ผมงงกับค่า PE
-
- Verified User
- โพสต์: 8
- ผู้ติดตาม: 0
ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 1
สวัสดีครับผมเป็นสมาชิกใหม่ที่ซุ่มอ่านมาหลายกระทู้แล้ววันนี้มีโอกาสได้ตั้งคำถามสักที
ทำไม PE ถึงคิดจากราคาปัจจุบันหารด้วยกำไรย้อนหลัง12เดือนทั้งหมดของบริษัท
ทำไมไม่ใช้ ราคาปัจุบันหารด้วย((ส่วนผู้ถือหุ้น หาร สินทรัพย์ทั้งหมด) X กำไรทั้งหมด)
คือผมงงมากเราลงทุนแค่ส่วนผู้ถือหุ้นทำไมไม่เอาแค่ส่วนผู้ถือหุ้นมาคิด
ทำไม PE ถึงคิดจากราคาปัจจุบันหารด้วยกำไรย้อนหลัง12เดือนทั้งหมดของบริษัท
ทำไมไม่ใช้ ราคาปัจุบันหารด้วย((ส่วนผู้ถือหุ้น หาร สินทรัพย์ทั้งหมด) X กำไรทั้งหมด)
คือผมงงมากเราลงทุนแค่ส่วนผู้ถือหุ้นทำไมไม่เอาแค่ส่วนผู้ถือหุ้นมาคิด
เสรีชน คนติดดิน
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 2
เอ่อ...งงๆ กับคำถาม แต่จะขอลองตอบดูนะครับ...^^)
1)ทำไมใช้ PE = ราคา/กำไร
เพราะความหมายของ PE ที่เราดูจะดูว่าราคาที่เราจะซื้อ ณ ขณะนั้นเป็นกี่เท่าของกำไรที่บริษัททำได้ครับ
แล้วเรายอมรับได้หรือไม่ เช่นได้ราคาเป็น PE=15 เท่าของกำไร หรือแปลลึกลงไปอีกก็คือ เราลงทุน ณ ราคานี้
แล้วจะได้เงินคืนจากการลงทุนภายใน 15 ปี(ไม่รวมการคำนวนมูลค่าคิดลดของเงินลงทุนนะครับ)
2)ทำไมถึงไม่ใช้ PE = ราคา/ ((ส่วนผู้ถือหุ้น หาร สินทรัพย์)xกำไร))
ตรงนี้ไม่เข้าใจครับว่าทำไมถึงต้องใช้สูตรแบบนี้...-_-??)
เอาเท่าที่ผมตีความได้ละกัน คือในแบบของผม การที่เราจะดูกำไรที่บริษัททำได้เราต้องดูกำไรทั้งหมดครับ
นั่นก็คือกำไรที่เกิดจากทั้ง "ส่วนของผู้ถือหุ้น+หนี้สิน" ไม่ได้ดูแค่ "ส่วนของผู้ถือหุ้น" เพียงอย่างเดียว
เพราะเราไม่สามารถจำแนก แยกแยะกำไรที่บริษัททำได้ครับว่าส่วนไหนมันมาจาก "ผู้ถือหุ้น"
แล้วส่วนไหนมาจาก "การกู้หนี้ยืมสิน" มันจะผสมๆกันแล้วก่อให้เกิดกำไรทั้งหมดของบริษัทครับ
แต่ที่เราสามารถทำได้คือ เราจะรู้ได้ว่ากำไรที่บริษัททำได้ทั้งหมด
มาจากการบริหารส่วนของผู้ถือหุ้นเท่าไร แล้วหนี้สินเท่าไร ซึ่งมันก้บอกไม่ได้ครับว่าควรจะมีอันไหนมากกว่ากัน
แล้วจะดี เพราะบางบริษัทใช้หนี้สินมาก่อให้เกิดมากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็ถือว่าดีไม่ต้องเดือดร้อนผู้ถือหุ้น
ส่วนบริษัทที่ใช้เงินผู้ถือหุ้นไปสร้างกำไรกลับคืนมาโดยไม่ต้องไปกู้เงินให้มีภาระดอกเบี้ยก็ดีเหมือนกัน
ดังนั้น มันเลยบอกไม่ได้ว่าแบบไหนมันดีกว่ากัน เราเลยดูเป็นภาพรวมครับแล้วก้เวลาเปรียบเทียบระหว่าง
บริษัทอื่นๆก็จะง่ายด้วยครับ
ไม่รู้ผมตอบตรงประเด็นกับที่ถามหรือเปล่านะครับ...^^)
1)ทำไมใช้ PE = ราคา/กำไร
เพราะความหมายของ PE ที่เราดูจะดูว่าราคาที่เราจะซื้อ ณ ขณะนั้นเป็นกี่เท่าของกำไรที่บริษัททำได้ครับ
แล้วเรายอมรับได้หรือไม่ เช่นได้ราคาเป็น PE=15 เท่าของกำไร หรือแปลลึกลงไปอีกก็คือ เราลงทุน ณ ราคานี้
แล้วจะได้เงินคืนจากการลงทุนภายใน 15 ปี(ไม่รวมการคำนวนมูลค่าคิดลดของเงินลงทุนนะครับ)
2)ทำไมถึงไม่ใช้ PE = ราคา/ ((ส่วนผู้ถือหุ้น หาร สินทรัพย์)xกำไร))
ตรงนี้ไม่เข้าใจครับว่าทำไมถึงต้องใช้สูตรแบบนี้...-_-??)
