขึ้นในโลก ผมว่ามันยาก ที่คนเราจะเอาเงินไปฝากไว้กับคนอื่น หากเราไม่รู้จักธุรกิจธนาคารมาก่อน เราจะเริ่มทำธุรกิจนี้ไหม? มันจะยากขนาดไหนในสมัยแรกๆ ที่คุณจะชวนให้คนอื่นเอาเงิน มาฝากไว้กับคุณ และจะมีกี่คนที่มองออกว่าต่อมาธุรกิจนี้จะเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก และมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ออกมาอีกมากมาย …..
ผมอ่าน Wikipedia แล้วพบว่ากล้องดิจิตอล ถูกพัฒนาขึ้นมาครั้งแรกโดย KODAK เมื่อปี 1975 ตอนช่วง 1980s หุ้นของ Eastman Kodak ยังเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 40-100 USD ใครจะเชื่อว่าต่อมาอีก 30 ปีกิจการที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ต้องเข้าสู่ภาวะล้มละลาย ตอนที่ STARBUCKS จะขยายธุรกิจกาแฟแก้วละ 4-5 USD ไปทั่วอเมริกา คนทั่วไปสงสัยว่าชาวอเมริกัน จะยอมจ่าย ขนาดนั้นเพื่อกาแฟหนึ่งแก้วเหรอ และถ้าเรากลับไปดูงบดุลของห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ตอนเริ่มก่อตั้ง กิจการ แล้วใช้อัตราส่วนทางการเงินเป็นตัวตัดสิน เราคงไม่กล้าลงทุนด้วยเป็นแน่
ผมเชื่อว่าความรู้พื้นฐานด้านการลงทุนสามารถเรียนรู้กันได้ และความรู้เรื่องการเงินของนักลงทุน ต่อไปคงไม่แตกต่างกันมาก แต่ความสามารถในการมองออกว่าแต่ละธุรกิจหรือแต่ละอุตสาหกรรม จะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างไรในอนาคต ยังคงแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ “ความรู้สะสม” ที่มารวมกันตกตะกอนในสมองของแต่ละปัจเจกบุคคล
10) รู้จักพอก่อสุขทุกสถาน: ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนเงินลงทุน (Average Return on Invested Capital) ของธุรกิจในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1998-2008 โดยรวบรวมจากกิจการ ที่หลากหลาย เช่น ร้านอาหาร สายการบิน รถยนต์ ปั๊มน้ำมัน และอื่นๆ อยู่ที่ประมาณ 12.4% หมายความว่า หากเราลงทุนไป 100 บาท จะใช้เวลา 5.8 ปีได้เงิน 100 บาทคืน ถ้าหากนักลงทุนท่านใดทำผลตอบแทนเงินลงทุนได้เกินจากค่าเฉลี่ย 12.4% ในทุกๆปี ผมว่าเราก็น่าจะภูมิใจกับผลงานของเราได้แล้วนะครับ ไม่จำเป็นต้องได้สามเด้งห้าเด้งกับเขา
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า
“ไม่มีอะไรที่ทำให้จิตใจของ VI ที่มีประสบการณ์ยาวนานหวั่นไหวได้ นอกจากตัวเลขกำไรของพอร์ตเพื่อน VI ด้วยกัน”
หากเราจะลงทุนให้มีความสุข เราคงต้องเรียนรู้ที่จะยินดีกับเพื่อนๆของเราด้วย
สุดท้ายนี้ขอให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคน หนักแน่น มั่นคง และมีความสุขในการลงทุนกันทุกคนครับ
7) ทุกอย่างล้วนเป็นวัฏฏะ: หากเราศึกษา Super Bull Cycle ในช่วงหกสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น US stock Boom ช่วง 60s Commodity Boom ชาวงปี 70s Nikkei Boom ช่วง 80s Tech Bubble ช่วง 90s และ China Bubble ช่วง 2005-2007 เราจะพบว่าทุก Super Bull Cycle ล้วนจบด้วย Super Bear Cycle ทั้งนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบ 23 ปีแล้ว Nikkei ยังห่างไกลจากจุดสูงสุด ตอนปี 1989 ที่ 38,900 จุดอยู่อีกมาก หลังจาก NASDAQ peak ที่ 5000 จุดตอนต้นปี 2000 ตลาดก็เปลี่ยนเป็นขาลงอยู่เกือบสามปีจึงจะเจอจุด Bottom ตลาดไทยเรา ทำ All Time High ที่ 1754 ในเดือนมกราคม 2536 กว่าจะหา Bottom เจอก็อีก 5 ปีต่อมา ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมเชื่อว่า Super Bull Cycle เป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนจะถอนทุน ออกมา ปรากฏการณ์ Super Bull นั้นก็ไม่ได้เกิดกันบ่อยๆ และอย่าไปกลัวว่าจะไม่มีโอกาส ทำเงินจากตลาดอีกเพราะว่า โอกาสมีอยู่เสมอในตลาดหลักทรัพย์ ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความรู้พอ ที่จะเห็นมันหรือเปล่าเท่านั้นเองครับ
