ไม่รู้เป็นอะไร อยากให้หุ้นมันลง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 152
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้เป็นอะไร อยากให้หุ้นมันลง
โพสต์ที่ 1
แต่ก่อนเมื่อนานมาแล้ว หุ้นลงจะตกใจ รีบขาย ร้อนรน มืดแปดด้าน
แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นไร หุ้นลง ก็รู้สึกเฉยๆ เผลอๆ อยากจะให้มันลงมาเยอะๆ เสียด้วย
ผมเป็นอะไรไปเนี่ย
แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นไร หุ้นลง ก็รู้สึกเฉยๆ เผลอๆ อยากจะให้มันลงมาเยอะๆ เสียด้วย
ผมเป็นอะไรไปเนี่ย
มีเหตุผล, พอประมาณ, มีภูมิคุ้มกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 262
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่รู้เป็นอะไร อยากให้หุ้นมันลง
โพสต์ที่ 3
อิอิ ชอบของดีราคาถูกเหมือนกันคร้าบผม
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3352
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ไม่รู้เป็นอะไร อยากให้หุ้นมันลง
โพสต์ที่ 4
เป็นธรรมดาของจิตที่มีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา เดี๋ยวอยาก เดี๋ยวไม่อยาก
ไม่มีอะไรต้องสงสัย ไม่มีอะไรผิดแปลกอะไร... เดี๋ยวบางทีหุ้นลงแล้วก็จะรู้สึกเฉยๆ บางทีก็อยาก บางทีก็ไม่อยาก บางทีก็เฉยๆ เป็นธรรมดา
แต่คำถามที่สำคัญกว่าความอยาก ความไม่อยาก และเฉยๆ ก็คือ อะไรคือสิ่งที่สมควรกระทำ และอะไรคือสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ อันนี้เป็นสาระกว่า เพราะ ถ้า Moment นี้เป็น Moment ที่ควร Take Action ไม่ว่าอยาก ไม่ว่าจะไม่อยาก ไม่ว่าจะเฉยๆ สิ่งที่ควรทำก็ยังคงเป็นสิ่งที่ควรทำเสมอ
ไม่มีอะไรต้องสงสัย ไม่มีอะไรผิดแปลกอะไร... เดี๋ยวบางทีหุ้นลงแล้วก็จะรู้สึกเฉยๆ บางทีก็อยาก บางทีก็ไม่อยาก บางทีก็เฉยๆ เป็นธรรมดา
แต่คำถามที่สำคัญกว่าความอยาก ความไม่อยาก และเฉยๆ ก็คือ อะไรคือสิ่งที่สมควรกระทำ และอะไรคือสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ อันนี้เป็นสาระกว่า เพราะ ถ้า Moment นี้เป็น Moment ที่ควร Take Action ไม่ว่าอยาก ไม่ว่าจะไม่อยาก ไม่ว่าจะเฉยๆ สิ่งที่ควรทำก็ยังคงเป็นสิ่งที่ควรทำเสมอ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 667
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่รู้เป็นอะไร อยากให้หุ้นมันลง
โพสต์ที่ 5
นึกว่าจะมีแต่ผมคนเดียวที่คิดแบบนี้ซะอีก...^^)nz เขียน:แต่ก่อนเมื่อนานมาแล้ว หุ้นลงจะตกใจ รีบขาย ร้อนรน มืดแปดด้าน
แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นไร หุ้นลง ก็รู้สึกเฉยๆ เผลอๆ อยากจะให้มันลงมาเยอะๆ เสียด้วย