เอาเท่าที่ผมตีความได้ละกัน คือในแบบของผม การที่เราจะดูกำไรที่บริษัททำได้เราต้องดูกำไรทั้งหมดครับ
นั่นก็คือกำไรที่เกิดจากทั้ง "ส่วนของผู้ถือหุ้น+หนี้สิน" ไม่ได้ดูแค่ "ส่วนของผู้ถือหุ้น" เพียงอย่างเดียว
เพราะเราไม่สามารถจำแนก แยกแยะกำไรที่บริษัททำได้ครับว่าส่วนไหนมันมาจาก "ผู้ถือหุ้น"
แล้วส่วนไหนมาจาก "การกู้หนี้ยืมสิน" มันจะผสมๆกันแล้วก่อให้เกิดกำไรทั้งหมดของบริษัทครับ
แต่ที่เราสามารถทำได้คือ เราจะรู้ได้ว่ากำไรที่บริษัททำได้ทั้งหมด
มาจากการบริหารส่วนของผู้ถือหุ้นเท่าไร แล้วหนี้สินเท่าไร ซึ่งมันก้บอกไม่ได้ครับว่าควรจะมีอันไหนมากกว่ากัน
แล้วจะดี เพราะบางบริษัทใช้หนี้สินมาก่อให้เกิดมากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็ถือว่าดีไม่ต้องเดือดร้อนผู้ถือหุ้น
ส่วนบริษัทที่ใช้เงินผู้ถือหุ้นไปสร้างกำไรกลับคืนมาโดยไม่ต้องไปกู้เงินให้มีภาระดอกเบี้ยก็ดีเหมือนกัน
ดังนั้น มันเลยบอกไม่ได้ว่าแบบไหนมันดีกว่ากัน เราเลยดูเป็นภาพรวมครับแล้วก้เวลาเปรียบเทียบระหว่าง
บริษัทอื่นๆก็จะง่ายด้วยครับ
ไม่รู้ผมตอบตรงประเด็นกับที่ถามหรือเปล่านะครับ...^^)
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 199
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 3
เจ้าของกระทู้คงจะอยากคิดเฉพาะกำไรในส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างเดียว
-------
ซึ่งมันจะไม่เกี่ยวกับสูตรของ P/E Ratio นะครับ เพราะสูตรของ P/E Ratio มีมานานมากแล้ว โดยสูตรของมันคือ ราคาตลาด/กำไรต่อหุ้น ซึ่งถ้าใช้กำไรต่อหุ้น 4 ไตรมาสล่าสุดเป็นตัวหาร จะเรียกว่า trailing P/E ส่วนถ้าใช้กำไรต่อหุ้นที่ได้จากการประมาณการจะเรียกว่า Forward P/E
-------
ส่วนที่เจ้าของกระทู้จะคิดจะใช้เฉพาะกำไรของส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างเดียว มันก็จะเป็นภาพอีกภาพนึง แต่ถามว่ามีประโยชน์หรือเปล่า ตรงนั้นก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยน่าสนใจ เนื่องจาก ในการวิเคราะห์จำเป็นต้องดูหลายๆอย่างประกอบอยู่แล้ว
ปล. สุดท้ายนะครับ อยากให้อ่านหนังสือเยอะๆก่อน เข้ามาลงทุนนะครับ ทั้งไทยและต่างประเทศ หากยังไม่เข้าใจก็อ่านหลายๆรอบครับ แล้วก็มาถาม จากนั้นก็อ่านกระทู้ที่เว๊บนี้ต่อเพราะบางกระทู้จำเป็นต้องมีพื้นฐานระดับนึง ซึ่งวิธีการแบบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนมากกว่าครับ
-------
ซึ่งมันจะไม่เกี่ยวกับสูตรของ P/E Ratio นะครับ เพราะสูตรของ P/E Ratio มีมานานมากแล้ว โดยสูตรของมันคือ ราคาตลาด/กำไรต่อหุ้น ซึ่งถ้าใช้กำไรต่อหุ้น 4 ไตรมาสล่าสุดเป็นตัวหาร จะเรียกว่า trailing P/E ส่วนถ้าใช้กำไรต่อหุ้นที่ได้จากการประมาณการจะเรียกว่า Forward P/E
-------
ส่วนที่เจ้าของกระทู้จะคิดจะใช้เฉพาะกำไรของส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างเดียว มันก็จะเป็นภาพอีกภาพนึง แต่ถามว่ามีประโยชน์หรือเปล่า ตรงนั้นก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยน่าสนใจ เนื่องจาก ในการวิเคราะห์จำเป็นต้องดูหลายๆอย่างประกอบอยู่แล้ว
