เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
-
- Verified User
- โพสต์: 443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 91
เวลาคนอื่นว่าเรา เขาว่าเพียงครั้งเดียว
แต่เวลาเราคิดถึงขึ้นมาแล้วโกรธ มันเป็นสิบๆครั้ง
ถ้าเคยหัดดูจิตตัวเองบ่อยๆ จะเห็นมันโกรธเอง มันไม่ได้ตั้งใจจะโกรธ
มันบังคับไม่ให้โกรธไม่ได้ เพราะความจริงมันเป็นอย่างนั้น
เคยกำลังจะโกรธลูกแล้วมันเห็น มันก็หายไปเลย ปากที่กำลังจะพูดมันก็หยุดไปเลย
มันแปลกสำหรับตัวเองที่ว่า ความรู้สึกที่เห็นมันยังไม่ใช่ความโกรธ มันเป็นอะไรที่ก่อนจะโกรธด้วยซ้ำ
แต่เวลาเราคิดถึงขึ้นมาแล้วโกรธ มันเป็นสิบๆครั้ง
ถ้าเคยหัดดูจิตตัวเองบ่อยๆ จะเห็นมันโกรธเอง มันไม่ได้ตั้งใจจะโกรธ
มันบังคับไม่ให้โกรธไม่ได้ เพราะความจริงมันเป็นอย่างนั้น
เคยกำลังจะโกรธลูกแล้วมันเห็น มันก็หายไปเลย ปากที่กำลังจะพูดมันก็หยุดไปเลย
มันแปลกสำหรับตัวเองที่ว่า ความรู้สึกที่เห็นมันยังไม่ใช่ความโกรธ มันเป็นอะไรที่ก่อนจะโกรธด้วยซ้ำ
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 92
ผมเคยไปปรึกษา แพทย์ทางเลือก ท่านเป็น เยอรมัน นะครับ
ถึงอาการความเครียด สุขภาพจิต ปัญหานอนไม่หลับ และปัญหาของผม มันเป็นปัญหาปีข้ามปี ผ่านมาหลายปีจนเกือบ ยี่สิบปี ที่ผมทำงานหนักติดต่อกัน
หลังจากคุยกันอยู่พักนึง ท่านบอกว่า ปัญหาทุกอย่างต้องได้รับการแก้ไขที่ต้นเหตุ ท่านแนะนำให้ผมลาออกจากงาน
ผมก็ไม่ได้ทำตามท่านบอกนะครับ แต่เลือกที่จะปฏิบัติธรรม พร้อม ๆ กับทำงานไปด้วย อ่านทราบ แต่รู้ไม่เท่าทันจิต โกรธ หดหู่ กังวล สิ้นหวัง มีหวัง สลับกันไป
กำลังฝึก ๆ ๆ ท่านใดมีคำแนะนำเพิ่มยินดีมากนะครับ
ถึงอาการความเครียด สุขภาพจิต ปัญหานอนไม่หลับ และปัญหาของผม มันเป็นปัญหาปีข้ามปี ผ่านมาหลายปีจนเกือบ ยี่สิบปี ที่ผมทำงานหนักติดต่อกัน
หลังจากคุยกันอยู่พักนึง ท่านบอกว่า ปัญหาทุกอย่างต้องได้รับการแก้ไขที่ต้นเหตุ ท่านแนะนำให้ผมลาออกจากงาน
ผมก็ไม่ได้ทำตามท่านบอกนะครับ แต่เลือกที่จะปฏิบัติธรรม พร้อม ๆ กับทำงานไปด้วย อ่านทราบ แต่รู้ไม่เท่าทันจิต โกรธ หดหู่ กังวล สิ้นหวัง มีหวัง สลับกันไป
กำลังฝึก ๆ ๆ ท่านใดมีคำแนะนำเพิ่มยินดีมากนะครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 93
แบบผมนะครับ เวลาทำงานก็ทำไปตามปกติ เวลาไม่ได้ทำงานหรือช่วงเวลาที่ไม่ได้ใช้ความคิด ลองบริกรรมพุทโธไปก่อนครับ แรกๆจะยากเพราะมักจะหลงไปคิดตลอด แต่ถ้าชำนานขึ้นสติก็จะดีขึ้นพอทำไปนานๆจนชำนานแล้วทีนี้พอไปโกรธหรือไปคิดอะไรก็จะรู้ตลอดNevercry.boy เขียน:ผมเคยไปปรึกษา แพทย์ทางเลือก ท่านเป็น เยอรมัน นะครับ
ถึงอาการความเครียด สุขภาพจิต ปัญหานอนไม่หลับ และปัญหาของผม มันเป็นปัญหาปีข้ามปี ผ่านมาหลายปีจนเกือบ ยี่สิบปี ที่ผมทำงานหนักติดต่อกัน
หลังจากคุยกันอยู่พักนึง ท่านบอกว่า ปัญหาทุกอย่างต้องได้รับการแก้ไขที่ต้นเหตุ ท่านแนะนำให้ผมลาออกจากงาน
ผมก็ไม่ได้ทำตามท่านบอกนะครับ แต่เลือกที่จะปฏิบัติธรรม พร้อม ๆ กับทำงานไปด้วย อ่านทราบ แต่รู้ไม่เท่าทันจิต โกรธ หดหู่ กังวล สิ้นหวัง มีหวัง สลับกันไป
กำลังฝึก ๆ ๆ ท่านใดมีคำแนะนำเพิ่มยินดีมากนะครับ
เวลาเคลื่อนไหวในอริยาบทต่างๆ(กิน เดิน นั่งนอน แกว่งแขน )ก็ให้มีสติรู้ตัวตลอด
ตอนเย็นตอนเช้าถ้ามีเวลาให้สวดมนต์ไหว้พระครับ พยายามทำทุกวัน ถ้ามีเวลาทำสมาธิได้ก็ทำไปด้วยครับ
ศีล5 ต้องรักษาเท่าชีวิตเลยครับ นิดๆหน่อยอย่าไปยอม ถ้าศีลไม่มีภาวนายากนะครับ จะดีขึ้นยาก
พยายามนึกถึงความตายบ่อยๆ จะได้ไม่ยึดมั่นถือมั่น เห็นคนอื่นก็รู้ว่าเค้าเป็นเพื่อนตายเหมือนกับเรา เสมอกันด้วยความตาย
มองดูลูกน้องด้วยความเมตตา ใช้อุบายช่วยคิดไปในทางที่เมตตา เช่นถ้าเค้าฉลาดเค้าคงไม่มาเป็นลูกน้องเรา ถ้าเราดีจริงเราก็คงไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้(คงนิพพานไปแล้ว) เอาใจเขามาใส่ใจเราฯลฯ
ส่วนทำยังไงไม่ให้โกรธ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับอุบายของเรา แต่ความโกรธละยากเราไม่ได้เป็นพระอนาคามียังไงต้องมีแน่ๆ ถ้าไม่ไหวจริงๆก็ต้องใช้วิธีข่มครับ
ต้องทำบ่อยๆนะครับ ของแบบนี้ต้องฝึกกันนาน ต้องอดทนจริงๆ
พูดถึงเรื่องโกรธ จำได้เมื่อปีที่แล้วไปกราบหลวงพ่อตั๋นประมาณเดือนสค. ที่วัดบุญญาวาสมีโยมถามท่านว่าจะดูได้อย่างไรว่าพระองค์ไหนเป็นพระอรหันต์ ท่านก็เลยเล่าถึงหลวงปู่ชา เรื่องมีอยู่ว่าวันนึงหลวงปู่เดินไปที่ศาลาเจอกระติกน้ำ (เป็นกระติกแบบโบราณลายสก็อต )ท่านเห็นวางอยู่ มีคราบน้ำ้โอเลี้ยงติดอยู่ (แสดงว่าพระคงฉันแล้วลืมล้างลืมเอาไปเก็บ) หลวงปู่เห็นก็เอาไม้เท้าฟาดกระติกกระเด็นไปไกลเลย พระที่อยู่ใกล้ๆตาค้างเป็นแถว เรื่องที่สอง ตอนที่ท่านไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาด(อยู่กับหลวงตามหาบัว) วันนึงตอนเช้าท่านกำลังจะฉัน มีคุณนายสองคนนั่งรถเก๋งมา มือถือถาดอาหารมาด้วย(คงเป็นอาหารอย่างดี) พอมาถึงศาลาก็รีบบอกหลวงตาว่า อย่าเพิ่งฉันเจ้าค่ะรออาหารพิเศษก่อน หลวงตาหันมาแล้วตวาดว่า นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมเพิ่งมา! (โยมสองคนนั้นจ๋อยเลย) ถ้าเป็นเราอยู่ในเหตุการณ์ทั้งสองเราก็ต้องคิดตามประสาเราๆว่า โห หลวงตาโกรธ? (ไหนว่าเป็นพระอรหันต์ ทำไมโกรธ) ใช่ไหมครับ ความจริงท่านไม่ได้โกรธนะครับ ท่านแสดงให้ดูต่างหาก(ทำเป็นโกรธ)
จริงๆมีเรื่องสนุกๆอีกเยอะนะครับ แต่ไม่สะดวกที่จะเล่า ผมขี้เกียจพิมพ์ครับ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 94
ถือเป็นเกียรตินะครับที่คุณcobain_vi มาให้คำแนะนำ ร้อยรู้ไม่สู้หนึ่งทำ ผมขออ่านและย่อยความคิดและคำแนะนำก่อนอันมีค่ามากๆจากนักปฏิบัติจริงอย่างคุณ cobain_vi ครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 95
มาพิจารณาดูแล้ว ก็คงเหมือนท่าน อ.เด็กใหม่ ไม่รู้จะเล่าการปฏิบัติยังไงเหมือนกัน ด้วยหลายๆปัจจัย ผมว่าการพูดคุยในกระทู้แบบนี้มันเป็นการสื่อสารทางเดียว มันไม่ได้อารมณ์ในการพูดคุย เราก็ไม่ใช่พระด้วย แล้วคนเข้ามาใน web นี้ก็ไม่ได้มุ่งมาหาธรรมอยู่แล้วครับ มาเพราะหาเงินทั้งนั้น แล้วใน web นี้เอง ผมก็ว่ามีผู้รู้เยอะแยะกว่าผมมากเกรงว่าจะเป็นการสอนหนังสือสังฆราชครับ ทั้งทางโลกและทางธรรม
ถ้าหลักทำให้รวยนี่มีเต็ม web นี้ไปหมด แล้วถ้าเอาหลักวิชาทางธรรม หลักปฏิบัติ ก็หาได้ตาม web site หรือหนังสือธรรมอื่นๆ ทั่วไปอยู่แล้ว แบบที่ใครๆ ก็รู้กันว่าต้อง ทำสมถภาวนา ทำวิปัสสนาภาวนา ให้รู้รูปรู้นาม รู้ลงปัจจุบันอะไรทำนองนี้ บางสำนักก็บอกให้ดูลมหายใจ บางสำนักก็ให้ดูจิต ให้ดูกาย ให้ดูอสุภะ ให้ดูเวทนา ให้ดูขันธ์ หรืออะไรก็ว่ากันไป แล้วแต่ครูบาอาจารย์จะถนัดแบบไหน ท่านก็สอนไปแบบนั้น จะให้เหมือนกันคงไม่ได้ แต่โดยใจความแล้วทุกอาจารย์ ต้องสอนมาให้ดูที่ตัวเองเป็นหลักแล้วให้ดูอย่างใดอย่างหนึ่งในสติปัฏฐาน 4 นั่นแหละ ใครจะปฏิบัติอันไหน ถ้าทำถูกมันจะลงไปที่เดียวกันครับ
