สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 348
- ผู้ติดตาม: 0
สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56
โพสต์ที่ 1
เนื่องด้วยมีโอกาสได้ไปร่วมงาน Meeting VI ภาคใต้ ไตรมาส 2/2556 ในวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ
1.เมื่อไรก็ตามที่เราหาหุ้นคุณค่าได้ลำบากมาก อาจจะถือว่าเป็นหนึ่งในสัญญาณว่าช่วงนั้นเริ่มอันตรายแล้ว
2.เราควรที่จะใช้ประโยชน์จาก Mr.Market โดยถ้าวันไหน Mr.Market อารมณ์ดีมากๆ อาจจะเป็นช่วงจังหวะที่ใช้ในการขายหุ้น และถ้าช่วงไหนที่ Mr.Market อารมณ์ร้าย, หดหู่ น่าจะเป็นช่วงที่เราใช้ในการลงทุนเพื่อซื้อหุ้น
3.เราควรมองเรื่องการลงทุนเป็นการมองระยะยาว สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นแค่ 1 ในระลอกคลื่นในผิวทะเล ซึ่งใน 20-30 ปีข้างหน้า เราเองยังอาจที่จะต้องเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ได้เยอะ รวมไปถึงเหตุการณ์ดีๆที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
(Stay Calm , Stay Invest)
4.สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในการลงทุนคือสมการทบต้นของการลงทุน ซึ่งตัวแปรที่เกี่ยวข้องนั้นมี 3 ปัจจัยหลักๆ คือ 1.)จำนวนเงินต้น 2.)ระยะเวลาการลงทุน 3.)ผลตอบแทนต่อปี ซึ่งในจำนวนนี้นั้นข้อที่ 1.)จำนวนเงินต้น นั้นอาจจะสำคัญแต่ไม่ได้สำคัญที่สุด ส่วนที่สำคัญกว่าคือจำนวนปีที่ลงทุน โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่เริ่มลงทุนเร็วนั้นจะได้เปรียบกว่ามาก ถ้าเทียบกับคนที่เริ่มลงทุนช้า รวมไปถึงข้อผลตอบแทนต่อปี ซึ่ง%ผลตอบแทนที่ต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยอาจจะส่งผลต่อทำให้เกิดความต่างกันมหาศาลในอนาคต
5.ข้อได้เปรียบของนักลงทุนที่ยังมี port การลงทุนขนาดเล็ก 1.)สามารถเลือกลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนในระดับที่สูงกว่าบริษัทที่ขนาดใหญ่ 2.)Port ขนาดเล็ก มีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการยื่นขอคืนเครดิตภาษีซึ่งจะต่างจากนักลงทุนที่ port ขนาดใหญ่ซึ่งจะไม่คุ้มถ้าขอยื่นเครดิตภาษี
6.ห้ามขายหุ้น ตอนราคาหุ้นถูกๆเพื่อไปถือเป็นเงินสดเด็ดขาด
ช่วงที่ราคาหุ้นถูกๆนั้นน่าจะเป็นช่วงจังหวะที่ดีในการลงทุนเพื่อที่จะซื้อหุ้น
โดยเราเองอาจจะถือเงินสดไว้บางส่วนในบางช่วงเผื่อจะได้มีโอกาสที่จะไปคอยช้อนซื้อหุ้นในช่วงจังหวะที่ราคาหุ้นถูกๆ
7.สำหรับนักลงทุนมือใหม่ควรจะถือหุ้นกี่บริษัทดี
ถ้าเงินลงทุนไม่เกิน 10 ล้าน ถือหุ้นสัก 5 บริษัทก็น่าจะกำลังดี แต่ไม่ควรที่จะถือต่ำกว่า 3 บริษัทเด็ดขาด เพราะถ้าวิเคราะห์ผิดพลาดมีโอกาสที่จะเสียหายได้มาก โดยเราเองอาจจะถือหุ้นในแต่ละบริษัทตามระดับความมั่นใจ เช่นมั่นใจมากอาจจะสัก 30-40% ของ port มั่นใจน้อยหน่อยอาจจะสัก 15-20%ของ port การลงทุน
8.Case Study หุ้นที่ประสบความสำเร็จในอดีต
1.)บริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง เช่น SCBLIF มีจุดเปลี่ยนคือการที่รัฐบาลอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถทำธุรกิจอย่างอื่นได้ ซึ่ง 1ในธุรกิจที่ประสบความสำเร็จของธนาคารพาณิชย์ก็คือประกันชีวิต เพราะทำให้ทั้งยอดขายประกันชีวิตและกำไรของบริษัทเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
2.)บริษัทที่มี Business Model เปลี่ยน เช่น TICON จากการที่บริษัททำโรงงานให้เช่า เปลี่ยนเป็นทำกองทุนอสังหาริมทรัพย์ทำให้สามารถที่จะขายเข้ากองทุนทำให้ได้กำไรเยอะๆเป็นต้น
3.)หุ้นที่ทำเหมือนเดิมกับในอดีตแต่ model นั้นสามารถนำไปทำซ้ำเพื่อทำให้กำไรบริษัทสามารถเติบโตได้สูงเป็นระยะเวลาที่นาน เช่น CPALL