ปล. สุดท้ายนะครับ อยากให้อ่านหนังสือเยอะๆก่อน เข้ามาลงทุนนะครับ ทั้งไทยและต่างประเทศ หากยังไม่เข้าใจก็อ่านหลายๆรอบครับ แล้วก็มาถาม จากนั้นก็อ่านกระทู้ที่เว๊บนี้ต่อเพราะบางกระทู้จำเป็นต้องมีพื้นฐานระดับนึง ซึ่งวิธีการแบบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนมากกว่าครับ
บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต มีความสามารถในการแข่งขัน มีผู้บริหารที่ดีและเก่ง ราคาที่ซื้อมี MOS เพียงพอ
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 4
เออ ผมงง
ตกลง ต้องถามใหม่ก่อนนะคับ
ว่าจะสงสัยส่วนไหนใน 2 กรณีนี้
คือ
1 pe ที่คิดจาก ส่วนของequity
หมายถึง ทุนจดทะเบียน+กำไรสะสม +ส่วนล้ำมูลค่าหุ้น
2 pe ที่คิดจากส่วน เฉพาะ ของ ทุนจดทะเบียน
ถ้าเป็นข้อ 1 อธิบายได้ แต่ถ้าเป็นข้อสอง ผมงง
เพราะตีความ ownership ตาม จขกท ไม่ถูก
ถ้าตามข้อ1
eps คือ return ของequity ล้วนๆ
ตามสูตรปกติ ถูกแล้ว
เพราะ return ของ debt คือ ดอกเบี้ย ได้ถูก หักออก ก่อน bottom line แล้ว
สรุป pe คือ วัดผลเฉพาะทางส่วน equity อยู่แล้ว
ไม่ได้ effect กับ return ของฝั่งหนี้
ไม่รู้คนตอบ งง เองป่าวนะคับ
ลองดูเรื่อง roe roa แบบละเอียดๆ น่าจะโอเคนะคับ
เชคอีกทีก็ดีคับ เผื่อผมพาเข้าป่า
ตกลง ต้องถามใหม่ก่อนนะคับ
ว่าจะสงสัยส่วนไหนใน 2 กรณีนี้
คือ
1 pe ที่คิดจาก ส่วนของequity
หมายถึง ทุนจดทะเบียน+กำไรสะสม +ส่วนล้ำมูลค่าหุ้น
2 pe ที่คิดจากส่วน เฉพาะ ของ ทุนจดทะเบียน
ถ้าเป็นข้อ 1 อธิบายได้ แต่ถ้าเป็นข้อสอง ผมงง
เพราะตีความ ownership ตาม จขกท ไม่ถูก
ถ้าตามข้อ1
eps คือ return ของequity ล้วนๆ
ตามสูตรปกติ ถูกแล้ว
เพราะ return ของ debt คือ ดอกเบี้ย ได้ถูก หักออก ก่อน bottom line แล้ว
สรุป pe คือ วัดผลเฉพาะทางส่วน equity อยู่แล้ว
ไม่ได้ effect กับ return ของฝั่งหนี้
ไม่รู้คนตอบ งง เองป่าวนะคับ
ลองดูเรื่อง roe roa แบบละเอียดๆ น่าจะโอเคนะคับ
เชคอีกทีก็ดีคับ เผื่อผมพาเข้าป่า
show me money.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2166
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 5
E ในสูตรนั้นเป็น earnings หรือกำไรสุทธิ (ซึ่งหักดอกเบี้ยจ่ายและภาษีแล้ว)
ความเป็นเจ้าของระหว่าง ส่วนทุน (shareholder's equity) และหนี้สิน (debt) มีระดับที่ไม่เหมือนกัน
ผู้กู้ได้ผลตอบแทนเป็นแค่ดอกเบี้ยจ่าย ไม่ใช่ในกำไรที่เกิดขึ้น
ความเป็นเจ้าของระหว่าง ส่วนทุน (shareholder's equity) และหนี้สิน (debt) มีระดับที่ไม่เหมือนกัน
ผู้กู้ได้ผลตอบแทนเป็นแค่ดอกเบี้ยจ่าย ไม่ใช่ในกำไรที่เกิดขึ้น
Minimize risk through an in-depth knowledge. Buy at bargain price. Wait patiently.
http://valueinvestors.wordpress.com/
http://valueinvestors.wordpress.com/
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2166
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 6
แก้ไขครับ จากผู้กู้ เป็นผู้ให้กู้
Minimize risk through an in-depth knowledge. Buy at bargain price. Wait patiently.