การปฏิบัติธรรมก็เหมือนเดินทางขึ้นยอดเขา มันก็มีหลายทาง แต่ไม่ใช่บอกว่ามีมรรค 8 แล้วทางจะแยกเป็น 8 ทางนะครับ แต่ในหลายๆ ทางนั้นทุกทางมีมรรค 8 รวมอยู่ทุกทาง แล้วแต่ใครถนัดแบบไหนมากกว่า ให้ผมไปอ่านพระไตรปิฏก ไปเรียนเปรียญธรรม เรียนอภิธรรมอะไรแบบนี้ไม่ไหวครับ ไปท่องศัพท์อะไรยากนี่ก็ไม่ไหวนะครับ ธรรมของพระพุทธองค์ในความเข้าใจผมคือมันต้องง่าย คนไม่รู้มาฟังแล้วก็รู้ได้เลย เข้าใจได้ทันที ผมคิดแค่ว่าก็พระพุทธเจ้าบอกให้เราแล้ว เราก็แค่ทำตามท่าน ดูอย่างพระอรหันต์ในพระสูตรสิ ท่านไม่เห็นปฏิบัติยากแบบเราเลย ทำไมเราต้องมาทำยากๆ ด้วย ฟังปั้ปเข้าใจ สติตั้งมั่น พิจารณามาเทียบกับตัวเอง ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน เกิดการรวมกันของอริยมรรค ทำได้ จบเลย ส่วนองค์ที่ทำแบบยากๆ เราก็อย่าไปเลียนแบบท่าน ท่านเก่งทำแบบนั้น เราทำตามไม่ได้ ไม่ไหว ไม่เหมือนสอบหนังสือนี่ครับที่ต้องตอบคำถามเหมือนกันหมด คือเราหาธรรมดังนั้นเราน่าจะเลือกได้ ก็ต้องเอาที่ทำง่ายๆ ไว้ก่อน เพราะสุดท้ายก็มีเป้าหมายคือสิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งนั้น และผมว่าของดีต้องง่าย เหมือนเราดูงบการเงิน งบไหนดูยากๆ ซับซ้อนนี้ก็ไม่ไหว แต่คนเก่งๆ เขาก็ทำได้ ก็ปล่อยเขาไป เราเอาที่เราเข้าใจ เหมือนเราเลือกหุ้นที่เราเข้าใจอะไรแบบไหนก็เอาแบบนั้น อันไหนยากก็ไม่เอาครับ เพราะเป้าหมายสุดท้ายจะไปที่เดียวกันคือไปรวยอะไรแบบนี้ครับ
เพราะไม่ว่าจะเจริญธรรมมาแบบไหน ปัญญามาก่อน ศีลมาก่อน สมถะมาก่อน วิปัสสนาหลัง หรืออะไรก่อนหลังก็สุดแล้วแต่ เถียงกันไปเหนื่อยเปล่า ไปปฏิบัติดีกว่า ใครถนัดแบบไหนก็ทำไปครับ ธรรมไม่มีอะไรก่อนหลังอยู่แล้ว เพราะท้ายสุดต้องพิจารณาให้เห็นพระไตรลักษณ์ ในทุกๆ สิ่ง โดยเฉพาะในตัวเองว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน ไม่มีอะไรให้ยึดมั่นถือมั่น
ถ้าหลักทำให้รวยนี่มีเต็ม web นี้ไปหมด แล้วถ้าเอาหลักวิชาทางธรรม หลักปฏิบัติ ก็หาได้ตาม web site หรือหนังสือธรรมอื่นๆ ทั่วไปอยู่แล้ว แบบที่ใครๆ ก็รู้กันว่าต้อง ทำสมถภาวนา ทำวิปัสสนาภาวนา ให้รู้รูปรู้นาม รู้ลงปัจจุบันอะไรทำนองนี้ บางสำนักก็บอกให้ดูลมหายใจ บางสำนักก็ให้ดูจิต ให้ดูกาย ให้ดูอสุภะ ให้ดูเวทนา ให้ดูขันธ์ หรืออะไรก็ว่ากันไป แล้วแต่ครูบาอาจารย์จะถนัดแบบไหน ท่านก็สอนไปแบบนั้น จะให้เหมือนกันคงไม่ได้ แต่โดยใจความแล้วทุกอาจารย์ ต้องสอนมาให้ดูที่ตัวเองเป็นหลักแล้วให้ดูอย่างใดอย่างหนึ่งในสติปัฏฐาน 4 นั่นแหละ ใครจะปฏิบัติอันไหน ถ้าทำถูกมันจะลงไปที่เดียวกันครับ
การปฏิบัติธรรมก็เหมือนเดินทางขึ้นยอดเขา มันก็มีหลายทาง แต่ไม่ใช่บอกว่ามีมรรค 8 แล้วทางจะแยกเป็น 8 ทางนะครับ แต่ในหลายๆ ทางนั้นทุกทางมีมรรค 8 รวมอยู่ทุกทาง แล้วแต่ใครถนัดแบบไหนมากกว่า ให้ผมไปอ่านพระไตรปิฏก ไปเรียนเปรียญธรรม เรียนอภิธรรมอะไรแบบนี้ไม่ไหวครับ ไปท่องศัพท์อะไรยากนี่ก็ไม่ไหวนะครับ ธรรมของพระพุทธองค์ในความเข้าใจผมคือมันต้องง่าย คนไม่รู้มาฟังแล้วก็รู้ได้เลย เข้าใจได้ทันที ผมคิดแค่ว่าก็พระพุทธเจ้าบอกให้เราแล้ว เราก็แค่ทำตามท่าน ดูอย่างพระอรหันต์ในพระสูตรสิ ท่านไม่เห็นปฏิบัติยากแบบเราเลย ทำไมเราต้องมาทำยากๆ ด้วย ฟังปั้ปเข้าใจ สติตั้งมั่น พิจารณามาเทียบกับตัวเอง ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน เกิดการรวมกันของอริยมรรค ทำได้ จบเลย ส่วนองค์ที่ทำแบบยากๆ เราก็อย่าไปเลียนแบบท่าน ท่านเก่งทำแบบนั้น เราทำตามไม่ได้ ไม่ไหว ไม่เหมือนสอบหนังสือนี่ครับที่ต้องตอบคำถามเหมือนกันหมด คือเราหาธรรมดังนั้นเราน่าจะเลือกได้ ก็ต้องเอาที่ทำง่ายๆ ไว้ก่อน เพราะสุดท้ายก็มีเป้าหมายคือสิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งนั้น และผมว่าของดีต้องง่าย เหมือนเราดูงบการเงิน งบไหนดูยากๆ ซับซ้อนนี้ก็ไม่ไหว แต่คนเก่งๆ เขาก็ทำได้ ก็ปล่อยเขาไป เราเอาที่เราเข้าใจ เหมือนเราเลือกหุ้นที่เราเข้าใจอะไรแบบไหนก็เอาแบบนั้น อันไหนยากก็ไม่เอาครับ เพราะเป้าหมายสุดท้ายจะไปที่เดียวกันคือไปรวยอะไรแบบนี้ครับ
เพราะไม่ว่าจะเจริญธรรมมาแบบไหน ปัญญามาก่อน ศีลมาก่อน สมถะมาก่อน วิปัสสนาหลัง หรืออะไรก่อนหลังก็สุดแล้วแต่ เถียงกันไปเหนื่อยเปล่า ไปปฏิบัติดีกว่า ใครถนัดแบบไหนก็ทำไปครับ ธรรมไม่มีอะไรก่อนหลังอยู่แล้ว เพราะท้ายสุดต้องพิจารณาให้เห็นพระไตรลักษณ์ ในทุกๆ สิ่ง โดยเฉพาะในตัวเองว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน ไม่มีอะไรให้ยึดมั่นถือมั่น
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 96
เอาเป็นว่าสรุปเลยละกัน ผมก็ได้มาพิจารณาธรรมจากการเห็นหุ้นขึ้นๆลงๆ เนี้ยแหละครับ เฮ้ย มีเงินเยอะๆ นี่มันไม่ยั่งยืนเลยนะ มีเงินเยอะๆ จะช่วยอะไรเราได้บ้างนะ ทางโลกนี้นะเหรอ โห เยอะเลย จ้างผีให้โม่แป้งยังได้เลย แต่หลายอย่างเงินก็ซื้อไม่ได้นะ อ้าวแล้วถ้าตายไปละ อะไรนะที่จะมาเป็นที่พึ่งเราได้ เงินเหรอ พ่อแม่เหรอ ภรรยาเหรอ เพื่อนเหรอ ลูกเหรอ ตัวเองเหรอ ญาติเหรอ อย่างมากคงช่วยเอาไปเผาไปผังให้ได้ เพื่อไม่ให้เน่าเหม็นเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป เป็นพวกคิดมากนะ ก็คิดพิจารณาไปเรื่อยๆ นะครับ คือฟุ้งซ่านนั้นเอง 5555 ตายแล้วเราจะเป็นยังไงนะ เราเป็นพุทธมาตั้งแต่เกิดนะก็เชื่ออยู่บ้าง หลังตายจะเป็นไง ผมว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมด กลัวตายทั้งนั้นแหละ เมื่อก่อนผมก็กลัวตาย ก็คิดพิจารณาไปจะพึ่งอะไรได้นะ ก็มาศึกษาธรรมเนี้ยแหละครับ ก็ได้คำตอบ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าจะตายแล้วไปไหน ไปเป็นอะไร แต่ตอนนี้เราไม่กลัวที่จะตายแล้ว เรามั่นใจได้
ทุกวันนี้ถ้าใครถามจะตอบได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าเป็นพุทธ ก่อนหน้าเป็นพุทธตามทะเบียนบ้านมานาน แต่คราวนี้เลือกที่จะเป็น เป็นมาจากใจเลย มั่นใจเลย ถ้าจะตายเราทำดียังไงเราตายดีแน่นอน เพราะปฏิบัติแล้วเราก็ได้ปฏิเวธ ได้ความเชื่อมั่น แม้ว่าจะไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า แต่ก็มั่นใจว่าท่านมีจริง เพราะธรรมที่ท่านบอกนั้นยังมีอยู่จริง แล้วก็มีผู้ปฏิบัติตาม มีพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทำตามท่านได้ยังมีอยู่ ตอนนี้ผมจึงมีที่พึ่งที่ระลึกแล้ว มีพุทธังสรณังคัจฉามิ มีธัมมังสรณังคัจฉามิ มีสังฆังสรณังคัจจฉามิ เป็นที่พึ่งที่ระลึก ซึ่งที่จริงก็คือมีตนเองเป็นที่พึ่ง เพราะท่านบอกว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนนั้นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน คือต้องทำเอาเอง ไม่มีใครช่วยใครได้ เหมือนเราขึ้นเครื่องบิน เวลาจะช่วยคนข้างๆ นี่เขาให้ช่วยตัวเองนะครับ ใส่หน้ากากให้ตัวเองก่อนอะไรแบบนี้ ผมก็หาวิธีใส่หน้ากากอยู่ครับ
แล้วถ้าตายไปแล้วไม่มีอะไร จบเลย ตายแล้วจบเลย งี้จะมาปฏิบัติไปทำไม ก็ใช้ชีวิตไปสิจะกังวลอะไรละ โกงชาติบ้านเมืองไปเลย ปั่นหุ้นกันไป ..ก็ไม่ถึงขนาดนั้นครับ ถ้าเราทำตามพระพุทธเจ้าท่านไป แล้วไปเจอว่าตายแล้วไม่มีอะไร ก็ไม่น่ากังวลอะไรจริงๆ ก็ในเมื่อเราทำตามท่าน ตอนมีชีวิตอยู่เราก็ปฏิบัติดีทุกอย่าง ประพฤติสุจริต ไม่เคยทำให้ตัวเองเดือนร้อน หรือคนอื่นๆ ใครๆ เดือนร้อนเลย แถมมีช่วยเหลือสังคมอีก แบบนี้ผมว่ายังไงก็ไม่ขาดทุน กำไรเห็นๆ ตายฟรีๆ ไปก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็เสมอทุนละกัน แต่ถ้าเกิดมันมีขึ้นมาจริงๆ ครานี้ โคตรๆๆๆๆ ของกำไรเลย เราก็ทำดีเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ได้หวังอะไร ไม่ได้ทำให้ใครเดือนร้อนเลย แล้วผลของการปฏิบัติดี เกินมีจริงขึ้นมา แล้วได้สิ่งดีๆ หลังความตายขึ้นมา นี้ยิ่งกว่าซื้อประกันชีวิต ประกันยังไม่มีขายเลยแบบนี้ มากกว่าซื้อ LTF,RMF แบบนี้ยิ่งกว่าได้ 3 ลิ่งอีก ต้องบอกว่าโคตรๆๆ มี margin of safety ใครไม่ทำก็ตามใจครับ