9.พึงระวังบางธุรกิจที่ไม่มี Barrier ในการป้องกันคู่แข่งเข้ามาแข่งขัน เพราะถ้าคู่แข่งเริ่มเข้ามาก็จะทำให้ margin ที่สูงในอดีตค่อยๆลดลงส่งผลต่อกำไรสุทธิของบริษัท รวมไปถึงพึงระวังบางบริษัทที่กำไรมาจาก Stock gain เช่นบางบริษัทที่ขายถ่านหินเพราะอาจจะเกิด Stock losss ได้เช่นกัน
10.ซื้อเพราะเหตุผลอะไร ขายเพราะเหตุผลนั้น
11.บางทีถ้าถึงเวลากระโดด ก็ต้องกระโดดออกมา แม้ว่า ณ ขณะนั้นวิวทิวทัศน์ข้างทางนั้นยังสวยงามก็ตามที
12.สำหรับนักลงทุนมือใหม่นั้นแนะนำให้อ่าน 56-1 ของบริษัทรวมไปถึงฟัง Opporunity Day ของบริษัท เพื่อให้เข้าใจในตัวกิจการของบริษัทและควรอ่านข่าวที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเพราะอาจจะได้เจอข่าวที่ส่งผลต่อกำไรของบริษัทนั้นๆ
13.เราไม่ควรซื้อหุ้นของบริษัทที่คาดการณ์กำไรของบริษัทไม่ได้ โดยเราเองควรจะต้องศึกษาจนเข้าใจในตัวกิจการว่าที่มาของกำไรบริษัทนั้นมาจากปัจจัยอะไรบ้างเพื่อให้สามารถที่จะคาดการณ์กำไรของบริษัทนั้นๆซึ่งจะนำไปสู่การประเมินมูลค่าหุ้น
14.การที่จะซื้อหุ้นของบริษัทฟื้นตัวนั้นเราควรที่จะรอให้มันฟื้นตัวก่อน อย่ารีบไปซื้อตอนที่ยังฝุ่นตลบอยู่เพราะมีโอกาสที่บริษัทอาจจะไม่ฟื้นจริงๆก็ได้
15.คนที่อยากประสบความสำเร็จในระดับที่แตกต่างจากผู้อื่นนั้น เราควรจะต้องมีอะไรที่มากกว่าคนอื่น ๆ เช่นความขยันที่มากกว่า, สภาพจิตใจที่สุขุม รอบคอบ
16.คนเราถ้าประสบความสำเร็จในการลงทุนแล้วควรที่จะรู้จักแบ่งปัน, ตอบแทนกลับสู่สังคม
อาทิเช่นแบ่งปันความรู้, แบ่งปันทรัพย์สมบัติ
ขอขอบคุณ P’Ty, P’โจ, P’สุบัน, P’แมว, P’บัวดิน, P’วรพงษ์ ครับที่ได้ร่วมจัดงาน Meeting ที่มีประโยชน์ให้น้องๆทุกคน และขอขอบคุณ พี่นก,พี่ป๋อง, พี่จุ๋ย มากๆครับที่พาไปส่งที่สนามบินรวมไปถึงพาไปทานไก่ทอดหาดใหญ่ก่อนกลับด้วยครับ
รวมไปถึงยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นด้วยครับเช่นน้องโจ, พี่อนุสรณ์
ปล.ขอขอบคุณพี่วรพงษ์เป็นอย่างสูงครับที่เสียสละเวลามาอธิบายความรู้ให้หลายชั่วโมง เสียดายที่งวดนี้ไม่ค่อยได้ฟังพี่ Ty และพี่โจเท่าไรหวังว่าโอกาสหน้าคงได้ไปขอความรู้พี่ๆทุกท่านอีกครับ
earthcu/2 Sep 13
1.เมื่อไรก็ตามที่เราหาหุ้นคุณค่าได้ลำบากมาก อาจจะถือว่าเป็นหนึ่งในสัญญาณว่าช่วงนั้นเริ่มอันตรายแล้ว
2.เราควรที่จะใช้ประโยชน์จาก Mr.Market โดยถ้าวันไหน Mr.Market อารมณ์ดีมากๆ อาจจะเป็นช่วงจังหวะที่ใช้ในการขายหุ้น และถ้าช่วงไหนที่ Mr.Market อารมณ์ร้าย, หดหู่ น่าจะเป็นช่วงที่เราใช้ในการลงทุนเพื่อซื้อหุ้น
3.เราควรมองเรื่องการลงทุนเป็นการมองระยะยาว สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นแค่ 1 ในระลอกคลื่นในผิวทะเล ซึ่งใน 20-30 ปีข้างหน้า เราเองยังอาจที่จะต้องเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ได้เยอะ รวมไปถึงเหตุการณ์ดีๆที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
(Stay Calm , Stay Invest)
4.สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในการลงทุนคือสมการทบต้นของการลงทุน ซึ่งตัวแปรที่เกี่ยวข้องนั้นมี 3 ปัจจัยหลักๆ คือ 1.)จำนวนเงินต้น 2.)ระยะเวลาการลงทุน 3.)ผลตอบแทนต่อปี ซึ่งในจำนวนนี้นั้นข้อที่ 1.)จำนวนเงินต้น นั้นอาจจะสำคัญแต่ไม่ได้สำคัญที่สุด ส่วนที่สำคัญกว่าคือจำนวนปีที่ลงทุน โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่เริ่มลงทุนเร็วนั้นจะได้เปรียบกว่ามาก ถ้าเทียบกับคนที่เริ่มลงทุนช้า รวมไปถึงข้อผลตอบแทนต่อปี ซึ่ง%ผลตอบแทนที่ต่างกันเพียงแค่เล็กน้อยอาจจะส่งผลต่อทำให้เกิดความต่างกันมหาศาลในอนาคต