http://valueinvestors.wordpress.com/
http://valueinvestors.wordpress.com/
-
- Verified User
- โพสต์: 732
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 7
กำไรสุทธิมันเป็นส่วนของเราอยู่แล้วครับเพราะหักผลตอบแทนที่คาดหวังของปัจจัยการผลิตไปแล้ว
แรงงาน->ค่าแรง
สินทรัพย์->ค่าเสื่อม
เจ้าหนี้->ดอกเบี้ย
รัฐบาล->ภาษี (ไปใช้สินค้าสาธารณะของรัฐทำมาหากิน ถนน น้ำ ไฟ ก็ต้องคืนให้รัฐในรูปภาษี)
แรงงาน->ค่าแรง
สินทรัพย์->ค่าเสื่อม
เจ้าหนี้->ดอกเบี้ย
รัฐบาล->ภาษี (ไปใช้สินค้าสาธารณะของรัฐทำมาหากิน ถนน น้ำ ไฟ ก็ต้องคืนให้รัฐในรูปภาษี)
ลงทุนหุ้นดี มีสตอรี่ ราคาไม่แพง เดี๋ยวก็รวย
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
หนังสือเล่มสองผมครับ เจาะหุ้นร้อน สแกนหุ้นเด้ง การแคะหุ้นจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
-
- Verified User
- โพสต์: 8
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 8
คือผมงงตรงนี้น่ะ ยกตัวอย่าง scb
http://www.set.or.th/set/companyhighlig ... country=TH
ในงบจะเห็นว่าส่วนผู้ถือหุ้น เป็น 9.35 % ของสินทรัพย์ทั้งหมด
นั้นก็แสดงว่า กำไร scb ไตรมาส2/56 มี 25,769.93 ล้านบาท จะเป็นของส่วนผู้ถือหุ้น 2,409.49 ล้านบาท เมื่อนำมาหารจำนวนหุ้นคือ
3,939 ล้านหุ้น จะได้ กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.61 บาท/หุ้น
ดังนั้นเมื่อนำราคาต่อหุ้น 154 บาท หาร กำไรต่อหุ้น 0.61 บาท
ก็จะได้ค่า PE เท่ากับ 252.46 เท่า
ไม่รู้ผมเข้าใจถูกผิดรึเปล่า เพราะพึ่งเริ่มศึกษาแนวทางVIและอ่าน intelligent investor ไปไม่กี่บทเอง แหะๆๆ ถ้าผิดพลาดยังไงขออภัยด้วย
http://www.set.or.th/set/companyhighlig ... country=TH
ในงบจะเห็นว่าส่วนผู้ถือหุ้น เป็น 9.35 % ของสินทรัพย์ทั้งหมด
นั้นก็แสดงว่า กำไร scb ไตรมาส2/56 มี 25,769.93 ล้านบาท จะเป็นของส่วนผู้ถือหุ้น 2,409.49 ล้านบาท เมื่อนำมาหารจำนวนหุ้นคือ
3,939 ล้านหุ้น จะได้ กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.61 บาท/หุ้น
ดังนั้นเมื่อนำราคาต่อหุ้น 154 บาท หาร กำไรต่อหุ้น 0.61 บาท
ก็จะได้ค่า PE เท่ากับ 252.46 เท่า
ไม่รู้ผมเข้าใจถูกผิดรึเปล่า เพราะพึ่งเริ่มศึกษาแนวทางVIและอ่าน intelligent investor ไปไม่กี่บทเอง แหะๆๆ ถ้าผิดพลาดยังไงขออภัยด้วย
เสรีชน คนติดดิน
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2770
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 9
http://www.set.or.th/set/newsdetails.do ... country=THoakzakung เขียน:คือผมงงตรงนี้น่ะ ยกตัวอย่าง scb
http://www.set.or.th/set/companyhighlig ... country=TH
ในงบจะเห็นว่าส่วนผู้ถือหุ้น เป็น 9.35 % ของสินทรัพย์ทั้งหมด
นั้นก็แสดงว่า กำไร scb ไตรมาส2/56 มี 25,769.93 ล้านบาท จะเป็นของส่วนผู้ถือหุ้น 2,409.49 ล้านบาท เมื่อนำมาหารจำนวนหุ้นคือ
3,939 ล้านหุ้น จะได้ กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.61 บาท/หุ้น
ดังนั้นเมื่อนำราคาต่อหุ้น 154 บาท หาร กำไรต่อหุ้น 0.61 บาท
ก็จะได้ค่า PE เท่ากับ 252.46 เท่า
ไม่รู้ผมเข้าใจถูกผิดรึเปล่า เพราะพึ่งเริ่มศึกษาแนวทางVIและอ่าน intelligent investor ไปไม่กี่บทเอง แหะๆๆ ถ้าผิดพลาดยังไงขออภัยด้วย