สุดท้ายเราก็ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง พระพุทธเจ้าท่านเป็นแค่ผู้บอกทาง เหมือนเรื่องเงินทองนั้นแหละ ก็ต้องหาต่อไป ต้องหาเอง จับปลาเอง จึงต้องมาอ่านในไทยวีไออยู่นี่แหละครับ ในนี้มีอ. มีพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ เก่งๆ เยอะมาก ที่มาบอกทาง แต่เราก็ต้องทำเองนะครับ ถ้าหวังแต่ลอก ก็คงไม่ได้ นี่ก็สุดโต่งทางกามสุขัลลิกานุโยค หากินง่ายไป ไม่ยั่งยืน เราจะไปซื้อไปขายทันคนที่เราไปลอกได้ไง มันก็ไม่ยั่งยืน แต่ทำให้รวยได้อยู่ครับ ส่วนของผมนี่ผิดหนักไปอีกทางคือไม่ลอกเลย อันไหนที่เขาทำเราก็ไม่ทำ หุ้นไหนเขาเล่นเราไม่เล่น อันนี้ก็สุดโต่งเกินไปอีกทาง ไปทางอัตตกิลมถานุโยค ไม่ยั่งยืนเช่นกัน แล้วไม่ทำให้รวยด้วย อันนี้หนักเลย สุดท้ายตอนนี้ปรับใหม่ทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านบอกในพระสูตรแรกที่ท่านสอนปัญจวคีนี้แหละครับ พระสูตรเดียวพอแล้ว ว่าทางสุดโต่งสองทางอย่าเดินไปนะ จึงมาพยายามมาเดินสายกลางเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ก็ค่อยๆ เดินไปครับ คิดว่าครั้งนี้มาถูกทางแล้ว น่าจะกลางจริงแล้วละ หลังจากหลงว่ากลางไปนานมากๆ 555
ยังไงตอนนี้รอหลุดดอยก่อนนะ 5555 แล้วอย่างที่ว่าความทะเยอทะยานแบบสมัยก่อนหายไปเกือบหมด เหลือแต่ว่าต้องหามาให้มี จะได้หมดภาระสักที ก็ค่อยๆ ทำไป เดินไปช้าหน่อยก็ได้ เมื่อรู้ว่าเดินทางถูกแล้ว นี้ถือว่าลัดสั้นที่สุด ถ้ามุ่งไปผิดทาง ให้เดินทางเร็วแค่ไหนก็ไม่ถึงปลายทางหรอกนะครับ ธรรมก็เหมือนกันผมก็ว่าตอนนี้ผมมาตรงทางแล้วเช่นกัน ตั้งเป้าไว้แล้ว มองเห็นปลายทางแล้วครับ ค่อยๆ เดินไป ก่อนตายนี้แหละถึงแน่
สรุปว่าเราอยู่ทั้งทางโลกและทางธรรมไปได้พร้อมๆ กันเลยนะครับ ยังก็ขอให้เจริญในธรรมกันทุกคนนะครับ จบครับ..กลับไปแอบอ่านเหมือนเดิมดีกว่า 5555
ทุกวันนี้ถ้าใครถามจะตอบได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าเป็นพุทธ ก่อนหน้าเป็นพุทธตามทะเบียนบ้านมานาน แต่คราวนี้เลือกที่จะเป็น เป็นมาจากใจเลย มั่นใจเลย ถ้าจะตายเราทำดียังไงเราตายดีแน่นอน เพราะปฏิบัติแล้วเราก็ได้ปฏิเวธ ได้ความเชื่อมั่น แม้ว่าจะไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า แต่ก็มั่นใจว่าท่านมีจริง เพราะธรรมที่ท่านบอกนั้นยังมีอยู่จริง แล้วก็มีผู้ปฏิบัติตาม มีพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทำตามท่านได้ยังมีอยู่ ตอนนี้ผมจึงมีที่พึ่งที่ระลึกแล้ว มีพุทธังสรณังคัจฉามิ มีธัมมังสรณังคัจฉามิ มีสังฆังสรณังคัจจฉามิ เป็นที่พึ่งที่ระลึก ซึ่งที่จริงก็คือมีตนเองเป็นที่พึ่ง เพราะท่านบอกว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนนั้นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน คือต้องทำเอาเอง ไม่มีใครช่วยใครได้ เหมือนเราขึ้นเครื่องบิน เวลาจะช่วยคนข้างๆ นี่เขาให้ช่วยตัวเองนะครับ ใส่หน้ากากให้ตัวเองก่อนอะไรแบบนี้ ผมก็หาวิธีใส่หน้ากากอยู่ครับ
แล้วถ้าตายไปแล้วไม่มีอะไร จบเลย ตายแล้วจบเลย งี้จะมาปฏิบัติไปทำไม ก็ใช้ชีวิตไปสิจะกังวลอะไรละ โกงชาติบ้านเมืองไปเลย ปั่นหุ้นกันไป ..ก็ไม่ถึงขนาดนั้นครับ ถ้าเราทำตามพระพุทธเจ้าท่านไป แล้วไปเจอว่าตายแล้วไม่มีอะไร ก็ไม่น่ากังวลอะไรจริงๆ ก็ในเมื่อเราทำตามท่าน ตอนมีชีวิตอยู่เราก็ปฏิบัติดีทุกอย่าง ประพฤติสุจริต ไม่เคยทำให้ตัวเองเดือนร้อน หรือคนอื่นๆ ใครๆ เดือนร้อนเลย แถมมีช่วยเหลือสังคมอีก แบบนี้ผมว่ายังไงก็ไม่ขาดทุน กำไรเห็นๆ ตายฟรีๆ ไปก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็เสมอทุนละกัน แต่ถ้าเกิดมันมีขึ้นมาจริงๆ ครานี้ โคตรๆๆๆๆ ของกำไรเลย เราก็ทำดีเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ได้หวังอะไร ไม่ได้ทำให้ใครเดือนร้อนเลย แล้วผลของการปฏิบัติดี เกินมีจริงขึ้นมา แล้วได้สิ่งดีๆ หลังความตายขึ้นมา นี้ยิ่งกว่าซื้อประกันชีวิต ประกันยังไม่มีขายเลยแบบนี้ มากกว่าซื้อ LTF,RMF แบบนี้ยิ่งกว่าได้ 3 ลิ่งอีก ต้องบอกว่าโคตรๆๆ มี margin of safety ใครไม่ทำก็ตามใจครับ
สุดท้ายเราก็ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง พระพุทธเจ้าท่านเป็นแค่ผู้บอกทาง เหมือนเรื่องเงินทองนั้นแหละ ก็ต้องหาต่อไป ต้องหาเอง จับปลาเอง จึงต้องมาอ่านในไทยวีไออยู่นี่แหละครับ ในนี้มีอ. มีพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ เก่งๆ เยอะมาก ที่มาบอกทาง แต่เราก็ต้องทำเองนะครับ ถ้าหวังแต่ลอก ก็คงไม่ได้ นี่ก็สุดโต่งทางกามสุขัลลิกานุโยค หากินง่ายไป ไม่ยั่งยืน เราจะไปซื้อไปขายทันคนที่เราไปลอกได้ไง มันก็ไม่ยั่งยืน แต่ทำให้รวยได้อยู่ครับ ส่วนของผมนี่ผิดหนักไปอีกทางคือไม่ลอกเลย อันไหนที่เขาทำเราก็ไม่ทำ หุ้นไหนเขาเล่นเราไม่เล่น อันนี้ก็สุดโต่งเกินไปอีกทาง ไปทางอัตตกิลมถานุโยค ไม่ยั่งยืนเช่นกัน แล้วไม่ทำให้รวยด้วย อันนี้หนักเลย สุดท้ายตอนนี้ปรับใหม่ทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านบอกในพระสูตรแรกที่ท่านสอนปัญจวคีนี้แหละครับ พระสูตรเดียวพอแล้ว ว่าทางสุดโต่งสองทางอย่าเดินไปนะ จึงมาพยายามมาเดินสายกลางเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ก็ค่อยๆ เดินไปครับ คิดว่าครั้งนี้มาถูกทางแล้ว น่าจะกลางจริงแล้วละ หลังจากหลงว่ากลางไปนานมากๆ 555
ยังไงตอนนี้รอหลุดดอยก่อนนะ 5555 แล้วอย่างที่ว่าความทะเยอทะยานแบบสมัยก่อนหายไปเกือบหมด เหลือแต่ว่าต้องหามาให้มี จะได้หมดภาระสักที ก็ค่อยๆ ทำไป เดินไปช้าหน่อยก็ได้ เมื่อรู้ว่าเดินทางถูกแล้ว นี้ถือว่าลัดสั้นที่สุด ถ้ามุ่งไปผิดทาง ให้เดินทางเร็วแค่ไหนก็ไม่ถึงปลายทางหรอกนะครับ ธรรมก็เหมือนกันผมก็ว่าตอนนี้ผมมาตรงทางแล้วเช่นกัน ตั้งเป้าไว้แล้ว มองเห็นปลายทางแล้วครับ ค่อยๆ เดินไป ก่อนตายนี้แหละถึงแน่
สรุปว่าเราอยู่ทั้งทางโลกและทางธรรมไปได้พร้อมๆ กันเลยนะครับ ยังก็ขอให้เจริญในธรรมกันทุกคนนะครับ จบครับ..กลับไปแอบอ่านเหมือนเดิมดีกว่า 5555
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 97
ขอถามทุกท่านครับ สิ่งหนึ่งที่เรามักจะลืมคือเรากำลังหายใจ
แต่สิ่งที่ยากคือ เช่น เวลาเราพูดและเราสัมผัสลมหายใจเข้าออกไปด้วย ไม่ให้หลุด
มีวิธีการอย่างไรครับ
ของผมจะเป็นลักษณะ เวลาพูดจะหลุดจากลมหายใจ เมื่อพูดเสร็จแล้วจึงกลับมา
แต่สิ่งที่ยากคือ เช่น เวลาเราพูดและเราสัมผัสลมหายใจเข้าออกไปด้วย ไม่ให้หลุด
มีวิธีการอย่างไรครับ
ของผมจะเป็นลักษณะ เวลาพูดจะหลุดจากลมหายใจ เมื่อพูดเสร็จแล้วจึงกลับมา
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 149
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 98
เมื่อวาน ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทค้าปลีกหนึ่ง แถวย่านแจ้งวัฒนะ...