8) คุณคือ CEO: นักลงทุนส่วนมากจะเน้นศึกษาข้อมูลทางด้าน “การเงิน” และ ความนิยมของผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทที่เขาลงทุน แต่อาจจะมีน้อยรายที่มองเข้าไปถึง “Function” อื่นๆของหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เข้าใจถึงความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน ได้อย่างแท้จริง เช่น บริษัทผลิตขนมปังปอนด์แห่งหนึ่ง หากมองในแง่ของผลิตภัณฑ์ เพียงอย่างเดียวเราอาจไม่เข้าใจว่าเขาขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดนี้ได้อย่างไร แต่เมื่อเรามองเข้าไป ในระบบกระจายสินค้าทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้น หรืออีกเรื่องที่ผมได้ยินมาว่า บริษัทไก่ทอด ยักษ์ใหญ่ ที่เป็น Quick Service Restaurant ที่ขายดีที่สุดในจีนนั้น เป็นเพราะว่ามีระบบจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีประสิทธิภาพมากเหนือคู่แข่ง ไม่ใช่เฉพาะรสชาติอาหารเพียงอย่างเดียว และการที่บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง สามารถมี Market Cap มากกว่า บริษัทรถยนต์อันดับหนึ่ง และสองของอเมริการวมกัน คงไม่ได้เป็นเพราะผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับมากกว่าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะความสามารถการจัดการทางด้านการผลิต และการบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) การตัดสินใจของคนที่เป็น CEO นั้น มักผ่านมุมมอง ของทุกๆ Function ในบริษัทรวมกัน ผ่านมาเป็นกลยุทธ์ และการตัดสินใจทางธุรกิจ ผมเชื่อว่า นักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์ก็ไม่ต่างกัน
9) จินตนาการสำคัญกว่าความรู้:ผมเคยลองคิดย้อนกลับไปสมัยก่อนที่จะมีธนาคารแห่งแรกเกิดขึ้นในโลก ผมว่ามันยาก ที่คนเราจะเอาเงินไปฝากไว้กับคนอื่น หากเราไม่รู้จักธุรกิจธนาคารมาก่อน เราจะเริ่มทำธุรกิจนี้ไหม? มันจะยากขนาดไหนในสมัยแรกๆ ที่คุณจะชวนให้คนอื่นเอาเงิน มาฝากไว้กับคุณ และจะมีกี่คนที่มองออกว่าต่อมาธุรกิจนี้จะเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก และมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ออกมาอีกมากมาย …..
ผมอ่าน Wikipedia แล้วพบว่ากล้องดิจิตอล ถูกพัฒนาขึ้นมาครั้งแรกโดย KODAK เมื่อปี 1975 ตอนช่วง 1980s หุ้นของ Eastman Kodak ยังเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 40-100 USD ใครจะเชื่อว่าต่อมาอีก 30 ปีกิจการที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ต้องเข้าสู่ภาวะล้มละลาย ตอนที่ STARBUCKS จะขยายธุรกิจกาแฟแก้วละ 4-5 USD ไปทั่วอเมริกา คนทั่วไปสงสัยว่าชาวอเมริกัน จะยอมจ่าย ขนาดนั้นเพื่อกาแฟหนึ่งแก้วเหรอ และถ้าเรากลับไปดูงบดุลของห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ตอนเริ่มก่อตั้ง กิจการ แล้วใช้อัตราส่วนทางการเงินเป็นตัวตัดสิน เราคงไม่กล้าลงทุนด้วยเป็นแน่
ผมเชื่อว่าความรู้พื้นฐานด้านการลงทุนสามารถเรียนรู้กันได้ และความรู้เรื่องการเงินของนักลงทุน ต่อไปคงไม่แตกต่างกันมาก แต่ความสามารถในการมองออกว่าแต่ละธุรกิจหรือแต่ละอุตสาหกรรม จะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างไรในอนาคต ยังคงแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ “ความรู้สะสม” ที่มารวมกันตกตะกอนในสมองของแต่ละปัจเจกบุคคล
10) รู้จักพอก่อสุขทุกสถาน: ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนเงินลงทุน (Average Return on Invested Capital) ของธุรกิจในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1998-2008 โดยรวบรวมจากกิจการ ที่หลากหลาย เช่น ร้านอาหาร สายการบิน รถยนต์ ปั๊มน้ำมัน และอื่นๆ อยู่ที่ประมาณ 12.4% หมายความว่า หากเราลงทุนไป 100 บาท จะใช้เวลา 5.8 ปีได้เงิน 100 บาทคืน ถ้าหากนักลงทุนท่านใดทำผลตอบแทนเงินลงทุนได้เกินจากค่าเฉลี่ย 12.4% ในทุกๆปี ผมว่าเราก็น่าจะภูมิใจกับผลงานของเราได้แล้วนะครับ ไม่จำเป็นต้องได้สามเด้งห้าเด้งกับเขา