ลองอ่านหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อที่ 42 นะครับ
กำไรที่เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญของธนาคาร (ขั้นพื้นฐาน) 25,760
จำนวนหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิที่ออกจำหน่ายแล้ว 3,399
กำไรต่อหุ้น (ขั้นพื้นฐาน) (บาท) 7.58
Vi IMrovised
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2770
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 10
ผมคิดว่าคุณ oakzakung อาจสับสนคำว่าส่วนของผู้ถือหุ้นครับ
ในความหมายของ กำไรที่เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญ คือ หากเรามีกำไรมา เราต้องตัดกำไรออกไปให้กับบุคคลอื่นที่มีสิทธิเกี่ยวข้อง เช่นกำไรของผู้ถือหุ้นปุริมสิทธิ์ ออกไปก่อน ครับ
ส่วน ส่วนของผู้ถือหุ้น ในบัญชีงบดุลนั้น หมายถึง Equity = Assets - Liabilities
ในความหมายของ กำไรที่เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นสามัญ คือ หากเรามีกำไรมา เราต้องตัดกำไรออกไปให้กับบุคคลอื่นที่มีสิทธิเกี่ยวข้อง เช่นกำไรของผู้ถือหุ้นปุริมสิทธิ์ ออกไปก่อน ครับ
ส่วน ส่วนของผู้ถือหุ้น ในบัญชีงบดุลนั้น หมายถึง Equity = Assets - Liabilities
Vi IMrovised
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 11
คุณ oakzakung เข้าใจไปว่า กำไรแต่ละปี น่าจะถูกแบ่ง ตามอัตราส่วน debt: equity ของงบดุล
ถ้า debt: equity เป็น 90%: 10% ปีไหน กำไรเป็น 1000ล. กำไรจะถูกจ่ายแบ่งไปยัง เจ้าหนี้ 900ล. ไปหา shareholder 100ล. น่าจะยุติธรรม ใน common sense
ซึ่งในความเป็นจริง ในระบบบัญชี-ระบบธุรกิจการแบ่งผลประโยชน์ไปหาเจ้าหนี้ ไม่ได้เป็นอัตราส่วนแบบนั้น
เอาแค่มองง่ายๆ ที่สุดเลย ใน "งบดุล" (ชื่อใหม่ "งบแสดงฐานะการเงิน") .... ยังไม่พูดถึงเจ้าหนี้การค้าหรือหนี้อื่นๆ ในงบดุลเดี๋ยวงง
ธนาคารที่ให้เงินกู้บริษัทเรา จะไม่ได้มารับรู้แต่ละปีโดยตรง ว่าบริษัทเราได้กำไรหรือขาดทุนขนาดไหน
แค่ดูความน่าเชื่อถือ "ประเมินความเสียว" มาตั้งแต่ตอนยอมให้กู้แล้ว ว่าเงินต้นจะไม่หาย ดอกเบี้ยจะได้สม่ำเสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราจะดูแบบไม่ซับซ้อน ใน "งบกำไร-ขาดทุน" ก่อนเป็นกำไรสุทธิ ที่ "สุทธิ" ก็ผ่าน "ต้นทุนทางการเงิน" (กับต้นทุนภาษี) มาแล้ว (อย่างคุณ pat4310, คุณ offshore-engineer ว่าไว้ข้างบน)
แล้วจับไปลงในส่วนของเจ้าของ ใน "งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น" สะสมเป็นกำไรสุทธิ แบ่งเป็นปันผลเป็นระยะ
จึงขอแนะนำว่า ควรไปทำความรู้จักตรงนี้เบื้องต้นก่อน จะเข้าใจได้มากขึ้น
(ทดลอง download งบ เอามาซักธุรกิจที่ตัวเองสนใจอยากลงทุน ...แต่ว่างบกิจการธนาคารอย่าเพิ่งเลยเพราะไม่เหมือนชาวบ้าน
แล้วตรงไหนงง ก็เอาไปเปรียบเทียบกับ "หลักการ" ในหนังสือบัญชี จะเกิดแรงจูงใจให้เรียนรู้เร็ว เรียนรู้มากกว่าอ่านจากหนังสือเฉยๆ)
ถ้า debt: equity เป็น 90%: 10% ปีไหน กำไรเป็น 1000ล. กำไรจะถูกจ่ายแบ่งไปยัง เจ้าหนี้ 900ล. ไปหา shareholder 100ล. น่าจะยุติธรรม ใน common sense
ซึ่งในความเป็นจริง ในระบบบัญชี-ระบบธุรกิจการแบ่งผลประโยชน์ไปหาเจ้าหนี้ ไม่ได้เป็นอัตราส่วนแบบนั้น