หลังเลิกประชุม ท่านดร. อจ.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ได้เข้าไปสอบถามข้อสงสัยต่างๆจากคณะกรรมการ และยังได้เสนอแนะข้อคิดเห็นของท่านด้วย
...พอเสร็จ ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ มารุมขอลายเซ็นต์ ขอถ่ายรูปกับท่าน ท่านก็เซ็นต์ชื่อลงในหนังสือหุ้นที่มีคนนำมาให้ท่านช่วยเซ็นต์ ด้วยความเต็มใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส และยังได้แนะนำข้อคิดเห็นกับความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับบริษัทนี้ กับพวกเราด้วย
ตอนท่าน อจ.นิเวศน์กำลังเดินกลับ มีผู้ถือหุ้นท่านอื่นๆ เดินตามมาขอถ่ายรูป ขอลายเซ็นต์ ท่านก็หยุดแล้วหันกลับมาร่วมถ่ายรูปด้วย
ก่อนกลับ ผมยังได้เห็นรถใหม่ของท่าน อจ.นิเวศน์ด้วย เลยได้ถ่ายรูปไว้ขณะท่านขับรถเอง ออกไป...(ไม่กล้าถ่ายรูปด้านหน้าครับ) ผมรู้สึกปลื้มใจมาก ที่ท่านออกรถใหม่แล้ว ก็ยังเป็นรถยี่ห้อและรุ่นเดิม ไม่ไปซื้อใช้รถยุโรปยี่ห้อดังๆ เหมือนเศรษฐีหุ้นท่านอื่น หากผมร่ำรวยขึ้นมาอย่างท่าน คงยากจะทำแบบท่านได้
.....ความมีน้ำใจ ไม่ถือตัว ช่วยเหลือและให้ความรู้กับผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ และโดยเฉพาะความพอเพียงของท่าน น่าจะเป็นธรรมะประจำตัวอย่างหนึ่ง และเป็นแบบอย่างเส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ...แก่คนอื่นๆ รวมทั้งผมได้เป็นอย่างดีนะครับ (ขอโทษท่านอจ.เด็กใหม่และท่านอื่นๆด้วย ถ้าหากเรื่องนี้ไม่ตรงกับกระทู้นี้ครับ)
หลังเลิกประชุม ท่านดร. อจ.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ได้เข้าไปสอบถามข้อสงสัยต่างๆจากคณะกรรมการ และยังได้เสนอแนะข้อคิดเห็นของท่านด้วย
...พอเสร็จ ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ มารุมขอลายเซ็นต์ ขอถ่ายรูปกับท่าน ท่านก็เซ็นต์ชื่อลงในหนังสือหุ้นที่มีคนนำมาให้ท่านช่วยเซ็นต์ ด้วยความเต็มใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส และยังได้แนะนำข้อคิดเห็นกับความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับบริษัทนี้ กับพวกเราด้วย
ตอนท่าน อจ.นิเวศน์กำลังเดินกลับ มีผู้ถือหุ้นท่านอื่นๆ เดินตามมาขอถ่ายรูป ขอลายเซ็นต์ ท่านก็หยุดแล้วหันกลับมาร่วมถ่ายรูปด้วย
ก่อนกลับ ผมยังได้เห็นรถใหม่ของท่าน อจ.นิเวศน์ด้วย เลยได้ถ่ายรูปไว้ขณะท่านขับรถเอง ออกไป...(ไม่กล้าถ่ายรูปด้านหน้าครับ) ผมรู้สึกปลื้มใจมาก ที่ท่านออกรถใหม่แล้ว ก็ยังเป็นรถยี่ห้อและรุ่นเดิม ไม่ไปซื้อใช้รถยุโรปยี่ห้อดังๆ เหมือนเศรษฐีหุ้นท่านอื่น หากผมร่ำรวยขึ้นมาอย่างท่าน คงยากจะทำแบบท่านได้
.....ความมีน้ำใจ ไม่ถือตัว ช่วยเหลือและให้ความรู้กับผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ และโดยเฉพาะความพอเพียงของท่าน น่าจะเป็นธรรมะประจำตัวอย่างหนึ่ง และเป็นแบบอย่างเส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ...แก่คนอื่นๆ รวมทั้งผมได้เป็นอย่างดีนะครับ (ขอโทษท่านอจ.เด็กใหม่และท่านอื่นๆด้วย ถ้าหากเรื่องนี้ไม่ตรงกับกระทู้นี้ครับ)
แนบไฟล์
ท่าน อจ.นิเวศน์กำลังเดินกลับแล้ว มีผู้ถือหุ้นท่านอื่น เดินตามมาขอถ่ายรูป
ก่อนกลับ ได้เห็นรถใหม่ของท่าน อจ.นิเวศน์ด้วย
อจ.นิเวศน์ กำลังเซ็นต์ชื่อลงในหนังสือหุ้นของอีกคนหนึ่ง มีนำมาขอลายเซ็นต์ท่าน
อจ.นิเวศน์ กำลังเซ็นต์ชื่อลงในหนังสือหุ้นที่มีคนนำมาขอให้ท่านช่วยเซ็นต์
If a business does well,
the stock eventually follows...
the stock eventually follows...
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 99
ก็สงบใจก่อนคับ อยู่กับลมหายใจเข้า-ออก จนเกิดสติ แล้วมาดูว่าเราผิดพลาดตรงไหน แก้ไขไป เรื่องที่แล้วไปก็แล้วไปNevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ
เวลาเราโดนด่าและตอกย้ำในจุดที่เป็นความผิดของเราจริง ๆ
เช่นเราทำงานพลาดเซ็นสัญญาผิดบริษัทเสียหาย หัวหน้า กรรมการบริษัทเรียกไปต่อว่าแรง ๆ ไอ้โง่ ไอ้ชุ่ย ไอ้สับเพร่า
ทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ ไม่เสียใจ ครับ
มาดูว่ามันก่อให้เกิดปัญหาอะไร แล้วจะผ่อนหนักเป็นเบาได้อย่างไร คราวหน้าก็พยายามรอบคอบขึ้น
ความผิดพลาดที่แล้วมาต้องละไปจากใจคับ โดยการกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก แต่ไม่ได้ลืม
ความผิดพลาด เราเอาไว้เป็นบทเรียน เพียงแต่ความผิดพลาดนั้น ต้องพยายามไม่ให้มัน
มาทำให้ใจเราขุ่นมัวอีก คือเราจะไม่เพลินไปกับความรู้สึกผิดพลาดนั้น พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าความเพลินน่ะคับ
เวลามีความสุขเราก็เพลิน เช่น ฟังเพลงเพราะๆ ดูหนังมันๆ แต่เวลาเกิดความทุกข์เราก็เพลินนะคับ เวลาอกหักไง
ลองดูว่าเราชอบนึกถึงคนที่จากไป แล้วใจมันเจ็บจี๊ดๆ เราเพลินน่ะคับ ต้องระวัง
ส่วนเรื่องความโกรธ ไม่พอใจ เกิดอยู่แล้วคับ ถ้าเราได้รับผัสสะที่ไม่พอใจ แต่หลังจากเกิดอารมณ์นั่นแล้ว
เราจะจัดการกับมันอย่างไรต่างหาก จะตามมันไปไหม ถ้าตามไป ก็อาจจะตอกกลับไป เกิดเรื่องราวขึ้น ทะเลาะ ผูกใจเจ็บแค้น
ความเคยชินของเราเอง ทำให้เมื่อรับผัสสะต่างๆ แล้วจะเกิดอารมณ์ต่างๆ อันนี้ต้องฝึก เพราะว่ามันหมักหมม
มายาวนาน ตั้งแต่เราเกิดและเติบโตมา หรือก่อนหน้านั้นเสียอีก
พระพุทธเจ้าท่านให้คิดว่า เวลาโดนคนต่อว่า ตำหนิ ติเตียน ให้ทำความรู้สึกว่าเหมือนคนมาชี้ขุมทรัพย์ให้เรา
ให้เรากลับมาดูว่าไอ้ที่ตำหนิ ติเตียน น่ะตรงไหน ถ้ามันถูกเราก็ไปแก้ไข ไม่ทำอีก
ส่วนถ้ามันไม่จริง ให้เราทำความรู้สึกเหมือน คำตำหนิเหมือนสีที่เขียนในอากาศ มันเขียนติดไหม ให้เรารู้สึกอย่างนั้น
หรือเหมือน ดิน คำตำหนิเหมือนคนถ่มน้ำลายรดดิน กระทีบดิน แต่ดินก็ไม่รู้สึก ประมาณนั้น
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 676
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 100
กรรมฐานมีทั้งหมด 40 กอง ลมหายใจ อานาปานสติภาวนา เป็น 1 ในนั้น สามารถใช้กรรมฐานกองอื่นเข้ามาประกอบNevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ สิ่งหนึ่งที่เรามักจะลืมคือเรากำลังหายใจ
แต่สิ่งที่ยากคือ เช่น เวลาเราพูดและเราสัมผัสลมหายใจเข้าออกไปด้วย ไม่ให้หลุด
มีวิธีการอย่างไรครับ
ของผมจะเป็นลักษณะ เวลาพูดจะหลุดจากลมหายใจ เมื่อพูดเสร็จแล้วจึงกลับมา
ด้วยกันได้ครับ เช่น อิริยาบท 4 นั่ง นอน ยืน เดิน หรือ อาจจะใช้พุทธา/ธัมมา/สังฆานุสติภาวนา (คือคำบริกรรมพุทโธ/ธัมโม/สังโฆ) อย่าใช้กองใดกองหนึ่งมากเกินไปอย่าเพ่งมากเกินไป มันจะเป็นผลเสียต่อเรามากกว่าครับ (ผมเคยเป็นมาแล้วเกือบตายมา 2 ครั้งแล้ว)
ที่ดีที่สุด คือใช้ สติปัฎฐาน 4 กาย เวทนา จิต ธรรม หมุนเวียนเปลี่ยนดู เราจะไม่เบื่อ และได้ลับสมองลับจิตต่อสู้กับกิเลสนิวรณ์ที่มาหลากหลายรูปแบบได้ครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 101
ที่บอกว่าเวลาดูลมหายใจ แต่เวลาพูดกลับหลุดไป จริงๆแล้วเวลาพูดก็มักจะหลุดเพราะเราทำสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ ให้เปลี่ยนจากดูลมหายใจตอนพูดมาเป็นดูตัวเรากำลังพูดครับ ง่ายๆแค่นั้นเองNevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ สิ่งหนึ่งที่เรามักจะลืมคือเรากำลังหายใจ
แต่สิ่งที่ยากคือ เช่น เวลาเราพูดและเราสัมผัสลมหายใจเข้าออกไปด้วย ไม่ให้หลุด
มีวิธีการอย่างไรครับ
ของผมจะเป็นลักษณะ เวลาพูดจะหลุดจากลมหายใจ เมื่อพูดเสร็จแล้วจึงกลับมา
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 102
พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ในทิศหกNevercry.boy เขียน:และยิ่งเราเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง มีชีวิตลูกน้องที่ต้องดูแล
ทำอย่างไรจึงจะละ "ตัวกู" ได้ครับ
หน้าที่ของนายจ้างพึงมีต่อลูกจ้าง
1.จัดงานให้ทำตามความเหมาะสม
2.ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งาน
3.จัดให้มีสวัสดิการที่ดี
4.มีอะไรได้พิเศษมา ก็แบ่งปันให้
5.ให้มีวันหยุด และพักผ่อนหย่อนใจ ตามโอกาสอันควร
หน้าที่ลูกจ้างพึงมีต่อนายจ้าง
1.เริ่มทำงานก่อน
2.เลิกงานทีหลัง
3.เอาแต่ของที่นายให้
4.ทำการงานให้เรียบร้อยและดียิ่งขึ้น
5.นำความดีของนายงานและกิจการไปเผยแพร่
ทำได้ตามนี้ถือว่าเราทำหน้าที่นายจ้างได้สมบูรณ์แล้วคับ
ทำได้ดีแค่ไหนก็เอาแค่นั้น ท่านว่าทำอะไรก็ตาม ไม่ควรทำให้ตนลำบากหรือผู้อื่นลำบาก
ลูกน้องดีเราก็ให้คุณ ลูกน้องไม่ดีเราก็ต้องตำหนิ ให้เหมาะสมตามกาลเทศะ
นี่ถือว่าเรารับผิดชอบและทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้ว ส่วนชีวิตลูกน้องเองก็เป็นไปตามการกระทำของเค้า
ส่วนการละตัวกู ก็เป็นอีกเรื่องและมีหลายแง่มุมที่พระพุทธเจ้าท่านสอน