ผมเป็นอะไรไปเนี่ย
ยังไม่ได้เก็บของเลย จะรีบขึ้นไปไหนเนี่ย!!!....T-T)
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่รู้เป็นอะไร อยากให้หุ้นมันลง
โพสต์ที่ 6
ธรรมดาครับ คนมีสดเงินก็อยากให้ลง
คนเต็มพอร์ตก็อยากให้ขึ้น
คนเต็มพอร์ตก็อยากให้ขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 1426
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่รู้เป็นอะไร อยากให้หุ้นมันลง
โพสต์ที่ 7
p ลดลงเห็นง่าย
e เพิ่มขึ้นค้นหายาก แถมมีโอกาสมองพลาด
ใคร ๆ ก็ชอบง่าย ๆ
e เพิ่มขึ้นค้นหายาก แถมมีโอกาสมองพลาด
ใคร ๆ ก็ชอบง่าย ๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 198
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่รู้เป็นอะไร อยากให้หุ้นมันลง
โพสต์ที่ 8
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เราไม่ควรจะไปยึดติดกับราคาให้มันมากเกินไปpicatos เขียน:เป็นธรรมดาของจิตที่มีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา เดี๋ยวอยาก เดี๋ยวไม่อยาก
ไม่มีอะไรต้องสงสัย ไม่มีอะไรผิดแปลกอะไร... เดี๋ยวบางทีหุ้นลงแล้วก็จะรู้สึกเฉยๆ บางทีก็อยาก บางทีก็ไม่อยาก บางทีก็เฉยๆ เป็นธรรมดา
แต่คำถามที่สำคัญกว่าความอยาก ความไม่อยาก และเฉยๆ ก็คือ อะไรคือสิ่งที่สมควรกระทำ และอะไรคือสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ อันนี้เป็นสาระกว่า เพราะ ถ้า Moment นี้เป็น Moment ที่ควร Take Action ไม่ว่าอยาก ไม่ว่าจะไม่อยาก ไม่ว่าจะเฉยๆ สิ่งที่ควรทำก็ยังคงเป็นสิ่งที่ควรทำเสมอ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการประเมินมูลค่า และใช้ราคาเป็น reference เพื่อเทียบดูว่าเรามี MoS มากน้อยขนาดไหน
เพราะในบ้าง ครั้งแม้ราคาจะลงมาก จนเราเกิดความรู้สึกว่าน่าจะซื้อได้แล้ว
แต่ถ้าเปรียบเทียบกับมูลค่าและความเสี่ยงแล้วมันอาจจะไม่น่าซื้อก็ได้
PS. มาจากความรู้และประสบการณ์น้อยๆของผม ถูกผิดยังไงรบกวนพี่ๆ 'ชี้แนะ' ด้วยครับ
"ผมไม่ได้ลงทุนในหุ้นเพียงเพราะว่าผมต้องการเงินมากมาย
แต่มันเป็นความสนุกในการค้นหาบริษัทชั้นเยี่ยม
เฝ้าดูมันเติบโต และทำเงินให้เรา"
"เบื้องหลังของด้านหลัง ก็คือ ด้านหน้า"
แต่มันเป็นความสนุกในการค้นหาบริษัทชั้นเยี่ยม
เฝ้าดูมันเติบโต และทำเงินให้เรา"
"เบื้องหลังของด้านหลัง ก็คือ ด้านหน้า"
-
- Verified User
- โพสต์: 483
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่รู้เป็นอะไร อยากให้หุ้นมันลง
โพสต์ที่ 9
อยากให้ลงนานๆ จะรอเงินเดือนออกมาซื้อเพิ่ม
ถึงแม้ Port จะติดลบ แต่ก็ดีใจ
ถึงแม้ Port จะติดลบ แต่ก็ดีใจ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1523
