เห็นด้วยค่ะdrsp เขียน:ถ้าเราดูกราฟราคาหุ้น จะเห็นว่าราคามันขึ้นลงเป็นจังหวะ
คนที่สามารถจับจังหวะหุ้นได้จะทํากําไรมหาศาล
นักเล่นหุ้นหลายคนเชื่อว่าตัวเองทําได้เพราะ"ผมเก่ง"
ซื้อตอนหุ้นเริ่มขึ้น พอเริ่มลงก็ขายทิ้ง
กําไรเยอะ แถมไม่ติดหุ้นอีกต่างหาก
ผมก็เคยคิดแบบนี้ แต่บทเรียนที่ได้รับคือ
"ไม่มีใครทายจังหวะตลาดหุ้นถูกตลอด
มีแต่คนโง่ที่เชื่อว่าตัวเองทําได้"
บทเรียนที่ได้รับคือ พอหุ้นเริ่มตกขายออกไป
คิดว่ามันตกมาก จะเข้าไปซื้อใหม่ถูกกว่าเดิม
มันลงมานิดเดียว แล้ววิ่งไปไกลลิบ กําไรหายไปมากมาย
หรือมันเริ่มตกเราเข้าไปซื้อมันกลับตกหนักยาวนาน จนขาดทุนมากมาย
สิ่งที่ได้รับจากการพยายามทายราคาหุ้น คือขายหมูยักษ์ซํ้าแล้วซํ้าเล่า กับติดดอยยาวนาน
ที่สําคัญที่สุดคือ การพยายามทายราคาหุ้นเป็นนิสัยของนักเก็งกําไรไม่ใช่นักลงทุน
สมมติว่า คุณซื้อทองไว้แต่งงานลูกสาว
ตอนนี้ลูกสาวอายุ15ปี คุณคิดว่าจะถือสัก10ปี เผื่อลูกแต่งงานอายุ25
ถ้าคิดแบบนี้ คุณจําเป็นไหมที่ต้องดูราคาทองทุกวันเช้าเย็น
คุณต้องเครียดไหมว่าวันนี้ราคาทองตกไป3รอบ
การลงทุนหุ้นก็เช่นกัน
คุณใช้เวลาความพยายามมากมายศึกษาหุ้นหลายสิบตัว
จนพบหุ้นที่คุณคิดว่ายอดเยี่ยม ราคายังไม่แพงมาก
เป็นกิจการที่คุณอยากมีส่วนเป็นเจ้าของ
คุณเชื่อว่าอีก3-5ปีจะต้องให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจแน่นอน
แล้วคุณจะต้องไปเฝ้าหน้าจอ ดูราคาอยู่ตลอดเวลาเพื่ออะไร
ถ้าหุ้นที่คุณเลือกมาราคาขึ้นไป30%ในเวลาไม่กี่เดือน
คุณต้องขายไหม ถ้าถือหลายปีจะไม่ขึ้นมากกว่านี้เหรอ
ขายแล้วไปซื้ออะไร ในเมื่อคุณคิดว่าตัวนี้ดีที่สุดแล้ว
การลงทุนในหุ้นต้องอาศัยทั้งประสพการณ์และการเรียนรู้ที่ยาวนาน
หลายปีก่อนหน้านี้ ผมซื้อขายหุ้นบ่อยมาก แทบทุก2-3วัน
พอตอนปีใหม่ โบรกเกอร์เอากรอบรูปพระพิฆเนศสีทองทั้งอันมาให้ราคาหลายพัน
ผมถามตัวเองว่าลงทุนแทบตายเราทําให้ตัวเองหรือโบรกเกอร์กันแน่
ปัจจุบันนี้ ผมไม่ได้ซื้อขายหุ้นสักหุ้นเดียวมา6เดือนแล้ว
การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 31
[youtube][/youtube]
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 87
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 32
ชาว Thaivi ทุกท่านคิดอย่างไรกับการที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ดัชนีจะปรับฐานใหญ่ในเร็ววันจาก QE tapering. แนะให้ลดหรือล้างพอตรอ (ฟังมาจากวิทยุ เลยไม่เอกสารแนบมาโชว์นะครับ) ผมฟังแล้วก็ต้องยอมรับว่าหวั่นไหวพอควร เกือบกดปุ่มลด/ล้างพอทไปหลายทีแระ ทั้งๆที่มั่นใจว่าบริษัทที่ลงทุนอยู่จะต้องเติบโตต่อไปแน่นอนในอนาคต แต่ก็เกิดความโลบในใจอยากจะเล่นรอบดูบ้าง
ถ้าเป็นวิกฤตทั่วๆไปก็คงไม่มาคิดมากเพราะเข้าใจว่ายังไงก็คงหนีไม่ทัน เพราะคงมาแบบไม่รู้ตัว
ถ้าคำถามนี้ถือว่าไม่เหมาะที่จะมาพูดคุยในเวบนี้ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ
ถ้าเป็นวิกฤตทั่วๆไปก็คงไม่มาคิดมากเพราะเข้าใจว่ายังไงก็คงหนีไม่ทัน เพราะคงมาแบบไม่รู้ตัว
ถ้าคำถามนี้ถือว่าไม่เหมาะที่จะมาพูดคุยในเวบนี้ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1223
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 33