5.ข้อได้เปรียบของนักลงทุนที่ยังมี port การลงทุนขนาดเล็ก 1.)สามารถเลือกลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนในระดับที่สูงกว่าบริษัทที่ขนาดใหญ่ 2.)Port ขนาดเล็ก มีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการยื่นขอคืนเครดิตภาษีซึ่งจะต่างจากนักลงทุนที่ port ขนาดใหญ่ซึ่งจะไม่คุ้มถ้าขอยื่นเครดิตภาษี
6.ห้ามขายหุ้น ตอนราคาหุ้นถูกๆเพื่อไปถือเป็นเงินสดเด็ดขาด
ช่วงที่ราคาหุ้นถูกๆนั้นน่าจะเป็นช่วงจังหวะที่ดีในการลงทุนเพื่อที่จะซื้อหุ้น
โดยเราเองอาจจะถือเงินสดไว้บางส่วนในบางช่วงเผื่อจะได้มีโอกาสที่จะไปคอยช้อนซื้อหุ้นในช่วงจังหวะที่ราคาหุ้นถูกๆ
7.สำหรับนักลงทุนมือใหม่ควรจะถือหุ้นกี่บริษัทดี
ถ้าเงินลงทุนไม่เกิน 10 ล้าน ถือหุ้นสัก 5 บริษัทก็น่าจะกำลังดี แต่ไม่ควรที่จะถือต่ำกว่า 3 บริษัทเด็ดขาด เพราะถ้าวิเคราะห์ผิดพลาดมีโอกาสที่จะเสียหายได้มาก โดยเราเองอาจจะถือหุ้นในแต่ละบริษัทตามระดับความมั่นใจ เช่นมั่นใจมากอาจจะสัก 30-40% ของ port มั่นใจน้อยหน่อยอาจจะสัก 15-20%ของ port การลงทุน
8.Case Study หุ้นที่ประสบความสำเร็จในอดีต
1.)บริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง เช่น SCBLIF มีจุดเปลี่ยนคือการที่รัฐบาลอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถทำธุรกิจอย่างอื่นได้ ซึ่ง 1ในธุรกิจที่ประสบความสำเร็จของธนาคารพาณิชย์ก็คือประกันชีวิต เพราะทำให้ทั้งยอดขายประกันชีวิตและกำไรของบริษัทเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
2.)บริษัทที่มี Business Model เปลี่ยน เช่น TICON จากการที่บริษัททำโรงงานให้เช่า เปลี่ยนเป็นทำกองทุนอสังหาริมทรัพย์ทำให้สามารถที่จะขายเข้ากองทุนทำให้ได้กำไรเยอะๆเป็นต้น
3.)หุ้นที่ทำเหมือนเดิมกับในอดีตแต่ model นั้นสามารถนำไปทำซ้ำเพื่อทำให้กำไรบริษัทสามารถเติบโตได้สูงเป็นระยะเวลาที่นาน เช่น CPALL
9.พึงระวังบางธุรกิจที่ไม่มี Barrier ในการป้องกันคู่แข่งเข้ามาแข่งขัน เพราะถ้าคู่แข่งเริ่มเข้ามาก็จะทำให้ margin ที่สูงในอดีตค่อยๆลดลงส่งผลต่อกำไรสุทธิของบริษัท รวมไปถึงพึงระวังบางบริษัทที่กำไรมาจาก Stock gain เช่นบางบริษัทที่ขายถ่านหินเพราะอาจจะเกิด Stock losss ได้เช่นกัน
10.ซื้อเพราะเหตุผลอะไร ขายเพราะเหตุผลนั้น
11.บางทีถ้าถึงเวลากระโดด ก็ต้องกระโดดออกมา แม้ว่า ณ ขณะนั้นวิวทิวทัศน์ข้างทางนั้นยังสวยงามก็ตามที
12.สำหรับนักลงทุนมือใหม่นั้นแนะนำให้อ่าน 56-1 ของบริษัทรวมไปถึงฟัง Opporunity Day ของบริษัท เพื่อให้เข้าใจในตัวกิจการของบริษัทและควรอ่านข่าวที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเพราะอาจจะได้เจอข่าวที่ส่งผลต่อกำไรของบริษัทนั้นๆ
13.เราไม่ควรซื้อหุ้นของบริษัทที่คาดการณ์กำไรของบริษัทไม่ได้ โดยเราเองควรจะต้องศึกษาจนเข้าใจในตัวกิจการว่าที่มาของกำไรบริษัทนั้นมาจากปัจจัยอะไรบ้างเพื่อให้สามารถที่จะคาดการณ์กำไรของบริษัทนั้นๆซึ่งจะนำไปสู่การประเมินมูลค่าหุ้น
14.การที่จะซื้อหุ้นของบริษัทฟื้นตัวนั้นเราควรที่จะรอให้มันฟื้นตัวก่อน อย่ารีบไปซื้อตอนที่ยังฝุ่นตลบอยู่เพราะมีโอกาสที่บริษัทอาจจะไม่ฟื้นจริงๆก็ได้
15.คนที่อยากประสบความสำเร็จในระดับที่แตกต่างจากผู้อื่นนั้น เราควรจะต้องมีอะไรที่มากกว่าคนอื่น ๆ เช่นความขยันที่มากกว่า, สภาพจิตใจที่สุขุม รอบคอบ
16.คนเราถ้าประสบความสำเร็จในการลงทุนแล้วควรที่จะรู้จักแบ่งปัน, ตอบแทนกลับสู่สังคม
อาทิเช่นแบ่งปันความรู้, แบ่งปันทรัพย์สมบัติ
ขอขอบคุณ P’Ty, P’โจ, P’สุบัน, P’แมว, P’บัวดิน, P’วรพงษ์ ครับที่ได้ร่วมจัดงาน Meeting ที่มีประโยชน์ให้น้องๆทุกคน และขอขอบคุณ พี่นก,พี่ป๋อง, พี่จุ๋ย มากๆครับที่พาไปส่งที่สนามบินรวมไปถึงพาไปทานไก่ทอดหาดใหญ่ก่อนกลับด้วยครับ
รวมไปถึงยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นด้วยครับเช่นน้องโจ, พี่อนุสรณ์
ปล.ขอขอบคุณพี่วรพงษ์เป็นอย่างสูงครับที่เสียสละเวลามาอธิบายความรู้ให้หลายชั่วโมง เสียดายที่งวดนี้ไม่ค่อยได้ฟังพี่ Ty และพี่โจเท่าไรหวังว่าโอกาสหน้าคงได้ไปขอความรู้พี่ๆทุกท่านอีกครับ
earthcu/2 Sep 13
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
- simpleBE
- Verified User
- โพสต์: 2335
- ผู้ติดตาม: 0
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 315
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณครับ
-----------------------------------------
เกิดเหตุอะไร อย่าตื่นใจ ไปตามเขา
ปัญญาเรา มีหน้าที่ พิพากษา
ต้องดูน้ำ ดูลม ระดมมา
พิจารณา เชิงชั้น หมั่นตริตรอง
-----------------------------------------
ท่านพุทธทาสภิกขุ
เกิดเหตุอะไร อย่าตื่นใจ ไปตามเขา
ปัญญาเรา มีหน้าที่ พิพากษา
ต้องดูน้ำ ดูลม ระดมมา
พิจารณา เชิงชั้น หมั่นตริตรอง
-----------------------------------------
ท่านพุทธทาสภิกขุ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4254
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณ น้อง earthcu ที่สรุปมาได้อย่างดีมากครับ
ผมขออนุญาตขยายความ "ข้อ 4.สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในการลงทุน
คือสมการทบต้นของการลงทุน" สำหรับบางคนที่อาจมองภาพไม่ออก
สมการทบต้น:- จำนวนเงินสุดท้าย = เงินต้น x (1 x อัตราผลตอบแทนต่อปี%) ^ จำนวนปี
ยกตัวอย่าง สมมุติว่าระยะเวลาลงทุน 10 ปี vs 20 ปี อัตราผลตอบแทน 10% vs 20%
ต่อปีเฉลี่ยๆ เงินต้น 400,000 บาท vs 1,200,000 บาท
1. ในเวลาลงทุนกับอัตราผลตอบแทน เท่ากันที่ 10 ปี และ 10% แต่เงินต้นต่างกัน
เงินต้นที่ 400,000 บาทจะกลายเป็น 1.037 ล้าน ส่วน 1.2 ล้านกลายเป็น 3.112 ล้าน
นั่นคือเงินต้น เพิ่มสามเท่า เงินปลายก็เพิ่มสามเท่า นั่นเอง
2. เงินต้น 4 แสน เท่ากัน แต่เวลาลงทุนจาก 10 ปี เป็น 20 ปี อัตราผลตอบแทนเท่ากันที่ 10% เงิน 4 แสน ที่ 10 ปี กลายเป็น 1.037 ล้าน และที่ 20 ปี กลายเป็น 2.69 ล้าน เพิ่ม มากกว่า 2 เท่า มากกว่าเวลาที่เพิ่ม 2 เท่า
3. เงินต้น 4 แสนเท่ากัน เวลาลงทุนจากเป็น 10 ปี อัตราผลตอบแทน 10% vs 20%
ที่ 10% กลายเป็น 1.037 ล้าน และที่ 20% จะกลายเป็น 2.476 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า
สองเท่า มากกว่าอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นแค่ 2 เท่า
ดังนั้น เวลาลงทุนยิ่งนานยิ่งได้เปรียบ ผลตอบแทนเฉลี่ยยิ่งมากยิ่งได้เปรียบ
แต่ เวลา ทุกคนมีเหมือนๆ กัน (จริงๆ ก็ไม่เหมือนเพราะแต่ละคนมีอายุขัยไม่เท่ากัน)
แต่ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นเรื่องของฝีมือเป็นหลัก ที่ไม่เท่ากันแน่อน เพราะฉะนั้นจึง
สรุปได้ว่า คนเริ่มก่อนก็ย่อมได้เปรียบกว่าครับ
ผมขออนุญาตขยายความ "ข้อ 4.สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในการลงทุน
คือสมการทบต้นของการลงทุน" สำหรับบางคนที่อาจมองภาพไม่ออก
สมการทบต้น:- จำนวนเงินสุดท้าย = เงินต้น x (1 x อัตราผลตอบแทนต่อปี%) ^ จำนวนปี
ยกตัวอย่าง สมมุติว่าระยะเวลาลงทุน 10 ปี vs 20 ปี อัตราผลตอบแทน 10% vs 20%
ต่อปีเฉลี่ยๆ เงินต้น 400,000 บาท vs 1,200,000 บาท
1. ในเวลาลงทุนกับอัตราผลตอบแทน เท่ากันที่ 10 ปี และ 10% แต่เงินต้นต่างกัน
เงินต้นที่ 400,000 บาทจะกลายเป็น 1.037 ล้าน ส่วน 1.2 ล้านกลายเป็น 3.112 ล้าน
นั่นคือเงินต้น เพิ่มสามเท่า เงินปลายก็เพิ่มสามเท่า นั่นเอง