เอาแค่มองง่ายๆ ที่สุดเลย ใน "งบดุล" (ชื่อใหม่ "งบแสดงฐานะการเงิน") .... ยังไม่พูดถึงเจ้าหนี้การค้าหรือหนี้อื่นๆ ในงบดุลเดี๋ยวงง
ธนาคารที่ให้เงินกู้บริษัทเรา จะไม่ได้มารับรู้แต่ละปีโดยตรง ว่าบริษัทเราได้กำไรหรือขาดทุนขนาดไหน
แค่ดูความน่าเชื่อถือ "ประเมินความเสียว" มาตั้งแต่ตอนยอมให้กู้แล้ว ว่าเงินต้นจะไม่หาย ดอกเบี้ยจะได้สม่ำเสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราจะดูแบบไม่ซับซ้อน ใน "งบกำไร-ขาดทุน" ก่อนเป็นกำไรสุทธิ ที่ "สุทธิ" ก็ผ่าน "ต้นทุนทางการเงิน" (กับต้นทุนภาษี) มาแล้ว (อย่างคุณ pat4310, คุณ offshore-engineer ว่าไว้ข้างบน)
แล้วจับไปลงในส่วนของเจ้าของ ใน "งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น" สะสมเป็นกำไรสุทธิ แบ่งเป็นปันผลเป็นระยะ
จึงขอแนะนำว่า ควรไปทำความรู้จักตรงนี้เบื้องต้นก่อน จะเข้าใจได้มากขึ้น
(ทดลอง download งบ เอามาซักธุรกิจที่ตัวเองสนใจอยากลงทุน ...แต่ว่างบกิจการธนาคารอย่าเพิ่งเลยเพราะไม่เหมือนชาวบ้าน
แล้วตรงไหนงง ก็เอาไปเปรียบเทียบกับ "หลักการ" ในหนังสือบัญชี จะเกิดแรงจูงใจให้เรียนรู้เร็ว เรียนรู้มากกว่าอ่านจากหนังสือเฉยๆ)
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 12
อีกแง่มุมหนึ่ง มองเข้าไปอีกหน่อย
key หลัก ของการทำ "ธุรกิจ" ในระบบ "ทุนนิยม"
คือคนที่ทำธุรกิจ ทำให้บริษัทโตมากๆ ได้ ส่วนของเจ้าของ/ส่วนของผู้ถือหุ้น สามารถขยายไปกว่าเดิม เป็นอัตราทวีได้ (financial leverage)
โดยใช้ "เงินคนอื่น" มาทำให้เงินตัวเองโต
ก็บริษัทมาทำงาน "ปฏิบัติการ" ที่ไม่ใช่งานที่เจ้าหนี้เงินกู้-สถาบันการเงินไม่ถนัดที่จะทำเอง (ถ้าถนัดทำเอง ก็ไม่มาปล่อยกู้สิ)
บริษัทก็รับผลจากหยาดเหงื่อ จากการบริหารจัดการในปฏิบัติการนั้น
แล้ว operating leverage คือต้องบริหาร ให้ operating income ให้โตแซงอัตราส่วนการโตของ revenue
financial leverage คือต้องบริหาร ให้ net income ให้โตแซงอัตราส่วนการโตของ operating income
ต้องทำให้ผลจากการทำงาน รีดประสิทธิภาพจากผลที่ได้จาก asset ต้องให้เหนือดอกเงินกู้เยอะๆ ยังไม่พอ ต้องให้เกินคุ้ม
ส่วนเจ้าหนี้เงินกู้-สถาบันการเงิน ไม่ได้มาลงแรงด้วย เอาเงินมาให้กู้ ก็ดีกว่าเก็บดองไว้
ก็เป็นแค่เสือนอนกิน.... ก็รับไปตามอัตราดบ. ที่ที่ตกลงกันไว้
แต่ถ้าสถาบันการเงิน ถ้าไม่อยากรับแค่ดอก ก็เอาบางส่วนไปลงทุนในธุรกิจใหญ่ๆ เองหรือกระจายบางส่วน เอาไปซื้อหุ้นแบบเราๆ ("เงินลงทุนเพื่อค้า/เผื่อขาย") พันธบัตร หุ้นกู้ ก็ซื้อได้เช่นกัน ความเสี่ยงแตกต่างกันไป
แต่ว่าสิ่งที่เจ้าของธุรกิจเผชิญ คือความเสี่ยงที่จะหมดตัวล้มเหลวมากไปเช่นกัน
ถ้า leverage น้อยไปก็โตช้า ถ้า leverage/gearing มากไป ก็หวาดเสียว
ใส่ "gear" สูง เร่งมากไป เด๋วมีเครื่องพัง แหกโค้ง
ต้องคำนึงถึง leverage vs risk
key หลัก ของการทำ "ธุรกิจ" ในระบบ "ทุนนิยม"
คือคนที่ทำธุรกิจ ทำให้บริษัทโตมากๆ ได้ ส่วนของเจ้าของ/ส่วนของผู้ถือหุ้น สามารถขยายไปกว่าเดิม เป็นอัตราทวีได้ (financial leverage)
โดยใช้ "เงินคนอื่น" มาทำให้เงินตัวเองโต
ก็บริษัทมาทำงาน "ปฏิบัติการ" ที่ไม่ใช่งานที่เจ้าหนี้เงินกู้-สถาบันการเงินไม่ถนัดที่จะทำเอง (ถ้าถนัดทำเอง ก็ไม่มาปล่อยกู้สิ)
บริษัทก็รับผลจากหยาดเหงื่อ จากการบริหารจัดการในปฏิบัติการนั้น