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่รู้เป็นอะไร อยากให้หุ้นมันลง
โพสต์ที่ 11
แยกให้ออกระหว่าง ราคาถูกกว่าตลาดอันเกิดจาก MM หรือ ราคาลงมาเพราะสะท้อนภาวะกิจการ ครับ
อย่าคิดว่าหุ้นลง จะถูกทุกตัว เพราะ วิกฤติ=โอกาศ+ภัย คว้าโอกาศจากหุ้นที่ นายตลาดเกิดอาการกลัว จนทำให้ราคาแท้จริงถูกบิดเบือนไปด้วยอารมณ์ มองก่อนว่า
ผลกระทบที่เกิดชั่วคราวหรือถาวร และบริษัทจะผ่านไปได้ไหม วิธีนึงที่ช่วยได้ คือ การออกไปดูกิจการของเราด้วยตา อย่ามโนเอาเองว่ากิจการเราดีเยี่ยมแบบนี้ ต้องราคาเท่านั้น
ต้องราคาเท่านี้ ต้องกำไรดีแน่ๆ ต้องไม่ลำเอียง การมองด้วยตาจะช่วยแชร์ได้ว่า กิจการของเรามีคนชอบหรือไม่ถ้าไม่ ระยะยาวแล้ว กิจการใดที่ลูกค้าไม่ค่อยมีก้มักปิดตัวลง
หรือเข้าสู่ภาวะการปิดกิจการ การซื้อหุ้นคือ การเป็นหุ้นส่วนหรือเจ้าของเพราะ เราอาจจะไม่มีเงินไปปลูกไปสร้างกิจการระดับหมื่นล้าน แต่เราก้เป็นเจ้าของได้ แค่เราถือหุ้น
ถ้ากิจการนั้น ไม่มี 3 คำนี้ ก้จงรู้ไว้ว่า เป็นกิจการที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว
1.รายได้ดี 2.กำไรดี 3.ปันผลดี
1.รายได้ดี ถ้ากิจการนั้นจะมีรายได้ดี ก้ต้องมีสินค้าที่ดี แบรนด์ที่ดีแข็งแกร่ง ฐานลูกค้าที่มั่นคง และการขยายสาขา ออกไป ถ้าสินค้านั้นดี แต่ไม่ขยายสาขา รายได้ก้ได้แค่นั้น
ไม่ถือว่าดี จะถือว่าโตได้แบบแคระแกรน คนที่รายได้ดี กิจการก้จะใหญ่โตขึ้น กินแชร์เป็นที่ 1และ2ในอุตสาหกรรม แบบนี้ถือว่าดีมาก
2.กำไรดี กิจการกำไรดีได้ นั้น สินค้าที่ขายต้องอยู่ใน น่านน้ำสีฟ้า หรือ มีสินค้าที่ขายได้คนเดียว ไม่มีคู่แข่ง เมื่อไม่มีคู่แข่งการกำหนดราคาก้สามารถทำได้โดยไม่ต้องดูคนอื่น
สินค้าไหนก้ตามที่คนเลียนแบบได้ง่าย ทำแข่งได้ง่าย ทำแรกๆกำไรดี แต่หลังๆก้ต้องเสี่ยราคา จนสุดท้ายกำไรก้น้อยลงก้ไม่ควรลงทุน
3.ปันผลดี ถ้ากิจการนั้น แม้จะรายได้ดีมาก และกำไรดีมาก แต่ถ้าไม่มีปันผล ออกมาเป็นเงินสด ให้เรา หรือมองเราแค่พลเมืองชั้นสอง ต่อให้กิจการนั้นดีแค่ไหน
แต่ เจ้าของไม่คิดแบ่งส่วนกำไรให้เรา กิจการนั้นก้ไม่สมควรไปลงทุน
ผมเองก้อยากให้หุ้นที่รอ(ลงเยอะๆ) เพราะจะได้เข้าซื้อได้ราคาถูก แน่นอนของดีราคาถูก ก้คือการซื้อกิจการที่ยอดเยี่ยมเมื่อลดราคา ย่อมดีกว่าการซื้อหุ้นขยะเมื่อยามลดราคา
เช่นเดียวกันถ้าเรามีหุ้นที่ดี กิจการที่ยอดเยี่ยมในมือ จงอย่าเด็ดดอกไม้แล้วรดน้ำให้วัชพืช หรือขายหมูเพื่อไปเอาควายมาไว้ในพอรท์โฟลิโอ
ขอตัดบทความเรื่อง การเลือกหุ้นแบบ VI มาเตือนใจเพื่อนๆ ขอยกบทความของ อาจารย์ของพวกเรา ดร นิเวศน์ ครับ