2. เงินต้น 4 แสน เท่ากัน แต่เวลาลงทุนจาก 10 ปี เป็น 20 ปี อัตราผลตอบแทนเท่ากันที่ 10% เงิน 4 แสน ที่ 10 ปี กลายเป็น 1.037 ล้าน และที่ 20 ปี กลายเป็น 2.69 ล้าน เพิ่ม มากกว่า 2 เท่า มากกว่าเวลาที่เพิ่ม 2 เท่า
3. เงินต้น 4 แสนเท่ากัน เวลาลงทุนจากเป็น 10 ปี อัตราผลตอบแทน 10% vs 20%
ที่ 10% กลายเป็น 1.037 ล้าน และที่ 20% จะกลายเป็น 2.476 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า
สองเท่า มากกว่าอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นแค่ 2 เท่า
ดังนั้น เวลาลงทุนยิ่งนานยิ่งได้เปรียบ ผลตอบแทนเฉลี่ยยิ่งมากยิ่งได้เปรียบ
แต่ เวลา ทุกคนมีเหมือนๆ กัน (จริงๆ ก็ไม่เหมือนเพราะแต่ละคนมีอายุขัยไม่เท่ากัน)
แต่ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นเรื่องของฝีมือเป็นหลัก ที่ไม่เท่ากันแน่อน เพราะฉะนั้นจึง
สรุปได้ว่า คนเริ่มก่อนก็ย่อมได้เปรียบกว่าครับ
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 98
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56
โพสต์ที่ 9
โห ขอบคุณพี่ Earthcu มากๆครับ สรุปออกมาได้ละเอียดเหมือนไปนั่งฟังในงานเลยครับ ผมขอเสริมในส่วนที่ผมจดมาครับ แต่หลักๆ พี่ Earthcu และ พี่ DR1 สรุปค่อนข้างได้ละเอียดดีมากๆอยู่แล้วครับ
- ภาวะตลาดตอนนี้ พี่โจบอกว่า สิ่งที่ห้ามทำโดยเด็ดขาดและถือว่าเป็นศีลที่สำคัญของ VI เลยคือ ห้ามขายและถือเงินสด
- ในทุกกรณีไม่ควรมีหุ้นน้อยกว่า 3ตัว(หลักเก้าอี้ 3 ขา) ถ้าพอร์ตน้อยกว่า 10 ล้าน ซัก 5 ตัวกำลังดี
-กระจายความเสี่ยงในการถือหุ้น เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะมีความเสี่ยงสองอย่างคือ 1. ความเสี่ยงตลาด (Market risk) อันนี้เดาไม่ได้ ตลาดรวมลงหมด เราก็ลง 2. ความเสี่ยงตัวธุรกิจ( Business Risk) อันนี้เราพอวิเคราะห์ได้ แต่พี่โจเตือนเรื่อง ธรรมาภิบาล ผบห. ซึ่งเราไม่มีวันรู้มาก่อน บางทีรู้ตัวก็ต่อเมื่อแขวน SP แล้ว ซึ่งนั่นก็ตอบโจทย์ที่พี่โจเตือนเรื่องการกระจายความเสี่ยงในการถือหุ้น
-ดูคุณภาพมากหน่อย แล้วค่อยดูปริมาณ เพราะคุณภาพจะเป็นเหตุของ ปริมาณ และปริมาณ(ผลกำไรบริษัท) จะส่งผลมาที่ราคาหุ้น
ส่วนของพี่ TY
- จะเน้น DCA มากหน่อย เน้นหุ้น แข็งแกร่ง เติบโต และราคาถูก (ถ้าไม่ถูก พี่TY บอกต้องรอ ถ้าเกิดตลาดแย่มากๆ ทำให้ได้ซื้อหุ้นประเภทนี้ในราคาถูก หรือเหมาะสม พี่TY บอกโอกาสรวยมาแล้ว และยกตัวอย่าง Buffet เอง พอร์ตใหญ่ และการจะเพิ่มผลตอบแทนได้ ก็ต้องรอได้ซื้อหุ้นในราคาที่มีส่วนลดมากๆ เช่น หุ้นแข็งแกร่งในตลาดปกติดีๆ trade ที่ P/E 40 เท่า แต่ถ้า mkt ปรับลด PE ลงมาครึ่งนึง 20 เท่า (พี่TY บอกโอกาสรวยมาอีกแล้ว ซื้อได้ โอกาสขาดทุนน้อย ผมเข้าใจว่า ราคามันไม่สามารถลงไปต่ำกว่าพื้นฐานของหุ้นที่แข็งแกร่ง และมี DCA ได้แล้ว แต่เราต้องศึกษาเองด้วยน่ะครับ ว่ามันดียังไง ผมเข้าใจอีกว่า อันนี้ต้องมีประสบการณ์ที่มากพอ และอ่านธุรกิจได้ขาดจริงอย่างพี่TY)
- หุ้นอีกประเภทที่พี่TY ชอบคือ หุ้นที่มีจุดเปลี่ยนครับ *แต่ระวังที่สุดคือ จุดเปลี่ยนนั้นเราต้องวิเคราะห์ให้ดี หลายๆครั้งหรือส่วนใหญ่คนจะคิดไปเองว่ามันมีจุดเปลี่ยนทั้งๆที่จริงๆแล้ว มีจุดเปลี่ยนที่ไม่จริง( คนคาดหวังสูง) ต้องวิเคราะห์ให้ดี
- ทุกคนเข้ามาอยู่ในตลาดหุ้น มีโอกาสหรือส่วนใหญ่ต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่ขาดทุน หรือเลวร้ายทั้งนั้น ทุกคนต้องเจอ (เหมือนสัจจะธรรมครับ) แต่คนที่สำเร็จ พี่TY พูดประมาณว่า คนนั้นเจ๊งแล้วลุกขึ้นใหม่ไม่ยอมแพ้ ยังคงลงทุนและคอยโอกาส สุดท้ายอึดและสามารถเดินถึงเส้นทางหรือเป้าหมายได้ สรุปเจ๊งได้ แต่คนสำเร็จคือคนยังเดินทางต่อ ไม่หยุดเดินเสียก่อน พี่โจเสริมว่า เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ไม่มีความปราณีประนอม มีทางเดียวเท่านั้น ฉะนั้นอย่าลังเล จงมุ่งมั่นในแนวทางที่ถูกต้อง ที่เคยมีคนทำสำเร็จแล้ว