แล้ว operating leverage คือต้องบริหาร ให้ operating income ให้โตแซงอัตราส่วนการโตของ revenue
financial leverage คือต้องบริหาร ให้ net income ให้โตแซงอัตราส่วนการโตของ operating income
ต้องทำให้ผลจากการทำงาน รีดประสิทธิภาพจากผลที่ได้จาก asset ต้องให้เหนือดอกเงินกู้เยอะๆ ยังไม่พอ ต้องให้เกินคุ้ม
ส่วนเจ้าหนี้เงินกู้-สถาบันการเงิน ไม่ได้มาลงแรงด้วย เอาเงินมาให้กู้ ก็ดีกว่าเก็บดองไว้
ก็เป็นแค่เสือนอนกิน.... ก็รับไปตามอัตราดบ. ที่ที่ตกลงกันไว้
แต่ถ้าสถาบันการเงิน ถ้าไม่อยากรับแค่ดอก ก็เอาบางส่วนไปลงทุนในธุรกิจใหญ่ๆ เองหรือกระจายบางส่วน เอาไปซื้อหุ้นแบบเราๆ ("เงินลงทุนเพื่อค้า/เผื่อขาย") พันธบัตร หุ้นกู้ ก็ซื้อได้เช่นกัน ความเสี่ยงแตกต่างกันไป
แต่ว่าสิ่งที่เจ้าของธุรกิจเผชิญ คือความเสี่ยงที่จะหมดตัวล้มเหลวมากไปเช่นกัน
ถ้า leverage น้อยไปก็โตช้า ถ้า leverage/gearing มากไป ก็หวาดเสียว
ใส่ "gear" สูง เร่งมากไป เด๋วมีเครื่องพัง แหกโค้ง
ต้องคำนึงถึง leverage vs risk
-
- Verified User
- โพสต์: 99
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 13
ขออนุญาติขยายความเพิ่มของคุณ li'8N เพื่อให้คุณ oakzakung เข้าใจเพิ่มครับถ้า
dept : equity = 90% : 10% ไม่ได้หมายความว่ากำไรที่หามาได้จะต้องแบ่งให้ส่วน dept 90% เพราะ dept ไม่ใช้ผู้ถือหุ้น แต่เป็นเจ้าหนี้ซึ่งจะได้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยแทน ส่วนกำไรที่ไดัมาจะต้องมาแบ่งตามสัดส่วนของequity ว่ามีหุ้นสามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ์ ครับ
dept : equity = 90% : 10% ไม่ได้หมายความว่ากำไรที่หามาได้จะต้องแบ่งให้ส่วน dept 90% เพราะ dept ไม่ใช้ผู้ถือหุ้น แต่เป็นเจ้าหนี้ซึ่งจะได้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยแทน ส่วนกำไรที่ไดัมาจะต้องมาแบ่งตามสัดส่วนของequity ว่ามีหุ้นสามัญ และหุ้นบุริมสิทธิ์ ครับ
อนาคตเป็นสิ่งที่เรากำหนดได้ในวันนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 14
ต้องขอถามคุณ "Oakzakung" ก่อนครับว่า
เข้าใจเหมือนกับที่ทุกๆคนได้อธิบายกันมาหรือเปล่า
ที่ึคิดว่า ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นกี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ ก็จะทำให้กำไรในส่วน
ของผู้ถือเป็นเปอร์เซนต์ตามนั้นด้วย
ถ้าเข้าใจแบบนี้ก็ "เข้าใจผิด!!!" ตั้งแต่เริ่มเลยครับ..*0*!!!)
อย่างที่ผมบอกไปแล้วครับว่าเราไม่รู้ว่ากำไรในแต่ละส่วนมันถูกสร้างมาจากอะไร
ครับ ยกตัวอย่างอันนี้เป็นงบธนาคาร(งบธนาคารนี่ผมไม่สันทัดนะ..T-T)
เท่าที่ผมเคยได้ยินผ่านๆมาธนาคารใช้เงินฝากของประชาชนมาก่อให้เกิดรายได้
เป็นหลัก กับเรื่องของค่าธรรมเนียม ผมจำได้ว่าเงินฝากของประชาชนเป็น "หนี้สิน"
ของธนาคาร เพราะต้องมีภาระจ่ายดอกเบี้ย ส่วนเงินที่ปล่อยกู้เป็น "ทรัพย์สิน"
ของธนาคาร
ส่วนที่ว่าทำไมถึงเรียกว่าเข้าใจผิดเพราะ ตามสมการ
"สินทรัพย์=หนี้สิน+ส่วนของผู้ถือหุ้น"
ถ้ามีส่วนของผู้ถือหุ้น 9.35% ก็จะมีหนี้สิน 90.65%
ตรงนี้ถูกต้องครับ แต่คำถามคือ กำไรของบริษัท 100% มันจะเป็นของผู้ถือหุ้น 9.35%
แล้วอีก 90.65% เป็นของหนี้สินหรือ อันนี้ไม่ใช่ครับ เพราะอะไร?