"สิ่งที่ส่งผลต่อราคาหุ้นมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ภาวะเศรษฐกิจ เงินทุนจากต่างชาติ มวลชน เจ้ามือ ฯลฯVIFOREVER เขียน:ชาว Thaivi ทุกท่านคิดอย่างไรกับการที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ดัชนีจะปรับฐานใหญ่ในเร็ววันจาก QE tapering. แนะให้ลดหรือล้างพอตรอ (ฟังมาจากวิทยุ เลยไม่เอกสารแนบมาโชว์นะครับ) ผมฟังแล้วก็ต้องยอมรับว่าหวั่นไหวพอควร เกือบกดปุ่มลด/ล้างพอทไปหลายทีแระ ทั้งๆที่มั่นใจว่าบริษัทที่ลงทุนอยู่จะต้องเติบโตต่อไปแน่นอนในอนาคต แต่ก็เกิดความโลบในใจอยากจะเล่นรอบดูบ้าง
ถ้าเป็นวิกฤตทั่วๆไปก็คงไม่มาคิดมากเพราะเข้าใจว่ายังไงก็คงหนีไม่ทัน เพราะคงมาแบบไม่รู้ตัว
ถ้าคำถามนี้ถือว่าไม่เหมาะที่จะมาพูดคุยในเวบนี้ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ
แต่ละอย่างเราคาดการณ์ได้ยากมาก แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เราพอคาดการณ์ได้
สิ่งนั้นคือผลประกอบการของบริษัทฯ ฉะนั้นถ้าอยากลงทุนให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว
จงให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราคาดการณ์ได้"
ด้านบนเป็นคำพูดของพี่โจตอนสอนน้องๆในงานมีทติ้งภาคใต้
ที่ผมยังจำฝังใจและยึดถือปฏิบัติมาจนทุกวันนี้ครับ
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 34
saichon เขียน:"สิ่งที่ส่งผลต่อราคาหุ้นมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ภาวะเศรษฐกิจ เงินทุนจากต่างชาติ มวลชน เจ้ามือ ฯลฯVIFOREVER เขียน:ชาว Thaivi ทุกท่านคิดอย่างไรกับการที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ดัชนีจะปรับฐานใหญ่ในเร็ววันจาก QE tapering. แนะให้ลดหรือล้างพอตรอ (ฟังมาจากวิทยุ เลยไม่เอกสารแนบมาโชว์นะครับ) ผมฟังแล้วก็ต้องยอมรับว่าหวั่นไหวพอควร เกือบกดปุ่มลด/ล้างพอทไปหลายทีแระ ทั้งๆที่มั่นใจว่าบริษัทที่ลงทุนอยู่จะต้องเติบโตต่อไปแน่นอนในอนาคต แต่ก็เกิดความโลบในใจอยากจะเล่นรอบดูบ้าง
ถ้าเป็นวิกฤตทั่วๆไปก็คงไม่มาคิดมากเพราะเข้าใจว่ายังไงก็คงหนีไม่ทัน เพราะคงมาแบบไม่รู้ตัว
ถ้าคำถามนี้ถือว่าไม่เหมาะที่จะมาพูดคุยในเวบนี้ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ
แต่ละอย่างเราคาดการณ์ได้ยากมาก แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เราพอคาดการณ์ได้
สิ่งนั้นคือผลประกอบการของบริษัทฯ ฉะนั้นถ้าอยากลงทุนให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว
จงให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราคาดการณ์ได้"
ด้านบนเป็นคำพูดของพี่โจตอนสอนน้องๆในงานมีทติ้งภาคใต้
ที่ผมยังจำฝังใจและยึดถือปฏิบัติมาจนทุกวันนี้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 35
เคยได้ยินไหมครับ ว่าถ้าคนคิดแบบเดียวกัน สุดท้ายก็จะทำคล้าย ๆ กัน เคยมีคนเล่าให้ผมฟังว่า คนที่เล่นกราฟเทคนิค ถ้ามีสัญญาณขาย คนที่ร่ำเรียนจากตำราเดียวกันมาเมื่อเห็นสัญญาณเช่นนั้นก็ย่อมขาย สุดท้ายหุ้นมันก็จะลงไปจริง ๆVIFOREVER เขียน:ชาว Thaivi ทุกท่านคิดอย่างไรกับการที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ดัชนีจะปรับฐานใหญ่ในเร็ววันจาก QE tapering. แนะให้ลดหรือล้างพอตรอ (ฟังมาจากวิทยุ เลยไม่เอกสารแนบมาโชว์นะครับ) ผมฟังแล้วก็ต้องยอมรับว่าหวั่นไหวพอควร เกือบกดปุ่มลด/ล้างพอทไปหลายทีแระ ทั้งๆที่มั่นใจว่าบริษัทที่ลงทุนอยู่จะต้องเติบโตต่อไปแน่นอนในอนาคต แต่ก็เกิดความโลบในใจอยากจะเล่นรอบดูบ้าง