รักษาศีล คือตัวช่วยสำคัญ เพราะทำให้จิตใจเราไม่เดือดร้อน ไม่งั้นถ้าไม่มีข้อปฏิบัติอะไรเลย
จิตใจเราจะฟุ้งไปตามผัสสะที่มากระทบ เช่น เรื่องคำพูดก็เห็นชัดเจน เวลาไม่พอใจบางทีก็พูดตะคอก
ท่านก็เรียกคำหยาบ ไม่เป็นไปเพื่อการทำให้ผู้อื่นสบายใจ หรือคำโกหก บางทีเราก็หลุดไปโดยความเคยชิน
ซึ่งทำให้เราไม่สบายใจ แถมยังอาจจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดอีก
การรักษาศีลช่วยตรงนี้ เหมือนสร้างนิสัยใหม่ให้เราไปเรื่อยๆ
แล้วก็ทำสมาธิ ดูลมหายใจเข้า-ออก หรือเจริญสติปัฏฐานสี่ไป ถ้าอย่างเห็นได้ชัด
ก็ให้จิตอยู่กับกาย หรืออยู่กับลม ก็ขึ้นชื่อว่า ปฏิบัติแล้ว ทำไปเรื่อยๆ ก็เห็นเองว่า
ตัวเราก็ไม่เที่ยงนะ เปลียนไป ความคิดเปลี่ยนไป อารมณ์เปลี่ยนไป
เปลี่ยนไปตามไหน เราลองไล่ดูด้วยตัวของเราเอง เอ ทำไมเราโกรธได้
อ้อ มันไม่พอใจอ่ะ เอ ความไม่พอใจมาจากไหน อ้อ มีคนมาว่าเรา แล้วยังไง
เสียงมันน่ารำคาญ เราได้ยินเสียงเหรอ อ้อ เสียงกระทบหูเรานี่เอง เอ หรือว่า เพราะเราได้รับเสียงที่ไม่น่าพอใจ
ถ้าเราไม่ได้ยินล่ะ จะไม่พอใจไหม ฯลฯ
ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นความจริงของตัวกู ตัวกูมันมี
แต่มันมี แล้วมันก็ดับไป มันก็ไม่ได้มีตลอด
การละตัวกู จึงละไม่ได้ เพราะไม่ต้องละอะไร เพราะตัวกูมันมี แล้วก็ไม่มี เป็นไปตามเหตุปัจจัย
มันเป็นทุกข์นั่นแหละคับ (ทุกข์ แตกดับได้ ต่างจากความทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านอธิบายทุกข์ และอธิบายความทุกข์ พอแปลจากบาลีเป็นไทย ทุกคำคือความทุกข์หมด
จริงๆมันแยกกันคับในภาษาบาลี นี่เป็นข้อผิดพลาดเหมือนกันเวลาแปลภาษา ทำให้เราเข้าใจเรื่องทุกข์ไม่ครบถ้วน)
สิ่งที่เราต้องละ คือความเข้าใจผิดตรงนี้ และความเพลินความหลงในตัวกูนั่นแหละคับ
ถ้าอยากศึกษาเพิ่มเติมก็แนะนำชุดหนังสือที่จัดทำโดยท่านพุทธทาสห้าเล่มนี้
1. อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น
2. อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคปลาย
3. ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์
4. พุทธประวัติจากพระโอษฐ์
5. ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 103
ขอรับไปปฏิบัติครับ ผมเป็นศิษย์โง่ นะครับcobain_vi เขียน:ที่บอกว่าเวลาดูลมหายใจ แต่เวลาพูดกลับหลุดไป จริงๆแล้วเวลาพูดก็มักจะหลุดเพราะเราทำสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ ให้เปลี่ยนจากดูลมหายใจตอนพูดมาเป็นดูตัวเรากำลังพูดครับ ง่ายๆแค่นั้นเองNevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ สิ่งหนึ่งที่เรามักจะลืมคือเรากำลังหายใจ
แต่สิ่งที่ยากคือ เช่น เวลาเราพูดและเราสัมผัสลมหายใจเข้าออกไปด้วย ไม่ให้หลุด
มีวิธีการอย่างไรครับ
ของผมจะเป็นลักษณะ เวลาพูดจะหลุดจากลมหายใจ เมื่อพูดเสร็จแล้วจึงกลับมา
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 104
ขอบคุณมากครับ ผมขาหักเดินหล่นหลุมในป่าที่วัดตอนตี 3 ครับ แต่นั่นก็เป็นเพราะสติเราไม่ดีพอPekko เขียน:ผมเคยเป็นมาแล้วเกือบตายมา 2 ครั้งแล้ว
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 105
ขอบพระคุณอย่างสูงครับTibular เขียน: ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นความจริงของตัวกู ตัวกูมันมี
แต่มันมี แล้วมันก็ดับไป มันก็ไม่ได้มีตลอด
การละตัวกู จึงละไม่ได้ เพราะไม่ต้องละอะไร เพราะตัวกูมันมี แล้วก็ไม่มี เป็นไปตามเหตุปัจจัย
มันเป็นทุกข์นั่นแหละคับ (ทุกข์ แตกดับได้ ต่างจากความทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านอธิบายทุกข์ และอธิบายความทุกข์ พอแปลจากบาลีเป็นไทย ทุกคำคือความทุกข์หมด
จริงๆมันแยกกันคับในภาษาบาลี นี่เป็นข้อผิดพลาดเหมือนกันเวลาแปลภาษา ทำให้เราเข้าใจเรื่องทุกข์ไม่ครบถ้วน)
สิ่งที่เราต้องละ คือความเข้าใจผิดตรงนี้ และความเพลินความหลงในตัวกูนั่นแหละคับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 106
ผมบวชและปฏิบัติ ที่วัดป่าธรรมอุทยานครับ
https://www.facebook.com/LP.Kluay
หลวงพ่อกล้วย คือพระอาจารย์ที่ผมเคารพ
ก่อนบวชผมไม่สนใจเรื่องธรรมมะเลย แม้แต่นิดเดียวครับ และไม่เคยคิดว่าชีวิตจะบวช แต่เมื่อไปปฏิบัติกับ พระอาจารย์แล้ว การนอนในป่าช้าหรือเดินจงกรมในป่าช้า คืนแรก ๆ กลัวนะครับแต่หลังจากนั้นผมว่ามันสงบมาก ผมแทบไม่สามารถออกมาจากวัดได้ อย่าว่าแต่กลับมากรุงเทพฯ แค่ออกมาเมืองขอนแก่นยังไม่ค่อยชอบ ได้ยินเสียงเพลงบันเทิงเริงรมย์ รู้สึกมันไม่สงบมาก เพราะติดความสงบในวัด
หลวงพ่อท่านเมตตา ท่านสอนว่า "โยมเอาวัดกลับไปกรุงเทพฯไม่ได้" ให้เอากายเป็นวัดเอาจิตเป็นพระ และให้เข้ามาบูชาพระในใจบ่อย ๆ
ประมาณนี้นะครับ ผมจำเนื้อประโยคเป๊ะ ๆ ไม่ได้
https://www.facebook.com/LP.Kluay
หลวงพ่อกล้วย คือพระอาจารย์ที่ผมเคารพ
ก่อนบวชผมไม่สนใจเรื่องธรรมมะเลย แม้แต่นิดเดียวครับ และไม่เคยคิดว่าชีวิตจะบวช แต่เมื่อไปปฏิบัติกับ พระอาจารย์แล้ว การนอนในป่าช้าหรือเดินจงกรมในป่าช้า คืนแรก ๆ กลัวนะครับแต่หลังจากนั้นผมว่ามันสงบมาก ผมแทบไม่สามารถออกมาจากวัดได้ อย่าว่าแต่กลับมากรุงเทพฯ แค่ออกมาเมืองขอนแก่นยังไม่ค่อยชอบ ได้ยินเสียงเพลงบันเทิงเริงรมย์ รู้สึกมันไม่สงบมาก เพราะติดความสงบในวัด
หลวงพ่อท่านเมตตา ท่านสอนว่า "โยมเอาวัดกลับไปกรุงเทพฯไม่ได้" ให้เอากายเป็นวัดเอาจิตเป็นพระ และให้เข้ามาบูชาพระในใจบ่อย ๆ
ประมาณนี้นะครับ ผมจำเนื้อประโยคเป๊ะ ๆ ไม่ได้
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 676
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 107
คนทุกคนถ้ายังไม่บรรลุถึงขั้นอนาคามี ยังมีความโกรธ พยาบาททุกคนครับ ให้มองเป็นเรื่องปกติของฆราวาสที่มีศีล 5 ประจำใจครับNevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ
เวลาเราโดนด่าและตอกย้ำในจุดที่เป็นความผิดของเราจริง ๆ
เช่นเราทำงานพลาดเซ็นสัญญาผิดบริษัทเสียหาย หัวหน้า กรรมการบริษัทเรียกไปต่อว่าแรง ๆ ไอ้โง่ ไอ้ชุ่ย ไอ้สับเพร่า
ทำอย่างไรถึงจะไม่โกรธ ไม่เสียใจ ครับ
เรื่องนี้ผมขอแยกเองเป็น 2 จุดครับ
1 ความผิดพลาดของเรา เราก็ต้องยอมรับว่าอาจจะประมาทไปบ้าง รู้เท่าไม่ถึงการณ์บ้าง ทำให้เรารู้สึกเสียใจ บั่นทอนกำลังใจลง ถือเป็นเรื่องที่ดีครับ ความเย่อหยิ่งในใจเรา(กิเลสขั้นกลาง-ละเอียด)จะได้รู้จัก เมื่อรู้จักด้วยสติปัญญาทางธรรม ความเย่อหยิ่งมันก็จะลดน้อยถอยลง หรือดับไปเอง (รู้เท่าทัน มันก็ดับลงไปเอง)
2 การถูกด่าแรงๆ หลายท่านให้ความเห็นเกี่ยวกับปฏิจสมุปบาท 12 (เวทนา ผัสสะ) ก็ถูกตามนั้นครับ แต่อยากให้เพิ่มเรื่องพรหมวิหาร 4 เข้าไปโดยเฉพาะเรื่องอุเบกขา คือ วางใจให้เป็นกลาง ไม่ใช่ทำมึนๆ เฉยๆ แต่ต้องรู้เท่าทันในจิต ในความคิดของเรา มันเป็นเรื่องของขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) ที่ยังมีความไม่รู้อวิชชาเจือปนอยู่
เมื่อวิญญาณที่หู (โสตวิญญาณ)จับคู่เข้ากับเสียง(รูป) ที่เจ้านายด่า มันก็เกิดสัญญา ความจำได้หมายรู้ (ภาษาที่ใช้สื่อสาร) ตัวสังขารความปรุงแต่งเกิดขึ้นว่าเป็นมันคำหยาบ(รู้เกินธรรม) ขณะที่เรายังไม่รู้แจ้งหลุดพ้น ทำให้เกิดการยึดว่าเป็นทุกข์เวทนา โทมนัสเสียใจ หรือไม่พอใจ (ไม่รู้ว่าผมอธิบายถูกหรือเปล่า)
รายละเอียดปลีกย่อยหรือวิธีการที่ถูกต้องนั้น ไม่มีใครรู้ดีเกินกว่าคุณ Nevercry.boy เองครับ คงให้ภาพในแนวทางกว้างๆ เท่านั้นครับ เพราะสวากขธรรม 1 ใน 6 ข้อกล่าวว่าเป็นปัจจัตตัง คือ รู้เห็นได้เฉพาะตนเท่านั้นครับ ทางของแต่ละคนไม่เหมือนกันตามกำลังบุญกำลังกรรมที่สะสมกันมาครับ วิธีการคนหนึ่งอาจจะเหมาะสมกับอีกคนหนึ่ง แต่ไม่สามารถใช้กับอีกคนหนึ่งได้ครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 108
คุณ Pekko ครับ ที่แนะนำมานี่ก็เปิดกะลาผมมาก ๆ ครับ โดยเฉพาะข้อ 1 ที่ผมไฮไลท์ อันนี้โดนมาก ๆ ครับ ขณะอ่าน ขณะตอบนี่ผมถึงกับน้ำตาซึมเลยครับ ขอบพระคุณอย่างสูงครับPekko เขียน:
คนทุกคนถ้ายังไม่บรรลุถึงขั้นอนาคามี ยังมีความโกรธ พยาบาททุกคนครับ ให้มองเป็นเรื่องปกติของฆราวาสที่มีศีล 5 ประจำใจครับ
เรื่องนี้ผมขอแยกเองเป็น 2 จุดครับ
1 ความผิดพลาดของเรา เราก็ต้องยอมรับว่าอาจจะประมาทไปบ้าง รู้เท่าไม่ถึงการณ์บ้าง ทำให้เรารู้สึกเสียใจ บั่นทอนกำลังใจลง ถือเป็นเรื่องที่ดีครับ ความเย่อหยิ่งในใจเรา(กิเลสขั้นกลาง-ละเอียด)จะได้รู้จัก เมื่อรู้จักด้วยสติปัญญาทางธรรม ความเย่อหยิ่งมันก็จะลดน้อยถอยลง หรือดับไปเอง (รู้เท่าทัน มันก็ดับลงไปเอง)