ปล. ผมมือใหม่เช่นกันครับ ไม่เคยไปงานไหนๆมาก่อน ไม่ค่อยได้โพสต์เท่าไหร่ ผิดถูกประการใดขออภัยด้วยครับ แต่ผมอยากจะขอบคุณพี่ๆที่ใจดีทุกๆท่าน พี่TY พี่โจ พี่วรพงศ์ และพี่ๆท่านอื่นที่ได้เห็นหน้า ที่พอเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่มีโอกาสได้เข้าไปทักทาย แต่แค่ได้เห็น และรู้ว่าคนนี้เป็ฯใครผมก็ดีใจแล้วครับ เช่น พี่จรัญ พี่แมว พี่บัวดิน พี่IT พี่หมอหนึ่งที่ใจดีDR1 เสี่ยธีร์ที่พี่สายชลชอบเรียก ฮ่า... พี่ตี่ที่มาส่งผมที่สนามบินตอนกลับ พี่ Earthcu เทพแห่ง Lecture(ถ้าพี่โจไม่เดินมาแซว ผมคงไม่รู้ว่าเป็นพี่ ที่คอยแบ่งปันข้อมูลในหลายๆสัมมนาที่พี่ได้มีโอกาสไปร่วมมา) ยินดีที่ได้ไปร่วมงานครับ และยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ ขอบคุณครับ
- ภาวะตลาดตอนนี้ พี่โจบอกว่า สิ่งที่ห้ามทำโดยเด็ดขาดและถือว่าเป็นศีลที่สำคัญของ VI เลยคือ ห้ามขายและถือเงินสด
- ในทุกกรณีไม่ควรมีหุ้นน้อยกว่า 3ตัว(หลักเก้าอี้ 3 ขา) ถ้าพอร์ตน้อยกว่า 10 ล้าน ซัก 5 ตัวกำลังดี
-กระจายความเสี่ยงในการถือหุ้น เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะมีความเสี่ยงสองอย่างคือ 1. ความเสี่ยงตลาด (Market risk) อันนี้เดาไม่ได้ ตลาดรวมลงหมด เราก็ลง 2. ความเสี่ยงตัวธุรกิจ( Business Risk) อันนี้เราพอวิเคราะห์ได้ แต่พี่โจเตือนเรื่อง ธรรมาภิบาล ผบห. ซึ่งเราไม่มีวันรู้มาก่อน บางทีรู้ตัวก็ต่อเมื่อแขวน SP แล้ว ซึ่งนั่นก็ตอบโจทย์ที่พี่โจเตือนเรื่องการกระจายความเสี่ยงในการถือหุ้น
-ดูคุณภาพมากหน่อย แล้วค่อยดูปริมาณ เพราะคุณภาพจะเป็นเหตุของ ปริมาณ และปริมาณ(ผลกำไรบริษัท) จะส่งผลมาที่ราคาหุ้น
ส่วนของพี่ TY
- จะเน้น DCA มากหน่อย เน้นหุ้น แข็งแกร่ง เติบโต และราคาถูก (ถ้าไม่ถูก พี่TY บอกต้องรอ ถ้าเกิดตลาดแย่มากๆ ทำให้ได้ซื้อหุ้นประเภทนี้ในราคาถูก หรือเหมาะสม พี่TY บอกโอกาสรวยมาแล้ว และยกตัวอย่าง Buffet เอง พอร์ตใหญ่ และการจะเพิ่มผลตอบแทนได้ ก็ต้องรอได้ซื้อหุ้นในราคาที่มีส่วนลดมากๆ เช่น หุ้นแข็งแกร่งในตลาดปกติดีๆ trade ที่ P/E 40 เท่า แต่ถ้า mkt ปรับลด PE ลงมาครึ่งนึง 20 เท่า (พี่TY บอกโอกาสรวยมาอีกแล้ว ซื้อได้ โอกาสขาดทุนน้อย ผมเข้าใจว่า ราคามันไม่สามารถลงไปต่ำกว่าพื้นฐานของหุ้นที่แข็งแกร่ง และมี DCA ได้แล้ว แต่เราต้องศึกษาเองด้วยน่ะครับ ว่ามันดียังไง ผมเข้าใจอีกว่า อันนี้ต้องมีประสบการณ์ที่มากพอ และอ่านธุรกิจได้ขาดจริงอย่างพี่TY)
- หุ้นอีกประเภทที่พี่TY ชอบคือ หุ้นที่มีจุดเปลี่ยนครับ *แต่ระวังที่สุดคือ จุดเปลี่ยนนั้นเราต้องวิเคราะห์ให้ดี หลายๆครั้งหรือส่วนใหญ่คนจะคิดไปเองว่ามันมีจุดเปลี่ยนทั้งๆที่จริงๆแล้ว มีจุดเปลี่ยนที่ไม่จริง( คนคาดหวังสูง) ต้องวิเคราะห์ให้ดี
- ทุกคนเข้ามาอยู่ในตลาดหุ้น มีโอกาสหรือส่วนใหญ่ต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่ขาดทุน หรือเลวร้ายทั้งนั้น ทุกคนต้องเจอ (เหมือนสัจจะธรรมครับ) แต่คนที่สำเร็จ พี่TY พูดประมาณว่า คนนั้นเจ๊งแล้วลุกขึ้นใหม่ไม่ยอมแพ้ ยังคงลงทุนและคอยโอกาส สุดท้ายอึดและสามารถเดินถึงเส้นทางหรือเป้าหมายได้ สรุปเจ๊งได้ แต่คนสำเร็จคือคนยังเดินทางต่อ ไม่หยุดเดินเสียก่อน พี่โจเสริมว่า เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ไม่มีความปราณีประนอม มีทางเดียวเท่านั้น ฉะนั้นอย่าลังเล จงมุ่งมั่นในแนวทางที่ถูกต้อง ที่เคยมีคนทำสำเร็จแล้ว