ในความเห็นของผม เรื่องของภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นนั้น ผมคิดว่า VI จะต้องสนใจ เพียงแต่ว่าความสนใจนั้น จะเป็นประเด็นใหญ่ ๆ และกว้าง ๆ และโดยทั่วไปแล้วมักไม่เป็นประเด็นที่จะทำให้เราต้องซื้อขายหุ้น อย่างเช่นถ้ามีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปีนี้หรือปีหน้าจะโต 5% หรือ 4% หรือ 6% หรือแม้แต่ 3% ซึ่งแสดงถึงความตกต่ำทางเศรษฐกิจ ผมก็ไม่เห็นจำเป็นว่าจะต้องขายหุ้นหรือปรับพอร์ตอะไรเนื่องจากข้อมูลหรือความเห็นแบบนี้ และนี่ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ “ปรมาจารย์ VI” ทั้งหลายสอนว่าเราไม่จำเป็นต้องสนใจภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจการเงินและตลาดหุ้น
เวลาที่มองตลาด ผมสนใจอะไร? สิ่งที่ผมสนใจก็คือ ภาวะแวดล้อมที่เป็นเรื่องของ “Value” ผมอยากรู้ว่าภาวะตลาดโดยรวมนั้นเอื้ออำนวยต่อการลงทุนแบบ Value Investment มากน้อยแค่ไหน นั่นก็คือ ถ้าหุ้นส่วนใหญ่มีราคาค่อนข้างถูก โอกาสที่ผมจะได้หุ้นคุณภาพดีราคาถูกก็จะมีสูงขึ้นโดยที่ความเสี่ยงในการลงทุนในระยะยาวจะต่ำ ตรงกันข้าม ถ้าภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย หุ้นส่วนใหญ่ราคาแพงหรือไม่ถูกแล้ว โอกาสที่ผมจะได้หุ้นดีราคาถูกก็น้อยลง บางคนอาจจะบอกว่าไม่เกี่ยว เพราะตราบใดที่เราพบหุ้นคุณค่าและหุ้นมี Margin of Safety สูง อย่างไรเสียมันก็ต้องเป็นหุ้นคุณค่าและเราก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ แต่นี่เป็นเหตุผลที่ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่าเรารู้จริงและมั่นใจเต็มร้อยว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเป็นเท่าไร แต่ถ้าความเป็นจริงก็คือ เราไม่รู้หรือคาดผิด ก็มีโอกาสที่เราจะขาดทุนได้ง่าย
ประเด็นของผมก็คือ ในยามที่ตลาดหุ้นดีและภาวะทางเศรษฐกิจสดใส โอกาสที่เราจะวิเคราะห์หุ้นผิดพลาดจะมีมากกว่า เพราะในยามนั้นบริษัทธรรมดาบางแห่งอาจจะมีผลการดำเนินงานที่ดีเลิศและราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงลิ่วจนทำให้เราเข้าใจผิดว่ามันเป็นซุปเปอร์สต็อก ถ้าจะพูดไปมันก็คงคล้าย ๆ กับคำกล่าวที่ว่า “ในยามที่ลมหนุนแรง แม้แต่ไก่งวงก็บินได้ และด้วยตัวที่ใหญ่โตและในทัศนะวิสัยที่มืดมัว เราอาจจะคิดว่ามันเป็นพญาอินทรีย์
บุคคลที่ดีที่สุดร่ำรวยที่สุดในประเทศนี้ไม่ได้สร้างฐานะมาจากพอร์ตฟอลิโอที่ประกอบด้วยบริษัท 50 บริษัทแต่พวกเขาสร้างฐานะด้วยการเสาะหาธุรกิจแทีแสนวิเศษเพียงธุรกิจเดียวเท่านั้น
วอเรนท์ บัฟเฟต
อย่าคิดว่าหุ้นลง จะถูกทุกตัว เพราะ วิกฤติ=โอกาศ+ภัย คว้าโอกาศจากหุ้นที่ นายตลาดเกิดอาการกลัว จนทำให้ราคาแท้จริงถูกบิดเบือนไปด้วยอารมณ์ มองก่อนว่า