ถ้าเป็นวิกฤตทั่วๆไปก็คงไม่มาคิดมากเพราะเข้าใจว่ายังไงก็คงหนีไม่ทัน เพราะคงมาแบบไม่รู้ตัว
ถ้าคำถามนี้ถือว่าไม่เหมาะที่จะมาพูดคุยในเวบนี้ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ
ในกรณีสิ่งที่นักวิเคราะห์บอกมา ผมว่ามันก็มีความเป็นไปได้ที่มันจะเป็นแบบนั้น เพราะอะไร ก็เพราะว่าเราอย่าลืมว่าในตลาดหุ้นมีนักลงทุนหลายประเภท
ข่าวร้ายอะไรก็แล้วแต่ คนที่จะขายหุ้นทิ้งก่อน คงหนีไม่พ้นพวกเดย์เทรด เมื่อมีการขายต่อเนื่องหลายวันหรือแค่วันเดียวแต่รุนแรง กลุ่มที่จะขายตามมาก็คือกลุ่มที่เล่นเทคนิค เพราะสัญญาณทางเทคนิคเริ่มไม่ดีและบอกให้ขาย เมื่อหุ้นลงไปต่อกลุ่มที่จะขายตามออกมาก็คือกลุ่มที่เล่นมาร์จิ้นอาจจะเพราะถูกเรียกให้วางเงินเพิ่มหรือโดน force sell แรงขายก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น และก็อาจจะจบด้วยกลุ่มที่หนีไม่ทันและไม่ยอมขายตั้งแต่ตอนแรกแต่สุดท้ายก็เกิดความสิ้นหวังยอมขายตัดขาดทุนมาก ๆ อันนี้คือวงจรที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขึ้นอยู่กับว่าการลงของตลาดมันจะรุนแรงและน่ากลัวแค่ไหน
ปัญหาก็คือต่อให้เราเจอข่าวร้าย เราจะรู้ได้ไงว่ามันจะลงไปถึงจุดไหน หลายครั้งที่บอกว่าจะลงหนัก เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ลงมาก กลายเป็นขายหุ้นทิ้งไปให้คนอื่น เสียโอกาสเปล่า บางคนขายไปแล้วกะจะรับคืน เอาเข้าหุ้นกลับไม่ลงแถมกลับบวกสวนขึ้นไปเพราะเป็นหุ้นดี หุ้นที่มักจะไหลลงแรง ๆ แบบกู่ไม่กลับมักจะเป็นหุ้นที่พื้นฐานไม่ดี แต่ถ้าเป็นหุ้นดีถึงจะลงแต่ก็มักจะลงไม่นาน
เดี๋ยวนี้การสื่อสารรวดเร็ว มีโทรศัพท์มือถือ เทรดหุ้นผ่านเน็ตผ่านสมาร์ทโฟน ข่าวร้ายบางครั้งก็ลามเร็ว นลท.ก็ action เร็ว ผมไม่แปลกใจที่เดี๋ยวนี้หุ้นขึ้นลงทีแรง ๆ มีอะไรดีไม่ดีมาร์ก็โทรบอก เช็คข่าวผ่านเน็ต ไม่เหมือนสมัยก่อน กว่าจะรู้ข่าวต้องรออ่านนสพ.ตอนเช้าวันพรุ่งนี้ รอดูข่าว การ action ของนลท.ก็ช้า บางครั้งการเสพข่าวก็ต้องระมัดระวังครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 66
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 37
สำหรับมือใหม่แบบผม ก็เอาเวลาไปซ้อมดนตรี แกะเพลง เล่นดนตรี ดูข่าวบ้างครับ ดูผลประกอบการที่เราลงทุนไว้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ทั้งทางที่ดีหรือ ลดน้อยลง อ่านสิ่งที่พี่ๆเขียนแนะนำไว้ รอให้ทุกอย่างสงบลง
ดนตรีนั้นคือชีวิต
- SawScofield
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 238
- ผู้ติดตาม: 1
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 38
มือใหม่ขอแบ่งปันความคิดอีกมุมนะครับ
การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น คงไม่ได้หมายถึงอยู่เฉยๆ และรอหุ้นลงแรงๆ รอซื้อถูกๆไปขายแพงๆแค่นั้นครับ
ภาวะที่หุ้นขึ้นได้ก็ไม่น่าจะไกลเหมือน 3-4 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่เกิดวิกฤติจนหุ้นถูกเกินจริงมีเต็มตลาดนั้น เพื่อนๆหลายคน(รวมถึงตัวผม) ที่ซื้อหุ้นแล้วรอให้กิจการของพวกเรา "สำแดงเดช" ในช่วงที่ผ่านมา เกิดภาวะ "เฉื่อยชา" ลงอย่างเห็นได้ชัดครับ
อาจเป็นเพราะซื้อหุ้นก็ไปไม่ได้ไกล ใจอ่อนลงให้หุ้นที่วิ่งบ้างบางจังหวะ ก็กลายเป็นเก็งกำไรไปซะอีก มันเหมือนลงมือไปก็ไม่คุ้มอะไร อย่างนั้นครับ