เพราะหนี้สิน 90.65% มันเป็นหนี้สินทั้งหมด!!ครับ การชำระหนี้มันจะต้องมีระยะเวลาครับ
เช่น 3 ปี 5ปี 10ปี ดังนั้นกำไรมันจึงแบ่งมาเป็น%ทั้งหมดของหนี้สินไม่ได้
แล้วอีกอย่างที่ผมย้ำครับว่าเราไม่รู้ว่า กำไร100% มันเกิดจากส่วนของผู้ถือหุ้น 9.35%
แล้วก่อให้เกิดกำไรกี่% แล้วหนี้สิน 90.65% มันก่อให้เกิดกำไรกี่ %
มันอาจจะเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นทำให้เกิดกำไร 70% แล้วหนี้สินทำให้เกิดกำไร 30%
ก็จะได้กำไร 100% หรือแบ่งกันไปคนละ 50-50 มันก็ได้กำไร 100% เหมือนกันครับ
มันจึงแยกไม่ได้ว่ามันมาจากตรงไหนเท่าไร แต่ที่เรารู้ได้ก็คือบริษัทใช้ส่วนของผู้ถือหุ้น
กี่%แล้วใช้หนี้สินกี่% ในการสร้างกำไร 100% ในปีนั้นๆครับ
สรุป ถ้าเข้าใจผิดตั้งแต่แรก มันก็จะผิดไปหมดในการคำนวนครับ
ว่าแต่คุณ "Oakzakung" เข้าใจผิดอย่างที่ทุกๆคนคิดหรือเปล่าเอ่ย??
ปล. อธิบายซะยาวเลยอ่านแล้วจะเข้าใจไหมนี่ เหอๆ...^^)
เข้าใจเหมือนกับที่ทุกๆคนได้อธิบายกันมาหรือเปล่า
ที่ึคิดว่า ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นกี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ ก็จะทำให้กำไรในส่วน
ของผู้ถือเป็นเปอร์เซนต์ตามนั้นด้วย
ถ้าเข้าใจแบบนี้ก็ "เข้าใจผิด!!!" ตั้งแต่เริ่มเลยครับ..*0*!!!)
อย่างที่ผมบอกไปแล้วครับว่าเราไม่รู้ว่ากำไรในแต่ละส่วนมันถูกสร้างมาจากอะไร
ครับ ยกตัวอย่างอันนี้เป็นงบธนาคาร(งบธนาคารนี่ผมไม่สันทัดนะ..T-T)
เท่าที่ผมเคยได้ยินผ่านๆมาธนาคารใช้เงินฝากของประชาชนมาก่อให้เกิดรายได้
เป็นหลัก กับเรื่องของค่าธรรมเนียม ผมจำได้ว่าเงินฝากของประชาชนเป็น "หนี้สิน"
ของธนาคาร เพราะต้องมีภาระจ่ายดอกเบี้ย ส่วนเงินที่ปล่อยกู้เป็น "ทรัพย์สิน"
ของธนาคาร
ส่วนที่ว่าทำไมถึงเรียกว่าเข้าใจผิดเพราะ ตามสมการ
"สินทรัพย์=หนี้สิน+ส่วนของผู้ถือหุ้น"
ถ้ามีส่วนของผู้ถือหุ้น 9.35% ก็จะมีหนี้สิน 90.65%
ตรงนี้ถูกต้องครับ แต่คำถามคือ กำไรของบริษัท 100% มันจะเป็นของผู้ถือหุ้น 9.35%
แล้วอีก 90.65% เป็นของหนี้สินหรือ อันนี้ไม่ใช่ครับ เพราะอะไร?
เพราะหนี้สิน 90.65% มันเป็นหนี้สินทั้งหมด!!ครับ การชำระหนี้มันจะต้องมีระยะเวลาครับ
เช่น 3 ปี 5ปี 10ปี ดังนั้นกำไรมันจึงแบ่งมาเป็น%ทั้งหมดของหนี้สินไม่ได้
แล้วอีกอย่างที่ผมย้ำครับว่าเราไม่รู้ว่า กำไร100% มันเกิดจากส่วนของผู้ถือหุ้น 9.35%
แล้วก่อให้เกิดกำไรกี่% แล้วหนี้สิน 90.65% มันก่อให้เกิดกำไรกี่ %
มันอาจจะเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นทำให้เกิดกำไร 70% แล้วหนี้สินทำให้เกิดกำไร 30%
ก็จะได้กำไร 100% หรือแบ่งกันไปคนละ 50-50 มันก็ได้กำไร 100% เหมือนกันครับ
มันจึงแยกไม่ได้ว่ามันมาจากตรงไหนเท่าไร แต่ที่เรารู้ได้ก็คือบริษัทใช้ส่วนของผู้ถือหุ้น
กี่%แล้วใช้หนี้สินกี่% ในการสร้างกำไร 100% ในปีนั้นๆครับ
สรุป ถ้าเข้าใจผิดตั้งแต่แรก มันก็จะผิดไปหมดในการคำนวนครับ
ว่าแต่คุณ "Oakzakung" เข้าใจผิดอย่างที่ทุกๆคนคิดหรือเปล่าเอ่ย??
ปล. อธิบายซะยาวเลยอ่านแล้วจะเข้าใจไหมนี่ เหอๆ...^^)
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4641
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ผมงงกับค่า PE
โพสต์ที่ 15
สุดยอดคำถามแห่งปี
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/