ผลกระทบที่เกิดชั่วคราวหรือถาวร และบริษัทจะผ่านไปได้ไหม วิธีนึงที่ช่วยได้ คือ การออกไปดูกิจการของเราด้วยตา อย่ามโนเอาเองว่ากิจการเราดีเยี่ยมแบบนี้ ต้องราคาเท่านั้น
ต้องราคาเท่านี้ ต้องกำไรดีแน่ๆ ต้องไม่ลำเอียง การมองด้วยตาจะช่วยแชร์ได้ว่า กิจการของเรามีคนชอบหรือไม่ถ้าไม่ ระยะยาวแล้ว กิจการใดที่ลูกค้าไม่ค่อยมีก้มักปิดตัวลง
หรือเข้าสู่ภาวะการปิดกิจการ การซื้อหุ้นคือ การเป็นหุ้นส่วนหรือเจ้าของเพราะ เราอาจจะไม่มีเงินไปปลูกไปสร้างกิจการระดับหมื่นล้าน แต่เราก้เป็นเจ้าของได้ แค่เราถือหุ้น
ถ้ากิจการนั้น ไม่มี 3 คำนี้ ก้จงรู้ไว้ว่า เป็นกิจการที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว
1.รายได้ดี 2.กำไรดี 3.ปันผลดี
1.รายได้ดี ถ้ากิจการนั้นจะมีรายได้ดี ก้ต้องมีสินค้าที่ดี แบรนด์ที่ดีแข็งแกร่ง ฐานลูกค้าที่มั่นคง และการขยายสาขา ออกไป ถ้าสินค้านั้นดี แต่ไม่ขยายสาขา รายได้ก้ได้แค่นั้น
ไม่ถือว่าดี จะถือว่าโตได้แบบแคระแกรน คนที่รายได้ดี กิจการก้จะใหญ่โตขึ้น กินแชร์เป็นที่ 1และ2ในอุตสาหกรรม แบบนี้ถือว่าดีมาก
2.กำไรดี กิจการกำไรดีได้ นั้น สินค้าที่ขายต้องอยู่ใน น่านน้ำสีฟ้า หรือ มีสินค้าที่ขายได้คนเดียว ไม่มีคู่แข่ง เมื่อไม่มีคู่แข่งการกำหนดราคาก้สามารถทำได้โดยไม่ต้องดูคนอื่น
สินค้าไหนก้ตามที่คนเลียนแบบได้ง่าย ทำแข่งได้ง่าย ทำแรกๆกำไรดี แต่หลังๆก้ต้องเสี่ยราคา จนสุดท้ายกำไรก้น้อยลงก้ไม่ควรลงทุน
3.ปันผลดี ถ้ากิจการนั้น แม้จะรายได้ดีมาก และกำไรดีมาก แต่ถ้าไม่มีปันผล ออกมาเป็นเงินสด ให้เรา หรือมองเราแค่พลเมืองชั้นสอง ต่อให้กิจการนั้นดีแค่ไหน
แต่ เจ้าของไม่คิดแบ่งส่วนกำไรให้เรา กิจการนั้นก้ไม่สมควรไปลงทุน
ผมเองก้อยากให้หุ้นที่รอ(ลงเยอะๆ) เพราะจะได้เข้าซื้อได้ราคาถูก แน่นอนของดีราคาถูก ก้คือการซื้อกิจการที่ยอดเยี่ยมเมื่อลดราคา ย่อมดีกว่าการซื้อหุ้นขยะเมื่อยามลดราคา
เช่นเดียวกันถ้าเรามีหุ้นที่ดี กิจการที่ยอดเยี่ยมในมือ จงอย่าเด็ดดอกไม้แล้วรดน้ำให้วัชพืช หรือขายหมูเพื่อไปเอาควายมาไว้ในพอรท์โฟลิโอ
ขอตัดบทความเรื่อง การเลือกหุ้นแบบ VI มาเตือนใจเพื่อนๆ ขอยกบทความของ อาจารย์ของพวกเรา ดร นิเวศน์ ครับ
ในความเห็นของผม เรื่องของภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นนั้น ผมคิดว่า VI จะต้องสนใจ เพียงแต่ว่าความสนใจนั้น จะเป็นประเด็นใหญ่ ๆ และกว้าง ๆ และโดยทั่วไปแล้วมักไม่เป็นประเด็นที่จะทำให้เราต้องซื้อขายหุ้น อย่างเช่นถ้ามีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปีนี้หรือปีหน้าจะโต 5% หรือ 4% หรือ 6% หรือแม้แต่ 3% ซึ่งแสดงถึงความตกต่ำทางเศรษฐกิจ ผมก็ไม่เห็นจำเป็นว่าจะต้องขายหุ้นหรือปรับพอร์ตอะไรเนื่องจากข้อมูลหรือความเห็นแบบนี้ และนี่ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ “ปรมาจารย์ VI” ทั้งหลายสอนว่าเราไม่จำเป็นต้องสนใจภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจการเงินและตลาดหุ้น
เวลาที่มองตลาด ผมสนใจอะไร? สิ่งที่ผมสนใจก็คือ ภาวะแวดล้อมที่เป็นเรื่องของ “Value” ผมอยากรู้ว่าภาวะตลาดโดยรวมนั้นเอื้ออำนวยต่อการลงทุนแบบ Value Investment มากน้อยแค่ไหน นั่นก็คือ ถ้าหุ้นส่วนใหญ่มีราคาค่อนข้างถูก โอกาสที่ผมจะได้หุ้นคุณภาพดีราคาถูกก็จะมีสูงขึ้นโดยที่ความเสี่ยงในการลงทุนในระยะยาวจะต่ำ ตรงกันข้าม ถ้าภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย หุ้นส่วนใหญ่ราคาแพงหรือไม่ถูกแล้ว โอกาสที่ผมจะได้หุ้นดีราคาถูกก็น้อยลง บางคนอาจจะบอกว่าไม่เกี่ยว เพราะตราบใดที่เราพบหุ้นคุณค่าและหุ้นมี Margin of Safety สูง อย่างไรเสียมันก็ต้องเป็นหุ้นคุณค่าและเราก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ แต่นี่เป็นเหตุผลที่ตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่าเรารู้จริงและมั่นใจเต็มร้อยว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเป็นเท่าไร แต่ถ้าความเป็นจริงก็คือ เราไม่รู้หรือคาดผิด ก็มีโอกาสที่เราจะขาดทุนได้ง่าย
ประเด็นของผมก็คือ ในยามที่ตลาดหุ้นดีและภาวะทางเศรษฐกิจสดใส โอกาสที่เราจะวิเคราะห์หุ้นผิดพลาดจะมีมากกว่า เพราะในยามนั้นบริษัทธรรมดาบางแห่งอาจจะมีผลการดำเนินงานที่ดีเลิศและราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงลิ่วจนทำให้เราเข้าใจผิดว่ามันเป็นซุปเปอร์สต็อก ถ้าจะพูดไปมันก็คงคล้าย ๆ กับคำกล่าวที่ว่า “ในยามที่ลมหนุนแรง แม้แต่ไก่งวงก็บินได้ และด้วยตัวที่ใหญ่โตและในทัศนะวิสัยที่มืดมัว เราอาจจะคิดว่ามันเป็นพญาอินทรีย์
บุคคลที่ดีที่สุดร่ำรวยที่สุดในประเทศนี้ไม่ได้สร้างฐานะมาจากพอร์ตฟอลิโอที่ประกอบด้วยบริษัท 50 บริษัทแต่พวกเขาสร้างฐานะด้วยการเสาะหาธุรกิจแทีแสนวิเศษเพียงธุรกิจเดียวเท่านั้น
วอเรนท์ บัฟเฟต
- Linzhi
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1522
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ไม่รู้เป็นอะไร อยากให้หุ้นมันลง
โพสต์ที่ 12
หลัง ๆ ผมไม่ถือหุ้นเต็มพอร์ต หรือให้พอร์ตว่างเกินไปครับ
ถ้ามีเงินสดบ้าง หุ้นบ้างจะได้เกิดอารมณ์ ขึ้นก็ได้ ลงก็ดีตลอดเวลาครับ
ผลตอบแทนลดลงบ้าง แต่สบายตัวขึ้นเยอะครับ
ถ้ามีเงินสดบ้าง หุ้นบ้างจะได้เกิดอารมณ์ ขึ้นก็ได้ ลงก็ดีตลอดเวลาครับ
ผลตอบแทนลดลงบ้าง แต่สบายตัวขึ้นเยอะครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.