กลับกันผมรู้สึกว่าเรากลับต้องทำการบ้านให้หนักขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมามากๆเลยครับ เพราะหากเราไม่ลับมีดให้คมทั้งแก่นความรู้และความเข้าใจในกิจการที่เราพิจารณาแล้วว่าผ่านเกณฑ์ ยามโอกาสมาถึงคงควักมีดฟันไม่ทันเป็นแน่ ... ผมพูดเล่นๆกับเพื่อนว่า ตลาดคงไม่ให้เราอีกพักใหญ่ คงให้แต่ความรู้ละ 555+
อย่างไรก็ขอบคุณที่อย่างน้อยที่แห่งนี้ยังกระตุ้นให้ไม่เฉื่อยชาไปมากกว่านี้ครับ
การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น คงไม่ได้หมายถึงอยู่เฉยๆ และรอหุ้นลงแรงๆ รอซื้อถูกๆไปขายแพงๆแค่นั้นครับ
ภาวะที่หุ้นขึ้นได้ก็ไม่น่าจะไกลเหมือน 3-4 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่เกิดวิกฤติจนหุ้นถูกเกินจริงมีเต็มตลาดนั้น เพื่อนๆหลายคน(รวมถึงตัวผม) ที่ซื้อหุ้นแล้วรอให้กิจการของพวกเรา "สำแดงเดช" ในช่วงที่ผ่านมา เกิดภาวะ "เฉื่อยชา" ลงอย่างเห็นได้ชัดครับ
อาจเป็นเพราะซื้อหุ้นก็ไปไม่ได้ไกล ใจอ่อนลงให้หุ้นที่วิ่งบ้างบางจังหวะ ก็กลายเป็นเก็งกำไรไปซะอีก มันเหมือนลงมือไปก็ไม่คุ้มอะไร อย่างนั้นครับ
กลับกันผมรู้สึกว่าเรากลับต้องทำการบ้านให้หนักขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมามากๆเลยครับ เพราะหากเราไม่ลับมีดให้คมทั้งแก่นความรู้และความเข้าใจในกิจการที่เราพิจารณาแล้วว่าผ่านเกณฑ์ ยามโอกาสมาถึงคงควักมีดฟันไม่ทันเป็นแน่ ... ผมพูดเล่นๆกับเพื่อนว่า ตลาดคงไม่ให้เราอีกพักใหญ่ คงให้แต่ความรู้ละ 555+
อย่างไรก็ขอบคุณที่อย่างน้อยที่แห่งนี้ยังกระตุ้นให้ไม่เฉื่อยชาไปมากกว่านี้ครับ
Respect, Persistence then Deserve
- SawScofield
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 238
- ผู้ติดตาม: 1
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 40
555+ ตามนั้นครับ ขอบคุณครับPlant เขียน:ช่วงนี้งบออก คงเฉื่อยชา ไม่ค่อยได้แล้วหละครับ คุณ "SawScofield"
...^^)
Respect, Persistence then Deserve
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 42
ต่างกันเยอะเลยครับ ไม่ใช่ระดับเล็กน้อยmaymekung เขียน:มันมีความแตกต่างกันเล็กน้อยครับ ระหว่างความนิ่ง กับความไม่ใส่ใจครับ พฤติกรรมคล้ายๆกัน แต่ผลต่างกันมากครับ
ระวังให้ดี
ถ้าว่ากันทางธรรม อันหนึ่งเป็นอุเบกขา อันเนื่องจากปัญญาที่แก่กล้า อีกอันหนึ่งเป็นโมหะ จากความไม่รู้
บางครั้งเราคิดว่าเป็นอุเบกขาแต่กลับกลายเป็นโมหะซะงั้น ทางที่ทำได้ก็มีทางเดียวคือกำหนดรู้ไปตามความเป็นจริง นิ่งเพราะโมหะก็รู้ชัดว่านิ่งเพราะโมหะ นิ่งเพราะอุเบกขาก็รู้ชัดว่านิ่งเพราะอุเบกขา กำหนดรู้เป็นขณะๆ ไม่เคล้าคลึงกับอดีตที่ทำถูกหรือผิด ก็จะค่อยๆ พัฒนาความสามารถขึ้นได้
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 150
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 43
เห็นด้วยมากเลยครับ แต่โดยรวมแล้วจิตใจปุถุชนอย่างเราๆ มีอวิชชาเจืออยู่ทุกขณะจิต ไม่ว่าจะนิ่งหรือจะไม่ใส่ใจ ก็มีพื้นฐานมาจากความไม่รู้อย่างใดอย่างหนึ่งจนได้ บางครั้งเรานิ่งเพราะคิดว่ารู้ แต่ก็อาจเป็นแค่"คิดว่ารู้" ก็ยังเป็นความคิดหมายสัญญาอยู่นั่นเอง ถ้าเรารู้จักฝึกความสงบให้จิตใจมากเข้า เราจะไม่ต้องรู้อะไรเพราะ"ใจจะเห็นอาการของมันเอง" ที่ว่ามานี่ไม่รู้ผมนอกเรื่องหรือเปล่านะครับ แฮะๆpicatos เขียน:ต่างกันเยอะเลยครับ ไม่ใช่ระดับเล็กน้อยmaymekung เขียน:มันมีความแตกต่างกันเล็กน้อยครับ ระหว่างความนิ่ง กับความไม่ใส่ใจครับ พฤติกรรมคล้ายๆกัน แต่ผลต่างกันมากครับ