ปล. ผมมือใหม่เช่นกันครับ ไม่เคยไปงานไหนๆมาก่อน ไม่ค่อยได้โพสต์เท่าไหร่ ผิดถูกประการใดขออภัยด้วยครับ แต่ผมอยากจะขอบคุณพี่ๆที่ใจดีทุกๆท่าน พี่TY พี่โจ พี่วรพงศ์ และพี่ๆท่านอื่นที่ได้เห็นหน้า ที่พอเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่มีโอกาสได้เข้าไปทักทาย แต่แค่ได้เห็น และรู้ว่าคนนี้เป็ฯใครผมก็ดีใจแล้วครับ เช่น พี่จรัญ พี่แมว พี่บัวดิน พี่IT พี่หมอหนึ่งที่ใจดีDR1 เสี่ยธีร์ที่พี่สายชลชอบเรียก ฮ่า... พี่ตี่ที่มาส่งผมที่สนามบินตอนกลับ พี่ Earthcu เทพแห่ง Lecture(ถ้าพี่โจไม่เดินมาแซว ผมคงไม่รู้ว่าเป็นพี่ ที่คอยแบ่งปันข้อมูลในหลายๆสัมมนาที่พี่ได้มีโอกาสไปร่วมมา) ยินดีที่ได้ไปร่วมงานครับ และยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ ขอบคุณครับ
How not to be your own worst enemy
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4254
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56
โพสต์ที่ 11
ขอบคุณน้อง GG ด้วยครับ สรุปเพิ่มเติมได้ดีมากครับ
ต่อไปขอขยายความข้อที่ "6.ห้ามขายหุ้น ตอนราคาหุ้นถูกๆเพื่อไปถือเป็นเงินสดเด็ดขาด"
ข้อนี้ ท่านอาจารย์โจ ลูกอิสาน ได้เคยพูดมาแล้วหลายครั้ง ว่า "ลงลิฟท์ แต่อย่าขึ้นบันได"
ในช่วงที่หุ้นราคาตกมามากๆ เหมือนลงลิฟท์ ดังนั้นหากเราขายหุ้น (ที่ยังดีอยู่
คือพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว และยังมั่นใจได้ว่ามันยังดี) ที่ราคาลงมาเยอะ แล้วไปถือเงินสด
หากตลาดขึ้นมาใหม่ เราก็จะได้แต่ยืนมอง หรือขายไปแล้วเอาไปซื้อหุ้น Defensive
อาทิ RATCH, EGCO ซึ่งมันขึ้นช้ามาก ก็เหมือนขึ้นบันได แต่ความยากก็คือ เราต้อง
มีความรู้และความมั่นใจเพียงพอว่าเราวิเคราะห์แล้วว่าหุ้นเราที่ลงมาเยอะเป็นการลง
ตามตลาดอย่างเดียว ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐาน ส่วนใหญ่ที่มีประสบการณ์ของ
ตนเอง คือเรามักจะตื่นตระหนกแล้วขายหุ้นดีๆ ออกไปในช่วงที่ตลาดลงมา
ต่อไปขอขยายความข้อที่ "6.ห้ามขายหุ้น ตอนราคาหุ้นถูกๆเพื่อไปถือเป็นเงินสดเด็ดขาด"
ข้อนี้ ท่านอาจารย์โจ ลูกอิสาน ได้เคยพูดมาแล้วหลายครั้ง ว่า "ลงลิฟท์ แต่อย่าขึ้นบันได"
ในช่วงที่หุ้นราคาตกมามากๆ เหมือนลงลิฟท์ ดังนั้นหากเราขายหุ้น (ที่ยังดีอยู่
คือพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว และยังมั่นใจได้ว่ามันยังดี) ที่ราคาลงมาเยอะ แล้วไปถือเงินสด
หากตลาดขึ้นมาใหม่ เราก็จะได้แต่ยืนมอง หรือขายไปแล้วเอาไปซื้อหุ้น Defensive
อาทิ RATCH, EGCO ซึ่งมันขึ้นช้ามาก ก็เหมือนขึ้นบันได แต่ความยากก็คือ เราต้อง
มีความรู้และความมั่นใจเพียงพอว่าเราวิเคราะห์แล้วว่าหุ้นเราที่ลงมาเยอะเป็นการลง
ตามตลาดอย่างเดียว ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐาน ส่วนใหญ่ที่มีประสบการณ์ของ
ตนเอง คือเรามักจะตื่นตระหนกแล้วขายหุ้นดีๆ ออกไปในช่วงที่ตลาดลงมา
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4254
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56
โพสต์ที่ 14
ขอบคุณครับคุณ f.escape
เดิม
สมการทบต้น:- จำนวนเงินสุดท้าย = เงินต้น x (1 x อัตราผลตอบแทนต่อปี%) ^ จำนวนปี
แก้เป็น
สมการทบต้น:- จำนวนเงินสุดท้าย = เงินต้น x (1 + อัตราผลตอบแทนต่อปี%) ^ จำนวนปี
ตัวอย่าง ผลตอบแทนเฉลี่ย 15% (=15/100) ต่อปี จำนวนปี 10 ปี เงินต้น 4 แสนบาท
จำนวนเงินสุดท้าย = 400,000 x (1 + 15/100) ^ 10 = 400,000 x (1.15) ^10
เดิม
สมการทบต้น:- จำนวนเงินสุดท้าย = เงินต้น x (1 x อัตราผลตอบแทนต่อปี%) ^ จำนวนปี
แก้เป็น