2 การถูกด่าแรงๆ หลายท่านให้ความเห็นเกี่ยวกับปฏิจสมุปบาท 12 (เวทนา ผัสสะ) ก็ถูกตามนั้นครับ แต่อยากให้เพิ่มเรื่องพรหมวิหาร 4 เข้าไปโดยเฉพาะเรื่องอุเบกขา คือ วางใจให้เป็นกลาง ไม่ใช่ทำมึนๆ เฉยๆ แต่ต้องรู้เท่าทันในจิต ในความคิดของเรา มันเป็นเรื่องของขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) ที่ยังมีความไม่รู้อวิชชาเจือปนอยู่
เมื่อวิญญาณที่หู (โสตวิญญาณ)จับคู่เข้ากับเสียง(รูป) ที่เจ้านายด่า มันก็เกิดสัญญา ความจำได้หมายรู้ (ภาษาที่ใช้สื่อสาร) ตัวสังขารความปรุงแต่งเกิดขึ้นว่าเป็นมันคำหยาบ(รู้เกินธรรม) ขณะที่เรายังไม่รู้แจ้งหลุดพ้น ทำให้เกิดการยึดว่าเป็นทุกข์เวทนา โทมนัสเสียใจ หรือไม่พอใจ (ไม่รู้ว่าผมอธิบายถูกหรือเปล่า)
รายละเอียดปลีกย่อยหรือวิธีการที่ถูกต้องนั้น ไม่มีใครรู้ดีเกินกว่าคุณ Nevercry.boy เองครับ คงให้ภาพในแนวทางกว้างๆ เท่านั้นครับ เพราะสวากขธรรม 1 ใน 6 ข้อกล่าวว่าเป็นปัจจัตตัง คือ รู้เห็นได้เฉพาะตนเท่านั้นครับ ทางของแต่ละคนไม่เหมือนกันตามกำลังบุญกำลังกรรมที่สะสมกันมาครับ วิธีการคนหนึ่งอาจจะเหมาะสมกับอีกคนหนึ่ง แต่ไม่สามารถใช้กับอีกคนหนึ่งได้ครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 676
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 109
พี่ Nevercry.boy คงอายุมากกว่าผม นับว่าเป็นบุคคลที่อดทนมากครับ ผมเคยเป็นมาเมื่อสัก 4-5 ปีก่อนครับNevercry.boy เขียน:ผมเคยไปปรึกษา แพทย์ทางเลือก ท่านเป็น เยอรมัน นะครับ
ถึงอาการความเครียด สุขภาพจิต ปัญหานอนไม่หลับ และปัญหาของผม มันเป็นปัญหาปีข้ามปี ผ่านมาหลายปีจนเกือบ ยี่สิบปี ที่ผมทำงานหนักติดต่อกัน
หลังจากคุยกันอยู่พักนึง ท่านบอกว่า ปัญหาทุกอย่างต้องได้รับการแก้ไขที่ต้นเหตุ ท่านแนะนำให้ผมลาออกจากงาน
ผมก็ไม่ได้ทำตามท่านบอกนะครับ แต่เลือกที่จะปฏิบัติธรรม พร้อม ๆ กับทำงานไปด้วย อ่านทราบ แต่รู้ไม่เท่าทันจิต โกรธ หดหู่ กังวล สิ้นหวัง มีหวัง สลับกันไป
กำลังฝึก ๆ ๆ ท่านใดมีคำแนะนำเพิ่มยินดีมากนะครับ
การอดทนเป็นขันติบารมีธรรมอย่างหนึ่ง แต่การที่สุดโต่งมากเกินไป เกินร่างกายตัวเอง อย่างนี้ถือว่า ใช้ไม่ได้ครับ
มรรคทั้ง 8 หรือสติปัฎฐาน 4 คือทางสายกลาง ทางสายเอกที่จะนำไปสู่ความดับสนิทแห่งกองทุกข์ ถึงแม้จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจที่จะไม่ใช้ดับทุกข์ ทุกข์มันก็หมดไปเรื่อยๆ เองตามธรรมชาติของมันครับ
เหตุเรื่องนี้ คือ พี่ Nevercry.boy ใช้ชีวิตกับการทำงานมากเกินไป (สัมมาอาชีวะ) และย่อหย่อนกับข้อมรรคที่เหลือ โดยเฉพาะเรื่องเลี้ยงชีพชอบ (สัมมากัมมันตะ) คือ ต้องหาเวลาดูแลกายใจตนเองบ้างครับ เช่น ออกกำลังกาย พักผ่อนตามอัธยาศัย และเรื่องความคิดชอบ (สัมมาสังกับโป) คือความคิดที่ไม่เบียดเบียนครับ ไม่เบียดเบียนคนอื่นเป็นสิ่งที่ดีครับแต่การที่เบียดเบียนตัวเองใช้ร่างกายและสมองทำงานมากเกินไป จนเกิดความเครียด ล้มป่วยลง อย่างนี้ถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้องครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 110
สำหรับแนวทางที่ผมใช้ผมจะกำหนดอารมณ์ที่เด่นชัดที่สุด กายชัดกำหนดกาย เวทนาชัดกำหนดเวทนา จิตชัดกำหนดจิต ธรรมชัดกำหนดธรรม ถ้าไม่มีอะไรเด่นชัดก็มากำหนดฐานกายซึ่งก็คือลมหายใจNevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ สิ่งหนึ่งที่เรามักจะลืมคือเรากำลังหายใจ
แต่สิ่งที่ยากคือ เช่น เวลาเราพูดและเราสัมผัสลมหายใจเข้าออกไปด้วย ไม่ให้หลุด
มีวิธีการอย่างไรครับ
ของผมจะเป็นลักษณะ เวลาพูดจะหลุดจากลมหายใจ เมื่อพูดเสร็จแล้วจึงกลับมา
สำหรับในการพูด ผมจะกำหนดความคิดก่อน เห็นจิตที่อยากจะพูดก็กำหนดรู้ความอยากพูด ขณะพูดก็กำหนดอาการเคลื่อนของปากบ้าง อาการกระทบของลมบ้าง ตอนฟังก็กำหนดการฟัง นานๆ ไปเผลอ ก็กำหนดรู้ว่าเผลอ แล้วตั้งสติใหม่ครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 111
ขอบคุณมากครับpicatos เขียน:สำหรับแนวทางที่ผมใช้ผมจะกำหนดอารมณ์ที่เด่นชัดที่สุด กายชัดกำหนดกาย เวทนาชัดกำหนดเวทนา จิตชัดกำหนดจิต ธรรมชัดกำหนดธรรม ถ้าไม่มีอะไรเด่นชัดก็มากำหนดฐานกายซึ่งก็คือลมหายใจNevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ สิ่งหนึ่งที่เรามักจะลืมคือเรากำลังหายใจ
แต่สิ่งที่ยากคือ เช่น เวลาเราพูดและเราสัมผัสลมหายใจเข้าออกไปด้วย ไม่ให้หลุด
มีวิธีการอย่างไรครับ
ของผมจะเป็นลักษณะ เวลาพูดจะหลุดจากลมหายใจ เมื่อพูดเสร็จแล้วจึงกลับมา
สำหรับในการพูด ผมจะกำหนดความคิดก่อน เห็นจิตที่อยากจะพูดก็กำหนดรู้ความอยากพูด ขณะพูดก็กำหนดอาการเคลื่อนของปากบ้าง อาการกระทบของลมบ้าง ตอนฟังก็กำหนดการฟัง นานๆ ไปเผลอ ก็กำหนดรู้ว่าเผลอ แล้วตั้งสติใหม่ครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 112
ขอบคุณมากครับ เป็นการบ้านข้อใหญ่ที่คุณ Pekko ให้มาทีเดียว ขอบพระคุณอย่างสูงครับPekko เขียน:แต่การที่เบียดเบียนตัวเองใช้ร่างกายและสมองทำงานมากเกินไป จนเกิดความเครียด ล้มป่วยลง อย่างนี้ถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้องครับ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4940
- ผู้ติดตาม: 1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 113
ผู้รู้หลายท่านมาตอบไปหมดแล้วนะครับNevercry.boy เขียน:ขอถามทุกท่านครับ สิ่งหนึ่งที่เรามักจะลืมคือเรากำลังหายใจ
แต่สิ่งที่ยากคือ เช่น เวลาเราพูดและเราสัมผัสลมหายใจเข้าออกไปด้วย ไม่ให้หลุด
มีวิธีการอย่างไรครับ
ของผมจะเป็นลักษณะ เวลาพูดจะหลุดจากลมหายใจ เมื่อพูดเสร็จแล้วจึงกลับมา
คือผมจะมาย้ำอีกครั้ง ว่าพี่ทำถูกอยู่แล้วนะครับ รู้ถูกอยู่แล้วนะครับ คือเปลี่ยนมาพูดยังไงต้องหลุดอยู่แล้ว
ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวลเลยครับ ก็มามีสติกับการพูดแทน แค่รู้ไปเฉยๆครับ
คือชัดอะไรก็ดูตรงนั้น อะไรเด่นก็ตามดูตัวนั้น
แล้วผมขอให้พี่เพิ่มอีกอย่างครับ
ทุกครั้งที่ตามรู้ไป ให้เห็นว่าตัวกูเนี้ย ควบคุมไม่ได้เลยนิ ไหนบอกว่าเป็นตัวกูไง
ทุกครั้งที่เห็น ให้เห็นด้วยว่า มันควบคุมไม่ได้ นี่แหละไอ้ตัวทุกข์ มันไม่ใช่เรานิ ให้เห็นทุกขณะๆ ที่รู้ตามไปครับ
มันเป็นการค่อยๆ ละความเป็นตัวตนไปทีละนิดครับ
เราไม่เก่งเหมือนครูบาอาจารย์ท่าน จะได้ตัดทีเดียวได้ ก็ค่อยๆ เฉือนมันไปครับ ตัดมันไปทุกวันเดี๋ยวมันก็ขาดเอง
(นั้นคือช่วงในเวลาในดำเนินชีวิตปกติ ก็ต้องตามรู้อย่างนั้นไป
ส่วนช่วงที่มากำหนดปฏิบัติ คือให้แบ่งเวลามาปฏิบัติ ตั้งเวลาดูไป ช่วงแบบนี้ไม่แนะนำให้เปลี่ยนตัวเด่น
เปลี่ยนดู เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตลอดเวลานะครับ ให้ตั้งใจดูตัวใดตัวหนึ่งไปเลย
มีอะไรมาหลอกล่อหรือเผลอไป ก็ให้พยายามกลับมาที่เดิมครับ)
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 114
ขอเสริมให้ครบถ้วนนะคับ มีตัวกู หรือไม่มี นั่นเพราะตัวกูมันเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนถาวร อ่ะนะคับNevercry.boy เขียน:ขอบพระคุณอย่างสูงครับTibular เขียน: ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นความจริงของตัวกู ตัวกูมันมี
แต่มันมี แล้วมันก็ดับไป มันก็ไม่ได้มีตลอด
การละตัวกู จึงละไม่ได้ เพราะไม่ต้องละอะไร เพราะตัวกูมันมี แล้วก็ไม่มี เป็นไปตามเหตุปัจจัย
มันเป็นทุกข์นั่นแหละคับ (ทุกข์ แตกดับได้ ต่างจากความทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านอธิบายทุกข์ และอธิบายความทุกข์ พอแปลจากบาลีเป็นไทย ทุกคำคือความทุกข์หมด
จริงๆมันแยกกันคับในภาษาบาลี นี่เป็นข้อผิดพลาดเหมือนกันเวลาแปลภาษา ทำให้เราเข้าใจเรื่องทุกข์ไม่ครบถ้วน)
สิ่งที่เราต้องละ คือความเข้าใจผิดตรงนี้ และความเพลินความหลงในตัวกูนั่นแหละคับ
ที่นี้เหตุของตัวกูคืออะไร หรือเหตุของสิ่งต่างๆที่มีนั้นคืออะไร เหตุนั้นก็คือความเกิดคับ
ถ้าละความเกิดได้ ก็ไม่มีดับ การไม่เกิดและไม่ดับ นั่นคือที่สุดของทุกข์ที่พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้
ท่านก็ให้ละความเพลิน ความอยาก ความยึดมั่นถือมั่น ในการเกิดที่มีให้หมดไป ด้วยการปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด
สัตว์ก็จะหลุดพ้นได้ เพราะมีความเห็นที่ถูกต้องแล้วนั่นเอง
ทัณฑสูตร
ผู้ท่องเที่ยวไปในโลกเพราะไม่เห็นอริยสัจ
[๑๗๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนท่อนไม้ที่บุคคลขว้างขึ้นไปบนอากาศแล้ว
บางคราวเอาโคนตกลงมาก็มี บางคราวเอาตอนกลางตกลงมาก็มี บางคราวเอาปลายตกลงมาก็มี
ฉันใด สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีนิวรณ์ คืออวิชชา มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ ได้แล่นไปอยู่ ท่อง เที่ยวไปอยู่
บางคราวจากโลกนี้ไปสู่ปรโลกก็มี บางคราวจากปรโลกมาสู่โลกนี้ก็มี
ฉันนั้นเหมือนกัน ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน?