ระวังให้ดี
ถ้าว่ากันทางธรรม อันหนึ่งเป็นอุเบกขา อันเนื่องจากปัญญาที่แก่กล้า อีกอันหนึ่งเป็นโมหะ จากความไม่รู้
บางครั้งเราคิดว่าเป็นอุเบกขาแต่กลับกลายเป็นโมหะซะงั้น ทางที่ทำได้ก็มีทางเดียวคือกำหนดรู้ไปตามความเป็นจริง นิ่งเพราะโมหะก็รู้ชัดว่านิ่งเพราะโมหะ นิ่งเพราะอุเบกขาก็รู้ชัดว่านิ่งเพราะอุเบกขา กำหนดรู้เป็นขณะๆ ไม่เคล้าคลึงกับอดีตที่ทำถูกหรือผิด ก็จะค่อยๆ พัฒนาความสามารถขึ้นได้
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 44
ผมชอบตลาดแบบนี้นะSawScofield เขียน:มือใหม่ขอแบ่งปันความคิดอีกมุมนะครับ
การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น คงไม่ได้หมายถึงอยู่เฉยๆ และรอหุ้นลงแรงๆ รอซื้อถูกๆไปขายแพงๆแค่นั้นครับ
ภาวะที่หุ้นขึ้นได้ก็ไม่น่าจะไกลเหมือน 3-4 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่เกิดวิกฤติจนหุ้นถูกเกินจริงมีเต็มตลาดนั้น เพื่อนๆหลายคน(รวมถึงตัวผม) ที่ซื้อหุ้นแล้วรอให้กิจการของพวกเรา "สำแดงเดช" ในช่วงที่ผ่านมา เกิดภาวะ "เฉื่อยชา" ลงอย่างเห็นได้ชัดครับ
อาจเป็นเพราะซื้อหุ้นก็ไปไม่ได้ไกล ใจอ่อนลงให้หุ้นที่วิ่งบ้างบางจังหวะ ก็กลายเป็นเก็งกำไรไปซะอีก มันเหมือนลงมือไปก็ไม่คุ้มอะไร อย่างนั้นครับ
กลับกันผมรู้สึกว่าเรากลับต้องทำการบ้านให้หนักขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมามากๆเลยครับ เพราะหากเราไม่ลับมีดให้คมทั้งแก่นความรู้และความเข้าใจในกิจการที่เราพิจารณาแล้วว่าผ่านเกณฑ์ ยามโอกาสมาถึงคงควักมีดฟันไม่ทันเป็นแน่ ... ผมพูดเล่นๆกับเพื่อนว่า ตลาดคงไม่ให้เราอีกพักใหญ่ คงให้แต่ความรู้ละ 555+
อย่างไรก็ขอบคุณที่อย่างน้อยที่แห่งนี้ยังกระตุ้นให้ไม่เฉื่อยชาไปมากกว่านี้ครับ
รู้สึกคนจะเริ่มเบื่อๆ ไม่ค่อยอยากจ่ายตลาด (หรือว่าไม่มีตังจ่ายกันแล้วก็ไม่รู้)
ทำให้มีเวลานั่งคิดวิเคราะห์ ค่อยๆ เลือก ค่อยๆ ซื้อได้อย่างสบายใจ
ไม่ต้องเร่งจับจ่าย เหมือนช่วงที่ผ่านมา ที่พอ งบ ออกมาดีกว่าเดิมนิดหน่อย ก็ "สำแดงเดช" แบบเหมือนมี ญานวิเศษ กันทั่วทั้งตลาด
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
- นายมานะ
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1167
- ผู้ติดตาม: 1
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 45
อ่านที่พี่ๆ แต่ละท่านแสดงความเห็นแล้วนึกถึงตัวเองในสมัยก่อนเลยครับ ผมค่อนข้างจะด้อยประสบการณ์เอามากๆ เลยอาจไม่มีแนวคิดอะไรที่จะแชร์ได้ จึงจะขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ไม่ได้เรื่องได้ราวของตัวเองในอดีตนะครับnetirut เขียน:เห็นด้วยมากเลยครับ แต่โดยรวมแล้วจิตใจปุถุชนอย่างเราๆ มีอวิชชาเจืออยู่ทุกขณะจิต ไม่ว่าจะนิ่งหรือจะไม่ใส่ใจ ก็มีพื้นฐานมาจากความไม่รู้อย่างใดอย่างหนึ่งจนได้ บางครั้งเรานิ่งเพราะคิดว่ารู้ แต่ก็อาจเป็นแค่"คิดว่ารู้" ก็ยังเป็นความคิดหมายสัญญาอยู่นั่นเอง ถ้าเรารู้จักฝึกความสงบให้จิตใจมากเข้า เราจะไม่ต้องรู้อะไรเพราะ"ใจจะเห็นอาการของมันเอง" ที่ว่ามานี่ไม่รู้ผมนอกเรื่องหรือเปล่านะครับ แฮะๆpicatos เขียน:ต่างกันเยอะเลยครับ ไม่ใช่ระดับเล็กน้อยmaymekung เขียน:มันมีความแตกต่างกันเล็กน้อยครับ ระหว่างความนิ่ง กับความไม่ใส่ใจครับ พฤติกรรมคล้ายๆกัน แต่ผลต่างกันมากครับ