สมการทบต้น:- จำนวนเงินสุดท้าย = เงินต้น x (1 + อัตราผลตอบแทนต่อปี%) ^ จำนวนปี
ตัวอย่าง ผลตอบแทนเฉลี่ย 15% (=15/100) ต่อปี จำนวนปี 10 ปี เงินต้น 4 แสนบาท
จำนวนเงินสุดท้าย = 400,000 x (1 + 15/100) ^ 10 = 400,000 x (1.15) ^10
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 63
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56
โพสต์ที่ 17
ขอบคุณมากครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 65
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56
โพสต์ที่ 18
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเพิ่มเติมจากงานนี้
ในช่วงที่ผ่านมาตลาดลงหนัก, ถ้านักลงทุนท่านไหน ปิดจอ เลิกอ่านนสพ เลิกหาความรู้ ท่านไม่เหมาะเป็นนักลงทุน
จำมาจากพี่Ty
ราคาหุ้นเหมือนเล่นเกมตีตัวตุ๋น ถ้าตัวไหนราคาขึ้นมามากโผล่ขึ้นมา เราก็ตี แล้ว เราไปซื้อตัวใหม่ที่ราคาถูกๆ รอตัวตุ๋นโผล่ขึ้นมาเราก็ตีใหม่
จำมาจากพี่โจ
การลงทุนของผมสบายๆ ปล่อยให้โตขึ้นเรื่อยๆไปอีกสามปีห้าปี
- Price/Cash flow ยิ่งน้อยยิ่งดี
- ลงทุนในบ.เป็นที่ยอมรับว่าเป็นผู้นำในอุตฯนั้นๆ โดยไม่สงสัย
จำมาจากพี่วรพงศ์
ในช่วงที่ผ่านมาตลาดลงหนัก, ถ้านักลงทุนท่านไหน ปิดจอ เลิกอ่านนสพ เลิกหาความรู้ ท่านไม่เหมาะเป็นนักลงทุน
จำมาจากพี่Ty
ราคาหุ้นเหมือนเล่นเกมตีตัวตุ๋น ถ้าตัวไหนราคาขึ้นมามากโผล่ขึ้นมา เราก็ตี แล้ว เราไปซื้อตัวใหม่ที่ราคาถูกๆ รอตัวตุ๋นโผล่ขึ้นมาเราก็ตีใหม่
จำมาจากพี่โจ
การลงทุนของผมสบายๆ ปล่อยให้โตขึ้นเรื่อยๆไปอีกสามปีห้าปี
- Price/Cash flow ยิ่งน้อยยิ่งดี
- ลงทุนในบ.เป็นที่ยอมรับว่าเป็นผู้นำในอุตฯนั้นๆ โดยไม่สงสัย
จำมาจากพี่วรพงศ์
-
- Verified User
- โพสต์: 874
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56
โพสต์ที่ 19
เจ๋งจ๊าบไปเรย..
ขอบคุณทั้ง
ท่านearthcu(อย่าลืมรายการขอนแก่น เหมือนที่ท่านTLSSจดมาให้จากพิโลก นะครับ)
ท่าน syj
ท่าน GG(นึกถึงgreat and growth stockคำสอนอ.นิเวศน์ครับ)
ท่านpaperpong
และท่านอื่นๆท่ีจะมาเติมให้พวกเราได้อ่านทบทวนนะครับ
ผมมัวแต่ซับน้ำตา(ตอนดูผอท)
กะปาดน้ำลาย(ตอนดูกระดาน)
เลยแทบไม่ได้จดมาเท่าไรครับ ฮือ..ฮือ..
ขอบคุณทั้ง
ท่านearthcu(อย่าลืมรายการขอนแก่น เหมือนที่ท่านTLSSจดมาให้จากพิโลก นะครับ)
ท่าน syj
ท่าน GG(นึกถึงgreat and growth stockคำสอนอ.นิเวศน์ครับ)
ท่านpaperpong
และท่านอื่นๆท่ีจะมาเติมให้พวกเราได้อ่านทบทวนนะครับ
ผมมัวแต่ซับน้ำตา(ตอนดูผอท)
กะปาดน้ำลาย(ตอนดูกระดาน)
เลยแทบไม่ได้จดมาเท่าไรครับ ฮือ..ฮือ..
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 874
- ผู้ติดตาม: 1
Re: สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56
โพสต์ที่ 20
เจ๋งจ๊าบไปเรย..
ขอบคุณทั้ง
ท่านearthcu(อย่าลืมรายการขอนแก่น เหมือนที่ท่านTLSSจดมาให้จากพิโลก นะครับ)
ท่าน syj
ท่าน GG(นึกถึงgreat and growth stockคำสอนอ.นิเวศน์ครับ)
ท่านpaperpong
และท่านอื่นๆท่ีจะมาเติมให้พวกเราได้อ่านทบทวนนะครับ
ผมมัวแต่ซับน้ำตา(ตอนดูผอท)
กะปาดน้ำลาย(ตอนดูกระดาน)
เลยแทบไม่ได้จดมาเท่าไรครับ ฮือ..ฮือ..
ขอบคุณทั้ง
ท่านearthcu(อย่าลืมรายการขอนแก่น เหมือนที่ท่านTLSSจดมาให้จากพิโลก นะครับ)
ท่าน syj
ท่าน GG(นึกถึงgreat and growth stockคำสอนอ.นิเวศน์ครับ)
ท่านpaperpong
และท่านอื่นๆท่ีจะมาเติมให้พวกเราได้อ่านทบทวนนะครับ
ผมมัวแต่ซับน้ำตา(ตอนดูผอท)
กะปาดน้ำลาย(ตอนดูกระดาน)
เลยแทบไม่ได้จดมาเท่าไรครับ ฮือ..ฮือ..
samatah
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 152
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56
โพสต์ที่ 30
ขอบคุณครับ