คือ ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ
เธอทั้งหลายพึงกระทำ ความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๙
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
ปล. คำว่าภิกษุในพระไตรปิฎก นั้นหมายถึงบุคคลทั่วไปด้วยนะคับ
เด๋วจะเข้าใจผิดว่าพระพุทธเจ้าตรัสให้ภิกษุฟัง แล้วคนทั่วไปปฏิบัติอย่างภิกษุไม่ได้
ปฏิบัติได้เหมือนกันทุกอย่างคับ ท่านเป็นครูผู้สอนของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 115
คุณ Dech อย่าไปแอบอ่านเงียบ ๆ เลยนะครับ มาช่วยเปิดกะโหลก พี่แบบนี้ดีแล้วครับ ขอบพระคุณอย่างสูงครับDech เขียน: ผู้รู้หลายท่านมาตอบไปหมดแล้วนะครับ
คือผมจะมาย้ำอีกครั้ง ว่าพี่ทำถูกอยู่แล้วนะครับ รู้ถูกอยู่แล้วนะครับ คือเปลี่ยนมาพูดยังไงต้องหลุดอยู่แล้ว
ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวลเลยครับ ก็มามีสติกับการพูดแทน แค่รู้ไปเฉยๆครับ
คือชัดอะไรก็ดูตรงนั้น อะไรเด่นก็ตามดูตัวนั้น
แล้วผมขอให้พี่เพิ่มอีกอย่างครับ
ทุกครั้งที่ตามรู้ไป ให้เห็นว่าตัวกูเนี้ย ควบคุมไม่ได้เลยนิ ไหนบอกว่าเป็นตัวกูไง
ทุกครั้งที่เห็น ให้เห็นด้วยว่า มันควบคุมไม่ได้ นี่แหละไอ้ตัวทุกข์ มันไม่ใช่เรานิ ให้เห็นทุกขณะๆ ที่รู้ตามไปครับ
มันเป็นการค่อยๆ ละความเป็นตัวตนไปทีละนิดครับ
เราไม่เก่งเหมือนครูบาอาจารย์ท่าน จะได้ตัดทีเดียวได้ ก็ค่อยๆ เฉือนมันไปครับ ตัดมันไปทุกวันเดี๋ยวมันก็ขาดเอง
(นั้นคือช่วงในเวลาในดำเนินชีวิตปกติ ก็ต้องตามรู้อย่างนั้นไป
ส่วนช่วงที่มากำหนดปฏิบัติ คือให้แบ่งเวลามาปฏิบัติ ตั้งเวลาดูไป ช่วงแบบนี้ไม่แนะนำให้เปลี่ยนตัวเด่น
เปลี่ยนดู เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตลอดเวลานะครับ ให้ตั้งใจดูตัวใดตัวหนึ่งไปเลย
มีอะไรมาหลอกล่อหรือเผลอไป ก็ให้พยายามกลับมาที่เดิมครับ)
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 676
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 116
ผมจะเป็นผู้รู้ในสายตาอาจารย์หรือเปล่านั้นผมไม่ทราบ แต่ผมอยากแสดงความเห็นบ้างนะครับเด็กใหม่ไฟแรง เขียน:กว่า 20 ปีที่ผมสนใจแนวทางธรรม
แต่ได้แต่ทำๆหยุดๆมานาน
จน10ปีก่อน ได้เริ่มให้เวลากับการปฏิบัติ
แม้ว่ายังต้องอยู่ในโลกที่มีภาระกิจส่วนตัวและชีวิตการงาน
เพียงแต่ได้จัดสรรแบ่งเวลามากขึ้น
จนเมื่อ7-8ปีก่อน ได้เอาจริงเอาจังอย่างมาก
สำหรับการลงทุนของผม
สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ
port ของผมไม่ได้เติบโตอย่างที่ผมคิดว่าควรจะเป็น
เพราะผมแทบไม่มีเวลาไปติดตามหุ้น
ไม่มีเวลาไปพบปะเพื่อนนักลงทุน เยี่ยมชมกิจการ
ไม่ได้ประชุมผู้ถือหุ้น หรือ ไปพบผู้บริหาร
ประกอบกับแนวคิดส่วนตัวที่เชื่อว่าเราต้องเคร่งศีล
หากไม่มีศีลเป็นพื้นฐาน การเจริญทางธรรมจะทำได้ยาก
ทำให้ต้องทำความรู้จักกับหุ้นที่ลงทุนอยู่และจะลงทุนอย่างจริงจัง
ว่ากิจกรรมของบริษัทเหล่านี้
มีโอกาสทำให้ศีลพร่องหรือไม่
หรือไม่สอดคล้องกับสัมมาอาชีวะในมรรค8
จึงทำให้ไม่ได้ลงทุนในบางหุ้นที่แม้ว่าจะเห็นโอกาสดีมากในทางโลกก็ตาม
มาเมื่อ 3-4 ปีก่อน ผมกลับมาให้เวลากับทางโลกมากขึ้น
โดยเฉพาะเวลาสำหรับการดูแลการลงทุนในหุ้น
ซึ่งก็ให้ผลตอบแทนทางโลกที่เป็นตัวเลขเงินทองที่ดีมาก
แต่ความคืบหน้าทางธรรมกลับถดถอยครับ
ระยะนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
อยู่ในทางหลายแพรก ว่าจะเดินต่ออย่างไร
เวลาก็เหลือน้อยลง สุขภาพก็ถดถอยหลัง
จะทำอย่างไรดีกับเส้นทางธรรม ที่ดูเหมือนเส้นขนานกับการลงทุนวีไอ
ขอคำแนะนำจากท่านผู้รู้ด้วยนะครับ
ผมอายุน้อยกว่าอาจารย์สัก 30 ปีเห็นจะได้ แต่เวลาที่เหลือของผมก็อาจจะน้อยกว่าและสุขภาพผมอาจแย่กว่าอาจารย์ก็ได้นะครับ
ผมคิดว่าอาจารย์เลือกทำในสิ่งที่ควรทำที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีแล้วครับ เพศฆราวาสก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ หนทางแคบกว่าบรรพชิต แต่พระพุทธองค์เมตตาแสดงหลักธรรมให้ฆราวาสไว้เป็นแนวทาง คือ ฆราวาส 7 และแถมด้วยทิศ 6
ใช่ครับศีลเป็นบริบทที่สำคัญในการต่อยอดสมถะวิปัสนา และสมถะวิปัสนาก็จะช่วยลับคมให้ทาน และศีลบริสุทธิ์มากขึ้น แต่ผมคิดว่าท่านอาจารย์เคร่งครัดศีลมากเกินไปจนทำให้เกิดทุกข์ครับ การถือศีลถือเพื่อความหลุดพ้น บริสุทธิ์ของจิต ไม่ได้โอ้อวดใคร ไม่บีบรัดตัวเองมากเกินไป หรือเพื่อใช้อภิญญาทางโลกียะก็เพียงพอแล้วครับ
การถดถอยทางธรรม ย่อมเกิดขึ้นกับคนทุกคน เพราะเมื่อเริ่มปฏิบัติก็จะเห็นความก้าวหน้าชัดเจน จากไม่รู้อะไรเลยก็มีความรู้มากขึ้น แทบจะเรียกได้ว่าเห็นพัฒนาการวันต่อวัน แต่เมื่อปฏิบัติไปนานๆ ไม่ก้าวหน้าเหมือนก่อนก็หดหู่ ท้อถอย ท้อได้ถอยได้ แต่ห้ามยอมแพ้ครับ จงลืมครับ ลืมความก้าวหน้าหรือถอยหลังเมื่อวันก่อน แล้วมารักษาใจมาตั้งอยู่กับปัจจุบันครับ เมื่อวานกับวันนี้มันคงละวันกัน ช่างหัวมันครับ เพราะมันคืออนิจจังครับ ไม่เที่ยงแท้ (เหมือนราคาหุ้นครับ สองวันก่อนตกดิ่ง เมื่อวานพุ่งปรุ๊ดปร๊าด วันนี้ย่อตกลงมาอีก)
เมื่อเรายึดอดีตเปรียบเทียบกับปัจจุบัน เห็นว่าไม่เที่ยง ก็เกิดอุปทานทุกข์ ตรงนี้ต้องเติมด้วยอนัตตา ว่ามันไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่ของจริง เรากำหนดไม่ได้ เราสร้างไม่ได้ ทุกอย่างมีเหตุและปัจจัยของมัน แต่เรารู้แจ้งแทงไตรลักษณ์ให้สุดรู้ให้ทั่ว จะเกิดความหลุดพ้นขึ้นเองตามขั้นของอริยชนครับ
มรรคมีองค์ 8 ต้องจัดให้เหมาะสมตามอัธยาศัยของอาจารย์ครับ เส้นทาง VI ก็สัมมาอาชีวะ คือประกอบอาชีพชอบ ยังมีสัมมาอีก 7 อย่างให้ปฏิบัติครับ ทางสายกลางทั้ง 8 เส้นต้องดำเนินไปพร้อมกันตามกำลังของแต่ละคน ไม่สามารถนำคนนั้นมาเทียบคนนี้ได้ครับ (ทางใครทางมัน)
คำว่า "สัมมา" แปลว่า ถูกต้องนะครับ มิใช่บุญ มรรคคืออัพยากตธรรม (กรรมกลางๆ) เพราะสุดท้ายแล้วเราต้องอยู่บนอุเบกขาพร้อมนิโรธ ตามหลักไตรสิกขาครับ คือ 1. ทำความดี (บุญ ทาน 10 ประการ) 2. ละเว้นความชั่ว (ศีล) 3. ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เบิกบานตามคำว่า พุทธะครับ คือไม่ยึดติดหลงกับผลของการทำความดี ไม่ข้องเกี่ยวกับทุจริตทั้ง 10 และวางจิตใจกลางๆในความรู้แจ้ง(สัมมาญาโณ) และความหลุดพ้น (สัมมาวิมุติ) โดยวิธีสมถะวิปัสนาภาวนาครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 676
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 117
ขอแก้เป็นPekko เขียน: การถือศีลถือเพื่อความหลุดพ้น บริสุทธิ์ของจิต ไม่ได้โอ้อวดใคร ไม่บีบรัดตัวเองมากเกินไป หรือเพื่อใช้อภิญญาทางโลกียะก็เพียงพอแล้วครับ
ตกคำว่า"เพียง" ไปครับขออภัยเป็นเป็นอย่างสูงครับPekko เขียน: การถือศีลถือเพื่อความหลุดพ้น บริสุทธิ์ของจิต ไม่ได้โอ้อวดใคร ไม่บีบรัดตัวเองมากเกินไป หรือเพียงเพื่อใช้อภิญญาทางโลกียะก็เพียงพอแล้วครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
กาย เวทนา จิต ธรรม
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 118
ได้อ่านโพส จขกท แต่ไม่ได้อ่านโพสตอบครบทุกท่าน
การปฏิบัติธรรม เป็นการลงทุน ที่มีคุณค่าที่สุด most value ที่สุด อยู่แล้วค่ะ
สำหรับตัวเอง เรื่องอื่นทางโลกเป็นเรื่องรองทั้งหมด มีไว้สำหรับกิเลสที่ยังตัดไม่ได้และไม่ได้ฝืนหักดิบไป เพราะรู้สึกว่าความค่อยเป็นค่อยไปทำให้ปฏิบัติธรรมะได้ก้าวหน้ามากกว่า
เคยฟังพระไตรปิฎกเกี่ยวกับความสัปปายะ ท่านให้ถือผลการปฏิบัติเป็นสำคัญกว่าสำนัก สถานที่ฯลฯ แต่ถ้าเมื่อไร พบว่าการละขาดทางโลกให้ผลก้าวหน้ากว่าจริงและเราหวังผลใหญ่อันไพบูลย์ ก็ควรละ
ส่วนเรื่องความสุขทางโลกนั้น ยิ่งปฏิบัติยิ่งพบว่า