ระวังให้ดี
ถ้าว่ากันทางธรรม อันหนึ่งเป็นอุเบกขา อันเนื่องจากปัญญาที่แก่กล้า อีกอันหนึ่งเป็นโมหะ จากความไม่รู้
บางครั้งเราคิดว่าเป็นอุเบกขาแต่กลับกลายเป็นโมหะซะงั้น ทางที่ทำได้ก็มีทางเดียวคือกำหนดรู้ไปตามความเป็นจริง นิ่งเพราะโมหะก็รู้ชัดว่านิ่งเพราะโมหะ นิ่งเพราะอุเบกขาก็รู้ชัดว่านิ่งเพราะอุเบกขา กำหนดรู้เป็นขณะๆ ไม่เคล้าคลึงกับอดีตที่ทำถูกหรือผิด ก็จะค่อยๆ พัฒนาความสามารถขึ้นได้
ก่อนหน้านี้ผมลงทุนแบบ "คิดว่ารู้" มานานมากครับ คืออ่านหนังสือจบไม่กี่เล่มก็คิดว่า แบบ VI นี่แหละแนวทางที่ใช่ รวยง่าย ให้ผลตอบแทนดี หลังจากวิเคราะห์หุ้นตามตำรา ค่า pe pbv ต่ำ growth สูง ก็ซื้อเลยครับ แล้วก็นั่งกระดิกตีนทุกวันๆ อย่างมากก็ตามห้องร้อยหุ้น อ่านบทวิเคราะห์ผ่านๆ หลังจากนั้นไม่นานหุ้นก็สาละวันเตี้ยลง อันที่จริงคือหลังจากนั้นแทบจะไม่ได้เปิดพอร์ตหรือศึกษาด้านการลงทุนเพิ่มเติมเลย (ข้ออ้างที่เอาไว้หลอกตัวเองคือช่วงนั้นกำลังวุ่นอยู่กับโปรเจคต์จบการศึกษา และการเตรียมตัวสำหรับชีวิตวัยทำงาน) แต่ก็ระแคะระคายจากคนที่ถือตัวเดียวกันอยู่ว่าราคามันลงเท่านี้ๆ แล้วนะ แต่ด้วยเชื่อว่าถือระยะยาวๆ ไว้มันจะดีเอง ก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันจริงๆ เลย
พอหลังจากนั้นสักประมาณ 1 ปี ชีวิตการทำงานเริ่มอยู่ตัวขึ้น ผมก็กลับมาศึกษาแนวคิดเรื่องการลงทุนอีกครั้ง โชคดีที่ผมได้อ่านกระทู้ "ตระแกรงร่อนหุ้น" ของพี่วิบูลย์ และกลับมามองถึงบริษัทที่ผมได้ลงทุนไป ทำให้ผมพบข้อผิดพลาดมากมายของตัวเอง และหนึ่งในข้อที่ใหญ่ที่สุดที่ผมพบก็คือ ก่อนหน้านี้ผมลงทุนใน "สินค้าโภคภัณฑ์" ลงทุนบนจุดยอดของวัฏจักร หลังจากที่คิดได้แล้วว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ผมไม่ลังเลที่จะขายทิ้งแบบหมดพอร์ต และตั้งหน้าตั้งตาศึกษาการลงทุนอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง ทั้งหมดนี้คือข้อผิดพลาดของการ "อยู่นิ่งๆ" แบบแบบไม่ใส่ใจ เพราะคิดว่าตัวเองรู้
ส่วนทุกวันนี้ในระหว่าง stage ของการพยายามเรียนรู้ ผมกลับไม่สามารถจะ "อยู่นิ่ง" ในการลงทุนได้ คือผมซื้อขาย และเปลี่ยนหุ้นบ่อยมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นเพราะยิ่งศึกษามาก ก็ยิ่งพบกับกิจการที่ชอบมากขึ้น หรือพบกับบริษัทที่มี mos มากขึ้น ความคิดที่ยังไม่ตกผลึกทำให้ผมยังไม่สามารถลงทุนด้วยความนิ่งได้ ยังโชคดีที่ได้ฟังแนวคิดของพี่ตี่ และกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของตัวเอง ทำให้พอจะลดการเทรดตามอารมณ์ได้บ้าง แต่ก็ยังถือว่าห่างไกลจากความนิ่งของพี่ๆ หลายๆ ท่าน
ขออนุญาตแสดงความเห็นเรื่องการประเมินมูลค่าอีกเล็กน้อย ผมเข้าใจว่าที่คุณ thitaphat168 พูดว่าไม่ได้ใช้การประเมินมูลค่ากิจการนั้น อาจเป็นเพราะคุณ thitaphat168 ได้ประเมินแล้วว่ามัน "ถูก" กว่าที่ควรจะเป็นใน 3-5 ปีข้างหน้า แต่ที่ไม่ประเมินออกมาเป็นตัวเลข หรือ range ที่แคบลง คงเป็นเพราะเห็นว่ามันไม่ได้สำคัญเท่ากับการประเมินในเชิงคุณภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้ผมเข้าใจว่ามันน่าจะขึ้นอยู่กับจริตในการลงทุนของนักลงทุนแต่ละคนว่า