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า
“ไม่มีอะไรที่ทำให้จิตใจของ VI ที่มีประสบการณ์ยาวนานหวั่นไหวได้ นอกจากตัวเลขกำไรของพอร์ตเพื่อน VI ด้วยกัน”
หากเราจะลงทุนให้มีความสุข เราคงต้องเรียนรู้ที่จะยินดีกับเพื่อนๆของเราด้วย
สุดท้ายนี้ขอให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคน หนักแน่น มั่นคง และมีความสุขในการลงทุนกันทุกคนครับ
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4741
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 10 เกร็ดการลงทุน (ตอนที่ 2)- ร่วมฉลอง 10ปี THAIVI /คนขาย
โพสต์ที่ 3
thank you very much
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
- Paul VI
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 10548
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 10 เกร็ดการลงทุน (ตอนที่ 2)- ร่วมฉลอง 10ปี THAIVI /คนขาย
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณ คุณคนขายของ มากครับ สำหรับข้อคิดดีๆ ที่มีให้กับสมาคมและ webboard มาโดยตลอด
ชอบประโยคท่อนนี้มากๆครับ
ชอบประโยคท่อนนี้มากๆครับ
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า
“ไม่มีอะไรที่ทำให้จิตใจของ VI ที่มีประสบการณ์ยาวนานหวั่นไหวได้ นอกจากตัวเลขกำไรของพอร์ตเพื่อน VI ด้วยกัน”
หากเราจะลงทุนให้มีความสุข เราคงต้องเรียนรู้ที่จะยินดีกับเพื่อนๆของเราด้วย
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 เกร็ดการลงทุน (ตอนที่ 2)- ร่วมฉลอง 10ปี THAIVI /คนขาย
โพสต์ที่ 5
ยอดเยี่ยมครับ
ชาบู ชาบู
ชาบู ชาบู
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 101
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 เกร็ดการลงทุน (ตอนที่ 2)- ร่วมฉลอง 10ปี THAIVI /คนขาย
โพสต์ที่ 9
คมคาย ลึกซึ้ง ...ทั้งการลงทุน และ จิตใจ
ขอบคุณพี่ชาย มากๆครับ
ขอบคุณพี่ชาย มากๆครับ
"วันคืนล่วงเลยไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่"
"สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
........ คำสอน พระพุทธเจ้า ........
"สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"
........ คำสอน พระพุทธเจ้า ........
- simpleBE
- Verified User
- โพสต์: 2335
- ผู้ติดตาม: 0
-
- Verified User
- โพสต์: 4
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 เกร็ดการลงทุน (ตอนที่ 2)- ร่วมฉลอง 10ปี THAIVI /คนขาย
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณครับ
ทุกปัญหามีทางออก...ถ้าไม่มีทางออกก็ให้ออกทางเข้า...!!!
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 315
- ผู้ติดตาม: 1
Re: 10 เกร็ดการลงทุน (ตอนที่ 2)- ร่วมฉลอง 10ปี THAIVI /คนขาย
โพสต์ที่ 17
ขอบคุณมากครับพี่
-----------------------------------------
เกิดเหตุอะไร อย่าตื่นใจ ไปตามเขา
ปัญญาเรา มีหน้าที่ พิพากษา
ต้องดูน้ำ ดูลม ระดมมา
พิจารณา เชิงชั้น หมั่นตริตรอง
-----------------------------------------
ท่านพุทธทาสภิกขุ
เกิดเหตุอะไร อย่าตื่นใจ ไปตามเขา
ปัญญาเรา มีหน้าที่ พิพากษา
ต้องดูน้ำ ดูลม ระดมมา
พิจารณา เชิงชั้น หมั่นตริตรอง
-----------------------------------------
ท่านพุทธทาสภิกขุ
-
- Verified User
- โพสต์: 25
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 เกร็ดการลงทุน (ตอนที่ 2)- ร่วมฉลอง 10ปี THAIVI /คนขาย
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
Re: 10 เกร็ดการลงทุน (ตอนที่ 2)- ร่วมฉลอง 10ปี THAIVI /คนขาย
โพสต์ที่ 25
ขอบคุณมากๆครับ
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