สิ่งที่เคยมองว่าเป็นความสุขนั้นกลายเป็นกงจักรมากขึ้นตามการขัดเกลาจิตใจ
สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นความสุขแท้จริงเป็นทุกข์จริงๆ เป็นภาระหนักทั้งนั้น
ท่านที่เข้าสมาธิได้จะเข้าใจดี โดยเฉพาะ ร่างกายที่เราหวงแหนยึดถือ เมื่อออกจากสมาธิแล้วแทบจะเป็นความลำบากที่ต้องดูแลไปเสียทั้งหมดเมื่อเทียบกับใจที่เบาสบายขณะเป็นสมาธิอยู่
ไม่ต้องพูดถึงกายผู้อื่น หรือทรัพย์ภายนอก
การปฏิบัติธรรม เป็นการลงทุนที่ไม่มีขาดทุน มีแต่ทวีคูณ เป็นการลงทุนระยะยาวชนิดข้ามภพข้ามชาติ ผู้ที่จะลงทุนระยะยาวได้ขนาดนี้ต้องมีความมั่งคงและอดทน
ขออนุโมทนากับ จขกท. และทุกท่านที่มีใจใฝ่ในธรรม ค่ะ
การปฏิบัติธรรม เป็นการลงทุน ที่มีคุณค่าที่สุด most value ที่สุด อยู่แล้วค่ะ
สำหรับตัวเอง เรื่องอื่นทางโลกเป็นเรื่องรองทั้งหมด มีไว้สำหรับกิเลสที่ยังตัดไม่ได้และไม่ได้ฝืนหักดิบไป เพราะรู้สึกว่าความค่อยเป็นค่อยไปทำให้ปฏิบัติธรรมะได้ก้าวหน้ามากกว่า
เคยฟังพระไตรปิฎกเกี่ยวกับความสัปปายะ ท่านให้ถือผลการปฏิบัติเป็นสำคัญกว่าสำนัก สถานที่ฯลฯ แต่ถ้าเมื่อไร พบว่าการละขาดทางโลกให้ผลก้าวหน้ากว่าจริงและเราหวังผลใหญ่อันไพบูลย์ ก็ควรละ
ส่วนเรื่องความสุขทางโลกนั้น ยิ่งปฏิบัติยิ่งพบว่า
สิ่งที่เคยมองว่าเป็นความสุขนั้นกลายเป็นกงจักรมากขึ้นตามการขัดเกลาจิตใจ
สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นความสุขแท้จริงเป็นทุกข์จริงๆ เป็นภาระหนักทั้งนั้น
ท่านที่เข้าสมาธิได้จะเข้าใจดี โดยเฉพาะ ร่างกายที่เราหวงแหนยึดถือ เมื่อออกจากสมาธิแล้วแทบจะเป็นความลำบากที่ต้องดูแลไปเสียทั้งหมดเมื่อเทียบกับใจที่เบาสบายขณะเป็นสมาธิอยู่
ไม่ต้องพูดถึงกายผู้อื่น หรือทรัพย์ภายนอก
การปฏิบัติธรรม เป็นการลงทุนที่ไม่มีขาดทุน มีแต่ทวีคูณ เป็นการลงทุนระยะยาวชนิดข้ามภพข้ามชาติ ผู้ที่จะลงทุนระยะยาวได้ขนาดนี้ต้องมีความมั่งคงและอดทน
ขออนุโมทนากับ จขกท. และทุกท่านที่มีใจใฝ่ในธรรม ค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 86
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 119
ได้อ่านโพส จขกท แต่ไม่ได้อ่านโพสตอบครบทุกท่าน
การปฏิบัติธรรม เป็นการลงทุน ที่มีคุณค่าที่สุด most value ที่สุด อยู่แล้วค่ะ
สำหรับตัวเอง เรื่องอื่นทางโลกเป็นเรื่องรองทั้งหมด มีไว้สำหรับกิเลสที่ยังตัดไม่ได้และไม่ได้ฝืนหักดิบไป เพราะรู้สึกว่าความค่อยเป็นค่อยไปทำให้ปฏิบัติธรรมะได้ก้าวหน้ามากกว่า
เคยฟังพระไตรปิฎกเกี่ยวกับความสัปปายะ ท่านให้ถือผลการปฏิบัติเป็นสำคัญกว่าสำนัก สถานที่ฯลฯ แต่ถ้าเมื่อไร พบว่าการละขาดทางโลกให้ผลก้าวหน้ากว่าจริงและเราหวังผลใหญ่อันไพบูลย์ ก็ควรละ
ส่วนเรื่องความสุขทางโลกนั้น ยิ่งปฏิบัติยิ่งพบว่า
สิ่งที่เคยมองว่าเป็นความสุขนั้นกลายเป็นกงจักรมากขึ้นตามการขัดเกลาจิตใจ
สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นความสุขแท้จริงเป็นทุกข์จริงๆ เป็นภาระหนักทั้งนั้น
ท่านที่เข้าสมาธิได้จะเข้าใจดี โดยเฉพาะ ร่างกายที่เราหวงแหนยึดถือ เมื่อออกจากสมาธิแล้วแทบจะเป็นความลำบากที่ต้องดูแลไปเสียทั้งหมดเมื่อเทียบกับใจที่เบาสบายขณะเป็นสมาธิอยู่
ไม่ต้องพูดถึงกายผู้อื่น หรือทรัพย์ภายนอก
การปฏิบัติธรรม เป็นการลงทุนที่ไม่มีขาดทุน มีแต่ทวีคูณ เป็นการลงทุนระยะยาวชนิดข้ามภพข้ามชาติ ผู้ที่จะลงทุนระยะยาวได้ขนาดนี้ต้องมีความมั่งคงและอดทน
ขออนุโมทนากับ จขกท. และทุกท่านที่มีใจใฝ่ในธรรม ค่ะ
การปฏิบัติธรรม เป็นการลงทุน ที่มีคุณค่าที่สุด most value ที่สุด อยู่แล้วค่ะ
สำหรับตัวเอง เรื่องอื่นทางโลกเป็นเรื่องรองทั้งหมด มีไว้สำหรับกิเลสที่ยังตัดไม่ได้และไม่ได้ฝืนหักดิบไป เพราะรู้สึกว่าความค่อยเป็นค่อยไปทำให้ปฏิบัติธรรมะได้ก้าวหน้ามากกว่า
เคยฟังพระไตรปิฎกเกี่ยวกับความสัปปายะ ท่านให้ถือผลการปฏิบัติเป็นสำคัญกว่าสำนัก สถานที่ฯลฯ แต่ถ้าเมื่อไร พบว่าการละขาดทางโลกให้ผลก้าวหน้ากว่าจริงและเราหวังผลใหญ่อันไพบูลย์ ก็ควรละ
ส่วนเรื่องความสุขทางโลกนั้น ยิ่งปฏิบัติยิ่งพบว่า
สิ่งที่เคยมองว่าเป็นความสุขนั้นกลายเป็นกงจักรมากขึ้นตามการขัดเกลาจิตใจ
สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นความสุขแท้จริงเป็นทุกข์จริงๆ เป็นภาระหนักทั้งนั้น
ท่านที่เข้าสมาธิได้จะเข้าใจดี โดยเฉพาะ ร่างกายที่เราหวงแหนยึดถือ เมื่อออกจากสมาธิแล้วแทบจะเป็นความลำบากที่ต้องดูแลไปเสียทั้งหมดเมื่อเทียบกับใจที่เบาสบายขณะเป็นสมาธิอยู่
ไม่ต้องพูดถึงกายผู้อื่น หรือทรัพย์ภายนอก
การปฏิบัติธรรม เป็นการลงทุนที่ไม่มีขาดทุน มีแต่ทวีคูณ เป็นการลงทุนระยะยาวชนิดข้ามภพข้ามชาติ ผู้ที่จะลงทุนระยะยาวได้ขนาดนี้ต้องมีความมั่งคงและอดทน
ขออนุโมทนากับ จขกท. และทุกท่านที่มีใจใฝ่ในธรรม ค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 334
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 120
ดีใจมากที่ได้อ่านบทความนี้ของดร.ครับ. ตอนนี้ก็ได้โอกาสกลับมาคิด ทั้งๆ ที่ตอนนี้ลงทุน
ก็กำไรเงินปันผลก็เยอะแยะ ทั้งจากอสังหา จากหุ้น. จนถ้าคิดว่าจะเกษียณ ก็ทำได้แล้ว แต่ทำไม
ใจมันยังโลภยังรู้สึกไม่พอ อาจจะไปนึกเปรียบเทียบกับคนที่มี port. เยอะมากก็ได้. มันทำให้
มันยังอยากไขว่คว้่าอยู่. ยิ่งศึกษาเยอะบางครั้งก็สนุก บางครั้งก็เครียดที่มันไม่เป็นไปตามคาด
ต้องต่อสู้กับความโลภกับความกลัวอยู่. ทำให้ใจมันไม่เป็นสุข. ถ้าสมมุติต้องตายตอนนี้ คง
มีหวังตกนรกแน่ๆ ครับ. โลภ โกรธ หลง มีพร้อมมูลอยู่ครบ.
ตอนนี้คงต้องกลับมาปฏิบัติให้เยอะขึ้นครับ. จากเดิมสวดมนต์แค่อาทิตย์ละครั้งเอง
นั่งสมาธิก็นานๆ ที่. แต่จะทำได้คงต้องมา review port กันให้เป็น port ที่กระจายความเสี่ยง
และอยู่ได้ระยะนานหน่อย. บางครั้ง return ที่ได้มากขึ้นอีกจากการต้องมาหาข้อมูลตัวหุ้น และ
ดูตลาดเพื่อหาจังหวะซื้อขายที่เหมาะๆ. ความเครียดที่ได้รับ มันจะคุ้มกันหรือเปล่าไม่รู้. ท้ายที่สุด
ผมก็คงจะออกจากตลาดเหมือนคุณ. Tum h แหละครับ. หรือไม่ก็อาจจะทิ้งหุ้นที่คิดว่าดีเอาไว้ 50%
(เอาออกมาเป็นใบหุ้นเลย). และเรามาปฏิบัติทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ดีกว่า. ยังเป็นโสด ก็เขียนพินัยกรรม
แบ่งสมบัติ ให้พี่น้องครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งให้มูลนิธิไป. ตายไปก็เอาไปไม่ได้
ก็กำไรเงินปันผลก็เยอะแยะ ทั้งจากอสังหา จากหุ้น. จนถ้าคิดว่าจะเกษียณ ก็ทำได้แล้ว แต่ทำไม
ใจมันยังโลภยังรู้สึกไม่พอ อาจจะไปนึกเปรียบเทียบกับคนที่มี port. เยอะมากก็ได้. มันทำให้
มันยังอยากไขว่คว้่าอยู่. ยิ่งศึกษาเยอะบางครั้งก็สนุก บางครั้งก็เครียดที่มันไม่เป็นไปตามคาด
ต้องต่อสู้กับความโลภกับความกลัวอยู่. ทำให้ใจมันไม่เป็นสุข. ถ้าสมมุติต้องตายตอนนี้ คง
มีหวังตกนรกแน่ๆ ครับ. โลภ โกรธ หลง มีพร้อมมูลอยู่ครบ.
ตอนนี้คงต้องกลับมาปฏิบัติให้เยอะขึ้นครับ. จากเดิมสวดมนต์แค่อาทิตย์ละครั้งเอง
นั่งสมาธิก็นานๆ ที่. แต่จะทำได้คงต้องมา review port กันให้เป็น port ที่กระจายความเสี่ยง
และอยู่ได้ระยะนานหน่อย. บางครั้ง return ที่ได้มากขึ้นอีกจากการต้องมาหาข้อมูลตัวหุ้น และ
ดูตลาดเพื่อหาจังหวะซื้อขายที่เหมาะๆ. ความเครียดที่ได้รับ มันจะคุ้มกันหรือเปล่าไม่รู้. ท้ายที่สุด
ผมก็คงจะออกจากตลาดเหมือนคุณ. Tum h แหละครับ. หรือไม่ก็อาจจะทิ้งหุ้นที่คิดว่าดีเอาไว้ 50%
(เอาออกมาเป็นใบหุ้นเลย). และเรามาปฏิบัติทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ดีกว่า. ยังเป็นโสด ก็เขียนพินัยกรรม
แบ่งสมบัติ ให้พี่น้องครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งให้มูลนิธิไป. ตายไปก็เอาไปไม่ได้