range ในการประเมิน intrinsic value ของแต่ละท่านกว้างแค่ไหน ซึ่งตัวผมเองที่พอจะเข้าใจ เพราะผมก็ไม่ถนัดการประมาณ eps ในรายปี หรือรายไตรมาสเช่นกัน ผมเพียงแต่เห็นว่ามันยังมี cap ที่ถูกมาก เมื่อเทียบกับคุณภาพของกิจการ และอนาคตที่จะโตไปได้ แต่ผมก็ไม่ได้มั่นใจในตัวเองมากนัก เพราะยังด้อยประสบการณ์อยู่มาก จึงติดตามกิจการ และหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนอยู่เสมอ ทั้งหมดทั้งมวลผมมีความเชื่อว่าการประเมินมูลค่ามีความเป็นศิลป์ มากกว่าศาสตร์ และความแตกต่างนี้ก็อาจทำให้แต่ละท่านนิยาม วิธีในการประเมิน intrinsic value ไม่เหมือนกันก็เป็นไปได้
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 46
การลด QE เมื่อไรนั้น ขึ้นอยู่กับตัวเลขทางเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง ช่วงต้นปีไม่มีใครพูดถึงเรื่องลด QE พอประธาน FED พูดก็คาดหมายว่าจะลดเดือนกันยา สุดท้ายก็ยังไม่ลด เราจะเห็นถึงความไม่แน่นอนVIFOREVER เขียน:ชาว Thaivi ทุกท่านคิดอย่างไรกับการที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ดัชนีจะปรับฐานใหญ่ในเร็ววันจาก QE tapering. แนะให้ลดหรือล้างพอตรอ (ฟังมาจากวิทยุ เลยไม่เอกสารแนบมาโชว์นะครับ) ผมฟังแล้วก็ต้องยอมรับว่าหวั่นไหวพอควร เกือบกดปุ่มลด/ล้างพอทไปหลายทีแระ ทั้งๆที่มั่นใจว่าบริษัทที่ลงทุนอยู่จะต้องเติบโตต่อไปแน่นอนในอนาคต แต่ก็เกิดความโลบในใจอยากจะเล่นรอบดูบ้าง
ถ้าเป็นวิกฤตทั่วๆไปก็คงไม่มาคิดมากเพราะเข้าใจว่ายังไงก็คงหนีไม่ทัน เพราะคงมาแบบไม่รู้ตัว
ถ้าคำถามนี้ถือว่าไม่เหมาะที่จะมาพูดคุยในเวบนี้ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ
และถึงแม้จะลด QE จริง เราก็ยังไม่รุ้ว่าจะลดมากน้อยแค่ไหน หุ้นจะตกหรือ หลายครั้งเราก็จะพบว่าเวลาบริษัทประกาศงบการเงินที่แย่ๆ ราคาหุ้นกลับขึ้น พร้อมกับคำอธิบายง่ายๆจากนักวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นตกมารับข่าวร้ายไปแล้ว
การตัดสินใจจากเหตุผลเรื่อง QE ตอนนี้อาจจะใกล้เคียงการเสี่ยงดวง
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- SawScofield
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 238
- ผู้ติดตาม: 1
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 47
เห็นด้วยเลยครับพี่ มีเวลาคิดมีเวลาตรึกตรองย่อมเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ชัดเจนยิ่งขึ้นkongkiti เขียน:ผมชอบตลาดแบบนี้นะSawScofield เขียน:มือใหม่ขอแบ่งปันความคิดอีกมุมนะครับ
การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น คงไม่ได้หมายถึงอยู่เฉยๆ และรอหุ้นลงแรงๆ รอซื้อถูกๆไปขายแพงๆแค่นั้นครับ
ภาวะที่หุ้นขึ้นได้ก็ไม่น่าจะไกลเหมือน 3-4 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่เกิดวิกฤติจนหุ้นถูกเกินจริงมีเต็มตลาดนั้น เพื่อนๆหลายคน(รวมถึงตัวผม) ที่ซื้อหุ้นแล้วรอให้กิจการของพวกเรา "สำแดงเดช" ในช่วงที่ผ่านมา เกิดภาวะ "เฉื่อยชา" ลงอย่างเห็นได้ชัดครับ
อาจเป็นเพราะซื้อหุ้นก็ไปไม่ได้ไกล ใจอ่อนลงให้หุ้นที่วิ่งบ้างบางจังหวะ ก็กลายเป็นเก็งกำไรไปซะอีก มันเหมือนลงมือไปก็ไม่คุ้มอะไร อย่างนั้นครับ
กลับกันผมรู้สึกว่าเรากลับต้องทำการบ้านให้หนักขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมามากๆเลยครับ เพราะหากเราไม่ลับมีดให้คมทั้งแก่นความรู้และความเข้าใจในกิจการที่เราพิจารณาแล้วว่าผ่านเกณฑ์ ยามโอกาสมาถึงคงควักมีดฟันไม่ทันเป็นแน่ ... ผมพูดเล่นๆกับเพื่อนว่า ตลาดคงไม่ให้เราอีกพักใหญ่ คงให้แต่ความรู้ละ 555+
อย่างไรก็ขอบคุณที่อย่างน้อยที่แห่งนี้ยังกระตุ้นให้ไม่เฉื่อยชาไปมากกว่านี้ครับ
รู้สึกคนจะเริ่มเบื่อๆ ไม่ค่อยอยากจ่ายตลาด (หรือว่าไม่มีตังจ่ายกันแล้วก็ไม่รู้)
ทำให้มีเวลานั่งคิดวิเคราะห์ ค่อยๆ เลือก ค่อยๆ ซื้อได้อย่างสบายใจ
ไม่ต้องเร่งจับจ่าย เหมือนช่วงที่ผ่านมา ที่พอ งบ ออกมาดีกว่าเดิมนิดหน่อย ก็ "สำแดงเดช" แบบเหมือนมี ญานวิเศษ กันทั่วทั้งตลาด
การ "สำแดงเดช" แบบเหมือนมีญาณวิเศษอย่างที่พี่ว่า หลายครั้งย้อนกลับมาทำร้ายเราด้วยซ้ำครับ ... มันทำให้เรายิ่งหลงระเริงว่า นี่ไง เราคิดถูก แค่เราลงมือช้าไปหน่อย T^T
หรือที่พูดกันบ่อยๆว่า ... รู้งี้ 555+
เอาเข้าจริง พอทบทวนดีๆก็ไม่รู้ว่าจะรีบไปทำไม ถ้ากล้าเดินในเส้นทางนี้แล้ว ก็คงต้องมีสติ รอบคอบ ค่อยๆเดินอย่างมั่นคง ใครจะปรู๊ดปร๊าดเพียงใดก็ถือว่าเป็นก้าวของเขา เราไปวิ่งตามก็คงจะหัวคะมำเอา ^^
ขอบคุณครับ
Respect, Persistence then Deserve
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 48
การเสพข่าวเรื่อง QE ผมว่าต้องพิจารณาให้ดีครับ ถ้าลองย้อนกลับไปดูวันที่มีข่าวว่า FED จะลด QE ลงในวันแรก ตอนนั้นหุ้นยังไม่ได้ลงหนัก ผมคิดว่านลท.ส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่ามันจะมีผลต่อตลาดยังไง ทีนี้พอข่าวมีการพูดถึงมากขึ้น มีการวิเคราะห์ในทางลบต่าง ๆ นานา รวมถึงนลท.ต่างชาติเริ่มขายหุ้น นลท.ทั่วไปก็เริ่มเกิดความกลัว สุดท้ายก็ทนไม่ได้ขายหุ้นตาม ซึ่งตอนนั้นตลาดอยู่ในจุดที่สูง พอมีข่าวร้ายมากระทบ นลท.ส่วนหนึ่งก็พร้อมที่จะโดดออกมาอยู่แล้ว ทั้งนักเก็งกำไร คนที่ถือหุ้นต้นทุนต่ำ เพื่อลดความเสี่ยง
ผมว่าตอนนี้ข่าวเรื่อง QE กลายเป็นเรื่องปกติของตลาดไปแล้ว เข้าทำนองว่าได้ยินจนเริ่มชินชา ข่าวที่บอกว่าจะลดก็กลายเป็นเลื่อน เดี๋ยวก็จะเลิกเดี๋ยวก็จะเลื่อนกลับไปกลับมา ผมกลัวว่าเอาเข้าจริงเมื่อถึงวันที่เลิกจริง ๆ ขึ้นมา ตลาดอาจจะไม่ได้ลงอย่างที่เราคิดกันก็ได้ครับ
สุดท้ายก็จะมีเหตุผลที่อธิบายได้ง่าย ๆ คือ "ตลาดรับรู้ข่าวเรื่องเลิก/ลด QE นี้มานานแล้ว"
ผมว่าตอนนี้ข่าวเรื่อง QE กลายเป็นเรื่องปกติของตลาดไปแล้ว เข้าทำนองว่าได้ยินจนเริ่มชินชา ข่าวที่บอกว่าจะลดก็กลายเป็นเลื่อน เดี๋ยวก็จะเลิกเดี๋ยวก็จะเลื่อนกลับไปกลับมา ผมกลัวว่าเอาเข้าจริงเมื่อถึงวันที่เลิกจริง ๆ ขึ้นมา ตลาดอาจจะไม่ได้ลงอย่างที่เราคิดกันก็ได้ครับ
สุดท้ายก็จะมีเหตุผลที่อธิบายได้ง่าย ๆ คือ "ตลาดรับรู้ข่าวเรื่องเลิก/ลด QE นี้มานานแล้ว"
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การอยู่นิ่งๆในตลาดหุ้น
โพสต์ที่ 49
แต่ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร ขอเพียงแต่มีสติครับ หุ้นบางตัวที่ลงไปแบบลดราคาตอนที่ panic กันเรื่อง QE กลายเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ สุดท้ายราคาหุ้นดีดกลับมา 20-40% บางตัวผลประกอบการออกมากำไร new high แบบนี้ถ้าเรามัวแต่กลัวสิ่งรอบข้าง เราก็จะเสียโอกาสเพราะการถือ "หุ้นเงินสด" ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"